ฤทธิ์รักนฤเคนทร์
บ้านดงแสง
ในช่วงเช้าตรู่ของวันขึ้นสี่ค่ำเดือนสี่เรือนไม้สักทองหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่บ้าน เป็นเรือนของผู้ใหญ่บ้านอย่างคูณ ที่ต้นตระกูลเป็นนายฮ้อยเก่า ลูกหลานจึงได้รับมรดกตกทอดกันมาจนถึงปัจจุบันและเป็นที่ยอมรับเคารพนับถือจากชาวบ้าน
"แม่เพ็ญพ่อเคนทร์เล่า" คูณถามถึงลูกชายคนเล็กที่ตั้งแต่ตื่นยังก็ไม่พบหน้า
"ฉันให้ไปเก็บดอกบัวจ้ะพี่" เพ็ญตอบสามีเสียงหวานขณะกำลังเลือกข้าวของที่จะให้คนไปช่วยงานข้างล่าง วันนี้เป็นวันดีเป็นวันทำบุญตักบาตรประจำปี ทุกปีจะจัดขึ้นและใส่บาตรที่เรือนใหญ่นี้ เมียผู้นำหมู่บ้านอย่างเพ็ญต้องคอยจัดการเตรียมข้าวของให้พร้อมใช้
ขณะชุลมุนวุ่นวายก็มีครอบครัวหนึ่งเดินมาจากท้ายหมู่บ้านเพื่อช่วยงานดั่งเช่นทุกปี แต่ที่พิเศษคือปีนี้มีลูกสาวที่เพิ่งไปรับมาจากสุพรรณเมื่อสามเดือนก่อน
"พาลูกไปช่วยข้างบนเถอะ"
ทองเอ่ยบอกเมียเพราะลูกสาวมีท่าทีระหวาดระแวงต่อสายตาผู้คน จนทองคิดหนักว่าที่ปล่อยให้ลูกสาวอยู่กับแม่ตนตั้งแต่เด็กนั่นต้องพบเจออะไรมาบ้าง
ข้าวพยักหน้ารับคำผัวอย่างเข้าใจเดินนำลูกสาวไปบนเรือนใหญ่เพื่อช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้านบน ยิ่งเห็นว่ามีเพียงเมียผู้ใหญ่บ้านอย่างเพ็ญที่กำลังนั่งนับซองก็ถอนหายใจโล่งออกมา
"พี่เพ็ญฉันพาลูกสาวมาช่วยงานจ้ะ"
"ฉันไหว้จ้ะ" เด็กสาวยกมือไหว้เมื่อมารดาสะกิด
"นี่ลูกสาวที่เอ็งไปรับกลับมาหรือ"
"แม่จ๊ะ ดอกบัวได้แล้วจ้ะ"
เสียงทุ้มของคนมาใหม่ดึงความสนใจจากสตรีวัยกลางคนทั้งสองให้หันไปมองตามทิศทางของเสียง ก่อนจะพบชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคายมีผิวสีน้ำผึ้ง จมูกก็โด่งเป็นสันชัด ปากบางคลี่ยิ้มออกมาน้อย ๆ เป็นความหล่อเหลาแบบผู้ชายและความน่ารักแบบเด็กหนุ่มทำให้ดึงดูดชื่นชมและเอ็นดูจากผู้พบเห็น
"เอามาวางนี่เถิดแม่จะเตรียมไว้ใส่บาตรเช้านี้"
เคนทร์ ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปีถูกผู้เป็นแม่ไหว้วานให้ไปเก็บดอกบัวเพื่อใช้ในยามรุ่งสางที่จะถึงนี้ เคนทร์วางดอกบัวหลวงลงตรงหน้ามารดาอย่างเบามือ แต่สายตากลับจับจ้องไปยังร่างอรชรของคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา
"งั้นฉันฝากลูกด้วยนะจ๊ะพี่เพ็ญขวัญมันไม่ชอบคนเยอะฉันจะไปช่วยงานด้านล่าง"
"ไปเถอะ"
ข้าวมองลูกสาวด้วยความเป็นห่วงและสงสารในเวลาเดียว ไม่รู้ทางนั้นปฏิบัติกับลูกเธออย่างไรถึงได้มีสภาพเช่นนี้
"แล้วหนูชื่ออะไร"
"ฉะฉันชื่อทอขวัญจ้ะ"
"บอกชื่อแล้วไยไม่เปิดหน้าเปิดตา" เพ็ญเอ่ยถามเสียงอ่อนโยนด้วยความไม่เข้าใจเมื่อเด็กสาวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตา
"หน้าฉันมันไม่น่ามองจ้ะ" ทอขวัญเอ่ยเสียงอึกอักยามนึกถึงคำที่ได้ยินมาหลายปี ก็เริ่มมีสีหน้าหวาดระแวงภายใต้ผ้าคลุมสีเข้ม
"ข้าหาได้คิดรังเกียจหากเอ็งมีใบหน้าขี้ริ้วขี้เหร่ข้าเห็นเอ็งเป็นลูกเป็นหลาน แม่เอ็งก็หาใช่คนอื่นไกลเชื่อป้าหรือไม่ทอขวัญ"
คำพูดยาวเหยียดของหญิงตรงหน้าไม่ได้เรียกความสนใจจากทอขวัญได้เพียงคนเดียว เคนทร์ที่นั่งข้างมารดาก็หันมองด้วยความแปลกใจ ใช่อยู่ว่าแม่ตนเป็นคนจิตใจดีแต่ไม่เคยให้ใครเรียกป้าทั้งที่เพิ่งพบเจอสักคน
"ฉันขอโทษที่เสียมารยาทจ้ะ"
มือขาวซีดสั่นเทาเล็กน้อยยกขึ้นเเกะผ้าที่คลุมอยู่ออกจากใบหน้าช้า ๆ พร้อมกับความหวาดกลัวที่กำลังกัดกินหัวใจ เผยให้เห็นใบหน้ารูปไข่ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน จมูกเรียวเป็นสันรับกับริมฝีปากสีชมพูแดงอวบอิ่ม ไหนจะผมยาวสลวยสีน้ำตาลธรรมชาติ ผิวก็ขาวเนียนผุดผ่อง แต่นัยต์ตากลับเต็มไปด้วยความกังวล
"สวย"
ริมฝีปากหนาพึมพำออกมาเสียงแผ่วเด็กสาวย่อมไม่ได้ยิน แต่หากผู้เป็นมารดาที่นั่งข้างกันย่อมได้ยินชัดเจน ไม่ผิดแน่ลูกชายที่ไม่เคยสนใจสตรีใดมาก่อนจนเธออดคิดไม่ได้ว่าลูกจะหาเมียไม่ได้ แต่ครานี้กลับกำลังเอ่ยชมเด็กสาววัยแรกแย้มและมองด้วยสายตาหวานเยิ้ม
"หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แล้วจะปิดหน้าไปไย" เพ็ญเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นหน้าเด็กสาวชัด ๆ
งามมากจะบอกว่างามล่มบ้านล่มเมืองก็ว่าได้
"..." ทอขวัญยังคงหลบสายตาก้มหน้าหงุด
"เอาเถอะ เอ็งพับดอกบัวเป็นหรือไม่" เมื่อเห็นเด็กสาวมีท่าทางอึกอักจึงเปลี่ยนเป็นคำถามอื่นเพื่อไม่ให้เด็กสาวอึดอัด
"พอได้จ้ะ"
เมื่อได้ยินดังนั้นเพ็ญก็มอบหน้าที่นั้นให้ทอขวัญก่อนจะเดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง เมื่อเห็นสายตาของลูกชายที่เอาแต่จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเด็กสาวตรงหน้า
คงเริ่มอยากมีเมียแล้วเป็นแน่
"เอ็งชื่อทอขวัญใช่ไหม"
"จ้ะ"
เคนทร์ที่เห็นเด็กสาวตรงหน้าไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองกันก็คิดหนัก เพราะเคนทร์เองก็ไม่เคยเข้าหาใครมาก่อนยิ่งเด็กสาวตรงหน้าที่ดูปิดกั้นตนเองแล้วเขาก็ยิ่งคิดไม่ตก
"เอ็งช่วยสอนข้าได้หรือไม่ จะได้ช่วยกันเดี๋ยวไม่ทันพระมา"
ทอขวัญเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะหันไปมองกองดอกบัวที่มีไม่น้อยก็พยักหน้าให้เป็นการตกลง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อร่างหนาเคลื่อนตัวเข้ามานั่งข้าง ๆ ทันที
"ถ้าไม่นั่งใกล้ ๆ ข้าจะดูไม่ถนัด" เคนทร์พูดแก้ต่างเมื่อเห็นใบหน้าตกใจของเด็กสาวแต่ใบหน้านั้นกลับน่าเอ็นดูนัก จนเคนทร์นิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง
ทอขวัญไม่พูดอะไรเพียงแต่จับดอกบัวขึ้นมาเตรียมสอนอีกคน แต่กลับได้รับเพียงตาคมที่มองมาด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม กว่าเคนทร์จะรู้สึกตัวว่าเผลอจ้องหน้าสวยนานเกินไปก็ตอนโดนนิ้วเล็ก ๆ จิ้มที่มือ พอได้สติก็รีบจับดอกบัวขึ้นพับกลีบตามเด็กสาว แต่เพราะเป็นบุรุษชอบใช้แรงงานมือจึงหยาบกระด้างจับกลีบบัวเล็กน้อยก็พานทำให้มันช้ำไปเสียหมด
"เอ่อคือ"
"เคนทร์เรียกพี่เคนทร์ก็ได้"
"จ้ะพี่พับผิดแล้วฉันจะแก้ให้"
ว่าจบก็คว้าดอกบัวในมือใหญ่มาพับแก้ส่วนที่ผิด แม้จะเป็นสัมผัสที่เบาบางแต่มันก็ทำให้เคนทร์จำสัมผัสนั้นได้ดี กลิ่นหอมอ่อน ๆ แต่ชัดเจนนั่นโชยตามการเคลื่อนไหวของร่างบาง ทำให้ก้อนเนื้อในอกเต้นระส่ำเลือดสูบฉีดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"พ่อเคนทร์แม่ลืมบอก พ่อเขาตามให้ไปช่วยยกของด้านล่าง" เพ็ญที่อยากแกล้งลองใจลูกชายจะได้รู้ว่าเธอดูผิดไปจริง ๆ หรือเปล่า แต่ก็เกินความคาดหมายเมื่อเห็นลูกชายนั่งพับดอกบัวอยู่
"ป่านนี้พ่อคงยกเสร็จแล้ว ฉันอยู่ช่วยแม่ดีกว่าจ้ะ" คำตอบของเคนทร์ทำให้มารดาอย่างเพ็ญพอใจจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
"ทอขวัญหนูอายุเท่าไหร่แล้ว" เพ็ญโยนหินถามทางให้ลูกชาย
"สิบสี่จ้ะ"
"สิบสี่มีผัวแล้วก็มีถมไปใช่ไหมพ่อเคนทร์ แล้วหนูล่ะอยากมีผัวหรือยัง" เพ็ญพูดกับทอขวัญแต่สายตากลับเหลือบมองลูกชายที่อยู่ดี ๆ หูทั้งสองข้างก็แดงก่ำ
"คงไม่มีใครอยากได้คนหน้าตาเช่นฉันเป็นเมียดอกจ้ะแลฉันก็ยังเด็กนัก" ทอขวัญตอบเสียงหวานพลางยิ้มอ่อน ๆ
ในใจเคนทร์รู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่น้องอายุเพียงสิบสี่ และคำพูดของน้องนั้นเคนทร์ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
พอนั่งนาน ๆ ทอขวัญก็ลดความเกร็งลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะเพ็ญดูเอ็นดูเธออย่างโจ่งแจ้งเเต่ก็ยังไม่พ้นสร้างกำแพงบาง ๆ ไว้ปกป้องตัวเองอยู่
เคนทร์รู้ตัวดีว่ากำลังเป็นตัวถ่วงให้งานเสร็จช้าขึ้นเพราะเอาแต่ให้อีกคนช่วยแก้ช่วยบอกให้ ถึงกระนั้นเด็กสาวก็ไม่มีทีท่าว่ารำคาญสักนิด
น่าเอ็นดูเสียจริง
"แล้วอยู่นู่นเอ็งได้เรียนหนังสือไหม" เพ็ญถามเพราะรู้ว่าเด็กสาวเพิ่งย้ายมาจากสุพรรณ แต่กลับเห็นเพียงแววตาที่ดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
"เอ็งอยากลองเรียนดูไหม ข้าสามารถสอนเอ็งเขียนและอ่านคำง่าย ๆ ได้" เคนทร์รีบเอ่ยเมื่อเห็นแววตาเศร้าสร้อย เเต่เขารู้สึกเสียดายที่มีเวลาให้เด็กสาวตรงหน้าเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 7
Comments