ร่วมวงกินข้าว
เด็กๆทั้งสองพยายามห้ามปรามทั้งคู่ไม่ให้มีเรื่องกัน แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร เบริลและคาเร็นท์ก็สั่งห้ามไว้ก่อน
.........
เจ้าไม่ต้องมายุ่ง
เบริลและคาเร็นท์หันมาตอบเด็กทั้งสองพร้อมกันก่อนจะหันไปจ้องหน้ากันใหม่
พร้อมกับความรู้สึกของเด็กทั้งสองที่ดูเหมือนว่าสายตาที่ส่งให้กันจะมีประกายสายฟ้า ดังเปรี้ยๆอยู่เป็นระยะ
ได้แต่หวังว่าสายฟ้าในจินตนาการนี้จะไม่เกิดผ่าเปรี้ยงป้างจนเป็นเรื่องขึ้นมาหรอกนะ ไม่งั้นแย่แน่
เด็ก 1
พี่ชาย พี่สาวอย่าทะเลาะกันเลย พวกเราขอหนา
เด็กๆไม่ละความพยายาม ทั้งสองมองเบริลสลับกับคาเร็นท์พร้อมทำตาปริบๆเชิงอ้อนให้ทั้งคู่ใจอ่อน งดใช้อารมณ์และหันหน้าคุยกันด้วยสันติวิธี
สุดท้ายเบริลก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อน ทำไงได้ผมมันคนดี แบบผู้ชายอ่อนโยนอะครับ เห็นใครน่าสงสารหรือสายตาอ้อนเข้าหน่อยไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ก็ยอมสิโรราบทั้งนั้น เว้นเพียงแต่ยัยเด็กเปี๊ยกนี่คนเดียวเท่านั้นแหล่ะที่ผมไม่ยอม เรียกว่าเป็นข้อยกเว้นที่ผมไม่มีวันอ่อนข้อให้ง่ายๆแน่
คาเร็นท์
เห็นแก่พวกเจ้าหรอกหนา ข้าหยุดก็ได้
คาเร็นท์ยอมถอยบ้าง แต่ดูจากแววตาแล้วอาจจะมีครั้งที่สองอีกที่จะได้ไฝว์กันน่ะนะ
เด็ก 2
เย้ ดีแท้ ป่ะ พี่สาว พี่ชาย กินข้าวกัน
เด็กๆยิ้มดีใจที่ทั้งคู่ดีกันได้ถึงแม้ในความเป็นจริงจะแค่สงบศึกชั่วคราวก็เถอะ ก่อนจะชวนไปทานข้าวด้านในบ้าน
เบริลลูบท้องตัวพร้อมเสียงท้องที่ดังโครกคราก
เด็ก 1
พี่สาวจักไปไหน ไม่กินด้วยกันหรือ
สองพี่น้องเรียกคาเร็นท์น้อยที่กำลังจะเดินไปจากบ้านของพวกเขา
จะเกลียดจะชังคนอื่นจนไม่อยากร่วมโต๊ะทานข้าวด้วยก็เข้าใจนะ แต่ช่วยดูสังขารตัวเองก่อนไหมว่าไหวเปล่า ท้องนี่ร้องดังเชียว ผมละขำจริงๆ
เบริล
เอ๋ เสียงท้องใครร้องน้า
คาเร็นท์
สะ...เสียง...เบาๆเอง
เจ้าตัวหน้าแดงหูแดงจนผมหลุดขำ แต่ก็พยายามหลบไม่ให้เจ้าตัวเห็นเพราะเดี๋ยวจะพาลใส่ผมที่ผมไปหัวเราะเธออีก แหม...จะเก๊กซะหน่อย จบเลยไหมล่ะ เขินเลยดิ
เบริล
โห เบา ดังขนาดที่ข้าอยู่ไกลเจ้าเป็นเมตรก็ได้ยินเนี้ยรึ หิวก็กินเหอะ ใครจะว่ากระไรล่ะ เป็นเด็กเป็นเล็กวัยกำลังกินหนา
ผมนึกเอ็นดูเด็กแก่แดดขึ้นมานิดหน่อย ย้ำนะแค่นิดหน่อยจริงๆ 10%ได้มั้ง แค่นั้นเลย
เด็ก 2
พี่สาวอยู่กินข้าวด้วยกันหนา
เด็กน้อยมองเบริลที่ยิ้มให้ จิ๊ปากไปหนึ่งที ก่อนตอบตกลงกับพวกเด็กๆ
ปิดปากแอบขำไปหนึ่งทีก่อนที่ผมจะเดินตามพวกเด็กๆและคาเร็นท์เข้าไปในบ้าน เพื่ออิ่มหน่ำสำราญกับอาหารมื้อแรกของวัน
ทำไมผมถึงบอกว่ามื้อแรกน่ะเหรอ เพราะตั้งแต่เช้ามาผมยังไม่ได้ทานอะไรเลย ออกจากหมู่บ้านมาใจผมก็คิดแต่จะพบหน้ามัลคาไดน์ให้ได้ ไม่อยากเสียเวลาแม้แต่นิดเดียวจนลืมไปว่าร่างกายเราก็ต้องการดูแลต้องการสารอาหารเพื่อไปเป็นพลังงานในการทำสิ่งต่างๆเหมือนกัน แล้วที่ผมโดนเล่นงานและสลบไปเลยคงจะเป็นเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน ฉะนั้นท้องอิ่มไว้ก่อนจึงดีที่สุด
สำรับกับข้าววันนี้เป็นอาหารเรียบง่ายที่แม่ของเด็กๆตั้งใจทำเพื่อตอบแทนการช่วยเหลือจากพวกเรา มีทั้งปลาทอด ผักต้ม และน้ำพริกแต่เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เนอะชีวิตนี้คนเราไม่ได้อยู่เพื่อกินแต่กินเพื่ออยู่ การมีอาหารประทังชีวิตในยุคที่ข้าวยากหมากแพงเช่นนี้นั้น ก็ถือว่าเป็นจานเลิศรสแล้ว
ผมว่าพลางเอนหลังพิงผนังบ้าน ลูบท้องตัวเองที่นูนออกมานิดๆเหมือนพุงหมาน้อย ผมไม่ได้อ้วนนะ ออกจะล่ำ ซิคแพคก็น่าจับอะ ก็คนมันกินอิ่มๆไหมล่ะพุงก็ต้องยื่นเป็นธรรมดาพอย่อยเดี๋ยวก็ยุบหุ่นเฟิร์มเหมือนเดิมแหล่ะ
คาเร็นท์แอบเรอเบาๆ 4คนพ่อแม่ลูกอาจจะไม่ได้ยิน แต่ผมที่นั่งอยู่ข้างๆได้ยินเต็มๆ ก่อนที่มือน้อยจะยกแก้วขึ้นดื่มน้ำ เชื่อละว่าอิ่มจริง เอ็นดูวะ แต่ถ้าให้ผมมีลูกแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันได้ถือไม้ฟาดกันทุกวันแน่ ดูสิเถียงเก่งยอกย้อนเก่ง แถมกวนประสาทเก่งอีก บ่ไหวเลยจริงๆ
แม่
ข้าดีใจที่พวกเจ้าชอบอาหารที่ข้าทำ
แม่ของเด็กๆยิ้มดีใจจนปรากฎรอยตีนกาขึ้นที่หางตา
แม่
ถึงแม้อาหารจะไม่ได้ดูดีก็ตามเหอะ
อ้าว...จู่ๆก็หุบยิ้มซะงั้น สงสารน้าแกในใจแกคงอยากจะต้อนรับพวกเราให้ดีกว่านี้แน่ๆ ให้สมกับช่วยชีวิตพวกแกไว้ ทำไมน้าถึงคิดมากอะไรเช่นนี้นะ หรือเพราะแก่แล้วเลยคิดว่าอาหารพวกนี้อาจจะไม่ถูกใจพวกเรา แต่ที่กินไปเพราะหิวเลือกกินไม่ได้งั้นเหรอ ผมไม่ใช่ผู้ดีตีนแดงสักหน่อยไม่ต้องมาคิดแทนผมหรอกครับ ผมเป็นคนง่ายๆอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหล่ะ
เบริล
อย่าคิดเช่นนั้น กระไรข้าก็กินได้หมดแหล่ะ
ผมรับพูดปลอบพลางยิ้มให้ด้วยความจริงใจ น้าแกทำสุดฝีมือแล้ว และอร่อยมากจริงๆ
เบริลหันไปมองคาเร็นท์เป็นนัยว่าพูดให้กำลังใจน้าแกสักหน่อยสิ เด็กน้อยพอเข้าใจภาษากายได้จึงเสริมเบริลไป
คาเร็นท์
อืม...ใช่ ข้าเป็นคนง่ายๆ กระะไรข้าก็กินได้
ห๊ะ? แค่เนี้ยอุตส่าห์ส่งให้ พูดแค่เนี้ย แถมเหมือนคำพูดผมอีก พูดอย่างอื่นด้วยก็ได้ไหม เดี๋ยวน้าแกก็คิดว่าไม่เต็มใจพูดหรอก ยัยเด็กไร้มารยาทนี่
แต่น้าแกก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ แกยิ้มนิดๆประมาณว่าขอบใจที่ปลอบใจคนแก่ ก่อนจะพาเด็กๆเก็บถ้วยเก็บชามไปล้างหลังบ้านให้แขกได้คุยเรื่องสัพเพเหระกันไป
เบริล
ว่าแต่ ทำไมที่หมู่บ้านนี้มันดูเงียบๆ ผู้คนหายไปไหนกันหมด
ตอนแรกที่ผมมาถึงผมบอกไปแล้วใช่ไหมว่าเห็นบ้านหลังนี้ตั้งอยู่แถวชายป่าหลังเดียว แต่ก่อนหน้านี้ตอนทานข้าวด้วยกันพ่อแม่เด็กๆบอกว่าที่นี่เป็นหมู่บ้าน ผมก็ด้วยความที่สงสัยใคร่รู้เพราะถ้าหมู่ในความคุ้นเคยของทุกคนคือมีภาพชาวบ้านทำมาหากินค้าขายไปมาหาสู่กันเต็มไปหมด แต่นี่เงียบกริบไม่เห็นบ้านคนแม้สักหลังในระแวกนั้น
โดนเผาหมดแล้วงั้นเรอะ? แต่ถ้าโดนเผาก็ต้องมีร่องรอยของเศษเถ้าถ่านบ้างสิ แต่นี่ไม่เห็นเลย ที่นี่ หมู่บ้านนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
พ่อของเด็กๆถามผม ผมพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเริ่มเล่าให้ผมฟังว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่บ้าง
เขาเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อหลายปีก่อนเกิดสงครามจักรกลขึ้นในเมือง สงครามนั้นร้ายแรงขึ้นทุกวันจนส่งผลกระทบมาถึงเมืองเล็กๆหรือแม้กระทั่งในหมู่บ้านของเขา จึงส่งผลให้ผู้คนอดยากและล้มตายมากมายบ้างก็หนีเข้าเมือง บ้างมีญาติก็หนีไปพึ่งญาติ จนหมู่บ้านแทบร้างเหลือเพียงไม่กี่หลังในระแวกนี้ และไม่กี่หลังที่ว่าส่วนใหญ่ก็เป็นคนแก่ที่หวงทรัพย์สมบัติและที่ดินทำมาหากินในบ้านไม่ยอมไปไหน บางส่วนก็เป็นแบบครอบครัวของเด็กๆที่เขาช่วยเหลือคือมีเด็กเล็กหรือคนท้องแก่ไม่สะดวกต่อการเดินทางไกลๆ คนที่อยู่ก็เลยต้องดิ้นรนต่อสู้กันไปถึงแม้จะโดนขู่รีดไถจากพวกใจชั่วก็ตาม
เห้อ ฟังแล้วมันน่าหดหู่ใจยิ่งนัก สงครามมันมีดีอะไรนักหนาถึงชอบให้เกิดขึ้นจัง ผมก็เห็นแต่ข้อเสียทั้งนั้น อย่างน้อยก็ชีวิตคนบริสุทธิ์ล่ะ
เบริล
สงครามเป็นจุดสิ้นสุดของทุกสิ่ง เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี
ผมได้แต่พูดอย่างคนปลง ไม่ต่างจากเจ้าของบ้านมากนัก
คาเร็นท์
พูดยังกับว่า ที่ที่เจ้ามาก็มีสงครามงั้นแหล่ะ
คาเร็นท์ที่นั่งฟังตั้งแต่ต้น ตั้งคำถามกับผม ทำไมล่ะถึงจะดูเหมือนนักเดินทางใช้ชีวิตวันๆไปกับการผจญภัย ดูไม่มีเรื่องให้กังวลในชีวิต ดูไม่เหมือนคนที่สูญเสีย แต่จริงๆแล้วผมน่ะ ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างนะ
ผมตอบเสียงเศร้า ไม่มีอารมณ์จะเล่นสนุกอะไรด้วยแล้ว ยิ่งนึกถึงก็มีแต่เพียงความเจ็บปวดในความทรงจำ มันช่างเป็นเรื่องที่ทรมานเกินกว่าจะเยียวยาได้จริงๆแม้จะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม ไม่มีทางที่จะลบเลือนมันได้เลย
เด็ก 2
สงครามแบบไหนหรือพี่ชาย
เด็กๆล้างถ้วยชามช่วยแม่เสร็จและเดินเข้ามาจากทางหลังบ้านได้ยินที่เบริลพูดพอดี ด้วยความอยากรู้จึงเอ่ยถามขึ้นมากลางวงสนทนาตามประสาเด็ก
แม่
ชู่ว เด็กๆนี่มิใช่เรื่องของพวกเจ้า
น้าหญิงปรามเด็กๆเพราะกลัวจะเสียมารยาทต่อหน้าแขก แต่ผมไม่คิดว่างั้นนะ เด็กเป็นวัยอยากรู้อยากเห็น ดูตาใสซื่อไร้เดียงสานั่นสิคงอยากรู้เสียเต็มประดาเขาไม่ผิดนะเขาแค่อยากรู้ ฉะนั้นผู้ใหญ่เองก็ควรใช้เหตุผลคุยกับเขาไม่ดุด่าหรือตะคอกเพราะทำแบบนั้นไปเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาผิดอะไร มีแต่จะสงสัยและกลัวที่จะถามอยู่แบบนั้น
ผมว่าแค่ตอบคำถามที่เขาอยากจะรู้ถ้าพอใจแล้วเขาก็เงียบไปเอง ผมเข้าใจเพราะตอนเด็กผมก็เป็นเด็กช่างถามคนหนึ่งเหมือนกัน
เบริล
ข้าก็มิค่อยรู้เรื่องนักหรอกหนา คงจักทำนองเดียวกันนี่แหล่ะ ที่ไหนมีประโยชน์ที่นั่นย่อมมีการแย่งชิง เจ้าว่าจริงไหม
ผมยิ้มและถามเพื่อให้เด็กๆมีส่วนร่วมด้วย
เด็ก 1
สงครามนี่มันน่ากลัวจริงๆ
มือน้อยๆจับคางทำท่าครุ่นคิด ถ้าให้เดาเจ้าสองแสบนี่คงจินตนาการภาพสงครามในหัวอยู่แน่ๆ
เบริล
แล้วเรื่องที่พวกนั้นมาทวงหนี้ล่ะ
คราวนี้ผมถามเรื่องที่ครอบครัวนี้ติดหนี้มั้ง ผมสงสัยอยู่อย่างหนึ่งว่าไอ้พวกนั้นที่ยกกันมาเป็นสิบจะแค่มารีดไถตังแค่นั้นเหรอ แถมมีนักเวทย์ฝีมือดีมาด้วย แค่กับชาวบ้านตาดำๆไม่น่าจะต้องใช้คนมีฝีมือมาจัดการนี่น่า แสดงว่ามันต้องมีคนหนุนหลังเพื่อคิดจะทำบางอย่างแน่ๆ
พ่อ
พวกเรามิมีทางออก เลยจำเป็นต้องไปกู้พวกมัน
เบริล
ที่พวกมันต้องทำร้ายร่างกายขนาดนี้ เป็นเพราะพวกน้า เอ่อ...
ผมลังเลที่จะถามอยู่ครู่หนึ่งแต่ถ้าไม่ถามก็ไม่รู้เรื่องอีกก็เลยรีบๆถามดีกว่า
ของที่ผมว่าไม่ใช่ของผิดกฎหมายแต่เป็นพืชผลทางการเกษตร ส่วยต่างๆหรือชิ้นส่วนของสัตว์ใดๆก็แล้วแต่ตามที่จะตกลงกัน
น้าชายพยักหน้าเป็นอันรับรู้ว่าสิ่งที่ผมสื่อกับที่ผมเข้าใจนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน
พ่อ
เนื่องด้วยช่วงนี้เศรษฐกิจมิค่อยดี ขายของกระไรก็มิค่อยได้ นี่ก็ขาดส่งมามิถึง 2 เดือนด้วยซ้ำ มิคิดว่ามันจักบุกมาถึงบ้านขนาดนี้
อ๋อ แบบนี้นี่เองมันถึงตามมาถึงบ้านเพราะอย่างไรเสียหากไม่ได้ของที่ตกลงกันก็ขอให้ได้เงินทองกลับไป ไม่สิบางทีมันอาจจะเล็งอย่างอื่นไว้ เพราะทราบอยู่แล้วว่าอย่างไรชาวบ้านก็ไม่มีเงินไปใช้หนี้มันได้แน่ และสิ่งนั้นก็คือ....
เบริล
พอเห็นว่ามิมีเงินใช้หนี้ ก็เลยคิดจักจับพวกเด็กๆไปทำงานขัดดอกล่ะสิหนา
ผมโพล่งขึ้นดังไปหน่อยจนทำให้เด็กๆกลัวและถอยไปอยู่ใกล้ๆแม่ จนต้องปลอบเรียกขวัญกันใหญ่
เด็ก 2
ข้า...ข้ากลัวท่านแม่
คาเร็นท์
ใช่ มิต้องกลัว พี่สาวอยู่นี่ทั้งคน
พ่อของเด็กๆหน้าตาเคร่งเครียดก่อนเล่าความจริงที่น่ากลัวของพวกมันยิ่งกว่าการขัดดอกอย่างที่ผมคิด
พ่อ
มันมิใช่แค่ขัดดอกหนา มันแย่กว่านั้นอีกพ่อหนุ่ม พวกมันน่ะคิดจักขายเด็กๆไปเป็นทาส ร้ายแรงกว่านั้นอาจจักเป็นอาหารให้พวกนอกรีดด้วยซ้ำไป
ยุคนี้สมัยนี้มันยังมีมนุษย์กินคนหลงเหลืออยู่อีกเหรอ ผมไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย มันจะจิตใจโหดเหี้ยมเกินมนุษย์มะนาไปแล้วนะ
ผมทุบกำปั้นลงกับโต๊ะ เลือดขึ้นหน้าแล้วตอนนี้ อยากจะจับพวกชั่วนั่นมารับโทษให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันทำ ไม่ก็ฆ่ามันล้างแค้นแทนเด็กๆไปเลย
เบริล
ไอ้ระยำ!!! ถ้าทำแบบนั้นได้ก็เกินคนแล้ว
ผมเผลอทำให้เด็กๆกลัวอีกแล้ว พวกเขากอดแม่ตัวเอง เสียขวัญกันหมดแล้วมั้ง ตกใจหลายรอบแล้วเนี่ย ขอโทษได้ไหม พี่ไม่ได้ตั้งใจ ที่แสดงออกมาก็แค่ความในใจทั้งนั้น
คาเร็นท์
ข้าว่าน้าพาเด็กๆ เข้าห้องก่อนเถิด
คาเร็นท์
อย่าดื้อเด็กๆ เข้าห้องไปหนา
เด็กๆยอมฟังที่คาเร็นท์บอกก่อนจะเดินตามแม่เข้าห้องไป เด็กนี่คุยกันง่ายดีเนอะ ดูเชื่อฟังกันดีซะเหลือเกิน
คาเร็นท์
นี่เจ้า เจ้ารู้ตัวไหมว่าทำให้เด็กๆกลัว
แหม ส่งเด็กๆเข้าห้องเสร็จปุป ก็หันมาต่อว่ากันปับเลยนะ แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมากหรอก นอกจากขอโทษไปเท่านั้น
เบริล
ข้ามิได้ตั้งใจ ข้าแค่โมโหเจ้าพวกนั้น
พ่อ
จริงๆคงเป็นเพราะข้าเอง ข้าผิดเอง ข้ามิน่าพูดกระไรต่อหน้าลูกๆเลย
ผู้เป็นพ่อเห็นผมทำหน้าสำนึกผิดแกก็พลอยรู้สึกผิดไปกับผมด้วย
เบริล
นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าต้องไปก่อน
ผมเปลี่ยนเรื่องเผื่อบรรยากาศรอบๆจะดีขึ้นบ้าง อย่างไรเสียผมก็จะต้องเดินทางอีกไกลรีบไปจะดีกว่า
เบริล
อย่างไรก็ขอบคุณท่านน้าแลครอบครัวมากที่ช่วยข้า
คาเร็นท์ที่ได้ยิน ก็แอบหัวเราะผมเบาๆ ก่อนพูดขึ้นมา
คาเร็นท์
คิดว่าจักเข้าไปได้ง่ายๆรึ
ผมคิ้วขมวดงงกับสิ่งที่ยัยเด็กเปี๊ยกพูด ยัยนี่พูดอะไร รู้อะไรมา
คาเร็นท์
ทั้งโจร สัตว์ร้าย ตัวประหลาด ไหนจักทหารอีก เข้าไปก็ตายเปล่า
คาเร็นท์ขยายความ อ๋อ นึกว่าอะไรข้อมูลพื้นๆ นักเดินทางที่ไหนเขาก็รู้ ก็เมืองมัลคาไดน์ออกจะดัง ชื่อเสียงกระฉ่อนลือไกลถึงไหนต่อไหน ไม่รู้สิแปลก แต่เจ้าตัวก็คงเตือนด้วยความหวังดีนั่นแหล่ะ แต่หวังดีกี่เปอร์เซ็นต์กันอันนี้ไม่อาจรู้ได้
คนตัวเด็กว่าชายหนุ่ม ในเมื่อรู้แต่ยังจะไปก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นแหล่ะที่จะยอมเอาชีวิตไปทิ้งน่ะ
เบริล
เพื่อบ้านเกิดของข้าถึงตายข้าก็ยอม
👑
👑
👑
👑
👑
👑
👑
👑
👑
👑
👑
👑
👑
👑
👑
Comments