"พอได้แล้ว!" ฉินเหยียนโบกมือด้วยสีหน้าแข็งกร้าว "ที่ตระกูลฉินยังคงดำรงอยู่ได้จนถึงเฉกเช่นทุกวันนี้เพราะมีตระกูลไป๋คอยช่วยเหลือ และที่ไป๋เฉินได้กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นความจริงทุกประการ แม้ว่าเขาจะไร้ประโยชน์แต่อย่างไรเขาก็เป็นเขยของข้า ข้าจะไม่ยอมให้เขยของข้าต้องได้รับความอยุติธรรมไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม"
"แต่ท่านผู้นำ-" ฉินฟงยังไม่วายที่จะกล่าวต่อด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว
"หุบปาก!" การแสดงออกของฉินเหยียนเริ่มที่จะคุกรุ่น เขายืนขึ้นเมียงมองไปยังชายหนุ่มทั้งสี่ก่อนจะกล่าวอย่างเด็ดขาด "ข้าจะไม่ตัดสินใจขับไล่พวกเจ้าทั้งสี่ออกจากตระกูลฉิน แต่พวกเจ้าต้องออกจากการเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉินหมิงหยวนและให้ไปทำหน้าที่ในการดูแลรักษาความสะอาดเรียบร้อยของที่พำนักทั้งหมด"
"ขอขอบคุณท่านผู้นำที่เมตตากรุณา" ชายหนุ่มทั้งสี่ร้องห่มร้องไห้อย่างยินดีพร้อมโขกศีรษะกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
หางตาของฉินเหยียนกวาดมองไปยังฉินหมิงหยวนก่อนกล่าวอย่างครุ่นคิด "ส่วนหมิงหยวน ในเมื่อเจ้าไม่มีคุณสมบัติและความกล้าหาญในการคุ้มกันปกป้องบุตรสาวข้า เจ้าควรจะทำงานอย่างอื่นที่เกิดประโยชน์ต่อตระกูลฉินให้มากกว่านี้จะเป็นการดีกว่า"
ฉินเหยียนปราดมองไปยังกลุ่มผู้อาวุโสก่อนกล่าว "...และสุดท้ายจงจำไว้ว่าไป๋เฉินคือเขยของข้า หากมีผู้ใดพยายามที่จะรังแกเขาก็เท่ากับการรังแกบุตรชายของข้า!"
ฉินหมิงหยวนและฉินฟงได้แต่กัดฟันด้วยการแสดงออกที่อาฆาตมาดร้าย ทั้งคู่มองไปยังทิศทางที่ไป๋เฉินจากไปอย่างจงเกลียดจงชัง
"เอาล่ะ แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับนักฆ่า ข้าจะส่งให้ใครบางคนไปสอบสวนเอง" ฉินเหยียนโบกมือตระเตรียมออกจากห้องโถงใหญ่ สายตาของเขามองตรงไปยังฉินฟงด้วยระลอกคลื่นตักเตือน "ฉินฟง ข้าหวังว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะไม่เกิดขึ้นในตระกูลฉินอีกเป็นครั้งที่สอง พวกเราต่างก็ตระหนักดีว่าพี่ไป๋ของข้าได้ช่วยเหลือและประคับประคองตระกูลฉินของพวกเรามาตลอดหลายปี หากมีผู้ใดคิดปองร้ายบุตรชายของเขาหรือคิดเฉกเช่นเดียวกับเจ้าในวันนี้...และเจ้าอาจจะมีราคาที่ต้องจ่าย"
ฉินเหยียนออกจากห้องโถงไปอย่างไม่แยแส ฉินเยว่ฉานที่กำลังจะไล่ตามไป๋เฉินไป กลับถูกหยุดยั้งไว้โดยวาจาของฉินเหยียนโดยพลัน "เยว่ฉานกลับไปห้องของเจ้าอย่าได้ไล่ตามเขาไป คืนนี้มาหาข้าที่ห้องทำงาน...ข้ามีเรื่องจะไถ่ถามเกี่ยวกับไป๋เฉิน"
ฉินเยว่ฉานทำได้เพียงก้มหน้าลง ก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
.
.
.
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงพลบค่ำของวันนั้น ทางทิศใต้ที่ซึ่งเป็นที่พำนักหลังเดี่ยว ไป๋เฉินได้กลับมาสู่กระโจมทรุดโทรมหลังเก่าของเขาอีกครา ด้วยการแสดงออกทางสีหน้าที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับการตอบสนองของผู้อาวุโสตระกูลฉินทั้งหมด
แน่นอนว่าสิ่งที่ไป๋เฉินได้กล่าวไปเมื่อยามเช้านั้นล้วนแต่มีวัตถุประสงค์แอบแฝงทั้งสิ้น
ประการที่หนึ่ง ไป๋เฉินกำลังตรวจสอบฝ่ายของตระกูลฉินด้วยตัวของเขาเองโดยการใช้คำและวาจาที่รุนแรงเพื่อปลุกเร้าตรวจสอบปฏิกิริยาของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดรวมถึงตัวของฉินเหยียนเองก็ตาม
หากฉินเหยียนเห็นด้วยกับการขับไล่ตนออกไป นั่นหมายความว่าตระกูลฉินไม่สามารถให้เขาไว้วางใจได้อีกต่อไป
จากความทรงจำของไป๋เฉินคนเก่านั้นได้พะว้าพะวงอยู่กับเรื่องของตระกูลฉินมานานแสนนานและไม่กล้ากล่าวอันใดออกไปเพราะเกรงว่าอาจจะทำลายความสัมพันธ์ของตนและฉินเยว่ฉานให้ขาดสะบั้นลง
แต่ในความคิดของตน ตระกูลฉินนั้นมิได้มีความสำคัญอันใดหากไม่มีความผูกพันธ์ของตนกับฉินเยว่ฉาน
ประการที่สอง ไป๋เฉินกำลังกดดันเพื่อให้ฉินฟงและฉินหมิงหยวนวางแผนในการกำจัดตนในขั้นตอนต่อไปในเร็ววัน
แม้นจะรู้ว่าฉินฟงและฉินหมิงหยวนเป็นผู้ปองร้าย แต่ตนกลับไร้พลังและไร้อำนาจในการจัดการ เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่พอจะลงโทษพวกมันทั้งสองพ่อลูกได้คือการยอมจำนนต่อหลักฐาน
แน่นอนว่าหากไม่มีหลักฐาน ก็จำเป็นต้องสร้างขึ้นมา!
ดังนั้นไป๋เฉินจึงใช้โอกาสนี้เพื่อให้ฉินฟงและฉินหมิงหยวนรู้สึกหวาดระแวงและรีบเร่งในการดำเนินการกำจัดตนออกไปไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม และการรีบเร่งนั้นจะเปิดเผยจุดอ่อนและช่องโหว่ที่พอจะเป็นหลักฐานมัดตัวของพวกมันได้
และเมื่อมีหลักฐานเพียงพอก็จะสามารถพิพากษาสองพ่อลูกนั้นได้โดยไม่รู้สึกผิดและไม่กระทบกระทั่งต่อความสัมพันธ์ระหว่างตนและตระกูลฉิน ซ้ำยังสามารถสืบหาข้อมูลและความปรารถนาที่ไป๋เฉินคนเก่าทิ้งไว้ได้
และหลักจากตรวจสอบปฏิกิริยาตอบสนองของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมด ไป๋เฉินจึงได้กลับมาพินิจพิเคราะห์วางแผนในขั้นตอนต่อไปจนถึงบัดนี้
.
.
.
หลังจากจัดการเรื่องแผนการได้โดยสมบูรณ์ ไป๋เฉินถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย พลางกับนั่งลงหลับตาในท่วงท่านั่งสมาธิโดยมีมือทั้งสองจีบหงายบนเข่าทั้งสองข้างพร้อมทั้งพยายามดูดซับพลังปราณเพื่อบำเพ็ญฝึกฝน
แต่ผลก็ปรากฏออกมาว่าร่างกายของตนมิอาจจะดูดซับพลังงานธรรมชาติจากภายนอกเข้าไปได้ เพราะตนไม่มีรากปราณที่ใช้ในการกักเก็บพลังงานธรรมชาติ และเส้นชีพจรของตนก็มิอาจทนต่อการกัดกร่อนอย่างต่อเนื่องของพลังงานธรรมชาติได้
"เฮ้อ~ ช่างเป็นชีวิตที่รันทดเสียนี่กระไร" ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจในขณะที่กำลังนวดขมับ "ดูเหมือนว่ามีเพียงแต่ต้องฝึกฝนกล้ามเนื้อและทำให้เส้นประสาทยืดหยุ่นสำหรับการเคลื่อนไหวเสียก่อน มิเช่นนั้นคงยากที่จะสังหารผู้ใดโดยไร้พลังปราณเช่นนี้เป็นแน่"
ในขณะที่ไป๋เฉินกำลังจะออกไปฝึกฝนกล้ามเนื้อนอกกระโจม แต่จู่ๆก็กลับหวนนึกบางอย่างขึ้นได้ ก่อนจะเอื้อมมือคว้ากระบี่สีดำคร่ำครึที่ตนได้เลือกมา
เนื่องด้วยที่ไป๋เฉินเดินทางในสายอาชีพเป็นมือสังหารมากว่าสามสิบปี ประสาทสัมผัสของเขาจึงตอบสนองต่อกลิ่นโลหะและคาวเลือดอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ
เขาสามารถบ่งบอกได้ว่ากระบี่ที่ได้หยิบขึ้นมาในครานั้นต้องผ่านการใช้งานมาเนิ่นนานจนกระทั่งมีรอยโลหิตเกรอะกรังติดอยู่บนกระบี่จนแทบจะแยกไม่ออก
หากจะกล่าวได้ว่ากระบี่เล่มนี้ได้ผ่านการเข่นฆ่ามาแล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันชีวิต! หากจะเรียกได้ว่าเป็นกระบี่อาถรรพ์ก็ไม่ผิดเพี้ยน
"กระบี่เล่มนี้ไม่สามารถนำมาใช้งานได้จริงๆงั้นหรือ?" ไป๋เฉินหยิบยกกระบี่ขึ้นมาตรวจสอบรายละเอียดและหมุนไปหมุนมา พร้อมกับพยายามจับด้ามด้วยมือที่เกาะกุมแน่นดึงมันออกมาจากฝัก
แต่ไม่ว่าจะพยายามดึงมันออกมาอย่างไรก็ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยนิด...
แต่ทันใดนั้นเมื่อไป๋เฉินจับตรงด้ามของกระบี่ด้วยแรงบีบที่หนักหน่วง กลับมีเศษเสี้ยนบางๆได้ปักเข้าไปกลางข้อมือของไป๋เฉินอย่างกะทันหัน
แน่นอนว่าเสี้ยนเล็กๆมิอาจส่งผลกระทบใดๆต่อไป๋เฉินแม้แต่น้อย เขาพยายามใช้มือข้างเดียวกันนั้นพยายามดึงเสี้ยนไม้ออกมา
แต่ทว่าจู่ๆหยาดโลหิตหนึ่งหยดที่ถูกแทงโดยเสี้ยนจากฝ่ามือกลับไหลลงสู่ช่องว่างของปลอกกระบี่แทรกซึมหยดลงบนกระบี่
"ติ่ง..."
ในเสี้ยววินาทีพลันบังเกิดแสงจ้าสีแดงดั่งโลหิตส่องสว่างจากกระบี่เล่มนั้นเข้าปกคลุมรอบกาย ส่งผลให้สติสัมปชัญญะและจิตสำนักเปรียบดั่งว่ากำลังจะคล้อยหลับไป
.
.
.
เมื่อไป๋เฉินลืมตาขึ้นมาก็กลับพบว่า ฉากทัศน์รอบกายของตนได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากที่เคยเป็นห้องโล่งในกระโจมหลังเก่ากลับแปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิดอันไร้ซึ่งก้นบึ้งและมิอาจบ่งบอกได้ว่าทิศไหนเป็นทิศไหน
สายตาของเขากำลังสอดส่องไปรอบๆกายอย่างหวาดระแวงก่อนจะบ่นพึมพำด้วยคิ้วที่ขมวด "เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แล้วที่นี่ที่ไหนกัน?"
เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เขากำลังอยู่ภายในกระโจมหลังน้อยๆอยู่ทนท่อ แต่ทว่าหลังจากแสงสีแดงดุจดั่งโลหิตจากกระบี่ฉายเข้ามา แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาฉากเบื้องหน้าก็กลับแปรเปลี่ยนไปเสียอย่างนั้น
ไป๋เฉินพยายามที่จะเร่งค้นหาทางออก แต่แล้วทั้งแปดทิศกลับไร้แสงสว่างสาดส่องปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อยนิด จนอดคิดไม่ได้ว่าเขากำลังประสบกับความฝันที่เกินจริงอยู่หรือไม่?
แต่จู่ๆสุดระยะสายตาก็สบเข้ากับบางสิ่ง เบื้องหน้าไกลๆปรากฏให้เห็นประตูสำรึดลึกลับที่มีฝุ่นเขรอะกรังบานใหญ่ ประตูบานนั้นถูกสลักไว้ด้วยลวดลายอันแปลกประหลาดพิลึกพิลั่นราวกับว่าเป็นประติมากรรมของปีศาจอย่างไรอย่างนั้น
ประติมากรรมบนประตูสำริดทั้งสองปรากฏให้เห็นร่างของสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งที่ซึ่งมีเขางอกเงยสองเขา ฟันของสิ่งมีชีวิตนั้นแหลมคมที่พร้อมจะเจาะทะลุได้ทุกสิ่ง เบื้องหลังของมันมีปีกสีดำคลับคล้ายกับปีกของอีกาก็มิปาน
เมื่อเห็นรูปทรงของประตูสำริดลึกลับและลวดลายทั้งหมดที่ปรากฏ ไป๋เฉินก็อดคิดไม่ได้ว่ามันช่างเปรียบดั่งประตูนรกทุกประการ!
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 51
Comments