ฟ้าเช้าวันนั้นดูเหมือนปกติ แสงตะวันแรกของวันส่องผ่านหมอกบางๆ ที่คลี่คลุมหมู่บ้านเล็กๆ เสียงไก่ขันดังประสานกับเสียงหมาเห่าตามประสา แต่สำหรับครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง วันนี้กลับกลายเป็นวันที่มืดหม่นที่สุดในชีวิต
พ่อกับแม่ของอรชุนตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี เขาทั้งสองบรรทุกปลาใส่รถกระบะเก่า ตั้งใจจะไปขายที่ตลาดอำเภอ ถนนลูกรังขรุขระทำให้รถสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา แม่เอื้อมมือมาจับแขนพ่อ บอกให้ขับช้าลง แต่พ่อก็เร่งเครื่องต่อเพราะกลัวไปไม่ทันตลาดเช้า
เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มก้องในความเงียบของเช้ามืด ล้อหน้าของรถเหยียบลงบนดินที่ชื้นแฉะจากฝนเมื่อคืน รถเสียหลักลื่นไถล แค่เสี้ยววินาที รถกระบะก็พลิกคว่ำลงข้างทาง เสียงเหล็กกระแทกพื้นดังสนั่นพร้อมกับเสียงร้องสุดท้ายที่ขาดหายไป
เมื่อหมู่บ้านรับรู้ข่าว พ่อแม่ของอรชุนก็ไม่มีวันหวนกลับมาอีก เด็กชายวัยเพียงสามขวบยังไม่เข้าใจว่าความตายหมายถึงอะไร เขาเพียงแค่ร้องหาพ่อแม่ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับมีเพียงเสียงสะอื้นของผู้ใหญ่รอบข้าง
หลังจากงานศพผ่านไป อรชุนเหลือเพียงย่าเป็นที่พึ่ง ย่าของเขาอายุมากแล้ว ร่างกายไม่แข็งแรง แต่ด้วยหัวใจที่ไม่เคยยอมแพ้ ย่าก็รับภาระดูแลหลานน้อยอย่างสุดกำลัง
บ้านที่พวกเขาอยู่เป็นบ้านไม้เก่า ฝาแผ่นกระดานผุจนลมพัดลอดเข้ามาได้ง่าย หลังคามุงสังกะสีขึ้นสนิมเสียงดังราวกับกลองเมื่อฝนตก ย่าต้องทำทุกทางเพื่อให้หลานมีข้าวกินในแต่ละวัน เธอเก็บของเก่าตามตลาด ขวดแก้ว กระป๋องอลูมิเนียม เศษเหล็ก ทุกอย่างที่สามารถขายได้ก็จะเก็บไว้ในกระสอบใหญ่แบกกลับบ้าน
บางวันรายได้ไม่พอซื้อข้าวสาร ย่าต้องพาอรชุนไปหาหอยในทุ่งนา ไปจับปลาตามหนองน้ำเล็กๆ เอามาแกงหรือย่างกินประทังชีวิต ความลำบากนี้เป็นเหมือนครูเงียบๆ ที่หล่อหลอมให้เด็กน้อยค่อยๆ เรียนรู้ว่าชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
กาลเวลาผ่านไปจนเขาอายุครบเจ็ดขวบ รัฐบาลมีโครงการช่วยเหลือให้เด็กได้เข้าเรียนโรงเรียนในหมู่บ้าน แม้จะไม่ได้มากนัก แต่ก็พอเปิดโอกาสให้เขาได้ก้าวสู่เส้นทางการศึกษา ย่าดีใจน้ำตาคลอที่หลานได้ใส่ชุดนักเรียนครั้งแรก แม้จะเป็นชุดเก่าๆ ที่ได้มาจากการบริจาค แต่สำหรับย่าแล้วมันช่างสง่างามราวกับเครื่องแบบของเจ้าชาย
ทว่าโรงเรียนไม่ได้อบอุ่นเหมือนที่ย่าหวังไว้ เพื่อนๆ หลายคนหัวเราะเยาะอรชุนว่าเป็นเด็กยากจน ไม่มีขนม ไม่มีเงินค่าข้าว บางครั้งเขาถูกผลัก ถูกล้อเลียนจนต้องนั่งกอดเข่าเงียบๆ ที่มุมห้องเรียน เด็กเจ็ดขวบคนนั้นเริ่มเรียนรู้ว่าคำพูดของคนอื่นเจ็บปวดไม่แพ้ความหิวโหย
เย็นวันหนึ่ง หลังจากถูกเพื่อนล้ออย่างหนัก อรชุนเดินกลับบ้านด้วยใจหนักอึ้ง บ้านไม้เก่าของเขายังคงตั้งอยู่ท่ามกลางเงาไม้ เสียงจักจั่นร้องดังระงม เขาเดินเข้าไปในบ้าน พบย่านั่งจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดที่แสงริบหรี่ส่องเพียงพอให้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของเธอ
อรชุนนั่งซบตักย่า น้ำตาเอ่อคลอ เขาพึมพำเสียงเบาว่าทำไมชีวิตของเขาต้องเป็นแบบนี้ ย่าลูบหัวหลานอย่างอ่อนโยน บอกเพียงว่า “หลานเอ๋ย…คำดูถูกมันไม่ทำให้เราตายหรอก แต่ความไม่อดทนต่างหากที่ฆ่าเราได้ ชีวิตเมื่อโตขึ้นมันจะยากกว่านี้อีก หลานต้องเข้มแข็งกว่านี้นะ”
เสียงปลอบโยนของย่าทำให้หัวใจเล็กๆ คลายลงทีละน้อย จนเขาเผลอหลับไปบนตักของเธอ ในความมืดของค่ำคืนนั้น เขาเริ่มฝัน ฝันที่ไม่เหมือนทุกครั้ง
เขาพบกับเงาดำรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่ไร้หน้า ไร้ตา ไร้เสียงลมหายใจ ความน่ากลัวปกคลุมจนร่างเล็กๆ ของเขาสั่นไปทั้งตัว แต่แล้วเงาดำกลับเอ่ยเสียงก้องในความฝันว่า “หากชีวิตคนเรามันง่ายดายเกินไป บนโลกนี้ก็คงเต็มไปด้วยผู้ที่ประสบความสำเร็จ ทุกคนล้วนจะยืนอยู่สูงสุด แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น ความยากลำบากคือบททดสอบ เป็นทางที่แยกคนธรรมดากับคนที่คู่ควรแก่พลัง”
อรชุนยืนฟังด้วยหัวใจเต้นแรง ความมืดนั้นไม่เพียงน่ากลัว แต่ยังมีบางสิ่งที่ดึงดูด บางสิ่งที่เหมือนจะเชื่อมโยงกับตัวเขา
เมื่อเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา เสียงย่าลมหายใจเงียบสงบข้างๆ บอกให้รู้ว่าย่าก็หลับไปแล้ว แต่สิ่งที่ต่างไปคือหัวของเขา มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ราวกับมีใครสักคนอยู่ในนั้น คอยพูด คอยกระซิบเป็นเสียงที่ไม่ใช่ของเขาเอง
“ข้า…คือเทพอารักษ์ผู้สถิตอยู่ในร่างเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ไป เจ้าจะเริ่มเส้นทางการฝึกตน”
เด็กชายเบิกตากว้าง แม้จะกลัว แต่ก็มีประกายตื่นเต้นในแววตา เสียงนั้นบอกเขาถึงพลังใหม่ที่เพิ่งก่อตัวขึ้น
ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา
ค่าการอ่าน ระดับ 1
ค่าการจดจำ ระดับ 1
สภาวะร่างกาย ระดับ 1
ความคล่องตัว ระดับ 1
อรชุนก้มมองมือเล็กๆ ของตนเอง มันสั่นเล็กน้อย แต่เขากลับรู้สึกถึงพลังบางอย่างไหลเวียนอยู่ภายใน ร่างกายไม่ใช่ร่างเดิม สมองไม่ใช่สมองเดิม ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป
เช้าวันนั้นท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านเล็กๆ ยังขมุกขมัวด้วยหมอกหนา
เสียงไก่ขันดังประสานกับเสียงจักจั่นยามเช้าลอยเข้ามาในบ้านไม้เก่าที่ฝาผุจนมีแสงลอดเป็นเส้นเล็กๆ
เด็กชายตัวเล็กขยับตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย แต่สิ่งแรกที่เขาเห็นคือร่างของ ย่า นอนขดอยู่บนเสื่อเก่า
เสียงไอแห้งๆ ดังติดกันหลายครั้ง
อรชุนตกใจ รีบเข้าไปนั่งข้างๆ เอามือเล็กแตะหน้าผากของย่า
ความร้อนที่แผ่ซ่านทำให้หัวใจดวงน้อยกระตุกแรง
“ย่า…ย่าไม่สบายเหรอครับ” เสียงเล็กๆ สั่นพร่าเต็มไปด้วยความกังวล
ย่าลืมตาขึ้นช้าๆ ยิ้มบางๆ ทั้งที่ริมฝีปากซีด “ไม่เป็นไรหรอกหลาน…แค่เพลียเท่านั้น”
แต่เด็กชายเจ็ดขวบคนนี้รู้ดีว่ามันไม่ใช่เพียงความเพลียธรรมดา
เขารีบลุกขึ้น คว้าขันน้ำตักจากโอ่งหน้าบ้าน ชุบผ้าขาวม้าเก่าๆ บิดหมาดแล้ววางไว้บนหน้าผากของย่า
คอยเปลี่ยนผ้าอยู่บ่อยๆ เหมือนผู้ใหญ่ที่เฝ้าไข้คนป่วย
วันนั้นเขาไม่ได้ไปโรงเรียน
ทั้งวันอรชุนเฝ้าอยู่ข้างๆ ไม่ยอมขยับไปไหน
เวลาย่าขยับตัว เขารีบพยุงประคอง
เวลาย่าไอ เขารีบยกขันน้ำให้จิบ
หัวใจเล็กๆ เต็มไปด้วยความกลัวว่าจะสูญเสียสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิต
ใกล้เที่ยง เขาเปิดกระสอบข้าวสารที่เหลืออยู่ไม่กี่กำมือ
ตักออกมาใส่หม้อ เติมน้ำ แล้วจุดเตาไม้ฟืน
กลิ่นข้าวต้มจืดๆ ลอยอบอวลไปทั่วบ้านไม้
มันไม่หอมหวลอย่างอาหารคนมีเงิน แต่มันคือสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำเพื่อให้ย่ามีกำลัง
พอตกบ่าย ย่าหลับพักผ่อน
อรชุนหยิบตะกร้าไม้ไผ่เก่าๆ ออกไปนอกบ้าน
เขาเดินตามคันนา เก็บผักบุ้งตามร่องน้ำ
เจอผักกาดขาวป่าที่ขึ้นเองข้างร่องดิน ก็ดึงรากขึ้นมาใส่ตะกร้า
ที่หนองน้ำใกล้ๆ เขานั่งเงียบๆ ใช้มือล้วงลงไปตักปูเล็กๆ สองสามตัวมาเพิ่ม
ทั้งหมดนี้จะกลายเป็นอาหารเย็นของเขากับย่าในคืนนี้
แดดยามบ่ายแผดร้อนจนเหงื่อท่วมตัว
แต่เด็กเจ็ดขวบไม่ได้บ่นแม้แต่น้อย
เขาเดินแบกตะกร้ากลับบ้านด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมเกินวัย
นี่คือชีวิตประจำวันของเขา—ไม่ใช่การวิ่งเล่นกับเพื่อน ไม่ใช่เสียงหัวเราะในสนาม แต่คือการพยายามประคับประคองชีวิตของคนสองคน
ตกค่ำ ย่าตื่นขึ้นมากินข้าวต้มกับผักเล็กน้อย
อรชุนนั่งเฝ้าด้วยสายตาที่ห่วงใย
เมื่อย่าล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เขายังไม่ขยับไปไหน
นั่งมองแสงตะเกียงริบหรี่ที่ส่องใบหน้าของย่า
และในใจเขาก็เฝ้าบอกตัวเองว่า “ผมจะดูแลย่าเอง ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน”
คืนทั้งคืนเขาแทบไม่ได้นอน
จนรุ่งสางวันถัดมา ย่าอาการดีขึ้นเล็กน้อย
อรชุนจึงหิ้วกระเป๋าใบเก่าเดินไปโรงเรียน
ในห้องเรียน ครูถามขึ้นทันที “อรชุน เมื่อวานทำไมไม่มาโรงเรียน”
เด็กชายก้มหน้า ไม่พูดอะไร
เขาไม่อยากเล่าเรื่องความลำบากที่บ้านให้ใครฟัง
ความเงียบนั้นกลับกลายเป็นเชื้อไฟให้เพื่อนๆ หัวเราะเยาะ
“มันอายละสิ!” เด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้นเสียงดัง
“ไม่มีเงินกินขนม ไม่กล้ามาโรงเรียนใช่ไหม!” อีกคนเสริม
เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบห้อง เหมือนลูกธนูพุ่งปักกลางใจเด็กเจ็ดขวบ
“จนขนาดต้องให้ย่าไปเก็บขยะขาย!” เสียงใครบางคนตะโกนขึ้นมา
เสียงหัวเราะดังระงม บางคนเอามือป้องปากพูดซุบซิบ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความโหดร้ายของคำดูถูก
อรชุนกำมือแน่น เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกกำลังหัวเราะใส่
หัวใจเล็กๆ ร้าวรานจนแทบจะร้องไห้ แต่เขากัดฟันก้มหน้าเงียบ
เขาไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา ไม่อยากยอมแพ้ต่อเสียงเย้ยหยันเหล่านั้น
ทันใดนั้น เสียงใสๆ ของเด็กผู้หญิงก็ดังขึ้น
“พวกเธอนี่มันปากเสียจริง! ถ้าไม่รู้จักเกรงใจคนอื่น ก็หุบปากไปซะเถอะ!”
ทั้งห้องเงียบลงทันที
สายตาหลายคู่หันไปมอง เกษร
เด็กหญิงผมยาวรวบหางม้า นั่งอยู่แถวหน้าสุด
เธอเป็นนักเรียนที่เก่งที่สุดในห้อง ฉลาด เฉียบแหลม และไม่เคยกลัวที่จะพูดในสิ่งที่ถูกต้อง
“อรชุนเขาไม่ผิดอะไรเลย” เกษรพูดต่อ
“เขาไม่อยากเล่าเรื่องของตัวเองก็เรื่องของเขา ใครให้สิทธิ์พวกเธอมาหัวเราะเยาะความลำบากของคนอื่น!”
เสียงของเธอดังหนักแน่น ดวงตาแน่วแน่จนเพื่อนหลายคนหลบตา ก้มหน้าลงด้วยความละอาย
อรชุนเงยหน้าขึ้นมองเกษร รู้สึกเหมือนมีใครสักคนยื่นมือมาดึงเขาขึ้นจากความมืดมิด
หัวใจเล็กๆ ที่แบกรับความโดดเดี่ยวมาตลอดเหมือนได้แสงอุ่นส่องเข้ามา
เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจกลับจดจำเสียงและรอยตาของเกษรได้ชัดเจน
แม้วันนั้นเขาจะยังคงถูกเพื่อนบางคนมองด้วยสายตาเยาะหยัน
แต่คำพูดของเกษรทำให้เขารู้ว่า เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
ยังมีใครสักคนที่พร้อมจะยืนเคียงข้าง แม้เพียงในห้องเรียนเล็กๆ แห่งนี้ก็ตาม
และในส่วนลึกของใจ เสียงกระซิบของเทพอารักษ์ดังขึ้นอีกครั้ง
“นี่คือบททดสอบ จงจดจำ ความแข็งแกร่งไม่ได้เกิดจากพลังเหนือใคร แต่เกิดจากการยืนหยัด แม้จะถูกทั้งโลกกดขี่”
เด็กชายหลับตาแน่นแวบหนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
ในแววตาคู่นั้นมีประกายมุ่งมั่นเล็กๆ ก่อตัวขึ้นมาเป็นครั้งแรก
ในคาบเรียนของวันนั้น แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้ที่พอขยับก็มีเสียงดังเอี๊ยด อรชุนเดินเข้าโรงเรียนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ร่างกายอ่อนเพลียเพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน เขาใช้เวลาเกือบทั้งคืนดูแล ย่า ที่ยังคงอาการไม่ค่อยดี คอยเปลี่ยนผ้าชุบน้ำเช็ดตัว คอยยกน้ำให้จิบ และนั่งเฝ้าจนแสงรุ่งสางโผล่พ้นขอบฟ้า
เมื่อเข้าห้องเรียนป.1 ห้องเล็กๆ เต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเพื่อนๆ ที่วิ่งเล่นหยอกล้อกัน แต่สำหรับอรชุน เขาแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดคุยด้วย ร่างกายเล็กๆ ลากเก้าอี้ไม้ที่เสียงดังฝืดพื้น แล้วนั่งลงนิ่งๆ อย่างเหนื่อยล้า
คุณครูเอนก ครูประจำชั้นวัยกลางคน ผู้มีท่าทีสุขุมใจเย็น เดินเข้ามาเริ่มต้นคาบภาษาไทย เขียนตัวหนังสือบนกระดานดำด้วยลายมือที่คมชัด ก่อนหันกลับมาบอกให้นักเรียนทุกคนท่องตาม
เสียงเด็กๆ ทั้งห้องดังเจื้อยแจ้ว แต่เพียงครู่เดียวสายตาของครูก็สะดุดที่อรชุน เด็กชายตัวเล็กนั่งก้มหน้าลงบนโต๊ะ เปลือกตาปิดลงด้วยความอ่อนล้า ไม่รู้ตัวว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ครูเอนกเดินเข้าไปใกล้ วางมือลงบนโต๊ะเบาๆ “อรชุน ตื่นเถอะลูก”
เด็กชายสะดุ้งตื่น ลุกพรวดขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจ เสียงหัวเราะเยาะดังระงมไปทั้งห้อง
“มันนอนในห้องเรียนอีกแล้ว!”
“คงไม่เข้าใจหรอกมั้ง ถึงได้หลับหนี”
เสียงแซว เสียงเยาะ ราวกับฝนห่าเล็กๆ ที่สาดซัดเข้ามากระแทกหัวใจ
แต่ยังไม่ทันที่น้ำตาจะเอ่อ เสียงใสของ เกษร ดังขึ้นมาอีกครั้ง “พวกเธอนี่ไม่มีมารยาทจริงๆ คนเราก็มีเหตุผลทั้งนั้นแหละ ใครเขาอยากมานอนในห้องเรียนกัน!”
ห้องเงียบไปชั่วขณะ เพื่อนๆ หลายคนชะงักไม่กล้าหัวเราะต่อ คุณครูเอนกเองก็พยักหน้าน้อยๆ เหมือนเห็นด้วยกับเกษร ก่อนจะหันกลับมาที่อรชุน
“อรชุน ครูไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่ในห้องเรียนเราควรตั้งใจ ฟังครูให้มากกว่านี้ เข้าใจไหมลูก” เสียงของครูเอนกอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความจริงจัง
เด็กชายพยักหน้าเบาๆ แม้จะเหนื่อยแต่ก็พยายามฝืนตัวเองให้นั่งตรง
จากนั้นคุณครูก็ให้เด็กนักเรียนออกมาท่องบทอาขยานที่เพิ่งสอนไปทีละคน พอถึงคิวของอรชุน เขาเดินออกไปข้างหน้าด้วยหัวใจที่สั่นไหว เขามองตัวหนังสือบนกระดาน แต่สมองกลับว่างเปล่า ความเหนื่อยจากการอดนอนทำให้เขาจำอะไรไม่ได้เลย
ห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงกระซิบซุบซิบ บางคนหัวเราะคิกคัก บางคนแกล้งท่องตามล้อเลียน ครูเอนกขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังคงใจเย็น เขาเดินไปที่กระดาน เขียนบทอาขยานซ้ำลงไป แล้วหันกลับมาหาอรชุน
“ไม่เป็นไรลูก ถ้าไม่พร้อมตอนนี้ ตอนบ่ายมาหาครูที่ห้องผู้ปกครองนะ ท่องให้ครูฟังอีกครั้ง” น้ำเสียงของครูไม่ได้ดุดัน แต่เปี่ยมด้วยความเมตตา
เสียงกริ่งพักเที่ยงดังขึ้น เพื่อนๆ ทุกคนวิ่งออกจากห้องเรียนไปที่โรงอาหาร บ้างก็ห่อข้าวมาจากบ้าน บ้างก็ซื้ออาหารจากร้านค้าเล็กๆ หน้าประตูโรงเรียน แต่สำหรับอรชุน เขานั่งอยู่เงียบๆ ที่โต๊ะไม้ ไม่ได้ลุกไปไหน เพราะเขาไม่มีข้าวห่อมา
เขาก้มมองมือเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ เสียงท้องร้องเบาๆ ดังขึ้น แต่เขาเพียงแค่หันไปมองนอกหน้าต่าง ยิ้มบางๆ เหมือนพยายามทำให้ตัวเองเข้มแข็ง
จนเมื่อถึงเวลาบ่าย อรชุนเดินไปที่ห้องผู้ปกครอง เขายกมือไหว้ก่อนจะยื่นสมุดกระดาษที่เขาเขียนบทอาขยานลงไป แล้วเริ่มท่องด้วยน้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำ
เสียงนั้นไม่ดังเกินไป แต่กลับเต็มไปด้วยความตั้งใจทุกถ้อยคำ ไพเราะและหนักแน่นจนต่างจากเด็กเจ็ดขวบทั่วไป ครูเอนกเงียบฟัง ดวงตาค่อยๆ เปล่งประกายด้วยความชื่นชม
เมื่ออรชุนท่องจบ ครูเอนกยิ้มกว้าง “ดีมากอรชุน ครูภูมิใจที่เธอไม่ยอมแพ้ ถึงแม้เมื่อเช้าจะทำไม่ได้ แต่เธอก็พยายามอย่างเต็มที่ ครูขอชม”
อรชุนยกมือไหว้อีกครั้ง กำลังจะเดินออกไป แต่สายตาเขาเหลือบไปเห็นหนังสือภาษาไทยเล่มหนาที่วางอยู่บนโต๊ะครู เขาลังเลชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามเสียงเบา “ครูครับ…ขอยืมหนังสือเล่มนี้กลับบ้านได้ไหมครับ ผมอยากฝึกท่องบทอาขยานเพิ่ม”
คุณครูเอนกนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน “ได้สิลูก ครูดีใจที่เธออยากเรียนรู้ เอาไปอ่านเถอะ พรุ่งนี้ลองมาท่องให้ครูฟังอีกนะ”
เด็กชายก้มศีรษะรับ หนังสือเล่มนั้นถูกยื่นมาอยู่ในมือเล็กๆ ที่สั่นน้อยๆ ด้วยความตื่นเต้น
เมื่อกลับถึงบ้านยามเย็น อรชุนช่วย ย่า ต้มน้ำ หุงข้าว เก็บกวาดบ้าน และจัดอาหารมื้อเล็กๆ ที่ได้จากการเก็บผักเมื่อวาน พวกเขานั่งกินด้วยกันเงียบๆ แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
พอตกค่ำ ย่าจัดเสื่อเตรียมที่นอน เด็กชายก็นำหนังสือภาษาไทยที่ได้มาจากครูเอนกมานั่งอ่านใต้แสงริบหรี่ของตะเกียงน้ำมันก๊าด เขากวาดสายตาไปตามตัวหนังสือบนหน้า กระซิบท่องบทอาขยานทีละบรรทัด เสียงเล็กๆ ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น จนกลายเป็นจังหวะที่ไพเราะราวกับบทกวี
ย่าหันมามองหลานชาย เสียงท่องบทอาขยานที่ดังแผ่วๆ ใต้แสงตะเกียงนั้นทำให้หัวใจของคนแก่เต็มไปด้วยความภูมิใจ ย่าไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่นั่งฟังเงียบๆ ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ราวกับกำลังเห็นอนาคตที่สว่างไสวในตัวเด็กชายที่ใครๆ พากันดูถูก
และในคืนนั้น เสียงของเทพอารักษ์ในใจดังขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้ากำลังเรียนรู้แล้วอรชุน…การอ่านคือรากฐานของการฝึกตน การจดจำคือกำแพงที่คุ้มกันจิตใจ และความพยายามคือพลังที่จะแปรเปลี่ยนชะตากรรม”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!