กระท่อมไม้ไผ่หลังเล็กตั้งอยู่ท่ามกลางป่าช้ามีชายหนุ่มสองคนอาศัยอยู่ คนหนึ่งกำลังนั่งชันเข่ามองไปในป่าด้วยท่าทีนิ่งสงบ อีกคนกำลังนอนบ่นออกมาด้วยความเบื่อหน่ายและท้อแท้
"เฮ้อ พี่อีกไม่กี่เดือนเราก็จะได้กลับหมู่บ้านดงแสงแล้วทำไมอาจารย์ถึงยังให้เรามาเฝ้าป่าช้าด้วยเนี่ย"
"ก็มาทุกปีเอ็งไม่ชินอีกหรือ" เคนทร์มองมั่นด้วยสายตาเบื่อหน่ายฝึกมาหกปีมาทุกปีมันยังไม่เลิกบ่นอีก
บู่ว บู่ว บู่ว
เสียงสุนัขจิ้งจอกที่อาศัยอยู่ในแทบป่าส่งเสียงร้องกันเป็นระนาวเมื่อเข้าสู่ยามรัตติกาล ท้องฟ้าที่เคยมีเเสงจันทราสาดส่อง บัดนี้ปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆสีเทาทะมึนก่อตัวกันจนดูน่ากลัว ลมกรรโชกพัดพาฝุ่นและใบไหม้ปลิวว่อน บ่งบอกถึงพายุที่กำลังจะมา แต่เคนทร์ที่นั่งนิ่งสงบกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
"หึ มาแล้วหรือ" เคนทร์เอ่ยเสียงเรียบสีหน้านิ่งสงบเหมือนผิวน้ำนิ่ง ราวกับว่าสิ่งที่จะเกิดต่อไปนี้คือเรื่องปกติ ก่อนจะเบนสายตาไปยังการเคลื่อนไหวที่กำลังใกล้เข้ามาพร้อมกลิ่นเหม็นสาบ
พรึบ
เงาตะคุ่ม ๆ กระโจนออกมาจากป่าเผยให้เห็นใบหน้าเหี่ยวย่นที่เต็มไปด้วยแผลเป็นน่าสะพรึงกลัวดวงตามันลึกโหลสีแดงก่ำผมก็ยุ่งเหยิงรุงรัง รูปร่างนั้นผอมโซกระดูกโผล่พ้นผิวหนังแลปากก็ฉีกยิ้มกว้างเผยฟันแหลมคมดูน่าสยดสยอง
"ฮ่า ๆ ข้าก็นึกว่าเอ็งล้มเลิกที่จะปราบข้าหนีกลับบ้านไปแล้วเสียอีก" มันเอ่ยเสียงยั่วยุออกมาเพื่อหวังว่ามันจะไปสะกิดให้อีกคนตะบะแตกได้เช่นเคย
"เอาไงดีจ๊ะพี่เคนทร์ รอบนี้เหมือนมันจะฤทธิ์กว่าเดิมอีก" มั่นถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเพราะยังจำได้ดีว่าปีก่อนพวกเขากับปอบตนนั้นต่างบาดเจ็บหนักพอ ๆ กัน แต่มันกลับหลบหนีไปได้
"ข้าจัดการเอง" ขายาวก้าวลงไปจากกระท่อมช้า ๆ ใบหน้ายังคงเรียบนิ่งขณะที่ปอบตนนั้นมองมาด้วยเเววตาเย้ยหยัน ราวกับจะสมเพชให้กับความพ่ายแพ้ล่วงหน้า
"รีบเถิด คนที่อยู่ในอกซ้ายเอ็งมันจะมีผัวแล้ว ฮ่า ๆ " ปอบตนนั้นพูดกระซิบเสียงหลอนหูหัวเราะออกมาอย่างสะใจ เมื่ออีกฝ่ายพลาดท่าให้มันรู้จุดอ่อนที่จะทำให้อีกคนตบะแตกได้
พรึบ ฉึบ
"หึขอบคุณที่เร่ง" เคนทร์เอ่ยเสียงกระด้างมองอย่างอาฆาตและโกรธแค้น เขาเสียเวลาไปกับมันมาหลายปีมันควรจบได้แล้ว เดิมทีปอบตนนี้หาได้ฤทธิ์เยอะมันเพียงรู้จุดอ่อนเขาเท่านั่น
"เอ็ง อึก เอ็งหลอกข้า" มันกรีดร้องเสียงโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อโดนมีดอาคมปักลงที่กลางอกอย่างไม่ทันตั้งตัว
"ไม่รู้วิชาพรางตาหรือยังไงกัน ไอ้มั่นจัดการ ถ้าปลดปล่อยมันไม่ได้ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม" เคนทร์มอบหน้าที่ที่เหลือให้มั่นจัดการ ในที่สุดเขาก็ทำงานที่อาจารย์มอบหมายให้เสร็จแล้ว ปอบตนนี้มันเหี้ยนนักเจอปีแรกเขาก็เจ็บหนัก แต่พอหลัง ๆ เหมือนจะเริ่มรู้ทันกัน เลยเสียเวลาไปมาก
☆☆☆
"ทอขวัญพ่อโจมาหาน่ะลูก" ข้าวตะโกนเรียกลูกสาวในห้องนอนก่อนจะให้โจเข้ามานั่งรอที่ชานเรือน
"พี่จะมาทำไมไม่บอกฉันล่วงหน้าจ๊ะ"
"เอ็ง ทำไม..." โจอึกอักพูดไม่ออกคราแรกเข้าใจว่าตาฝาด แต่เมื่อร่างบางเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ถึงได้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด หญิงสาวที่เขาอยากเป็นเพื่อนด้วยหนักหนา มีหน้าตางดงามถึงเพียงนี้เลยหรือ อยู่เมืองกรุงมาเป็นสิบสิบปีก็หาได้ยากที่จะพบความงามที่ลงตัวเหมือนคนตรงหน้า
"ถ้าพี่รังเกียจ ฉันจะไปเอาผ้าคลุมมาปิดจ้ะ" ทอขวัญที่เพิ่งรู้ตัวว่าลืมใส่ผ้าคลุมหน้าก็ไม่ได้ตกใจมากนักเพราะเตรียมใจมาบ้างแล้ว โจเองก็เหมือนพี่ชายคนหนึ่งจากวันที่สอนวันนั้น โจที่รู้ว่าเธออ่านออกเขียนได้จึงมอบหนังสือให้แทน ทั้งยังแวะเวียนเอาขนมที่ยายจวนทำมาฝากทอขวัญและอยู่นั่งเล่นพูดคุย โจชอบเล่าเรื่องในเมืองกรุงให้ทอขวัญฟังทอขวัญเองก็ชอบฟังเพราะแถวหมู่บ้านแทบจะเรียกว่าบ้านป่าเพราะห่างไกลความเจริญและไม่เคยออกไปเที่ยวไหน
"ไม่ต้อง พี่จะรังเกียจน้องตัวเองลงได้อย่างไร" ถ้าหากเขารังเกียจคนที่งดงามราวกับนางฟ้าหญิงสาวที่เหลือจะไม่พากันกลุ้มใจหรือ
"แล้ววันนี้พี่มาหาฉันมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ" ทอขวัญถามด้วยรอยยิ้มอบอุ่นหากเธอมีพี่ชายแบบโจคอยดูแลปกป้องตั้งแต่เด็กคงจะดีไม่น้อย
"พี่แค่คิดถึง" โจพูดด้วยเสียงเย้าแหย่ทีเล่นทีจริงเพื่อไม่ให้อีกคนอึดอัดถึงแม้ความหมายของมันจะตรงตามหัวใจเขาก็ตาม
"คิดถึงหรือแค่เหงากันแน่จ๊ะ" ใบหน้าเรียวส่ายเบา ๆ ให้กับคำพูดของอีกคน แรก ๆ ก็รู้สึกแปลกที่อีกคนบอกคิดถึงนานวันเข้าก็เริ่มชิน
"ก็ทั้งสองนั่นแหละ เอ็งก็รู้ว่าพี่ไม่ได้มีเพื่อนที่ไหน" ใบหน้าหล่อปรากฏรอยยิ้มแหย ๆ ขึ้นมีหรือคนแบบเขาจะหาเพื่อนไม่ได้นอกเสียจากไม่อยากมีเพื่อน อยากตามตอแยคนตรงหน้าเสียมากกว่า
"หากพี่ยังมาเที่ยวเล่นกับฉัน พี่คงหาเมียไม่ได้เป็นแน่" ทอขวัญเอ่ยเอาจริงเอาจังเธอไม่ใช่เด็กอีกแล้วเธอรู้ว่าอีกคนถึงวัยที่จะแต่งงานแล้วแม้แต่ตัวเธอเองก็สมควรออกเรือนแล้วแต่ใครเล่าจะมาสนใจคนอย่างเธอ แต่หากหญิงใดที่ชอบพอโจอยู่รู้ว่าโจชอบมาเที่ยวเล่นกับเธอ คงรับไม่ได้เป็นแน่
"เด็กน้อยก็เอ็งไง ที่ข้าหมายมั่นจะให้เป็นเมีย" เสียงทุ้มพึมพำออกมาแผ่วเบา
"พี่ว่าอะไรนะจ๊ะ" ใบหน้างุนงงฉายขึ้นบนหน้างามพริ้มเมื่อได้ยินอีกคนพูดเสียงเบาและไม่ชัด
"เมียหาเมื่อไหร่ก็ได้น่า" โจตัดบทด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนราวกับว่าโดนเค้นความผิดอยู่ก็มิปาน
บ้านหลังใดมีลูกสาวแล้วย่อมเป็นที่จับตามองไม่ว่าบ้านจะตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านหรือในป่าก็ไม่รอดพ้นจากสายตาชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นเก็บเกี่ยวข้อมูลไปสนทนาเอาความสนุกในกลุ่มเพื่อนแม้จะเป็นยุคไหนก็ตาม
☆☆☆
บ้านไม้สักทองหลังใหญ่ตั้งตระหง่านเด่นชัดในยามที่ฟ้ากำลังเปลี่ยนสี แสงสีส้มกำลังถูกกลืนกินด้วยขอบฟ้าสีฟ้าครามบ่งบอกว่ายามนี้กำลังอยู่ในช่วงพลบค่ำ
"ลูกจะกลับมา ใยไม่บอกพ่อกับแม่ก่อน" เพ็ญเอ่ยถามลูกชายคนเดียวที่เพิ่งได้พบหน้าหลังต้องไปร่ำเรียนเป็นศิษย์ของขอนผู้เป็นสหายคนสนิทของคูณ
"สหายข้าสบายดีไหมพ่อเคนทร์" คูณถามลูกชายคนเล็กที่นั่งหลังตรง หลังกลับมาถึงบ้านและยังรู้สึกโล่งใจที่ลูกชายกลับมาอย่างปลอดภัย แม้ภายในใจลึก ๆ เขาก็ยังโทษตนเองที่ทำให้ลูกชายที่เกิดจากหญิงผู้เป็นที่รักต้องมารับภาระที่เพิ่มขึ้น
"อาจารย์สบายดี"
เสียงตอบกลับของลูกชายทำให้สองผัวเมียมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของลูกชายที่นอกจากรูปร่างที่ดูหนาขึ้นกว่าเดิมมากโข ใบหน้าก็เรียบนิ่งตลอดเวลาแต่นัยต์ตากลับเหมือนมีเรื่องกังวลใจ
"น้องมีผัวหรือยัง"
คำพูดของลูกชายทำให้บิดาอย่างคูณคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ มีเพียงเพ็ญที่เป็นมารดาดูไม่งุนงงแต่ก็เกินความคาดหมายเพราะนี่ก็ผ่านมาหกปีแล้ว
"เอ็งหมายถึงใคร"
คูณเอ่ยถามในที่สุด เมื่อหันไปมองเมียอย่างเพ็ญก็เอาแต่นั่งนิ่งไม่ไหวติงหรืออธิบายถึงบุคคลที่ลูกชายเอ่ยถึงให้กระจ่าง
"ทอขวัญ น้องมีผัวหรือยัง" เคนทร์กล่าวช้า ๆ ยามเห็นสีหน้ามารดาก็ยกคิ้วสูงขึ้นเพื่อเร่งให้มารดาพูดออกมา
"ลูกจำยายจวนได้ไหม" เพ็ญหยุดพูดเมื่อเห็นลูกชายพยักหน้าให้ ก็ถอนหายใจยาวออกมาเงียบ ๆ หากเธอพูดจบ ก็แล้วเเต่ลูกชายจะคิดหรือตัดสินใจยังไง
"เมื่อสามเดือนก่อนลูกสาวยายจวนที่เดินทางไปเมืองกรุงเมื่ออดีตแท้จริงไปอยู่กับผัวฝรั่งพอเลิกรากันก็กลับมาอยู่กับยายจวนถาวร"
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับทอขวัญ" เคนทร์ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาอยากรู้คือหญิงสาวที่เขารอที่จะกลับมาหา ไม่ใช่เรื่องราวการกลับมาของคนในหมู่บ้าน
เพ็ญถอนหายใจอีกครั้งหันไปมองหน้าสามีอย่างคูณที่เริ่มเข้าใจ เพราะได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับหญิงสาวที่ลูกชายตนหมายปอง
"ลูกสาวยายจวนนำลูกชายกลับมาด้วย เห็นว่ากันว่าอายุยี่สิบห้าปีได้ แม่เคยพบครั้งหนึ่งวันที่ยายจวนให้ไปผูกข้อต่อเเขนเรียกขวัญ เป็นหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาหล่อเหลามากเลยทีเดียว แม่ไม่รู้ว่าทั้งสองรู้จักกันได้อย่างไร แต่ที่ผ่านมาหนุ่มลูกครึ่งคนนั้นไปหาทอขวัญแทบทุกวัน บางวันทอขวัญก็มาที่บ้านของยายจวน แต่เดิมทีทั้งสองครอบครัวก็สนิทสนมกันมากพอแล้ว เรื่องทั้งคู่เป็นที่พูดถึงกันแม้แต่อรลูกสาวยายจวนยังพูดกับชาวบ้านว่าทอขวัญน่าเอ็นดูนัก"
เริ่มตั้งแต่เพ็ญเล่าถึงการมีอยู่ของชายหนุ่มอีกคน ก็เหมือนมีสายฟ้าฟาดลงกลางอกแกร่ง เคนทร์ขบฟันเข้าหากันแน่นแต่ใบหน้ายังคงแสดงท่าทีเรียบนิ่งไร้อารมณ์ แต่มีหรือคูณกับเพ็ญจะมองไม่ออกว่าลูกชายกำลังโมโห
เส้นเลือดที่ขมับปูดโปนขึ้นชัดขนาดนั้น
"ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้วหรือ"
เพ็ญส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ
"ถึงจะยังไม่ตบแต่เอ็งจะไปแยกทั้งสองจากกันเพราะเรื่องนี้ไม่ได้" คูณเหมือนจะรู้ทันความคิดลูกชาย ถึงภายนอกจะดูเปลี่ยนแต่ใช่ว่าสันดานลึก ๆ จะเปลี่ยน
ตึก
เสียงฝ่าเท้าย้ำลงที่พื้นไม้จนเกิดเสียงดัง บ่งบอกได้ว่าคนที่เดินกำลังกรุ่นโกรธ เคนทร์เดินลงจากเรือนด้วยความเร็วก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าเรือน ปากหนาก็พึมพำคำแปลกหูออกมาสี่ห้าคำสามรอบ แล้วเดินมุ่งหน้าไปตามถนนกลางหมู่บ้าน โดยไร้ความสนใจของผู้คนที่กำลังเดินผ่านเพราะผู้อื่นมองเห็นเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
ร่างสูงเดินตรงมาเรื่อย ๆ จนเห็นร่างหญิงหนึ่งชายหนึ่งกำลังเดินลงมาจากเรือนไม้ที่จำได้ว่ามันคือเรือนของยายจวน คิ้วหนากระตุกยิก ๆ จนต้องรีบเดินไปดูใกล้ ๆ เพื่อความแน่ใจและใช่ตามคาดคนที่เดินลงมาคือทอขวัญหญิงสาวยังคงใช้ผ้าคลุมหน้าอยู่เช่นเดิม
ตอนนี้เคนทร์อยู่ห่างจากทั้งคู่เพียงสองสามก้าวเท่านั้นภาพข้างหน้ามันชัดเจนจนรู้สึกได้ถึงแรงบีบอัดของก้อนเนื้อในอก ตาของเขาเบิกกว้าง จ้องมองทั้งคู่อย่างดุดันเมื่อได้ยินประโยคพูดของทั้งสอง
"พี่ไม่ต้องไปส่งฉันก็ได้ บ้านฉันก็ใกล้แค่นี้เอง "
"พี่มีเอ็งคนเดียว พี่ต้องดูแลให้ดีอยู่แล้ว ไม่งั้นน้าข้าวกับน้าทองดุพี่แน่"
ทอขวัญเข้าใจว่าโจหมายถึงว่ามีน้องสาวคนเดียวทอขวัญจึงพยักหน้าให้ แต่ในความเป็นจริงโจหมายความตามพูดเวลาที่อยู่กับทอขวัญมีค่าทุกวินาที อย่างเช่นวันนี้ตนก็เอ่ยขอร้องยายให้ทำขนมตนจะได้หาข้ออ้างไปชวนหญิงสาวมาบ้าน
ทั้งคู่หารู้ว่ามีบุคคลที่สามยืนอยู่ข้าง ๆ ฟังอยู่เคนทร์จับจ้องไปยังใบหน้าชายหนุ่มอีกคน ที่มีสีหน้าแววตาบ่งบอกชัดเจนว่าหลงใหลห่วงใยหญิงสาวเพียงใด ริมฝีปากของเขาสั่นไหว มือหนากำหมัดแน่นด้วยความโกรธและเสียใจ มืออีกข้างก็ยกขึ้นมากุมที่หน้าอก เมื่อรู้สึกว่ามันเจ็บปวดราวกับโดนของแหลมคมแทงจ้วง
เคนทร์คิดว่าการตัดสินใจเมื่อหกปีก่อนนั่นผิดพลาด เขาควรประกาศความเป็นเจ้าของให้ทั่วทุกคนได้รู้ ไม่ใช่เก็บงำมันไว้คนเดียวเช่นนี้
'ทอขวัญ'
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 7
Comments