บทสรุป…จริงหรือ?

ในทุกเมือง ทุกหมู่บ้าน ทุกซอกมุมของโลกใบใหม่นี้

มีตำนานหนึ่งที่ถูกเล่าขาน

เป็นนิทานที่ไร้ต้นกำเนิด ไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดเป็นคนเล่าคนแรก และไม่มีบันทึกใดที่กล่าวถึงต้นฉบับของมัน

เป็นเพียงเรื่องราวที่ถูกกระซิบต่อกันมา จากรุ่นสู่รุ่น ราวกับเป็นเพียง นิทานกล่อมเด็ก

เรื่องราวของสงครามอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้โลกเกือบดับสูญ เรื่องราวของนักรบผู้แข็งแกร่งที่ต่อสู้กับความมืดมิด เรื่องราวของเหล่าผู้กล้าที่เฝ้ารักษาสมดุลของทุกสรรพสิ่ง

แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้แตกต่างจากนิทานทั่วไปก็คือ—

มันไม่เคยถูกบอกเล่าในรูปแบบเดิมเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ผู้คนในดินแดนหนึ่งเล่าว่าพวกเขาคือเทพเจ้า ผู้ที่เสียสละตนเองเพื่อสร้างโลกใบใหม่

ผู้คนอีกดินแดนหนึ่งกล่าวว่าพวกเขาคือปีศาจสองตนที่กลับใจ และเลือกที่จะปกป้องโลกแทนการทำลาย

บางตำนานบอกว่าพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่ได้รับพรจากดวงดารา และเลือกเดินเส้นทางที่ไม่มีผู้ใดกล้าเดิน

แต่ไม่ว่าคำบอกเล่าจะแตกต่างกันเพียงใด มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันเสมอ—

พวกเขามีสองคน

เป็นนักเดินทางที่ไม่เคยเผยนาม

เป็นนักกวีคู่หนึ่งที่เดินทางไปทั่วทุกสารทิศ ขับขานเรื่องราวของโลกใบเก่า และกระซิบเรื่องราวของโลกใบใหม่ให้ผู้คนได้รับรู้

พวกเขาไม่เคยอ้างว่าเป็นผู้รู้ทุกสิ่ง และไม่เคยบอกว่าตำนานที่พวกเขาเล่าเป็นความจริง

แต่เมื่อใดที่เสียงของพวกเขาดังขึ้น ทุกผู้คนล้วนหยุดฟัง

และเมื่อใดที่พวกเขาเดินจากไป เมืองนั้นจะเปี่ยมไปด้วยความหวังและความสงบสุข

ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามาจากไหน และไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะเดินทางไปที่ใดต่อ

ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาคือใคร

แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่ทุกคนมั่นใจ

หากโลกใบนี้กำลังจะเอียงไปสู่หายนะอีกครั้ง

พวกเขาจะกลับมา

บางคนอาจมองว่านี่เป็นเพียงตำนาน เป็นเพียงนิทานที่ไร้ซึ่งความจริง

แต่บางคนกลับเชื่อว่า—

พวกเขายังคงเฝ้ามองอยู่เสมอ

และบางที…

นี่อาจไม่ใช่จุดจบของเรื่องราว เงาของนักเดินทาง

ค่ำคืนแห่งดวงดาว เสียงพิณและบทกวีล่องลอยไปตามสายลมอ่อนจาง นักเดินทางคู่หนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางลานหมู่บ้าน ล้อมรอบด้วยเด็กน้อยที่นั่งตาเป็นประกาย และผู้เฒ่าผู้แก่ที่ตั้งใจฟัง พวกเขาเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แววตาลึกล้ำดุจเคยเฝ้ามองโลกมานานนับศตวรรษ

“ณ จุดสิ้นสุดของสงคราม เทพและปีศาจร่วงหล่นจากบัลลังก์ของตน โลกถูกทำลายและสร้างใหม่อีกครั้ง… ด้วยมือของใครบางคนที่ยอมเสียสละทุกสิ่ง แม้กระทั่งตนเอง”

เด็กคนหนึ่งยกมือขึ้น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสงสัย “แล้วคนๆ นั้นหายไปไหนล่ะ?”

นักกวีหัวเราะเบาๆ สบตากัน ก่อนที่อีกคนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“บางคนว่าพวกเขาหายไป บางคนว่าเพียงแค่หลับไหล และบางคนเชื่อว่า พวกเขายังคงเดินอยู่ท่ามกลางพวกเรา”

“จริงเหรอ!” เด็กๆ ต่างส่งเสียงอุทาน หันมองไปรอบตัวราวกับคาดหวังว่าจะพบเงาของใครบางคนซ่อนอยู่ในฝูงชน

นักกวีหัวเราะ ไม่ปฏิเสธและไม่ยืนยัน

หญิงชราผู้หนึ่งยิ้มบางๆ พลางถอนหายใจแผ่วเบา “เป็นเรื่องเล่าที่งดงามจริงๆ…”

ค่ำคืนนั้นดำเนินไปพร้อมเสียงบทกวีและเสียงหัวเราะ แต่เมื่อรุ่งสางมาถึง นักกวีทั้งสองก็จากไป ทิ้งไว้เพียงเถ้าถ่านของกองไฟที่มอดดับ และความฝันของเด็กๆ ที่เต็มไปด้วยตำนาน

แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า

รอยเท้าของพวกเขา… จางหายไปในอากาศ

ณ ที่แห่งหนึ่ง ที่ไม่มีใครไปถึง

วิหารลึกลับตั้งตระหง่านอยู่กลางป่าเมฆา งดงามราวกับเพิ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อวานนี้ ทั้งที่ผ่านมานับร้อยนับพันปี

ภายในนั้น เงาร่างหนึ่งนั่งเงียบ มือข้างหนึ่งจับสายพิณที่ยังคงสั่นไหวจากเสียงเพลงเมื่อคืน

อีกเงาหนึ่งเอนตัวพิงอยู่ข้างกัน ลมหายใจแผ่วเบาราวกำลังฝันถึงอดีตกาลที่แสนไกล

มือของพวกเขายังคงกุมกันแน่น ดั่งคำมั่นสัญญาที่ไม่เคยแปรเปลี่ยน

แม้กาลเวลาจะหมุนผ่านไปนานเพียงใด

แม้ผู้คนจะลืมเลือนชื่อของพวกเขา

แต่ตำนานของพวกเขายังคงถูกเล่าขาน

และเมื่อถึงวันที่โลกต้องการพวกเขาอีกครั้ง

เสียงของนักกวี…

จะดังก้องขึ้นมาใหม่

เสียงแห่งกาลเวลา

ลมแห่งรุ่งอรุณพัดผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ ทิ้งร่องรอยของค่ำคืนที่อบอวลด้วยบทกวี เสียงพิณยังคงก้องอยู่ในหัวใจของผู้คน แม้ว่านักกวีทั้งสองจะจากไปแล้วก็ตาม

“พวกเขาคือใครกันแน่?”

คำถามนี้ถูกเอ่ยขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งจากเด็กน้อยที่ยังคงเฝ้ารอเรื่องราวบทต่อไป และจากผู้ใหญ่ที่เริ่มสงสัยว่าตำนานที่เล่าขานมาเนิ่นนาน อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเล่าเพื่อกล่อมเด็กให้หลับฝันดี

“มีคนเคยเห็นพวกเขาที่หมู่บ้านริมทะเล…”

“แต่บางคนก็ว่าพวกเขาปรากฏตัวกลางป่าทึบที่ไม่มีใครกล้าเข้าไป”

“หรือพวกเขาอาจจะเป็นเพียงเงาลวงตาของใครบางคนที่ยังเฝ้าดูโลกใบนี้?”

ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็ไม่เคยหยุดเดินทาง เรื่องราวของพวกเขายังคงถูกถ่ายทอดจากเมืองหนึ่งสู่อีกเมืองหนึ่ง ราวกับว่านักกวีทั้งสองมิใช่เพียงบุคคลธรรมดา แต่เป็นเงาของกาลเวลาที่ไม่มีวันจางหาย

ณ สถานที่ที่ไม่มีผู้ใดเข้าถึง

กลางหุบเขาสูงตระหง่าน วิหารสีขาวเรืองรองอยู่ท่ามกลางม่านหมอก บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบ ไม่มีแม้เสียงนกร้องหรือใบไม้ไหว ทว่ากลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยอย่างประหลาด

ลึกเข้าไปในวิหารนั้น ห้องโถงอันกว้างใหญ่ถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองอ่อน ๆ เผยให้เห็นเงาสองร่างที่นั่งอยู่เคียงกัน ราวกับกาลเวลาไม่เคยพรากพวกเขาจากกันเลย

มือหนึ่งยังคงจับสายพิณแผ่วเบา แม้เพลงจะจบลงไปนานแล้ว แต่เสียงสะท้อนของมันยังคงก้องกังวานในความเงียบงัน

อีกมือหนึ่งกุมแน่นไว้โดยไม่ยอมปล่อย ผ่านกาลเวลาหลายร้อยปี ผ่านการรอคอยที่แสนยาวนาน

“เธอคิดว่าพวกเขาจะจำเราได้หรือเปล่า?” เสียงหนึ่งดังขึ้น แผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น

“ไม่สำคัญหรอก…” อีกเสียงตอบกลับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “เรายังอยู่ที่นี่เสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน”

ร่างทั้งสองนิ่งเงียบ เฝ้ามองภาพเบื้องหน้าที่เผยให้เห็นโลกใบใหม่ที่กำลังเติบโตอีกครั้ง ภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อยู่ในตำนานที่ถูกเล่าขานในทุกคืนวัน

แม้ว่าผู้คนอาจลืมเลือนชื่อของพวกเขาไปแล้ว

แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ตรงนี้

เฝ้ามอง…

รอคอย…

และพร้อมจะก้าวออกมาอีกครั้ง

ในวันที่โลกต้องการพวกเขาและวิหารที่ถูกลืม

เสียงสายลมพัดผ่านแมกไม้ แสงจันทร์ทอดเงาลงบนพื้นหินอ่อนเย็นเยียบของวิหารที่ซ่อนเร้นจากสายตาของโลกภายนอก ทุกสิ่งภายในยังคงสมบูรณ์ราวกับกาลเวลาไม่อาจแตะต้องได้ ผนังสูงตระหง่านประดับลวดลายเก่าแก่ เผยให้เห็นเรื่องราวของยุคสมัยที่ล่วงผ่านไป

ที่ใจกลางห้องโถงกว้าง แสงจากคบไฟส่องประกายอ่อนโยน กลุ่มเด็กตัวน้อยนั่งล้อมกันอย่างสงบ ดวงตาใสซื่อเปล่งประกายด้วยความอยากรู้ ขณะที่พวกเขาจ้องมองหญิงสาวผู้เป็นผู้เล่าเรื่อง

“ที่นี่เคยเป็นสถานที่สำหรับเหล่าผู้พิทักษ์”

ชิโระเอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล แต่แฝงไปด้วยอารมณ์ลึกซึ้งที่ยากจะเข้าใจ

“ผู้พิทักษ์?” เด็กคนหนึ่งถามขึ้นมา “หมายถึงคนที่เคยปกป้องโลกงั้นเหรอ?”

ชิโระพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาสะท้อนเงาเปลวไฟ

“พวกเขาเคยมีตัวตน พวกเขาเคยต่อสู้ พวกเขาเคยอยู่ร่วมกับผู้คน… จนกระทั่งวันหนึ่ง พวกเขาก็หายไป”

เสียงเด็ก ๆ เริ่มกระซิบกระซาบกันเบา ๆ ด้วยความตื่นเต้นและสงสัย

“แล้วทำไมพวกเขาถึงหายไปล่ะ?” เด็กหญิงตัวเล็กที่สุดในกลุ่มเอียงคอถาม

ชิโระมองเธอด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “เพราะเวลาของพวกเขาสิ้นสุดลงแล้ว หรืออาจจะเพราะโลกไม่ต้องการพวกเขาอีกต่อไป”

“แล้วพวกเขาเป็นยังไงเหรอ?” เด็กอีกคนถามต่อ

ชิโระเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทอดสายตามองไปรอบ ๆ โถงวิหาร ที่นี่… เคยเป็นที่อยู่ของเหล่าผู้พิทักษ์ มันเคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ การฝึกฝน และการปกป้อง ทว่าวันนี้มันกลับกลายเป็นเพียงสถานที่เงียบสงัด ไม่มีใครเคยก้าวเข้ามา ไม่มีใครเคยเห็นมันอีกเลย

“พวกเขายังคงอยู่ที่ไหนสักแห่ง… อาจเฝ้ามองพวกเราจากที่ไกล ๆ หรืออาจอยู่ใกล้กว่าที่เราคิด” เธอตอบเพียงเท่านั้น

เด็ก ๆ เงียบไปครู่หนึ่ง แต่แววตาของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยคำถาม

โซระที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขาเพียงแค่นั่งเงียบ ๆ โอบกอดชิโระไว้แน่น ให้ไออุ่นของตนแผ่ซ่านไปสู่เธอ ดวงตาของเขามองเธอด้วยความอ่อนโยน ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา ไม่มีคำอธิบายใดที่จำเป็นต้องเอ่ย

แต่เพียงแค่นั้น… มันก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขาทั้งสองคน

กาลเวลาอาจเดินผ่านไปไม่รู้กี่พันปี วิหารนี้อาจถูกปิดตายจากโลกภายนอก แต่ไม่ว่าวันเวลาเหล่านั้นจะเปลี่ยนไปเช่นไร

เรื่องราวของพวกเขายังคงอยู่ที่นี่

รอคอยใครสักคนที่คู่ควรจะค้นพบมันอีกครั้ง

โลกใบใหม่ที่ไร้ความแน่นอน

ณ เบื้องนอกวิหารที่ถูกลืม โลกใบใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับรุ่งอรุณของกาลเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างแตกต่างจากเดิม ท้องฟ้าที่เคยปกคลุมด้วยหมอกแห่งสงครามกลับใสดุจผลึกน้ำแข็ง พื้นดินที่เคยสั่นสะเทือนด้วยแรงปะทะของการต่อสู้บัดนี้กลับสงบเงียบ

ทว่าสิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ… ความไม่แน่นอน

โลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิม ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งใดรออยู่ข้างหน้า ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร ไม่มีแม้กระทั่งผู้ปกครองที่แน่ชัด มีเพียงธรรมชาติที่ค่อย ๆ ฟื้นคืน หยั่งรากลึกสู่พื้นดินที่เพิ่งได้รับโอกาสในการเริ่มต้นใหม่

แต่ถึงกระนั้น มนุษย์ก็ยังคงดำเนินชีวิตต่อไป

พวกเขาไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้างโลกใบใหม่นี้ พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงยังมีชีวิตอยู่ บางคนเชื่อว่ามันเป็นปาฏิหาริย์จากสวรรค์ บ้างก็เชื่อว่าเป็นโชคชะตาใหม่ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว

แต่แท้จริงแล้ว… มันอาจเป็นเพียงผลลัพธ์ของการตัดสินใจของใครบางคนเท่านั้น

ภายในวิหาร ชิโระทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ผืนฟ้าเวิ้งว้างกว้างใหญ่ โลกใบใหม่นี้งดงาม ทว่ามันก็ยังคงเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจคาดเดา

เธอรู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดจะเหมือนเดิม ไม่มีอะไรจะกลับไปเป็นเช่นวันวานได้อีกแล้ว

และนั่นเองที่ทำให้โลกใบนี้… เป็นโลกที่แท้จริง

ไม่มีอำนาจใดกำหนดมัน ไม่มีโชคชะตาใดบังคับมันให้เดินตามเส้นทางที่ถูกวางไว้ ทุกสิ่งเป็นไปตามการตัดสินใจของผู้ที่อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้

และบางที… มันอาจเป็นสิ่งที่โลกต้องการมาตลอดก็เป็นได้

โซระกระชับอ้อมแขนที่โอบรอบตัวชิโระ เขายังไม่พูดอะไร เพียงแค่มองภาพเบื้องหน้านี้ไปพร้อมกับเธอ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะต้องเจอกับอะไรต่อไป ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะนำพาสิ่งใดมาให้

แต่พวกเขารู้เพียงอย่างเดียว

ไม่ว่าความไม่แน่นอนจะพาพวกเขาไปที่ใด พวกเขาก็จะอยู่เคียงข้างกัน… ตลอดไป

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!