THE OPERATION : GOING DARK (แนวทางเลือก)
การตาย.....การตายจะไม่สิ้นสุด จนกว่าทุกสิ่ง.....จะตายไปพร้อมกัน
...ข่าวช่อง 35...
"นี้ก็เป็นสัปดาห์ที่2ละค่ะ ที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังออกตามล่าผู้สมรู้ร่วมคิดในการลักพาตัวผู้คนนับ40กว่ารายในแถบจังหวัดลพบุรีค่ะ"เสียงนักข่าวที่กำลังอ่านข่าวอยู่ในทีวีช่อง35
"เมื่อช่วงสายของวันนี้เวลาประมาณ 10:30 พลตำรวจเอก ฐานศักธิ์ สีขมิ้น ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่องของการออกตามล่าตัวผู้ที่มีส่วนรู้ร่วมคิดในการลักพาตัวผู้คนในแถบจังหวัดลพบุรี โดยพลตำรวจเอก ฐานศักธิ์ สีขมิ้น ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไว้ว่า"
"ตอนนี้ทางตำรวจเราก็พยายามตามล่าตัวผู้กระทำผิดอยู่ครับ แต่ทางเราก็ต้องขอเวลาซักหน่อยนะครับในการตามล่าตัวผู้กระทำผิด พี่น้องชาวลพบุรีทุกท่านอย่างพึ่งกังวลใจไปนะครับ พวกเราทำเต็มที่ที่สุดแล้วครับ แต่ผมรับรองได้เลยว่าในไม่ช้าทางเราจะสามารถจับตัวผู้กระทำผิดม่ได้แน่นอนครับ ขอบคุณครับ"
"โดยพลตำรวจเอก ฐานศักธิ์ สีขมิ้น แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนไว้เพียงเท่านี้ค่ะ และส่วนเรื่องการลักพาตัวที่ลพบุรี ทางเราก็ต้องขอเล่าย้อนไปยังจุดเริ่มต้นกันก่อน สำหรับคนที่ยังไม่ทราบข่าว เราต้องย้อนกลับไปวันที่1 เมษายน ปี2017 ผู้ที่โดนลักพาตัวไปรายแรกคือ นายธนพัฒน์ บุญประสงค์ ชายชาวไทย อายุ35ปี ส่วนสูง175ซม. น้ำหนัก80กิโลกรัม ประกอบอาชีพเป็นตำรวจจราจร ในช่วงเวลาประมาณ18:30 เขาได้หายตัวไปในขณะที่เขาขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านของเขาเอง..."
ก่อนที่เสียงข่าวจะดำเนินไปถึงเหตุการณ์ถัดไป ทีวีก็ถูกปิดลง เสียงคลิกของรีโมทดังขึ้นแผ่วเบา ภายในห้องนั่งเล่นที่เงียบสงบ ม่านหน้าต่างถูกปิดสนิทกันแสงภายนอก ปล่อยให้ความมืดปกคลุมห้อง มีเพียงแสงสีฟ้าจากหน้าจอโน๊ตบุ๊คบนโต๊ะรับแขกที่ส่องให้เห็นโครงหน้าของชายหนุ่มเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่และกำยำของเขานั่งพิงโซฟาตัวเก่า ผมรองทรงสูงสีดำน้ำตาลเข้ม ริมฝีปากเม้มแน่น ตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนแสงจอ ผิวขาวเหลืองใต้เสื้อยืดตัวบางนั้นเผยให้เห็นรอยสักคำว่า "อรินทราช 26" กลางหลังอย่างจางๆ
ชายหนุ่มถอนหายใจหนัก มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา หน้าจอมือถือสว่างขึ้นในความมืด เขาจ้องไปที่ชื่อเบอร์โทรก่อนจะกดโทรออก เสียงสัญญาณรอสายดังเป็นจังหวะ ชายหนุ่มนั่งนิ่ง รอคอยเสียงตอบรับจากปลายสาย เสียงจากพลตำรวจเอกฐานศักธิ์ สีขมิ้นดังขึ้นในที่สุดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นตามปกติ
“มีเรื่องด่วนใช่ไหม?” พลตำรวจเอกถามขึ้นทันที
“ครับท่าน ผมมีข้อมูลสำคัญที่ได้มาจากหน่วยข่าวกรอง NIA เกี่ยวกับคดีลักพาตัวที่ลพบุรี” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ผมต้องการขออนุมัติทำปฏิบัติการบุกตรวจค้นคฤหาสน์ลึกลับกลางป่าทางเหนือครับ”
ปลายสายเงียบไปสักพัก “เล่ามาให้ละเอียดกว่านี้”
“คฤหาสน์ขนาดใหญ่สไตล์วิคตอเรีย ที่ตั้งอยู่ในป่าลึกทางเหนือของจังหวัดลพบุรี ที่นั่นถูกพบว่ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติเมื่อไม่นานมานี้ ข้อมูลจาก NIA ระบุว่ามันอาจเป็นสถานที่ที่ผู้ลักพาตัวซ่อนตัวอยู่ แหล่งนี้ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัย ไม่มีผู้ดูแล แต่บรรยากาศรอบๆ เป็นที่ปิดตายและเข้าถึงยากครับ ผมเชื่อว่ามันอาจเป็นจุดที่พวกนั้นใช้ซ่อนเหยื่อที่ถูกลักพาตัว”
พลตำรวจเอกฐานศักธิ์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนถามต่อ “แล้วนายคิดจะทำยังไงต่อ?”
“ผมต้องการขออนุมัติให้หน่วยอรินทราช 26 เข้าปฏิบัติการบุกค้นคฤหาสน์ในวันพรุ่งนี้ครับ เราจะไม่แทรกซึมเข้าไปแต่จะบุกโดยตรง เพราะสถานที่นั้นดูไม่มีคนคอยดูแลหรือมีระบบป้องกันใดๆ พวกเราสามารถเข้าไปหาข้อมูลและค้นหาเหยื่อที่ถูกลักพาตัวได้” ชายหนุ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมา “ดี งั้นพรุ่งนี้นายพร้อมจะนำทีมบุกใช่ไหม?”
ชายหนุ่มตอบทันที “ใช่ครับท่าน ผมพร้อมจะเป็นหัวหน้าทีมในการปฏิบัติการนี้”
“แผนที่นายวางไว้ยังไงบ้าง?” พลตำรวจเอกถามต่อ
“พรุ่งนี้เราจะประชุมแผนการที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลครับ ที่นั่นผมจะไปพบกับคนในหน่วยอรินทราช 26 และวางแผนร่วมกันอย่างละเอียด ท่านอาจต้องเข้าร่วมด้วยเพื่ออนุมัติขั้นสุดท้ายก่อนปฏิบัติการเริ่มครับ” ชายหนุ่มกล่าว
พลตำรวจเอกพยักหน้าแม้ชายหนุ่มจะมองไม่เห็น “เข้าใจแล้ว ฉันจะไปที่นั่นและเข้าร่วมประชุม พวกเราต้องวางแผนให้ละเอียดและมั่นใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด นายเป็นหัวหน้าก็ขอให้รับผิดชอบทุกอย่างด้วย”
“ครับท่าน ผมจะไม่ทำให้ผิดหวัง” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความมั่นใจ
พลตำรวจเอกฐานศักธิ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ดี งั้นเจอกันพรุ่งนี้ที่กองบัญชาการ อย่าพลาดล่ะ”
"ครับท่าน" ชายหนุ่มตอบกลับ ก่อนจะวางสายลงอย่างเงียบๆ
หลังจากชายหนุ่มวางสายโทรศัพท์ลง เขานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปยังห้องนอนที่อยู่ติดกับห้องนั่งเล่น ท่ามกลางแสงสลัวที่ลอดผ่านผ้าม่านหนาทึบ ชายหนุ่มถอดเสื้อยืดสีดำออก เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ใหญ่และชัดเจน ผิวหนังของเขามีสีขาวเหลือง กล้ามเนื้อแน่นเป็นลอนแสดงถึงความแข็งแรงและการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงตามมาตรฐานของหน่วยอรินทราช 26
กลางแผ่นหลังของเขา มีรอยสักคำว่า “อรินทราช 26” เป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจที่เขาสะสมมาตลอดช่วงเวลาของการทำงานในหน่วย แต่เหนือสิ่งอื่นใด ร่องรอยของบาดแผลหลายแห่งที่ประดับร่างกายเขาเป็นหลักฐานของภารกิจที่ยากลำบากในอดีต บาดแผลเก่าที่เป็นทั้งแผลฉกรรจ์และรอยกระสุนบ่งบอกถึงการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ทั้งหมดนี้คือเครื่องหมายของความเสียสละและความอันตรายที่เขาต้องเผชิญ
เขาเดินเข้าห้องน้ำอย่างช้าๆ ก่อนจะเปิดน้ำจากฝักบัว น้ำเย็นกระทบลงบนร่างกายของเขา ทำให้ความเหนื่อยล้าจางหายไปเล็กน้อย แต่ความเจ็บปวดภายในยังคงอยู่ ร่องรอยในใจของเขานั้นลึกกว่าบาดแผลที่เห็นบนร่างกาย
เขายืนอยู่ใต้สายน้ำ สายตาของเขาค่อยๆ ปิดลง ความคิดเริ่มพัดพาเขาย้อนกลับไปสู่อดีต ภารกิจครั้งนั้น—วันที่เขาไม่สามารถช่วยลูกทีมให้รอดพ้นจากความตายได้ เสียงระเบิดที่ดังก้องในหัว ความมืดมิด และเสียงของเพื่อนร่วมทีมที่เรียกหาเขาครั้งสุดท้าย ทุกอย่างยังคงสดใหม่เหมือนเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวาน ความรู้สึกผิดทับถมในจิตใจทำให้เขาอึดอัด
น้ำที่ไหลผ่านใบหน้าไม่อาจปกปิดหยดน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาของเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มพยายามห้ามตัวเองไม่ให้แสดงความอ่อนแอ แต่ในความเงียบและความมืดมิดของห้องน้ำ ความรู้สึกของเขาเริ่มทะลักออกมา
เขาไม่อาจทนกับความเจ็บปวดในใจได้อีกต่อไป เสียงสะอื้นของเขาค่อยๆ ดังขึ้น แม้จะพยายามกลั้นไว้เพียงใดก็ตาม ภาพของลูกทีมที่เขาเคยสาบานว่าจะปกป้องยังคงตามหลอกหลอนเขา เสียงของครอบครัวพวกเขาที่ส่งข้อความสุดท้ายให้ก่อนที่ภารกิจจะเริ่มต้น ทุกอย่างกำลังกลับมาโถมใส่เขาอีกครั้ง
เขาทรุดตัวลงกับพื้นห้องน้ำ ท่ามกลางสายน้ำที่ยังคงไหล ร้องไห้อย่างเงียบๆ ด้วยความเสียใจและความรู้สึกผิดที่ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ เขาอ่อนแอและเปราะบางในช่วงเวลานี้ แม้จะเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสนามรบก็ตาม
แต่ถึงแม้ความเจ็บปวดจะท่วมท้น เขาก็รู้ว่าพรุ่งนี้ยังมีอีกหนึ่งภารกิจรออยู่ และมันอาจเป็นโอกาสที่เขาจะกอบกู้ศักดิ์ศรีที่เสียไปจากอดีต
...10 นาทีต่อมา...
ชายหนุ่มเดินออกจากห้องน้ำพร้อมผ้าเช็ดตัวที่พันรอบเอว ร่างกายของเขาเปียกชุ่ม แต่เขาไม่ได้สนใจจะเช็ดตัวให้แห้ง สายตาของเขามองตรงไปยังโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นที่เขาปิดไว้เมื่อครู่ เขายืนหยุดชั่วครู่ หายใจลึกๆ ก่อนจะหยิบรีโมทแล้วกดเปิดทีวีอีกครั้ง
หน้าจอทีวีปรากฏภาพนักข่าวสาวที่กำลังรายงานด้วยท่าทีจริงจัง ข้อความใต้ภาพพาดหัวว่า “ครบรอบ 25 ปี การสังหารหมู่ในจังหวัดบุรีรัมย์” ทำให้ชายหนุ่มหยุดนิ่ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นตึงเครียดทันที เมื่อชื่อ "บุรีรัมย์" ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ความทรงจำเก่าๆ เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขา ภาพที่เขาพยายามฝังลึกและหลีกเลี่ยงที่จะนึกถึงกลับผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน
นักข่าวสาวยังคงรายงานต่อ “วันนี้เป็นวันครบรอบ 25 ปีของเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของจังหวัดบุรีรัมย์ เหตุการณ์การสังหารหมู่ที่คร่าชีวิตประชาชนกว่า 60 คนในคืนเดียว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1992 และจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุที่แท้จริง หรือสาเหตุที่แท้จริงของโศกนาฏกรรมครั้งนั้น...”
ชายหนุ่มกัดกรามแน่น ขอบตาเริ่มแดงด้วยความโกรธ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาจ้องไปที่หน้าจอทีวีอย่างไม่วางตา ภาพข่าวย้อนกลับไปยังภาพฟุตเทจเก่าๆ ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1992 ตำรวจและหน่วยกู้ภัยพยายามเก็บศพผู้เคราะห์ร้ายท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงร้องของผู้คน เหตุการณ์นั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆ คน
เสียงนักข่าวรายงานต่อ “แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ความลึกลับของเหตุการณ์ยังคงคลุมเครือ คำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบว่าใครคือผู้บงการ และมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ครั้งนั้น...”
ชายหนุ่มปิดทีวีด้วยความรุนแรง เสียงคลิกของรีโมทดังขึ้นอย่างชัดเจนในความเงียบของห้อง ใจของเขากำลังเต้นรัวด้วยความโกรธ มือของเขาสั่นเล็กน้อยเมื่อวางรีโมทลงบนโต๊ะ หัวใจของเขาเต้นแรงและลมหายใจเริ่มกระชั้น
"ทำไมถึงต้องเป็นวันนี้..." เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ ราวกับพยายามควบคุมความคิดและอารมณ์ไม่ให้ปะทุ
^^^วันที่15 เมษายน ปี2017 กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย^^^
เช้าวันถัดมา ชายหนุ่มสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์สไตล์บ๊อบเบอร์ของเขา เสียงเครื่องยนต์คำรามก้องในอากาศ ขณะที่เขาสวมหมวกกันน็อคแล้วใส่หูฟังเพลง เปิดเพลง "Animal I Have Become" ของวง Three Days Grace ขึ้นมา เสียงดนตรีหนักแน่นและเนื้อเพลงที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดภายในทำให้เขารู้สึกเหมือนมีเสียงของตัวเองสะท้อนออกมาในบทเพลง เขาคิดว่ามันเหมาะกับตัวเขาในตอนนี้ ที่กำลังพยายามควบคุมสัญชาตญาณดิบของตัวเองหลังจากการทรมานที่ต้องเผชิญในอดีต
ในระหว่างที่ขับรถไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล ถนนทั้งสองข้างมีต้นไม้ใหญ่เรียงราย กอไผ่สูงและอาคารเก่าแก่ของกรุงเทพฯ ผสมผสานกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดของเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในลพบุรี ชายหนุ่มกดเร่งความเร็วของมอเตอร์ไซค์ให้เร็วขึ้น ดนตรีที่ดังลั่นในหูทำให้เขารู้สึกมีพลังและมุ่งมั่นมากขึ้น แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวลและความคิดถึงเหตุการณ์ที่ไม่อาจลืมเลือน
เมื่อมาถึงกองบัญชาการตำรวจนครบาล เขาจอดรถมอเตอร์ไซค์แล้วลงจากรถอย่างมั่นใจ ขาเรียวยาวเดินไปยังอาคารหลัก เขาสวมชุดตำรวจอย่างเป็นทางการ มีอาการเคร่งขรึมและมุ่งมั่น ปลายเท้าของเขาย่ำลงบนพื้นอย่างหนักแน่น เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นเป็นจังหวะที่ดังก้องไปทั่วบริเวณ
เขาเดินตรงไปยังห้องประชุมของหน่วยอรินทราช 26 ประตูไม้ใหญ่ที่มีป้ายชื่อหน่วยติดอยู่ ทำให้เขารู้สึกถึงบรรยากาศของความเป็นมืออาชีพ ความตึงเครียดที่อยู่ในอากาศและความรับผิดชอบที่รออยู่ข้างหน้า ในเมื่อเปิดประตูเข้าไป เขาก็พบว่าภายในห้องประชุมมีเพียงพลตำรวจเอกฐานศักธิ์ สีขมิ้น นั่งอยู่คนเดียวในห้อง
“ท่าน!” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นเสียงหนักแน่น พลตำรวจเอกหันมามองเขา ดวงตาของเขาแสดงถึงความจริงจังและความคาดหวัง
“ดีที่มาถึงเร็ว” พลตำรวจเอกกล่าวก่อนจะพยักหน้า “เรามีเวลาพอที่จะเตรียมตัวก่อนที่เราจะเริ่มประชุม”
ชายหนุ่มเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะประชุม ขณะที่พลตำรวจเอกเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานและข้อมูลที่ได้รับจากหน่วยข่าวกรอง “ข้อมูลที่นายให้มานั้นน่าสนใจมาก เราจะต้องเตรียมทีมให้พร้อมและดำเนินการให้เร็วที่สุด”
“ใช่ครับท่าน” ชายหนุ่มตอบอย่างจริงจัง “ผมเชื่อว่าเราจะสามารถค้นพบเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับคดีนี้ได้”
พลตำรวจเอกมองไปที่แผนที่บนโต๊ะ ซึ่งถูกหมายเหตุไว้อย่างละเอียด “เราอาจต้องทำการสำรวจพื้นที่ใกล้เคียงก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าคฤหาสน์นั้นไม่มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย “เราต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีกครั้ง”
พลตำรวจเอกยิ้มให้เขา “นายรู้ว่ามันไม่ใช่แค่การปฏิบัติการธรรมดา มันคือการสร้างความยุติธรรมให้กับเหยื่อ”
ชายหนุ่มนั่งฟังน้ำเสียงของพลตำรวจเอกที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและแรงบันดาลใจ ความรู้สึกผิดในอดีตเริ่มคลี่คลาย และเขารู้ว่าตนเองมีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จในครั้งนี้
หลังจากที่การสนทนาระหว่างชายหนุ่มกับพลตำรวจเอกฐานศักธิ์เสร็จสิ้น ประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง หน่วยอรินทราช 26 จำนวน 6 นายเดินเรียงเข้ามาในห้องทีละคน ทุกคนสวมชุดปฏิบัติการเต็มยศ เครื่องแบบสีดำเข้มและท่าทางมาดมั่นบ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพ พวกเขาตรงไปยังตำแหน่งของพลตำรวจเอกก่อนที่จะทำความเคารพอย่างเป็นทางการด้วยความเคารพสูงสุด
“สวัสดีครับท่าน!” พวกเขากล่าวพร้อมกัน น้ำเสียงแข็งแกร่งดังลั่นห้อง
พลตำรวจเอกฐานศักธิ์พยักหน้ารับ “นั่งลงได้”
หน่วยอรินทราชทั้ง 6 คนทำตามคำสั่งทันที พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้รอบโต๊ะประชุม เต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและระมัดระวัง แต่ก็เต็มไปด้วยความตั้งใจและเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจที่รออยู่เบื้องหน้า
พลตำรวจเอกฐานศักธิ์มองไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะเริ่มแนะนำให้ทุกคนรู้จัก “นี่คือร้อยตำรวจตรีจักรพรรดิ ศราวิทย์ เขาจะเป็นหัวหน้าทีมในภารกิจครั้งนี้ รู้จักกันไว้”
จักรพรรดิ ศราวิทย์ ลุกขึ้นยืนเล็กน้อยพร้อมพยักหน้าแสดงความเคารพและทักทายทีมหน่วยอรินทราชอย่างสุภาพ แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าภารกิจนี้ แต่เขาก็เคารพในฝีมือและประสบการณ์ของเพื่อนร่วมทีมทุกคน
“จักรพรรดิ เป็นหนึ่งในสมาชิกหน่วยที่มีความสามารถสูงสุด เขาเคยผ่านภารกิจเสี่ยงตายมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้เขาจะนำทีมเราเข้าสู่คฤหาสน์ลึกลับในป่าลพบุรีที่เราคาดว่าอาจเป็นที่ซ่อนตัวของพวกคนร้าย” พลตำรวจเอกกล่าวแนะนำอย่างจริงจัง “ทุกคนจะต้องประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เข้าใจไหม?”
หน่วยอรินทราชทั้ง 6 คนพยักหน้ารับคำพร้อมกัน สายตาเต็มไปด้วยความเคารพและพร้อมปฏิบัติตามทุกคำสั่งของจักรพรรดิ
หลังจากที่พลตำรวจเอกฐานศักธิ์แนะนำจักรพรรดิให้หน่วยอรินทราช 26 ทั้ง 6 คนรู้จักแล้ว บรรยากาศในห้องประชุมกลับดูอึดอัดเล็กน้อย แม้ทุกคนจะเคารพคำสั่งและรู้จักกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน แต่สายตาที่พวกเขามองจักรพรรดินั้นแฝงไปด้วยความสงสัยและไม่ค่อยเชื่อใจนัก
ชายหนุ่มรู้สึกถึงสายตาของแต่ละคนที่มองมา มันไม่ใช่การต้อนรับที่อบอุ่นสักเท่าไหร่ พวกเขามองเขาด้วยความกังขา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะเขายังหนุ่มแน่นอายุไม่ถึง 30 ปี ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมแต่ละคนนั้นล้วนแต่เป็นทหารผ่านศึกที่มีอายุเกิน 30 กันหมด ทุกคนในทีมล้วนแต่มีประสบการณ์ในสนามรบมายาวนาน และนั่นทำให้พวกเขามองจักรพรรดิว่าอ่อนประสบการณ์
พลตำรวจเอกฐานศักธิ์สังเกตเห็นความเงียบที่เริ่มปกคลุมห้อง เขาเลยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "ก่อนที่เราจะไปประชุมแผนการกัน พวกนายแนะนำตัวกันหน่อยแล้วกัน"
ชายคนแรกที่นั่งตรงข้ามจักรพรรดิเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ มีกล้ามเนื้อแน่น ผิวเข้ม ผมสั้นเกรียนตามสไตล์ทหาร เขาลุกขึ้นยืนเล็กน้อยก่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมชื่อเคน อายุ 35 ปี เคยทำงานในหน่วยรบพิเศษของกองทัพบกมาก่อน ก่อนที่จะย้ายมาหน่วยอรินทราช 26”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับฟัง ก่อนที่จะเป็นคิวของชายคนถัดไป เขามีรูปร่างผอมแต่ดูแข็งแรงไม่แพ้กัน “โชกุนครับ อายุ 34 ปี เคยปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยกู้ระเบิดมาก่อนที่จะย้ายมาหน่วยนี้”
จากนั้นชายอีกคนซึ่งดูร่าเริงที่สุดในกลุ่มก็ลุกขึ้น “ชื่อบอลครับ อายุ 32 ปี เคยอยู่หน่วยคอมมานโด ทำงานภาคสนามมาหลายปี ยินดีที่ได้ร่วมงานกันครับ” เขาพูดพลางยิ้มให้เล็กน้อย แต่ก็ยังดูเหมือนจะเก็บความรู้สึกสงสัยไว้
ทิว ชายผู้เงียบขรึมเป็นคนต่อมา “ทิว อายุ 36 ปี เป็นมือปืนของหน่วย ทำงานด้านซุ่มยิงมาหลายภารกิจ”
คนสุดท้ายที่ลุกขึ้นยืนคือชายที่ดูเป็นผู้นำที่สุดในกลุ่มรองจากจักรพรรดิ “ผมชื่อเจม อายุ 38 ปี เป็นหนึ่งในคนที่อยู่กับหน่วยอรินทราช 26 มานานที่สุด เคยร่วมปฏิบัติการมาหลายสิบครั้ง”
หลังจากทุกคนแนะนำตัวกันเสร็จแล้ว ความเงียบครอบคลุมบรรยากาศอีกครั้ง จักรพรรดิรู้ว่าพวกเขายังไม่ไว้ใจเขาเต็มที่นัก แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเขามีเวลาในการพิสูจน์ตัวเองในภารกิจนี้
เขาหายใจลึกๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและมั่นคง "ผมเข้าใจว่าพวกคุณอาจจะยังไม่ค่อยไว้ใจผม เพราะผมยังอายุน้อย แต่ผมขอให้พวกคุณเปิดใจและให้โอกาสผมพิสูจน์ตัวเองในภารกิจนี้ ผมมั่นใจว่าเราจะทำงานร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา"
เคนซึ่งเป็นคนแรกที่แนะนำตัวเอ่ยขึ้นเบาๆ "ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ"
จากนั้นพลตำรวจเอกฐานศักธิ์ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะบอกให้ทุกคนเตรียมตัวเข้าสู่การประชุมวางแผนอย่างจริงจัง "เอาล่ะ เมื่อรู้จักกันแล้ว เราไปเริ่มวางแผนปฏิบัติการกันเถอะ"
หลังจากที่พลตำรวจเอกบอกทุกคนให้ไปประชุมแผน ทุกคนในทีมก็ได้เดินออกจากห้องไปพร้อมกัน แต่ระหว่างทางไปห้องประชุม บรรยากาศยังคงเงียบงัน จนกระทั่งเจม ซึ่งเป็นคนที่ดูจะไม่พอใจจักรพรรดิที่สุด เอ่ยปากพูดถากถางออกมา
"คนอย่างเอ็งนี่นะจะมาเป็นหัวหน้าทีมเรา?" เจมหันมามองจักรพรรดิด้วยสายตาเยาะเย้ย "เอ็งยังเป็นแค่เด็กน้อย อ่อนประสบการณ์ ไม่เคยเจออะไรหนักๆ ในสนามรบจริงจังเลยด้วยซ้ำ ข้าล่ะงงว่าพลตำรวจเอกคิดยังไงถึงตั้งเอ็งขึ้นมา แต่ยังไงซะ คงไม่เปลี่ยนใจให้ข้าเป็นหัวหน้าหรอก งั้นข้าจะดูเองว่าเอ็งเหมาะกับหัวหน้าทีมหรือเปล่า"
เสียงหัวเราะหยันๆ ของเจมทำให้คนอื่นๆ ในทีมแอบยิ้มเล็กๆ บางคนถึงกับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เคนและทิวหันมามองจักรพรรดิด้วยสายตาแสดงความกังขา ขณะที่โชกุนยังคงเงียบ แต่สายตาของเขาก็ไม่ได้ให้ความเชื่อมั่นอะไรนัก
จักรพรรดิรู้สึกถึงความกดดันที่ถาโถมเข้ามา แต่เขาเลือกที่จะไม่ตอบโต้อะไร เพราะในใจลึกๆ เขารู้ว่าพวกนั้นพูดถูก เขาอาจจะยังอ่อนประสบการณ์เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ เขายังจำภาพของทีมเก่า ที่เขาไม่สามารถช่วยพวกเขาให้รอดชีวิตกลับไปได้ ความผิดพลาดในภารกิจครั้งนั้นยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ทุกวัน
แต่ในขณะที่ทุกคนยังมองมาที่เขาเหมือนกับว่าเขาเป็นคนไม่มีน้ำยา บอล ซึ่งเป็นคนที่ดูเป็นมิตรที่สุดในทีม เดินเข้ามาตบไหล่จักรพรรดิแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง "ไม่ต้องไปสนใจพวกเขามากหรอก เอาเป็นว่าภารกิจครั้งนี้ถือเป็นโอกาสของนาย แสดงให้พวกเขาเห็นว่านายมีอะไรดีบ้าง ไว้เดี๋ยวพวกเขาก็จะเห็นเอง"
จักรพรรดิหันไปมองบอลและยิ้มออกมานิดๆ แม้ในใจจะยังคงรู้สึกกดดัน แต่คำพูดของบอลช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย "ขอบใจนะ"
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 4
Comments