อรชุน ยอดเด็กอัจฉริยะ
ฟ้าเช้าวันนั้นดูเหมือนปกติ แสงตะวันแรกของวันส่องผ่านหมอกบางๆ ที่คลี่คลุมหมู่บ้านเล็กๆ เสียงไก่ขันดังประสานกับเสียงหมาเห่าตามประสา แต่สำหรับครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง วันนี้กลับกลายเป็นวันที่มืดหม่นที่สุดในชีวิต
พ่อกับแม่ของอรชุนตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี เขาทั้งสองบรรทุกปลาใส่รถกระบะเก่า ตั้งใจจะไปขายที่ตลาดอำเภอ ถนนลูกรังขรุขระทำให้รถสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา แม่เอื้อมมือมาจับแขนพ่อ บอกให้ขับช้าลง แต่พ่อก็เร่งเครื่องต่อเพราะกลัวไปไม่ทันตลาดเช้า
เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มก้องในความเงียบของเช้ามืด ล้อหน้าของรถเหยียบลงบนดินที่ชื้นแฉะจากฝนเมื่อคืน รถเสียหลักลื่นไถล แค่เสี้ยววินาที รถกระบะก็พลิกคว่ำลงข้างทาง เสียงเหล็กกระแทกพื้นดังสนั่นพร้อมกับเสียงร้องสุดท้ายที่ขาดหายไป
เมื่อหมู่บ้านรับรู้ข่าว พ่อแม่ของอรชุนก็ไม่มีวันหวนกลับมาอีก เด็กชายวัยเพียงสามขวบยังไม่เข้าใจว่าความตายหมายถึงอะไร เขาเพียงแค่ร้องหาพ่อแม่ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับมีเพียงเสียงสะอื้นของผู้ใหญ่รอบข้าง
หลังจากงานศพผ่านไป อรชุนเหลือเพียงย่าเป็นที่พึ่ง ย่าของเขาอายุมากแล้ว ร่างกายไม่แข็งแรง แต่ด้วยหัวใจที่ไม่เคยยอมแพ้ ย่าก็รับภาระดูแลหลานน้อยอย่างสุดกำลัง
บ้านที่พวกเขาอยู่เป็นบ้านไม้เก่า ฝาแผ่นกระดานผุจนลมพัดลอดเข้ามาได้ง่าย หลังคามุงสังกะสีขึ้นสนิมเสียงดังราวกับกลองเมื่อฝนตก ย่าต้องทำทุกทางเพื่อให้หลานมีข้าวกินในแต่ละวัน เธอเก็บของเก่าตามตลาด ขวดแก้ว กระป๋องอลูมิเนียม เศษเหล็ก ทุกอย่างที่สามารถขายได้ก็จะเก็บไว้ในกระสอบใหญ่แบกกลับบ้าน
บางวันรายได้ไม่พอซื้อข้าวสาร ย่าต้องพาอรชุนไปหาหอยในทุ่งนา ไปจับปลาตามหนองน้ำเล็กๆ เอามาแกงหรือย่างกินประทังชีวิต ความลำบากนี้เป็นเหมือนครูเงียบๆ ที่หล่อหลอมให้เด็กน้อยค่อยๆ เรียนรู้ว่าชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
กาลเวลาผ่านไปจนเขาอายุครบเจ็ดขวบ รัฐบาลมีโครงการช่วยเหลือให้เด็กได้เข้าเรียนโรงเรียนในหมู่บ้าน แม้จะไม่ได้มากนัก แต่ก็พอเปิดโอกาสให้เขาได้ก้าวสู่เส้นทางการศึกษา ย่าดีใจน้ำตาคลอที่หลานได้ใส่ชุดนักเรียนครั้งแรก แม้จะเป็นชุดเก่าๆ ที่ได้มาจากการบริจาค แต่สำหรับย่าแล้วมันช่างสง่างามราวกับเครื่องแบบของเจ้าชาย
ทว่าโรงเรียนไม่ได้อบอุ่นเหมือนที่ย่าหวังไว้ เพื่อนๆ หลายคนหัวเราะเยาะอรชุนว่าเป็นเด็กยากจน ไม่มีขนม ไม่มีเงินค่าข้าว บางครั้งเขาถูกผลัก ถูกล้อเลียนจนต้องนั่งกอดเข่าเงียบๆ ที่มุมห้องเรียน เด็กเจ็ดขวบคนนั้นเริ่มเรียนรู้ว่าคำพูดของคนอื่นเจ็บปวดไม่แพ้ความหิวโหย
เย็นวันหนึ่ง หลังจากถูกเพื่อนล้ออย่างหนัก อรชุนเดินกลับบ้านด้วยใจหนักอึ้ง บ้านไม้เก่าของเขายังคงตั้งอยู่ท่ามกลางเงาไม้ เสียงจักจั่นร้องดังระงม เขาเดินเข้าไปในบ้าน พบย่านั่งจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดที่แสงริบหรี่ส่องเพียงพอให้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของเธอ
อรชุนนั่งซบตักย่า น้ำตาเอ่อคลอ เขาพึมพำเสียงเบาว่าทำไมชีวิตของเขาต้องเป็นแบบนี้ ย่าลูบหัวหลานอย่างอ่อนโยน บอกเพียงว่า “หลานเอ๋ย…คำดูถูกมันไม่ทำให้เราตายหรอก แต่ความไม่อดทนต่างหากที่ฆ่าเราได้ ชีวิตเมื่อโตขึ้นมันจะยากกว่านี้อีก หลานต้องเข้มแข็งกว่านี้นะ”
เสียงปลอบโยนของย่าทำให้หัวใจเล็กๆ คลายลงทีละน้อย จนเขาเผลอหลับไปบนตักของเธอ ในความมืดของค่ำคืนนั้น เขาเริ่มฝัน ฝันที่ไม่เหมือนทุกครั้ง
เขาพบกับเงาดำรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่ไร้หน้า ไร้ตา ไร้เสียงลมหายใจ ความน่ากลัวปกคลุมจนร่างเล็กๆ ของเขาสั่นไปทั้งตัว แต่แล้วเงาดำกลับเอ่ยเสียงก้องในความฝันว่า “หากชีวิตคนเรามันง่ายดายเกินไป บนโลกนี้ก็คงเต็มไปด้วยผู้ที่ประสบความสำเร็จ ทุกคนล้วนจะยืนอยู่สูงสุด แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น ความยากลำบากคือบททดสอบ เป็นทางที่แยกคนธรรมดากับคนที่คู่ควรแก่พลัง”
อรชุนยืนฟังด้วยหัวใจเต้นแรง ความมืดนั้นไม่เพียงน่ากลัว แต่ยังมีบางสิ่งที่ดึงดูด บางสิ่งที่เหมือนจะเชื่อมโยงกับตัวเขา
เมื่อเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา เสียงย่าลมหายใจเงียบสงบข้างๆ บอกให้รู้ว่าย่าก็หลับไปแล้ว แต่สิ่งที่ต่างไปคือหัวของเขา มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ราวกับมีใครสักคนอยู่ในนั้น คอยพูด คอยกระซิบเป็นเสียงที่ไม่ใช่ของเขาเอง
“ข้า…คือเทพอารักษ์ผู้สถิตอยู่ในร่างเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ไป เจ้าจะเริ่มเส้นทางการฝึกตน”
เด็กชายเบิกตากว้าง แม้จะกลัว แต่ก็มีประกายตื่นเต้นในแววตา เสียงนั้นบอกเขาถึงพลังใหม่ที่เพิ่งก่อตัวขึ้น
ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา
ค่าการอ่าน ระดับ 1
ค่าการจดจำ ระดับ 1
สภาวะร่างกาย ระดับ 1
ความคล่องตัว ระดับ 1
อรชุนก้มมองมือเล็กๆ ของตนเอง มันสั่นเล็กน้อย แต่เขากลับรู้สึกถึงพลังบางอย่างไหลเวียนอยู่ภายใน ร่างกายไม่ใช่ร่างเดิม สมองไม่ใช่สมองเดิม ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 5
Comments