เช้าวันนั้นท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านเล็กๆ ยังขมุกขมัวด้วยหมอกหนา
เสียงไก่ขันดังประสานกับเสียงจักจั่นยามเช้าลอยเข้ามาในบ้านไม้เก่าที่ฝาผุจนมีแสงลอดเป็นเส้นเล็กๆ
เด็กชายตัวเล็กขยับตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย แต่สิ่งแรกที่เขาเห็นคือร่างของ ย่า นอนขดอยู่บนเสื่อเก่า
เสียงไอแห้งๆ ดังติดกันหลายครั้ง
อรชุนตกใจ รีบเข้าไปนั่งข้างๆ เอามือเล็กแตะหน้าผากของย่า
ความร้อนที่แผ่ซ่านทำให้หัวใจดวงน้อยกระตุกแรง
“ย่า…ย่าไม่สบายเหรอครับ” เสียงเล็กๆ สั่นพร่าเต็มไปด้วยความกังวล
ย่าลืมตาขึ้นช้าๆ ยิ้มบางๆ ทั้งที่ริมฝีปากซีด “ไม่เป็นไรหรอกหลาน…แค่เพลียเท่านั้น”
แต่เด็กชายเจ็ดขวบคนนี้รู้ดีว่ามันไม่ใช่เพียงความเพลียธรรมดา
เขารีบลุกขึ้น คว้าขันน้ำตักจากโอ่งหน้าบ้าน ชุบผ้าขาวม้าเก่าๆ บิดหมาดแล้ววางไว้บนหน้าผากของย่า
คอยเปลี่ยนผ้าอยู่บ่อยๆ เหมือนผู้ใหญ่ที่เฝ้าไข้คนป่วย
วันนั้นเขาไม่ได้ไปโรงเรียน
ทั้งวันอรชุนเฝ้าอยู่ข้างๆ ไม่ยอมขยับไปไหน
เวลาย่าขยับตัว เขารีบพยุงประคอง
เวลาย่าไอ เขารีบยกขันน้ำให้จิบ
หัวใจเล็กๆ เต็มไปด้วยความกลัวว่าจะสูญเสียสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิต
ใกล้เที่ยง เขาเปิดกระสอบข้าวสารที่เหลืออยู่ไม่กี่กำมือ
ตักออกมาใส่หม้อ เติมน้ำ แล้วจุดเตาไม้ฟืน
กลิ่นข้าวต้มจืดๆ ลอยอบอวลไปทั่วบ้านไม้
มันไม่หอมหวลอย่างอาหารคนมีเงิน แต่มันคือสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำเพื่อให้ย่ามีกำลัง
พอตกบ่าย ย่าหลับพักผ่อน
อรชุนหยิบตะกร้าไม้ไผ่เก่าๆ ออกไปนอกบ้าน
เขาเดินตามคันนา เก็บผักบุ้งตามร่องน้ำ
เจอผักกาดขาวป่าที่ขึ้นเองข้างร่องดิน ก็ดึงรากขึ้นมาใส่ตะกร้า
ที่หนองน้ำใกล้ๆ เขานั่งเงียบๆ ใช้มือล้วงลงไปตักปูเล็กๆ สองสามตัวมาเพิ่ม
ทั้งหมดนี้จะกลายเป็นอาหารเย็นของเขากับย่าในคืนนี้
แดดยามบ่ายแผดร้อนจนเหงื่อท่วมตัว
แต่เด็กเจ็ดขวบไม่ได้บ่นแม้แต่น้อย
เขาเดินแบกตะกร้ากลับบ้านด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมเกินวัย
นี่คือชีวิตประจำวันของเขา—ไม่ใช่การวิ่งเล่นกับเพื่อน ไม่ใช่เสียงหัวเราะในสนาม แต่คือการพยายามประคับประคองชีวิตของคนสองคน
ตกค่ำ ย่าตื่นขึ้นมากินข้าวต้มกับผักเล็กน้อย
อรชุนนั่งเฝ้าด้วยสายตาที่ห่วงใย
เมื่อย่าล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เขายังไม่ขยับไปไหน
นั่งมองแสงตะเกียงริบหรี่ที่ส่องใบหน้าของย่า
และในใจเขาก็เฝ้าบอกตัวเองว่า “ผมจะดูแลย่าเอง ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน”
คืนทั้งคืนเขาแทบไม่ได้นอน
จนรุ่งสางวันถัดมา ย่าอาการดีขึ้นเล็กน้อย
อรชุนจึงหิ้วกระเป๋าใบเก่าเดินไปโรงเรียน
ในห้องเรียน ครูถามขึ้นทันที “อรชุน เมื่อวานทำไมไม่มาโรงเรียน”
เด็กชายก้มหน้า ไม่พูดอะไร
เขาไม่อยากเล่าเรื่องความลำบากที่บ้านให้ใครฟัง
ความเงียบนั้นกลับกลายเป็นเชื้อไฟให้เพื่อนๆ หัวเราะเยาะ
“มันอายละสิ!” เด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้นเสียงดัง
“ไม่มีเงินกินขนม ไม่กล้ามาโรงเรียนใช่ไหม!” อีกคนเสริม
เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบห้อง เหมือนลูกธนูพุ่งปักกลางใจเด็กเจ็ดขวบ
“จนขนาดต้องให้ย่าไปเก็บขยะขาย!” เสียงใครบางคนตะโกนขึ้นมา
เสียงหัวเราะดังระงม บางคนเอามือป้องปากพูดซุบซิบ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความโหดร้ายของคำดูถูก
อรชุนกำมือแน่น เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกกำลังหัวเราะใส่
หัวใจเล็กๆ ร้าวรานจนแทบจะร้องไห้ แต่เขากัดฟันก้มหน้าเงียบ
เขาไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา ไม่อยากยอมแพ้ต่อเสียงเย้ยหยันเหล่านั้น
ทันใดนั้น เสียงใสๆ ของเด็กผู้หญิงก็ดังขึ้น
“พวกเธอนี่มันปากเสียจริง! ถ้าไม่รู้จักเกรงใจคนอื่น ก็หุบปากไปซะเถอะ!”
ทั้งห้องเงียบลงทันที
สายตาหลายคู่หันไปมอง เกษร
เด็กหญิงผมยาวรวบหางม้า นั่งอยู่แถวหน้าสุด
เธอเป็นนักเรียนที่เก่งที่สุดในห้อง ฉลาด เฉียบแหลม และไม่เคยกลัวที่จะพูดในสิ่งที่ถูกต้อง
“อรชุนเขาไม่ผิดอะไรเลย” เกษรพูดต่อ
“เขาไม่อยากเล่าเรื่องของตัวเองก็เรื่องของเขา ใครให้สิทธิ์พวกเธอมาหัวเราะเยาะความลำบากของคนอื่น!”
เสียงของเธอดังหนักแน่น ดวงตาแน่วแน่จนเพื่อนหลายคนหลบตา ก้มหน้าลงด้วยความละอาย
อรชุนเงยหน้าขึ้นมองเกษร รู้สึกเหมือนมีใครสักคนยื่นมือมาดึงเขาขึ้นจากความมืดมิด
หัวใจเล็กๆ ที่แบกรับความโดดเดี่ยวมาตลอดเหมือนได้แสงอุ่นส่องเข้ามา
เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจกลับจดจำเสียงและรอยตาของเกษรได้ชัดเจน
แม้วันนั้นเขาจะยังคงถูกเพื่อนบางคนมองด้วยสายตาเยาะหยัน
แต่คำพูดของเกษรทำให้เขารู้ว่า เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
ยังมีใครสักคนที่พร้อมจะยืนเคียงข้าง แม้เพียงในห้องเรียนเล็กๆ แห่งนี้ก็ตาม
และในส่วนลึกของใจ เสียงกระซิบของเทพอารักษ์ดังขึ้นอีกครั้ง
“นี่คือบททดสอบ จงจดจำ ความแข็งแกร่งไม่ได้เกิดจากพลังเหนือใคร แต่เกิดจากการยืนหยัด แม้จะถูกทั้งโลกกดขี่”
เด็กชายหลับตาแน่นแวบหนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
ในแววตาคู่นั้นมีประกายมุ่งมั่นเล็กๆ ก่อตัวขึ้นมาเป็นครั้งแรก
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 5
Comments