NovelToon NovelToon

ฤทธิ์รักนฤเคนทร์

อารัมภบท

บ้านดงแสง

ในช่วงเช้าตรู่ของวันขึ้นสี่ค่ำเดือนสี่เรือนไม้สักทองหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่บ้าน เป็นเรือนของผู้ใหญ่บ้านอย่างคูณ ที่ต้นตระกูลเป็นนายฮ้อยเก่า ลูกหลานจึงได้รับมรดกตกทอดกันมาจนถึงปัจจุบันและเป็นที่ยอมรับเคารพนับถือจากชาวบ้าน

"แม่เพ็ญพ่อเคนทร์เล่า" คูณถามถึงลูกชายคนเล็กที่ตั้งแต่ตื่นยังก็ไม่พบหน้า

"ฉันให้ไปเก็บดอกบัวจ้ะพี่" เพ็ญตอบสามีเสียงหวานขณะกำลังเลือกข้าวของที่จะให้คนไปช่วยงานข้างล่าง วันนี้เป็นวันดีเป็นวันทำบุญตักบาตรประจำปี ทุกปีจะจัดขึ้นและใส่บาตรที่เรือนใหญ่นี้ เมียผู้นำหมู่บ้านอย่างเพ็ญต้องคอยจัดการเตรียมข้าวของให้พร้อมใช้

ขณะชุลมุนวุ่นวายก็มีครอบครัวหนึ่งเดินมาจากท้ายหมู่บ้านเพื่อช่วยงานดั่งเช่นทุกปี แต่ที่พิเศษคือปีนี้มีลูกสาวที่เพิ่งไปรับมาจากสุพรรณเมื่อสามเดือนก่อน

"พาลูกไปช่วยข้างบนเถอะ"

ทองเอ่ยบอกเมียเพราะลูกสาวมีท่าทีระหวาดระแวงต่อสายตาผู้คน จนทองคิดหนักว่าที่ปล่อยให้ลูกสาวอยู่กับแม่ตนตั้งแต่เด็กนั่นต้องพบเจออะไรมาบ้าง

ข้าวพยักหน้ารับคำผัวอย่างเข้าใจเดินนำลูกสาวไปบนเรือนใหญ่เพื่อช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้านบน ยิ่งเห็นว่ามีเพียงเมียผู้ใหญ่บ้านอย่างเพ็ญที่กำลังนั่งนับซองก็ถอนหายใจโล่งออกมา

"พี่เพ็ญฉันพาลูกสาวมาช่วยงานจ้ะ"

"ฉันไหว้จ้ะ" เด็กสาวยกมือไหว้เมื่อมารดาสะกิด

"นี่ลูกสาวที่เอ็งไปรับกลับมาหรือ"

"แม่จ๊ะ ดอกบัวได้แล้วจ้ะ"

เสียงทุ้มของคนมาใหม่ดึงความสนใจจากสตรีวัยกลางคนทั้งสองให้หันไปมองตามทิศทางของเสียง ก่อนจะพบชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคายมีผิวสีน้ำผึ้ง จมูกก็โด่งเป็นสันชัด ปากบางคลี่ยิ้มออกมาน้อย ๆ เป็นความหล่อเหลาแบบผู้ชายและความน่ารักแบบเด็กหนุ่มทำให้ดึงดูดชื่นชมและเอ็นดูจากผู้พบเห็น

"เอามาวางนี่เถิดแม่จะเตรียมไว้ใส่บาตรเช้านี้"

เคนทร์ ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปีถูกผู้เป็นแม่ไหว้วานให้ไปเก็บดอกบัวเพื่อใช้ในยามรุ่งสางที่จะถึงนี้ เคนทร์วางดอกบัวหลวงลงตรงหน้ามารดาอย่างเบามือ แต่สายตากลับจับจ้องไปยังร่างอรชรของคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา

"งั้นฉันฝากลูกด้วยนะจ๊ะพี่เพ็ญขวัญมันไม่ชอบคนเยอะฉันจะไปช่วยงานด้านล่าง"

"ไปเถอะ"

ข้าวมองลูกสาวด้วยความเป็นห่วงและสงสารในเวลาเดียว ไม่รู้ทางนั้นปฏิบัติกับลูกเธออย่างไรถึงได้มีสภาพเช่นนี้

"แล้วหนูชื่ออะไร"

"ฉะฉันชื่อทอขวัญจ้ะ"

"บอกชื่อแล้วไยไม่เปิดหน้าเปิดตา" เพ็ญเอ่ยถามเสียงอ่อนโยนด้วยความไม่เข้าใจเมื่อเด็กสาวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตา

"หน้าฉันมันไม่น่ามองจ้ะ" ทอขวัญเอ่ยเสียงอึกอักยามนึกถึงคำที่ได้ยินมาหลายปี ก็เริ่มมีสีหน้าหวาดระแวงภายใต้ผ้าคลุมสีเข้ม

"ข้าหาได้คิดรังเกียจหากเอ็งมีใบหน้าขี้ริ้วขี้เหร่ข้าเห็นเอ็งเป็นลูกเป็นหลาน แม่เอ็งก็หาใช่คนอื่นไกลเชื่อป้าหรือไม่ทอขวัญ"

คำพูดยาวเหยียดของหญิงตรงหน้าไม่ได้เรียกความสนใจจากทอขวัญได้เพียงคนเดียว เคนทร์ที่นั่งข้างมารดาก็หันมองด้วยความแปลกใจ ใช่อยู่ว่าแม่ตนเป็นคนจิตใจดีแต่ไม่เคยให้ใครเรียกป้าทั้งที่เพิ่งพบเจอสักคน

"ฉันขอโทษที่เสียมารยาทจ้ะ"

มือขาวซีดสั่นเทาเล็กน้อยยกขึ้นเเกะผ้าที่คลุมอยู่ออกจากใบหน้าช้า ๆ พร้อมกับความหวาดกลัวที่กำลังกัดกินหัวใจ เผยให้เห็นใบหน้ารูปไข่ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน จมูกเรียวเป็นสันรับกับริมฝีปากสีชมพูแดงอวบอิ่ม ไหนจะผมยาวสลวยสีน้ำตาลธรรมชาติ ผิวก็ขาวเนียนผุดผ่อง แต่นัยต์ตากลับเต็มไปด้วยความกังวล

"สวย"

ริมฝีปากหนาพึมพำออกมาเสียงแผ่วเด็กสาวย่อมไม่ได้ยิน แต่หากผู้เป็นมารดาที่นั่งข้างกันย่อมได้ยินชัดเจน ไม่ผิดแน่ลูกชายที่ไม่เคยสนใจสตรีใดมาก่อนจนเธออดคิดไม่ได้ว่าลูกจะหาเมียไม่ได้ แต่ครานี้กลับกำลังเอ่ยชมเด็กสาววัยแรกแย้มและมองด้วยสายตาหวานเยิ้ม

"หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แล้วจะปิดหน้าไปไย" เพ็ญเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นหน้าเด็กสาวชัด ๆ

งามมากจะบอกว่างามล่มบ้านล่มเมืองก็ว่าได้

"..." ทอขวัญยังคงหลบสายตาก้มหน้าหงุด

"เอาเถอะ เอ็งพับดอกบัวเป็นหรือไม่" เมื่อเห็นเด็กสาวมีท่าทางอึกอักจึงเปลี่ยนเป็นคำถามอื่นเพื่อไม่ให้เด็กสาวอึดอัด

"พอได้จ้ะ"

เมื่อได้ยินดังนั้นเพ็ญก็มอบหน้าที่นั้นให้ทอขวัญก่อนจะเดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง เมื่อเห็นสายตาของลูกชายที่เอาแต่จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเด็กสาวตรงหน้า

คงเริ่มอยากมีเมียแล้วเป็นแน่

"เอ็งชื่อทอขวัญใช่ไหม"

"จ้ะ"

เคนทร์ที่เห็นเด็กสาวตรงหน้าไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองกันก็คิดหนัก เพราะเคนทร์เองก็ไม่เคยเข้าหาใครมาก่อนยิ่งเด็กสาวตรงหน้าที่ดูปิดกั้นตนเองแล้วเขาก็ยิ่งคิดไม่ตก

"เอ็งช่วยสอนข้าได้หรือไม่ จะได้ช่วยกันเดี๋ยวไม่ทันพระมา"

ทอขวัญเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะหันไปมองกองดอกบัวที่มีไม่น้อยก็พยักหน้าให้เป็นการตกลง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อร่างหนาเคลื่อนตัวเข้ามานั่งข้าง ๆ ทันที

"ถ้าไม่นั่งใกล้ ๆ ข้าจะดูไม่ถนัด" เคนทร์พูดแก้ต่างเมื่อเห็นใบหน้าตกใจของเด็กสาวแต่ใบหน้านั้นกลับน่าเอ็นดูนัก จนเคนทร์นิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง

ทอขวัญไม่พูดอะไรเพียงแต่จับดอกบัวขึ้นมาเตรียมสอนอีกคน แต่กลับได้รับเพียงตาคมที่มองมาด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม กว่าเคนทร์จะรู้สึกตัวว่าเผลอจ้องหน้าสวยนานเกินไปก็ตอนโดนนิ้วเล็ก ๆ จิ้มที่มือ พอได้สติก็รีบจับดอกบัวขึ้นพับกลีบตามเด็กสาว แต่เพราะเป็นบุรุษชอบใช้แรงงานมือจึงหยาบกระด้างจับกลีบบัวเล็กน้อยก็พานทำให้มันช้ำไปเสียหมด

"เอ่อคือ"

"เคนทร์เรียกพี่เคนทร์ก็ได้"

"จ้ะพี่พับผิดแล้วฉันจะแก้ให้"

ว่าจบก็คว้าดอกบัวในมือใหญ่มาพับแก้ส่วนที่ผิด แม้จะเป็นสัมผัสที่เบาบางแต่มันก็ทำให้เคนทร์จำสัมผัสนั้นได้ดี กลิ่นหอมอ่อน ๆ แต่ชัดเจนนั่นโชยตามการเคลื่อนไหวของร่างบาง ทำให้ก้อนเนื้อในอกเต้นระส่ำเลือดสูบฉีดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"พ่อเคนทร์แม่ลืมบอก พ่อเขาตามให้ไปช่วยยกของด้านล่าง" เพ็ญที่อยากแกล้งลองใจลูกชายจะได้รู้ว่าเธอดูผิดไปจริง ๆ หรือเปล่า แต่ก็เกินความคาดหมายเมื่อเห็นลูกชายนั่งพับดอกบัวอยู่

"ป่านนี้พ่อคงยกเสร็จแล้ว ฉันอยู่ช่วยแม่ดีกว่าจ้ะ" คำตอบของเคนทร์ทำให้มารดาอย่างเพ็ญพอใจจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

"ทอขวัญหนูอายุเท่าไหร่แล้ว" เพ็ญโยนหินถามทางให้ลูกชาย

"สิบสี่จ้ะ"

"สิบสี่มีผัวแล้วก็มีถมไปใช่ไหมพ่อเคนทร์ แล้วหนูล่ะอยากมีผัวหรือยัง" เพ็ญพูดกับทอขวัญแต่สายตากลับเหลือบมองลูกชายที่อยู่ดี ๆ หูทั้งสองข้างก็แดงก่ำ

"คงไม่มีใครอยากได้คนหน้าตาเช่นฉันเป็นเมียดอกจ้ะแลฉันก็ยังเด็กนัก" ทอขวัญตอบเสียงหวานพลางยิ้มอ่อน ๆ

ในใจเคนทร์รู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่น้องอายุเพียงสิบสี่ และคำพูดของน้องนั้นเคนทร์ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

พอนั่งนาน ๆ ทอขวัญก็ลดความเกร็งลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะเพ็ญดูเอ็นดูเธออย่างโจ่งแจ้งเเต่ก็ยังไม่พ้นสร้างกำแพงบาง ๆ ไว้ปกป้องตัวเองอยู่

เคนทร์รู้ตัวดีว่ากำลังเป็นตัวถ่วงให้งานเสร็จช้าขึ้นเพราะเอาแต่ให้อีกคนช่วยแก้ช่วยบอกให้ ถึงกระนั้นเด็กสาวก็ไม่มีทีท่าว่ารำคาญสักนิด

น่าเอ็นดูเสียจริง

"แล้วอยู่นู่นเอ็งได้เรียนหนังสือไหม" เพ็ญถามเพราะรู้ว่าเด็กสาวเพิ่งย้ายมาจากสุพรรณ แต่กลับเห็นเพียงแววตาที่ดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

"เอ็งอยากลองเรียนดูไหม ข้าสามารถสอนเอ็งเขียนและอ่านคำง่าย ๆ ได้" เคนทร์รีบเอ่ยเมื่อเห็นแววตาเศร้าสร้อย เเต่เขารู้สึกเสียดายที่มีเวลาให้เด็กสาวตรงหน้าเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น

ตอนที่ ๑

"จริงหรือจ๊ะพี่สอนฉันได้หรือจ๊ะ" ทอขวัญพูดด้วยน้ำเสียงสดใสเปี่ยมไปด้วยความหวังดวงตาของเธอเป็นประกายวิบวับด้วยความตื่นเต้นตามประสาเด็กที่ไม่เคยได้ร่ำเรียนเหมือนเด็กวัยเดียวกัน

"ได้สิ แต่ข้ามีเวลาเพียงวันนี้วันเดียวเพราะพรุ่งนี้ข้าต้องเดินทางแล้ว"

"ขอบคุณมากนะจ๊ะ" ทอขวัญยิ้มอย่างมีความสุขจนแก้มแทบปริแตกไร้ความกังวลในแววตาราวกับว่าตัวตนของเธอได้กลับมาแล้ว

ตาคมที่มองหน้าสวยอยู่ก่อนหน้าก็พลันนิ่งค้างใบหน้าขึ้นสี

"ดูท่าลูกแม่คงไม่อยากไปแล้วเป็นแน่"

หลังจากรู้ความชอบของอีกคนเคนทร์ก็ชวนคุยไม่หยุด ทอขวัญเองก็ตั้งใจฟังและตอบคำถามอย่างไม่อิดออด มีเพียงเพ็ญที่นั่งฟังอย่างเหลือเชื่อที่ได้ยินลูกชายพูดเป็นต่อยหอย

"น้าฝากด้วยนะจ๊ะ เดี๋ยวตอนเย็นน้ามารับ" ข้าวพูดกับเคนทร์ทั้งรู้สึกสบายใจเมื่อรู้ว่าทอขวัญเข้ากับเคนทร์ได้ดีและก็หวังว่าสักวันลูกสาวจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นได้ปกติไม่ต้องวิตกกังวลหรือหวาดระแวง

"ไม่เป็นไรจ้ะเดี๋ยวฉันไปส่งเอง"

"ขวัญตั้งใจล่ะ อย่าให้พี่เขาเสียเวลาเปล่า"

"จ้ะแม่"

เด็กสาวมองตามมารดาจนสุดลับตาก่อนจะหันกลับมามองคนที่ยืนมองอยู่ก่อนหน้า ทำให้สบเข้ากับดวงตาสีเข้ม ที่กำลังมองมายังเธอตาไม่กะพริบ จนทอขวัญทำตัวไม่ถูกวันนี้ชายหนุ่มมองเธอแบบนี้ไปกี่รอบแล้ว

หรือหน้าเธอมันขี้เหร่กว่าเดิมกัน

"หน้าฉันมันน่ากลัวใช่ไหมจ๊ะ" ทอขวัญเอ่ยจบก็คิดจะเอาผ้ามาคลุมแต่กลับโดนมือหนามาคว้าไว้เสียก่อน

น่ากลัวมากเพราะมันทำให้เขาหลงใหลจนละสายตาไปไหนไม่ได้เลย

"อยู่กับข้า เอ็งเปิดผ้าคลุมได้หรือไม่" เคนทร์กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนมองคนตรงหน้าอย่างหลงใหล

"..."

"มานี่มา" เมื่อเห็นหญิงสาวพยักหน้าเข้าใจก็รีบเอ่ยชวนให้มานั่งที่โต๊ะไม้กลางเรือนเคนทร์เลือกที่จะพาเรียนบนเรือนเพราะกลัวว่าจะมีคนเห็นใบหน้างามของอีกคนจนได้ศัตรูเพิ่ม

เคนทร์เริ่มสอนโดยให้รู้จักที่พยัญชนะเสียก่อน จึงมารู้ว่าทอขวัญนั้นความจำดีมากและดูตั้งใจเสียจนเขาไม่กล้าติดเล่น เสียดายที่ไม่ได้ร่ำเรียนพ่อแม่ของทอขวัญก็ไม่ได้ยากจนถึงขนาดไม่สามารถส่งลูกสาวคนเดียวเรียนได้แต่ทำไม..

"เอ็งลองอ่านคำนี้ดู"

"ทอ ออ ทอ ขอ อัว ทอขวัญหรือจ๊ะพี่เคนทร์" น้ำเสียงของทอวัญเต็มไปด้วยความตื่นเต้นรอยยิ้มกว้างฉายชัดบนใบหน้าของเธอเมื่อเพิ่งรู้ว่าชื่อเธอเขียนแบบนี้ ยามโดนมือใหญ่สัมผัสที่ศีรษะก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเด็กน้อยที่กำลังได้รับรางวัลจากครูผู้สอน

"เก่งมาก ชื่อเอ็งสวยไหม"

"สวยจ้ะ" ตอบพร้อมมองกระดาษด้วยเเววตาระยิบระยับ

"อืม สวยจริง ๆ เหมาะกับเอ็งมาก" มือหนายังคงลูบสัมผัสกลุ่มผมนุ่มอย่างเบามือ ยิ่งได้สัมผัสก็ยากที่จะตัดใจผละมือออก ยิ่งได้มองรอยยิ้มหวานกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่คละคลุ้งอยู่ตรงจมูกก็ยิ่งอยากกดจมูกลงที่แก้มเนียนว่าจะหอมมากเพียงใด แต่ก็ต้องกัดฟันทนเพราะเกรงว่าแมวน้อยจะตื่นกลัวไปเสียก่อน

โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำทั้งหมดอยู่ในสายตาของเพ็ญ

"เอ็งอยากเรียนไหม"

"ทำไมจ๊ะ หรือฉันโง่เกินที่พี่จะสอนฉันได้" ทอขวัญเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้ความสดใสแววตาเต็มไปด้วยความกังวล

"เอ็งฉลาดมากต่างหาก เอ็งไม่ควรหยุดอยู่ที่อ่านออกเขียนได้ยังมีวิชาเลขที่เอ็งต้องลองถ้าอยากเรียนเดี๋ยวข้าส่งเอง" หากอยากเรียนจบสูง ๆ เขาก็เต็มใจ

"ไม่เอาหรอกจ้ะ ฉันไม่อยากเป็นหนี้พี่และอีกอย่างฉันก็.."

"ไม่ต้องใช้ขอแค่เอ็งตั้งใจเรียน อย่ามีผัวก่อนเรียนจบก็พอ"

"ไม่เป็นไรจ้ะ ให้พี่สอนฉันก็ได้นี่จ๊ะ"

"แต่ข้าไม่มีเวลาให้เอ็งอีกแล้ว งั้นเอ็งสัญญากับข้าได้หรือไม่ว่าเอ็งจะรอข้ากลับมา รอข้า"

เคนทร์พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มด้วยความเสียดายจ้องมองดวงตากลมสวยด้วยความคาดหวัง ว่าอีกคนจะตกลงถึงแม้จะเป็นสัญญาปากเปล่าก็ตาม

"พี่ไปนานหรือจ๊ะ"

"อาจจะสี่ห้าหรือหกปีไม่รู้แน่ชัด แต่เอ็งห้ามมีผัวเด็ดขาด เพราะถ้ามีข้าจะไม่สอนเอ็งแล้วแต่ถ้าเอ็งรอได้ข้าจะใช้เวลาทั้งชีวิตสอนเอ็ง"

ทอขวัญคิดครู่หนึ่งเธอไม่เข้าใจที่อีกคนบอกว่าถ้ารอจะใช้ทั้งชีวิตสอนเธอ เนื้อหาในการเรียนมันเยอะถึงขนาดต้องเรียนทั้งชีวิตเลยหรือ แต่กระนั้นก็..

"จ้ะฉันจะรอพี่"

"ข้าไม่ชอบคนผิดคำพูดถ้าเอ็งทำไม่ได้ข้าจะไปทวงเอ็งคืน ถึงแม้เอ็งจะมีผัวแล้วก็ตาม"

"จ้ะ ฉันสัญญา"

หลังได้ยินคำตอบยืนยันจากเด็กสาวถึงสองครั้งเคนทร์ก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข จนหญิงสาวเอียงคอมองด้วยความสงสัยแต่มันกลับทำให้เขาอยากเข้าไปฟัดให้หายมันเขี้ยว

เสียดายที่ทำตามใจตนไม่ได้

ทีนี้ก็ยังอีกเรื่องที่เขาต้องจัดการเพื่อความสบายใจ น่าตลกเด็กสาวที่เพิ่งเคยพบหน้าเจอกันเพียงไม่กี่ชั่วยาม แต่ก็ทำให้เขาคิดอะไรต่ออะไรไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว

วันนี้กับพรุ่งนี้จริง ๆ แล้วเป็นที่เขาต้องจัดเตรียมของและพักผ่อนแท้ ๆ

วันรุ่งขึ้น

"ไอ้มั่นเร็ว ๆ หน่อยสิวะ" เคนทร์เอ่ยเสียงดุให้กับลูกพี่ลูกน้องที่อายุห่างกันถึงห้าปีอยู่ด้วยกันเหมือนลูกน้องคนสนิทแต่จริง ๆ กลับเป็นเพื่อนคนสนิทก็ว่าได้

"พี่จะรีบไปไหนแต่เช้าเนี่ย เดี๋ยวเราก็ต้องออกเดินทางแล้วนี่จ๊ะ" มั่นถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเคนทร์ไปเรียกตัวที่เรือนตั้งแต่เช้า คราแรกก็นึกว่าเปลี่ยนเวลาเดินทางให้เช้าขึ้นแต่กลับไม่ใช่อย่างที่คิด

เคนทร์ไม่ตอบเดินมุ่งหน้าไปยังรถกระบะของบิดาที่จอดไว้ใต้ถุนเรือนเพื่อใช้เดินทางเข้าอำเภอในครั้งนี้

เขาจะได้ไปร่ำเรียนอย่างสบายใจ

☆☆☆

หกปีต่อมา...

เรือนไม้ขนาดกลางตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านรอบ ๆ มีเพื่อนบ้านเพียงไม่กี่หลัง ด้วยความที่ห่างจากบ้านหลังอื่นจึงทำให้บรรยากาศค่อนข้างเงียบ แต่ก็เป็นที่ชื่นชอบของลูกสาวอย่างทอขวัญที่ยังคงมีกำแพงปิดกั้นตัวเองกับคนภายนอกจวบจนตอนนี้ก็ผ่านไปหกปีแล้ว

แม้ยามนี้จะกลายเป็นสาวงามสะพรั่งแต่มันก็ยังไม่ช่วยให้ความคิดเชิงลบที่ถูกปลูกฝังและได้รับมาพังทลาย ความรู้สึกพวกนั้นคำพวกนั้นมันยังคงก้องอยู่ในหัว

"พ่อทองเอย แม่ข้าวอยู่บ้านหรือเปล่า"

เสียงดังจากหน้าบ้านทำให้ทอขวัญหลุดจากอาการเหม่อลอย ลุกเดินไปยังชานไม้หน้าบ้านเพื่อดูว่าใครมาหา ก็พบเข้ากับหญิงชราที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะบ้านห่างกันเพียงสามหลังเท่านั้น

"ยายมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ"

"ทอขวัญพ่อกับแม่อยู่บ้านหรือไม่"

"ไม่อยู่จ้ะ แต่อีกสักเดี๋ยวก็คงจะกลับมาแล้วยายมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ"

"ลูกยายมันกลับมาจากเมืองกรุงกะจะมาอยู่ที่นี่ถาวร เลยชวนให้ไปผูกข้อต่อแขนเรียกขวัญเย็นนี้น่ะ บอกพ่อกับแม่ด้วยนะอ่อหนูก็มาด้วยเถอะมีของกินเยอะแยะเลย"

เสียงแหบแห้งเอ่ยกับหญิงสาวที่ใช้ผ้าคลุมปิดหน้าปิดตายาวเหยียดแต่แววตาแฝงไปด้วยความเอ็นดู

"จ้ะยาย"

คราแรกทอขวัญไม่อยากไป แต่ยายจวนก็ไม่ใช่คนอื่นไกล อีกทั้งยังเคยฝากขนมมาให้เธอกินบ่อย ๆ เป็นเหตุให้ทอขวัญมานั่งจมปุกอยู่ที่ก้นครัวของบ้านยายจวนเพื่อช่วยคนอื่นหยิบจับ นับว่าโชคดีที่คนในหมู่บ้านเข้าใจ ผู้เป็นแม่อย่างข้าวก็ไม่อยากกดดันลูกสาว แต่นี่มันก็ผ่านมานานแล้ว จนเธอคิดว่าถ้าทำแบบนี้อาจดีขึ้น

"เอ็งชื่ออะไร ทำไมถึงมานั่งอยู่นี่คนเดียว"

เสียงทุ้มของบุคคลมาใหม่เรียกคนที่กำลังนั่งเฝ้าหม้อแกงอย่างเหม่อลอยให้หันไปมองตามต้นทางของเสียง ก่อนจะพบว่าเป็นชายสูงโปร่ง ผมสีน้ำตาลทอง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ทั้งยังมีดวงตาสีฟ้าใส ที่ถึงจะดูแปลกตาแต่ก็หล่อเหล่ามากเลยทีเดียว

"ฉันชื่อทอขวัญจ้ะ ลูกพ่อทองแม่ข้าว"

"อ๋อลูกน้าข้าว แล้วทำไมถึงคลุมผ้าอยู่ในเรือนล่ะ" คนร่างสูงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

"หน้าตาฉันมันไม่น่ามองจ้ะ" พูดด้วยน้ำเสียงอึกอักเล็กน้อยกลัวว่าจะโดนบังคับเหมือนตอนเป็นเด็ก

"ข้าชื่อโจ เป็นหลานยายจวนลูกของแม่อรแม่เอ็งฝากให้ข้ามาดูเอ็ง" โจพูดด้วยความอ่อนโยนไม่เร่งเร้าเพราะรู้เรื่องหญิงสาวมาจากข้าวบ้างแล้ว

"ดูฉันทำไมหรือจ๊ะ" ทอขวัญเอ่ยถามด้วยความสงสัยหลังฟังชายหนุ่มพูดจนจบประโยค

"กลัวเอ็งเหงา ได้ยินมาว่าเอ็งไม่ได้เรียนอยากเรียนไหมข้าสอนได้นะ" โจใช้ข้อมูลที่ได้จากข้าวมาเกลี้ยกล่อม อีกทั้งยังรู้สึกสนใจในตัวหญิงสาวเป็นอย่างมากเพราะที่นี่ตนนั้นก็ไร้เพื่อน

"สอนได้จริง ๆ หรือจ๊ะ แต่..." ทอขวัญมองโจด้วยแววตาสับสนคิดไม่ตกว่าจะตอบตกลงดีไหม จนเกิดความขัดแย้งในใจเกิดขึ้น มันกำลังตีกันว่าเธอควรทำในสิ่งที่ชอบไหม หรือทิ้งมันไปเพราะเธอไม่เด็กแล้วและตอนนี้ก็อ่านออกเขียนได้แล้ว

"ได้สิ แต่มีข้อแม้นะ เอ็งต้องเป็นเพื่อนกับข้า ดูแล้วเอ็งคงอายุน้อยกว่าข้าเป็นแน่เรียกพี่โจตกลงนะ" โจพูดเองเออเองจนทอขวัญอ้าปากค้างใต้ผ้าคลุมด้วยความประหลาดใจเธอไปตกลงตอนไหนกัน

"..."

"เราเป็นเพื่อนกันแล้วเอ็งจะให้ข้าเห็นหน้าได้ยัง อื้ม งั้นเอ็งไม่ต้องรีบหากเอ็งลำบากใจลองให้ข้าสอนและสนิทกับเอ็งมากขึ้นเสียก่อนก็ได้"

อีกครั้งที่โจพูดเองเออเองด้วยประโยคที่ยาวเหยียด จนทอขวัญถอนหายใจยาวออกมาอย่างอดไม่ได้ ระหว่างเรียนจนปวดหัวกับฟังโจพูดจนปวดหัวเธอไม่รู้เลยว่าจะต้องเตรียมรับมือกับอะไรก่อนดี แต่คงต้องเป็นอย่างหลังมาก่อนแน่ ๆ

วันต่อมาทอขวัญเดินไปยังเรือนของยายจวนตามเวลานัด เพราะข้าวบอกว่าเป็นโอกาสที่ดีเธอควรมีเพื่อนและลองใช้ชีวิตดังเด็กทั่วไป ทอขวัญจึงยอมเพื่อให้มารดาสบายใจ มาถึงก็เห็นโจนั่งรอบนชานเรือน เรือนยายจวนเป็นเรือนไม้ขนาดกลางจากที่ดูแล้วเหมือนลูกสาวแกกำลังจะให้คนมาต่อเติมให้กว้างขึ้น

"เอ็งก็เก่งนี่" โจเอ่ยชมเมื่อเห็นว่าทอขวัญดูคล่องแคล่วในการอ่านเขียนจนแทบไม่ต้องสอนอะไรเพิ่ม

"เห็นนางข้าวบอกว่าพ่อเคนทร์เคยสอนเอ็งใช่ไหม" ยายจวนที่แก่มากแล้วไม่มีอะไรทำเลยมานั่งเฝ้าดูคนหนุ่มสาว อีกอย่างหากตนไม่อยู่คนบ้านอื่นเขาก็จะมองไม่ดี

"ใช่จ้ะยาย เเต่สอนเพียงวันเดียวพี่เคนทร์ก็ออกเดินทาง" ทอขวัญตอบยายจวนด้วยเสียงสดใสเมื่อนึกถึงชายหนุ่มคนเดียวนอกจากบิดาที่ทำให้เธอรู้สึกไว้ใจและประทับใจมาก

แต่นี่ก็หกปีแล้วพี่ใกล้กลับมาหรือยังนะ

"วันเดียวเอ็งก็อ่านออกเขียนได้แล้วหรือ" โจถามอึ้ง ๆ บ้าบอคนเราต้องเรียนสะกดคำไปทีละน้อยไม่ใช่หรือ หรือเพราะเริ่มเรียนรู้ตอนสิบสี่จึงเรียนรู้ได้ไว

"พี่เคนทร์เขาเอาหนังสือให้ฉันด้วย" ทอขวัญตอบเพื่อคลายความสงสัยให้โจ ตัวเธอเองไม่ได้ฉลาดหรือเก่งเลยด้วยซ้ำ มีเพียงอย่างเดียวนั้นคือความจำแต่มันก็เป็นข้อเสียให้กับชีวิตเธอเหมือนกัน

ตอนที่ ๒

กระท่อมไม้ไผ่หลังเล็กตั้งอยู่ท่ามกลางป่าช้ามีชายหนุ่มสองคนอาศัยอยู่ คนหนึ่งกำลังนั่งชันเข่ามองไปในป่าด้วยท่าทีนิ่งสงบ อีกคนกำลังนอนบ่นออกมาด้วยความเบื่อหน่ายและท้อแท้

"เฮ้อ พี่อีกไม่กี่เดือนเราก็จะได้กลับหมู่บ้านดงแสงแล้วทำไมอาจารย์ถึงยังให้เรามาเฝ้าป่าช้าด้วยเนี่ย"

"ก็มาทุกปีเอ็งไม่ชินอีกหรือ" เคนทร์มองมั่นด้วยสายตาเบื่อหน่ายฝึกมาหกปีมาทุกปีมันยังไม่เลิกบ่นอีก

บู่ว บู่ว บู่ว

เสียงสุนัขจิ้งจอกที่อาศัยอยู่ในแทบป่าส่งเสียงร้องกันเป็นระนาวเมื่อเข้าสู่ยามรัตติกาล ท้องฟ้าที่เคยมีเเสงจันทราสาดส่อง บัดนี้ปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆสีเทาทะมึนก่อตัวกันจนดูน่ากลัว ลมกรรโชกพัดพาฝุ่นและใบไหม้ปลิวว่อน บ่งบอกถึงพายุที่กำลังจะมา แต่เคนทร์ที่นั่งนิ่งสงบกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

"หึ มาแล้วหรือ" เคนทร์เอ่ยเสียงเรียบสีหน้านิ่งสงบเหมือนผิวน้ำนิ่ง ราวกับว่าสิ่งที่จะเกิดต่อไปนี้คือเรื่องปกติ ก่อนจะเบนสายตาไปยังการเคลื่อนไหวที่กำลังใกล้เข้ามาพร้อมกลิ่นเหม็นสาบ

พรึบ

เงาตะคุ่ม ๆ กระโจนออกมาจากป่าเผยให้เห็นใบหน้าเหี่ยวย่นที่เต็มไปด้วยแผลเป็นน่าสะพรึงกลัวดวงตามันลึกโหลสีแดงก่ำผมก็ยุ่งเหยิงรุงรัง รูปร่างนั้นผอมโซกระดูกโผล่พ้นผิวหนังแลปากก็ฉีกยิ้มกว้างเผยฟันแหลมคมดูน่าสยดสยอง

"ฮ่า ๆ ข้าก็นึกว่าเอ็งล้มเลิกที่จะปราบข้าหนีกลับบ้านไปแล้วเสียอีก" มันเอ่ยเสียงยั่วยุออกมาเพื่อหวังว่ามันจะไปสะกิดให้อีกคนตะบะแตกได้เช่นเคย

"เอาไงดีจ๊ะพี่เคนทร์ รอบนี้เหมือนมันจะฤทธิ์กว่าเดิมอีก" มั่นถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเพราะยังจำได้ดีว่าปีก่อนพวกเขากับปอบตนนั้นต่างบาดเจ็บหนักพอ ๆ กัน แต่มันกลับหลบหนีไปได้

"ข้าจัดการเอง" ขายาวก้าวลงไปจากกระท่อมช้า ๆ ใบหน้ายังคงเรียบนิ่งขณะที่ปอบตนนั้นมองมาด้วยเเววตาเย้ยหยัน ราวกับจะสมเพชให้กับความพ่ายแพ้ล่วงหน้า

"รีบเถิด คนที่อยู่ในอกซ้ายเอ็งมันจะมีผัวแล้ว ฮ่า ๆ " ปอบตนนั้นพูดกระซิบเสียงหลอนหูหัวเราะออกมาอย่างสะใจ เมื่ออีกฝ่ายพลาดท่าให้มันรู้จุดอ่อนที่จะทำให้อีกคนตบะแตกได้

พรึบ ฉึบ

"หึขอบคุณที่เร่ง" เคนทร์เอ่ยเสียงกระด้างมองอย่างอาฆาตและโกรธแค้น เขาเสียเวลาไปกับมันมาหลายปีมันควรจบได้แล้ว เดิมทีปอบตนนี้หาได้ฤทธิ์เยอะมันเพียงรู้จุดอ่อนเขาเท่านั่น

"เอ็ง อึก เอ็งหลอกข้า" มันกรีดร้องเสียงโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อโดนมีดอาคมปักลงที่กลางอกอย่างไม่ทันตั้งตัว

"ไม่รู้วิชาพรางตาหรือยังไงกัน ไอ้มั่นจัดการ ถ้าปลดปล่อยมันไม่ได้ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม" เคนทร์มอบหน้าที่ที่เหลือให้มั่นจัดการ ในที่สุดเขาก็ทำงานที่อาจารย์มอบหมายให้เสร็จแล้ว ปอบตนนี้มันเหี้ยนนักเจอปีแรกเขาก็เจ็บหนัก แต่พอหลัง ๆ เหมือนจะเริ่มรู้ทันกัน เลยเสียเวลาไปมาก

☆☆☆

"ทอขวัญพ่อโจมาหาน่ะลูก" ข้าวตะโกนเรียกลูกสาวในห้องนอนก่อนจะให้โจเข้ามานั่งรอที่ชานเรือน

"พี่จะมาทำไมไม่บอกฉันล่วงหน้าจ๊ะ"

"เอ็ง ทำไม..." โจอึกอักพูดไม่ออกคราแรกเข้าใจว่าตาฝาด แต่เมื่อร่างบางเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ถึงได้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด หญิงสาวที่เขาอยากเป็นเพื่อนด้วยหนักหนา มีหน้าตางดงามถึงเพียงนี้เลยหรือ อยู่เมืองกรุงมาเป็นสิบสิบปีก็หาได้ยากที่จะพบความงามที่ลงตัวเหมือนคนตรงหน้า

"ถ้าพี่รังเกียจ ฉันจะไปเอาผ้าคลุมมาปิดจ้ะ" ทอขวัญที่เพิ่งรู้ตัวว่าลืมใส่ผ้าคลุมหน้าก็ไม่ได้ตกใจมากนักเพราะเตรียมใจมาบ้างแล้ว โจเองก็เหมือนพี่ชายคนหนึ่งจากวันที่สอนวันนั้น โจที่รู้ว่าเธออ่านออกเขียนได้จึงมอบหนังสือให้แทน ทั้งยังแวะเวียนเอาขนมที่ยายจวนทำมาฝากทอขวัญและอยู่นั่งเล่นพูดคุย โจชอบเล่าเรื่องในเมืองกรุงให้ทอขวัญฟังทอขวัญเองก็ชอบฟังเพราะแถวหมู่บ้านแทบจะเรียกว่าบ้านป่าเพราะห่างไกลความเจริญและไม่เคยออกไปเที่ยวไหน

"ไม่ต้อง พี่จะรังเกียจน้องตัวเองลงได้อย่างไร" ถ้าหากเขารังเกียจคนที่งดงามราวกับนางฟ้าหญิงสาวที่เหลือจะไม่พากันกลุ้มใจหรือ

"แล้ววันนี้พี่มาหาฉันมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ" ทอขวัญถามด้วยรอยยิ้มอบอุ่นหากเธอมีพี่ชายแบบโจคอยดูแลปกป้องตั้งแต่เด็กคงจะดีไม่น้อย

"พี่แค่คิดถึง" โจพูดด้วยเสียงเย้าแหย่ทีเล่นทีจริงเพื่อไม่ให้อีกคนอึดอัดถึงแม้ความหมายของมันจะตรงตามหัวใจเขาก็ตาม

"คิดถึงหรือแค่เหงากันแน่จ๊ะ" ใบหน้าเรียวส่ายเบา ๆ ให้กับคำพูดของอีกคน แรก ๆ ก็รู้สึกแปลกที่อีกคนบอกคิดถึงนานวันเข้าก็เริ่มชิน

"ก็ทั้งสองนั่นแหละ เอ็งก็รู้ว่าพี่ไม่ได้มีเพื่อนที่ไหน" ใบหน้าหล่อปรากฏรอยยิ้มแหย ๆ ขึ้นมีหรือคนแบบเขาจะหาเพื่อนไม่ได้นอกเสียจากไม่อยากมีเพื่อน อยากตามตอแยคนตรงหน้าเสียมากกว่า

"หากพี่ยังมาเที่ยวเล่นกับฉัน พี่คงหาเมียไม่ได้เป็นแน่" ทอขวัญเอ่ยเอาจริงเอาจังเธอไม่ใช่เด็กอีกแล้วเธอรู้ว่าอีกคนถึงวัยที่จะแต่งงานแล้วแม้แต่ตัวเธอเองก็สมควรออกเรือนแล้วแต่ใครเล่าจะมาสนใจคนอย่างเธอ แต่หากหญิงใดที่ชอบพอโจอยู่รู้ว่าโจชอบมาเที่ยวเล่นกับเธอ คงรับไม่ได้เป็นแน่

"เด็กน้อยก็เอ็งไง ที่ข้าหมายมั่นจะให้เป็นเมีย" เสียงทุ้มพึมพำออกมาแผ่วเบา

"พี่ว่าอะไรนะจ๊ะ" ใบหน้างุนงงฉายขึ้นบนหน้างามพริ้มเมื่อได้ยินอีกคนพูดเสียงเบาและไม่ชัด

"เมียหาเมื่อไหร่ก็ได้น่า" โจตัดบทด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนราวกับว่าโดนเค้นความผิดอยู่ก็มิปาน

บ้านหลังใดมีลูกสาวแล้วย่อมเป็นที่จับตามองไม่ว่าบ้านจะตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านหรือในป่าก็ไม่รอดพ้นจากสายตาชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นเก็บเกี่ยวข้อมูลไปสนทนาเอาความสนุกในกลุ่มเพื่อนแม้จะเป็นยุคไหนก็ตาม

☆☆☆

บ้านไม้สักทองหลังใหญ่ตั้งตระหง่านเด่นชัดในยามที่ฟ้ากำลังเปลี่ยนสี แสงสีส้มกำลังถูกกลืนกินด้วยขอบฟ้าสีฟ้าครามบ่งบอกว่ายามนี้กำลังอยู่ในช่วงพลบค่ำ

"ลูกจะกลับมา ใยไม่บอกพ่อกับแม่ก่อน" เพ็ญเอ่ยถามลูกชายคนเดียวที่เพิ่งได้พบหน้าหลังต้องไปร่ำเรียนเป็นศิษย์ของขอนผู้เป็นสหายคนสนิทของคูณ

"สหายข้าสบายดีไหมพ่อเคนทร์" คูณถามลูกชายคนเล็กที่นั่งหลังตรง หลังกลับมาถึงบ้านและยังรู้สึกโล่งใจที่ลูกชายกลับมาอย่างปลอดภัย แม้ภายในใจลึก ๆ เขาก็ยังโทษตนเองที่ทำให้ลูกชายที่เกิดจากหญิงผู้เป็นที่รักต้องมารับภาระที่เพิ่มขึ้น

"อาจารย์สบายดี"

เสียงตอบกลับของลูกชายทำให้สองผัวเมียมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของลูกชายที่นอกจากรูปร่างที่ดูหนาขึ้นกว่าเดิมมากโข ใบหน้าก็เรียบนิ่งตลอดเวลาแต่นัยต์ตากลับเหมือนมีเรื่องกังวลใจ

"น้องมีผัวหรือยัง"

คำพูดของลูกชายทำให้บิดาอย่างคูณคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ มีเพียงเพ็ญที่เป็นมารดาดูไม่งุนงงแต่ก็เกินความคาดหมายเพราะนี่ก็ผ่านมาหกปีแล้ว

"เอ็งหมายถึงใคร"

คูณเอ่ยถามในที่สุด เมื่อหันไปมองเมียอย่างเพ็ญก็เอาแต่นั่งนิ่งไม่ไหวติงหรืออธิบายถึงบุคคลที่ลูกชายเอ่ยถึงให้กระจ่าง

"ทอขวัญ น้องมีผัวหรือยัง" เคนทร์กล่าวช้า ๆ ยามเห็นสีหน้ามารดาก็ยกคิ้วสูงขึ้นเพื่อเร่งให้มารดาพูดออกมา

"ลูกจำยายจวนได้ไหม" เพ็ญหยุดพูดเมื่อเห็นลูกชายพยักหน้าให้ ก็ถอนหายใจยาวออกมาเงียบ ๆ หากเธอพูดจบ ก็แล้วเเต่ลูกชายจะคิดหรือตัดสินใจยังไง

"เมื่อสามเดือนก่อนลูกสาวยายจวนที่เดินทางไปเมืองกรุงเมื่ออดีตแท้จริงไปอยู่กับผัวฝรั่งพอเลิกรากันก็กลับมาอยู่กับยายจวนถาวร"

"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับทอขวัญ" เคนทร์ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาอยากรู้คือหญิงสาวที่เขารอที่จะกลับมาหา ไม่ใช่เรื่องราวการกลับมาของคนในหมู่บ้าน

เพ็ญถอนหายใจอีกครั้งหันไปมองหน้าสามีอย่างคูณที่เริ่มเข้าใจ เพราะได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับหญิงสาวที่ลูกชายตนหมายปอง

"ลูกสาวยายจวนนำลูกชายกลับมาด้วย เห็นว่ากันว่าอายุยี่สิบห้าปีได้ แม่เคยพบครั้งหนึ่งวันที่ยายจวนให้ไปผูกข้อต่อเเขนเรียกขวัญ เป็นหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาหล่อเหลามากเลยทีเดียว แม่ไม่รู้ว่าทั้งสองรู้จักกันได้อย่างไร แต่ที่ผ่านมาหนุ่มลูกครึ่งคนนั้นไปหาทอขวัญแทบทุกวัน บางวันทอขวัญก็มาที่บ้านของยายจวน แต่เดิมทีทั้งสองครอบครัวก็สนิทสนมกันมากพอแล้ว เรื่องทั้งคู่เป็นที่พูดถึงกันแม้แต่อรลูกสาวยายจวนยังพูดกับชาวบ้านว่าทอขวัญน่าเอ็นดูนัก"

เริ่มตั้งแต่เพ็ญเล่าถึงการมีอยู่ของชายหนุ่มอีกคน ก็เหมือนมีสายฟ้าฟาดลงกลางอกแกร่ง เคนทร์ขบฟันเข้าหากันแน่นแต่ใบหน้ายังคงแสดงท่าทีเรียบนิ่งไร้อารมณ์ แต่มีหรือคูณกับเพ็ญจะมองไม่ออกว่าลูกชายกำลังโมโห

เส้นเลือดที่ขมับปูดโปนขึ้นชัดขนาดนั้น

"ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้วหรือ"

เพ็ญส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ

"ถึงจะยังไม่ตบแต่เอ็งจะไปแยกทั้งสองจากกันเพราะเรื่องนี้ไม่ได้" คูณเหมือนจะรู้ทันความคิดลูกชาย ถึงภายนอกจะดูเปลี่ยนแต่ใช่ว่าสันดานลึก ๆ จะเปลี่ยน

ตึก

เสียงฝ่าเท้าย้ำลงที่พื้นไม้จนเกิดเสียงดัง บ่งบอกได้ว่าคนที่เดินกำลังกรุ่นโกรธ เคนทร์เดินลงจากเรือนด้วยความเร็วก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าเรือน ปากหนาก็พึมพำคำแปลกหูออกมาสี่ห้าคำสามรอบ แล้วเดินมุ่งหน้าไปตามถนนกลางหมู่บ้าน โดยไร้ความสนใจของผู้คนที่กำลังเดินผ่านเพราะผู้อื่นมองเห็นเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

ร่างสูงเดินตรงมาเรื่อย ๆ จนเห็นร่างหญิงหนึ่งชายหนึ่งกำลังเดินลงมาจากเรือนไม้ที่จำได้ว่ามันคือเรือนของยายจวน คิ้วหนากระตุกยิก ๆ จนต้องรีบเดินไปดูใกล้ ๆ เพื่อความแน่ใจและใช่ตามคาดคนที่เดินลงมาคือทอขวัญหญิงสาวยังคงใช้ผ้าคลุมหน้าอยู่เช่นเดิม

ตอนนี้เคนทร์อยู่ห่างจากทั้งคู่เพียงสองสามก้าวเท่านั้นภาพข้างหน้ามันชัดเจนจนรู้สึกได้ถึงแรงบีบอัดของก้อนเนื้อในอก ตาของเขาเบิกกว้าง จ้องมองทั้งคู่อย่างดุดันเมื่อได้ยินประโยคพูดของทั้งสอง

"พี่ไม่ต้องไปส่งฉันก็ได้ บ้านฉันก็ใกล้แค่นี้เอง "

"พี่มีเอ็งคนเดียว พี่ต้องดูแลให้ดีอยู่แล้ว ไม่งั้นน้าข้าวกับน้าทองดุพี่แน่"

ทอขวัญเข้าใจว่าโจหมายถึงว่ามีน้องสาวคนเดียวทอขวัญจึงพยักหน้าให้ แต่ในความเป็นจริงโจหมายความตามพูดเวลาที่อยู่กับทอขวัญมีค่าทุกวินาที อย่างเช่นวันนี้ตนก็เอ่ยขอร้องยายให้ทำขนมตนจะได้หาข้ออ้างไปชวนหญิงสาวมาบ้าน

ทั้งคู่หารู้ว่ามีบุคคลที่สามยืนอยู่ข้าง ๆ ฟังอยู่เคนทร์จับจ้องไปยังใบหน้าชายหนุ่มอีกคน ที่มีสีหน้าแววตาบ่งบอกชัดเจนว่าหลงใหลห่วงใยหญิงสาวเพียงใด ริมฝีปากของเขาสั่นไหว มือหนากำหมัดแน่นด้วยความโกรธและเสียใจ มืออีกข้างก็ยกขึ้นมากุมที่หน้าอก เมื่อรู้สึกว่ามันเจ็บปวดราวกับโดนของแหลมคมแทงจ้วง

เคนทร์คิดว่าการตัดสินใจเมื่อหกปีก่อนนั่นผิดพลาด เขาควรประกาศความเป็นเจ้าของให้ทั่วทุกคนได้รู้ ไม่ใช่เก็บงำมันไว้คนเดียวเช่นนี้

'ทอขวัญ'

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!