การตาย.....การตายจะไม่สิ้นสุด จนกว่าทุกสิ่ง.....จะตายไปพร้อมกัน
...ข่าวช่อง 35...
"นี้ก็เป็นสัปดาห์ที่2ละค่ะ ที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังออกตามล่าผู้สมรู้ร่วมคิดในการลักพาตัวผู้คนนับ40กว่ารายในแถบจังหวัดลพบุรีค่ะ"เสียงนักข่าวที่กำลังอ่านข่าวอยู่ในทีวีช่อง35
"เมื่อช่วงสายของวันนี้เวลาประมาณ 10:30 พลตำรวจเอก ฐานศักธิ์ สีขมิ้น ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่องของการออกตามล่าตัวผู้ที่มีส่วนรู้ร่วมคิดในการลักพาตัวผู้คนในแถบจังหวัดลพบุรี โดยพลตำรวจเอก ฐานศักธิ์ สีขมิ้น ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไว้ว่า"
"ตอนนี้ทางตำรวจเราก็พยายามตามล่าตัวผู้กระทำผิดอยู่ครับ แต่ทางเราก็ต้องขอเวลาซักหน่อยนะครับในการตามล่าตัวผู้กระทำผิด พี่น้องชาวลพบุรีทุกท่านอย่างพึ่งกังวลใจไปนะครับ พวกเราทำเต็มที่ที่สุดแล้วครับ แต่ผมรับรองได้เลยว่าในไม่ช้าทางเราจะสามารถจับตัวผู้กระทำผิดม่ได้แน่นอนครับ ขอบคุณครับ"
"โดยพลตำรวจเอก ฐานศักธิ์ สีขมิ้น แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนไว้เพียงเท่านี้ค่ะ และส่วนเรื่องการลักพาตัวที่ลพบุรี ทางเราก็ต้องขอเล่าย้อนไปยังจุดเริ่มต้นกันก่อน สำหรับคนที่ยังไม่ทราบข่าว เราต้องย้อนกลับไปวันที่1 เมษายน ปี2017 ผู้ที่โดนลักพาตัวไปรายแรกคือ นายธนพัฒน์ บุญประสงค์ ชายชาวไทย อายุ35ปี ส่วนสูง175ซม. น้ำหนัก80กิโลกรัม ประกอบอาชีพเป็นตำรวจจราจร ในช่วงเวลาประมาณ18:30 เขาได้หายตัวไปในขณะที่เขาขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านของเขาเอง..."
ก่อนที่เสียงข่าวจะดำเนินไปถึงเหตุการณ์ถัดไป ทีวีก็ถูกปิดลง เสียงคลิกของรีโมทดังขึ้นแผ่วเบา ภายในห้องนั่งเล่นที่เงียบสงบ ม่านหน้าต่างถูกปิดสนิทกันแสงภายนอก ปล่อยให้ความมืดปกคลุมห้อง มีเพียงแสงสีฟ้าจากหน้าจอโน๊ตบุ๊คบนโต๊ะรับแขกที่ส่องให้เห็นโครงหน้าของชายหนุ่มเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่และกำยำของเขานั่งพิงโซฟาตัวเก่า ผมรองทรงสูงสีดำน้ำตาลเข้ม ริมฝีปากเม้มแน่น ตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนแสงจอ ผิวขาวเหลืองใต้เสื้อยืดตัวบางนั้นเผยให้เห็นรอยสักคำว่า "อรินทราช 26" กลางหลังอย่างจางๆ
ชายหนุ่มถอนหายใจหนัก มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา หน้าจอมือถือสว่างขึ้นในความมืด เขาจ้องไปที่ชื่อเบอร์โทรก่อนจะกดโทรออก เสียงสัญญาณรอสายดังเป็นจังหวะ ชายหนุ่มนั่งนิ่ง รอคอยเสียงตอบรับจากปลายสาย เสียงจากพลตำรวจเอกฐานศักธิ์ สีขมิ้นดังขึ้นในที่สุดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นตามปกติ
“มีเรื่องด่วนใช่ไหม?” พลตำรวจเอกถามขึ้นทันที
“ครับท่าน ผมมีข้อมูลสำคัญที่ได้มาจากหน่วยข่าวกรอง NIA เกี่ยวกับคดีลักพาตัวที่ลพบุรี” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ผมต้องการขออนุมัติทำปฏิบัติการบุกตรวจค้นคฤหาสน์ลึกลับกลางป่าทางเหนือครับ”
ปลายสายเงียบไปสักพัก “เล่ามาให้ละเอียดกว่านี้”
“คฤหาสน์ขนาดใหญ่สไตล์วิคตอเรีย ที่ตั้งอยู่ในป่าลึกทางเหนือของจังหวัดลพบุรี ที่นั่นถูกพบว่ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติเมื่อไม่นานมานี้ ข้อมูลจาก NIA ระบุว่ามันอาจเป็นสถานที่ที่ผู้ลักพาตัวซ่อนตัวอยู่ แหล่งนี้ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัย ไม่มีผู้ดูแล แต่บรรยากาศรอบๆ เป็นที่ปิดตายและเข้าถึงยากครับ ผมเชื่อว่ามันอาจเป็นจุดที่พวกนั้นใช้ซ่อนเหยื่อที่ถูกลักพาตัว”
พลตำรวจเอกฐานศักธิ์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนถามต่อ “แล้วนายคิดจะทำยังไงต่อ?”
“ผมต้องการขออนุมัติให้หน่วยอรินทราช 26 เข้าปฏิบัติการบุกค้นคฤหาสน์ในวันพรุ่งนี้ครับ เราจะไม่แทรกซึมเข้าไปแต่จะบุกโดยตรง เพราะสถานที่นั้นดูไม่มีคนคอยดูแลหรือมีระบบป้องกันใดๆ พวกเราสามารถเข้าไปหาข้อมูลและค้นหาเหยื่อที่ถูกลักพาตัวได้” ชายหนุ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมา “ดี งั้นพรุ่งนี้นายพร้อมจะนำทีมบุกใช่ไหม?”
ชายหนุ่มตอบทันที “ใช่ครับท่าน ผมพร้อมจะเป็นหัวหน้าทีมในการปฏิบัติการนี้”
“แผนที่นายวางไว้ยังไงบ้าง?” พลตำรวจเอกถามต่อ
“พรุ่งนี้เราจะประชุมแผนการที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลครับ ที่นั่นผมจะไปพบกับคนในหน่วยอรินทราช 26 และวางแผนร่วมกันอย่างละเอียด ท่านอาจต้องเข้าร่วมด้วยเพื่ออนุมัติขั้นสุดท้ายก่อนปฏิบัติการเริ่มครับ” ชายหนุ่มกล่าว
พลตำรวจเอกพยักหน้าแม้ชายหนุ่มจะมองไม่เห็น “เข้าใจแล้ว ฉันจะไปที่นั่นและเข้าร่วมประชุม พวกเราต้องวางแผนให้ละเอียดและมั่นใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด นายเป็นหัวหน้าก็ขอให้รับผิดชอบทุกอย่างด้วย”
“ครับท่าน ผมจะไม่ทำให้ผิดหวัง” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความมั่นใจ
พลตำรวจเอกฐานศักธิ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ดี งั้นเจอกันพรุ่งนี้ที่กองบัญชาการ อย่าพลาดล่ะ”
"ครับท่าน" ชายหนุ่มตอบกลับ ก่อนจะวางสายลงอย่างเงียบๆ
หลังจากชายหนุ่มวางสายโทรศัพท์ลง เขานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปยังห้องนอนที่อยู่ติดกับห้องนั่งเล่น ท่ามกลางแสงสลัวที่ลอดผ่านผ้าม่านหนาทึบ ชายหนุ่มถอดเสื้อยืดสีดำออก เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ใหญ่และชัดเจน ผิวหนังของเขามีสีขาวเหลือง กล้ามเนื้อแน่นเป็นลอนแสดงถึงความแข็งแรงและการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงตามมาตรฐานของหน่วยอรินทราช 26
กลางแผ่นหลังของเขา มีรอยสักคำว่า “อรินทราช 26” เป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจที่เขาสะสมมาตลอดช่วงเวลาของการทำงานในหน่วย แต่เหนือสิ่งอื่นใด ร่องรอยของบาดแผลหลายแห่งที่ประดับร่างกายเขาเป็นหลักฐานของภารกิจที่ยากลำบากในอดีต บาดแผลเก่าที่เป็นทั้งแผลฉกรรจ์และรอยกระสุนบ่งบอกถึงการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ทั้งหมดนี้คือเครื่องหมายของความเสียสละและความอันตรายที่เขาต้องเผชิญ
เขาเดินเข้าห้องน้ำอย่างช้าๆ ก่อนจะเปิดน้ำจากฝักบัว น้ำเย็นกระทบลงบนร่างกายของเขา ทำให้ความเหนื่อยล้าจางหายไปเล็กน้อย แต่ความเจ็บปวดภายในยังคงอยู่ ร่องรอยในใจของเขานั้นลึกกว่าบาดแผลที่เห็นบนร่างกาย
เขายืนอยู่ใต้สายน้ำ สายตาของเขาค่อยๆ ปิดลง ความคิดเริ่มพัดพาเขาย้อนกลับไปสู่อดีต ภารกิจครั้งนั้น—วันที่เขาไม่สามารถช่วยลูกทีมให้รอดพ้นจากความตายได้ เสียงระเบิดที่ดังก้องในหัว ความมืดมิด และเสียงของเพื่อนร่วมทีมที่เรียกหาเขาครั้งสุดท้าย ทุกอย่างยังคงสดใหม่เหมือนเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวาน ความรู้สึกผิดทับถมในจิตใจทำให้เขาอึดอัด
น้ำที่ไหลผ่านใบหน้าไม่อาจปกปิดหยดน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาของเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มพยายามห้ามตัวเองไม่ให้แสดงความอ่อนแอ แต่ในความเงียบและความมืดมิดของห้องน้ำ ความรู้สึกของเขาเริ่มทะลักออกมา
เขาไม่อาจทนกับความเจ็บปวดในใจได้อีกต่อไป เสียงสะอื้นของเขาค่อยๆ ดังขึ้น แม้จะพยายามกลั้นไว้เพียงใดก็ตาม ภาพของลูกทีมที่เขาเคยสาบานว่าจะปกป้องยังคงตามหลอกหลอนเขา เสียงของครอบครัวพวกเขาที่ส่งข้อความสุดท้ายให้ก่อนที่ภารกิจจะเริ่มต้น ทุกอย่างกำลังกลับมาโถมใส่เขาอีกครั้ง
เขาทรุดตัวลงกับพื้นห้องน้ำ ท่ามกลางสายน้ำที่ยังคงไหล ร้องไห้อย่างเงียบๆ ด้วยความเสียใจและความรู้สึกผิดที่ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ เขาอ่อนแอและเปราะบางในช่วงเวลานี้ แม้จะเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสนามรบก็ตาม
แต่ถึงแม้ความเจ็บปวดจะท่วมท้น เขาก็รู้ว่าพรุ่งนี้ยังมีอีกหนึ่งภารกิจรออยู่ และมันอาจเป็นโอกาสที่เขาจะกอบกู้ศักดิ์ศรีที่เสียไปจากอดีต
...10 นาทีต่อมา...
ชายหนุ่มเดินออกจากห้องน้ำพร้อมผ้าเช็ดตัวที่พันรอบเอว ร่างกายของเขาเปียกชุ่ม แต่เขาไม่ได้สนใจจะเช็ดตัวให้แห้ง สายตาของเขามองตรงไปยังโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นที่เขาปิดไว้เมื่อครู่ เขายืนหยุดชั่วครู่ หายใจลึกๆ ก่อนจะหยิบรีโมทแล้วกดเปิดทีวีอีกครั้ง
หน้าจอทีวีปรากฏภาพนักข่าวสาวที่กำลังรายงานด้วยท่าทีจริงจัง ข้อความใต้ภาพพาดหัวว่า “ครบรอบ 25 ปี การสังหารหมู่ในจังหวัดบุรีรัมย์” ทำให้ชายหนุ่มหยุดนิ่ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นตึงเครียดทันที เมื่อชื่อ "บุรีรัมย์" ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ความทรงจำเก่าๆ เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขา ภาพที่เขาพยายามฝังลึกและหลีกเลี่ยงที่จะนึกถึงกลับผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน
นักข่าวสาวยังคงรายงานต่อ “วันนี้เป็นวันครบรอบ 25 ปีของเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของจังหวัดบุรีรัมย์ เหตุการณ์การสังหารหมู่ที่คร่าชีวิตประชาชนกว่า 60 คนในคืนเดียว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1992 และจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุที่แท้จริง หรือสาเหตุที่แท้จริงของโศกนาฏกรรมครั้งนั้น...”
ชายหนุ่มกัดกรามแน่น ขอบตาเริ่มแดงด้วยความโกรธ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาจ้องไปที่หน้าจอทีวีอย่างไม่วางตา ภาพข่าวย้อนกลับไปยังภาพฟุตเทจเก่าๆ ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1992 ตำรวจและหน่วยกู้ภัยพยายามเก็บศพผู้เคราะห์ร้ายท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงร้องของผู้คน เหตุการณ์นั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆ คน
เสียงนักข่าวรายงานต่อ “แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ความลึกลับของเหตุการณ์ยังคงคลุมเครือ คำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบว่าใครคือผู้บงการ และมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ครั้งนั้น...”
ชายหนุ่มปิดทีวีด้วยความรุนแรง เสียงคลิกของรีโมทดังขึ้นอย่างชัดเจนในความเงียบของห้อง ใจของเขากำลังเต้นรัวด้วยความโกรธ มือของเขาสั่นเล็กน้อยเมื่อวางรีโมทลงบนโต๊ะ หัวใจของเขาเต้นแรงและลมหายใจเริ่มกระชั้น
"ทำไมถึงต้องเป็นวันนี้..." เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ ราวกับพยายามควบคุมความคิดและอารมณ์ไม่ให้ปะทุ
^^^วันที่15 เมษายน ปี2017 กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย^^^
เช้าวันถัดมา ชายหนุ่มสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์สไตล์บ๊อบเบอร์ของเขา เสียงเครื่องยนต์คำรามก้องในอากาศ ขณะที่เขาสวมหมวกกันน็อคแล้วใส่หูฟังเพลง เปิดเพลง "Animal I Have Become" ของวง Three Days Grace ขึ้นมา เสียงดนตรีหนักแน่นและเนื้อเพลงที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดภายในทำให้เขารู้สึกเหมือนมีเสียงของตัวเองสะท้อนออกมาในบทเพลง เขาคิดว่ามันเหมาะกับตัวเขาในตอนนี้ ที่กำลังพยายามควบคุมสัญชาตญาณดิบของตัวเองหลังจากการทรมานที่ต้องเผชิญในอดีต
ในระหว่างที่ขับรถไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล ถนนทั้งสองข้างมีต้นไม้ใหญ่เรียงราย กอไผ่สูงและอาคารเก่าแก่ของกรุงเทพฯ ผสมผสานกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดของเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในลพบุรี ชายหนุ่มกดเร่งความเร็วของมอเตอร์ไซค์ให้เร็วขึ้น ดนตรีที่ดังลั่นในหูทำให้เขารู้สึกมีพลังและมุ่งมั่นมากขึ้น แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวลและความคิดถึงเหตุการณ์ที่ไม่อาจลืมเลือน
เมื่อมาถึงกองบัญชาการตำรวจนครบาล เขาจอดรถมอเตอร์ไซค์แล้วลงจากรถอย่างมั่นใจ ขาเรียวยาวเดินไปยังอาคารหลัก เขาสวมชุดตำรวจอย่างเป็นทางการ มีอาการเคร่งขรึมและมุ่งมั่น ปลายเท้าของเขาย่ำลงบนพื้นอย่างหนักแน่น เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นเป็นจังหวะที่ดังก้องไปทั่วบริเวณ
เขาเดินตรงไปยังห้องประชุมของหน่วยอรินทราช 26 ประตูไม้ใหญ่ที่มีป้ายชื่อหน่วยติดอยู่ ทำให้เขารู้สึกถึงบรรยากาศของความเป็นมืออาชีพ ความตึงเครียดที่อยู่ในอากาศและความรับผิดชอบที่รออยู่ข้างหน้า ในเมื่อเปิดประตูเข้าไป เขาก็พบว่าภายในห้องประชุมมีเพียงพลตำรวจเอกฐานศักธิ์ สีขมิ้น นั่งอยู่คนเดียวในห้อง
“ท่าน!” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นเสียงหนักแน่น พลตำรวจเอกหันมามองเขา ดวงตาของเขาแสดงถึงความจริงจังและความคาดหวัง
“ดีที่มาถึงเร็ว” พลตำรวจเอกกล่าวก่อนจะพยักหน้า “เรามีเวลาพอที่จะเตรียมตัวก่อนที่เราจะเริ่มประชุม”
ชายหนุ่มเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะประชุม ขณะที่พลตำรวจเอกเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานและข้อมูลที่ได้รับจากหน่วยข่าวกรอง “ข้อมูลที่นายให้มานั้นน่าสนใจมาก เราจะต้องเตรียมทีมให้พร้อมและดำเนินการให้เร็วที่สุด”
“ใช่ครับท่าน” ชายหนุ่มตอบอย่างจริงจัง “ผมเชื่อว่าเราจะสามารถค้นพบเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับคดีนี้ได้”
พลตำรวจเอกมองไปที่แผนที่บนโต๊ะ ซึ่งถูกหมายเหตุไว้อย่างละเอียด “เราอาจต้องทำการสำรวจพื้นที่ใกล้เคียงก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าคฤหาสน์นั้นไม่มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย “เราต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีกครั้ง”
พลตำรวจเอกยิ้มให้เขา “นายรู้ว่ามันไม่ใช่แค่การปฏิบัติการธรรมดา มันคือการสร้างความยุติธรรมให้กับเหยื่อ”
ชายหนุ่มนั่งฟังน้ำเสียงของพลตำรวจเอกที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและแรงบันดาลใจ ความรู้สึกผิดในอดีตเริ่มคลี่คลาย และเขารู้ว่าตนเองมีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จในครั้งนี้
หลังจากที่การสนทนาระหว่างชายหนุ่มกับพลตำรวจเอกฐานศักธิ์เสร็จสิ้น ประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง หน่วยอรินทราช 26 จำนวน 6 นายเดินเรียงเข้ามาในห้องทีละคน ทุกคนสวมชุดปฏิบัติการเต็มยศ เครื่องแบบสีดำเข้มและท่าทางมาดมั่นบ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพ พวกเขาตรงไปยังตำแหน่งของพลตำรวจเอกก่อนที่จะทำความเคารพอย่างเป็นทางการด้วยความเคารพสูงสุด
“สวัสดีครับท่าน!” พวกเขากล่าวพร้อมกัน น้ำเสียงแข็งแกร่งดังลั่นห้อง
พลตำรวจเอกฐานศักธิ์พยักหน้ารับ “นั่งลงได้”
หน่วยอรินทราชทั้ง 6 คนทำตามคำสั่งทันที พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้รอบโต๊ะประชุม เต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและระมัดระวัง แต่ก็เต็มไปด้วยความตั้งใจและเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจที่รออยู่เบื้องหน้า
พลตำรวจเอกฐานศักธิ์มองไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะเริ่มแนะนำให้ทุกคนรู้จัก “นี่คือร้อยตำรวจตรีจักรพรรดิ ศราวิทย์ เขาจะเป็นหัวหน้าทีมในภารกิจครั้งนี้ รู้จักกันไว้”
จักรพรรดิ ศราวิทย์ ลุกขึ้นยืนเล็กน้อยพร้อมพยักหน้าแสดงความเคารพและทักทายทีมหน่วยอรินทราชอย่างสุภาพ แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าภารกิจนี้ แต่เขาก็เคารพในฝีมือและประสบการณ์ของเพื่อนร่วมทีมทุกคน
“จักรพรรดิ เป็นหนึ่งในสมาชิกหน่วยที่มีความสามารถสูงสุด เขาเคยผ่านภารกิจเสี่ยงตายมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้เขาจะนำทีมเราเข้าสู่คฤหาสน์ลึกลับในป่าลพบุรีที่เราคาดว่าอาจเป็นที่ซ่อนตัวของพวกคนร้าย” พลตำรวจเอกกล่าวแนะนำอย่างจริงจัง “ทุกคนจะต้องประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เข้าใจไหม?”
หน่วยอรินทราชทั้ง 6 คนพยักหน้ารับคำพร้อมกัน สายตาเต็มไปด้วยความเคารพและพร้อมปฏิบัติตามทุกคำสั่งของจักรพรรดิ
หลังจากที่พลตำรวจเอกฐานศักธิ์แนะนำจักรพรรดิให้หน่วยอรินทราช 26 ทั้ง 6 คนรู้จักแล้ว บรรยากาศในห้องประชุมกลับดูอึดอัดเล็กน้อย แม้ทุกคนจะเคารพคำสั่งและรู้จักกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน แต่สายตาที่พวกเขามองจักรพรรดินั้นแฝงไปด้วยความสงสัยและไม่ค่อยเชื่อใจนัก
ชายหนุ่มรู้สึกถึงสายตาของแต่ละคนที่มองมา มันไม่ใช่การต้อนรับที่อบอุ่นสักเท่าไหร่ พวกเขามองเขาด้วยความกังขา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะเขายังหนุ่มแน่นอายุไม่ถึง 30 ปี ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมแต่ละคนนั้นล้วนแต่เป็นทหารผ่านศึกที่มีอายุเกิน 30 กันหมด ทุกคนในทีมล้วนแต่มีประสบการณ์ในสนามรบมายาวนาน และนั่นทำให้พวกเขามองจักรพรรดิว่าอ่อนประสบการณ์
พลตำรวจเอกฐานศักธิ์สังเกตเห็นความเงียบที่เริ่มปกคลุมห้อง เขาเลยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "ก่อนที่เราจะไปประชุมแผนการกัน พวกนายแนะนำตัวกันหน่อยแล้วกัน"
ชายคนแรกที่นั่งตรงข้ามจักรพรรดิเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ มีกล้ามเนื้อแน่น ผิวเข้ม ผมสั้นเกรียนตามสไตล์ทหาร เขาลุกขึ้นยืนเล็กน้อยก่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมชื่อเคน อายุ 35 ปี เคยทำงานในหน่วยรบพิเศษของกองทัพบกมาก่อน ก่อนที่จะย้ายมาหน่วยอรินทราช 26”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับฟัง ก่อนที่จะเป็นคิวของชายคนถัดไป เขามีรูปร่างผอมแต่ดูแข็งแรงไม่แพ้กัน “โชกุนครับ อายุ 34 ปี เคยปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยกู้ระเบิดมาก่อนที่จะย้ายมาหน่วยนี้”
จากนั้นชายอีกคนซึ่งดูร่าเริงที่สุดในกลุ่มก็ลุกขึ้น “ชื่อบอลครับ อายุ 32 ปี เคยอยู่หน่วยคอมมานโด ทำงานภาคสนามมาหลายปี ยินดีที่ได้ร่วมงานกันครับ” เขาพูดพลางยิ้มให้เล็กน้อย แต่ก็ยังดูเหมือนจะเก็บความรู้สึกสงสัยไว้
ทิว ชายผู้เงียบขรึมเป็นคนต่อมา “ทิว อายุ 36 ปี เป็นมือปืนของหน่วย ทำงานด้านซุ่มยิงมาหลายภารกิจ”
คนสุดท้ายที่ลุกขึ้นยืนคือชายที่ดูเป็นผู้นำที่สุดในกลุ่มรองจากจักรพรรดิ “ผมชื่อเจม อายุ 38 ปี เป็นหนึ่งในคนที่อยู่กับหน่วยอรินทราช 26 มานานที่สุด เคยร่วมปฏิบัติการมาหลายสิบครั้ง”
หลังจากทุกคนแนะนำตัวกันเสร็จแล้ว ความเงียบครอบคลุมบรรยากาศอีกครั้ง จักรพรรดิรู้ว่าพวกเขายังไม่ไว้ใจเขาเต็มที่นัก แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเขามีเวลาในการพิสูจน์ตัวเองในภารกิจนี้
เขาหายใจลึกๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและมั่นคง "ผมเข้าใจว่าพวกคุณอาจจะยังไม่ค่อยไว้ใจผม เพราะผมยังอายุน้อย แต่ผมขอให้พวกคุณเปิดใจและให้โอกาสผมพิสูจน์ตัวเองในภารกิจนี้ ผมมั่นใจว่าเราจะทำงานร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา"
เคนซึ่งเป็นคนแรกที่แนะนำตัวเอ่ยขึ้นเบาๆ "ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ"
จากนั้นพลตำรวจเอกฐานศักธิ์ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะบอกให้ทุกคนเตรียมตัวเข้าสู่การประชุมวางแผนอย่างจริงจัง "เอาล่ะ เมื่อรู้จักกันแล้ว เราไปเริ่มวางแผนปฏิบัติการกันเถอะ"
หลังจากที่พลตำรวจเอกบอกทุกคนให้ไปประชุมแผน ทุกคนในทีมก็ได้เดินออกจากห้องไปพร้อมกัน แต่ระหว่างทางไปห้องประชุม บรรยากาศยังคงเงียบงัน จนกระทั่งเจม ซึ่งเป็นคนที่ดูจะไม่พอใจจักรพรรดิที่สุด เอ่ยปากพูดถากถางออกมา
"คนอย่างเอ็งนี่นะจะมาเป็นหัวหน้าทีมเรา?" เจมหันมามองจักรพรรดิด้วยสายตาเยาะเย้ย "เอ็งยังเป็นแค่เด็กน้อย อ่อนประสบการณ์ ไม่เคยเจออะไรหนักๆ ในสนามรบจริงจังเลยด้วยซ้ำ ข้าล่ะงงว่าพลตำรวจเอกคิดยังไงถึงตั้งเอ็งขึ้นมา แต่ยังไงซะ คงไม่เปลี่ยนใจให้ข้าเป็นหัวหน้าหรอก งั้นข้าจะดูเองว่าเอ็งเหมาะกับหัวหน้าทีมหรือเปล่า"
เสียงหัวเราะหยันๆ ของเจมทำให้คนอื่นๆ ในทีมแอบยิ้มเล็กๆ บางคนถึงกับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เคนและทิวหันมามองจักรพรรดิด้วยสายตาแสดงความกังขา ขณะที่โชกุนยังคงเงียบ แต่สายตาของเขาก็ไม่ได้ให้ความเชื่อมั่นอะไรนัก
จักรพรรดิรู้สึกถึงความกดดันที่ถาโถมเข้ามา แต่เขาเลือกที่จะไม่ตอบโต้อะไร เพราะในใจลึกๆ เขารู้ว่าพวกนั้นพูดถูก เขาอาจจะยังอ่อนประสบการณ์เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ เขายังจำภาพของทีมเก่า ที่เขาไม่สามารถช่วยพวกเขาให้รอดชีวิตกลับไปได้ ความผิดพลาดในภารกิจครั้งนั้นยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ทุกวัน
แต่ในขณะที่ทุกคนยังมองมาที่เขาเหมือนกับว่าเขาเป็นคนไม่มีน้ำยา บอล ซึ่งเป็นคนที่ดูเป็นมิตรที่สุดในทีม เดินเข้ามาตบไหล่จักรพรรดิแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง "ไม่ต้องไปสนใจพวกเขามากหรอก เอาเป็นว่าภารกิจครั้งนี้ถือเป็นโอกาสของนาย แสดงให้พวกเขาเห็นว่านายมีอะไรดีบ้าง ไว้เดี๋ยวพวกเขาก็จะเห็นเอง"
จักรพรรดิหันไปมองบอลและยิ้มออกมานิดๆ แม้ในใจจะยังคงรู้สึกกดดัน แต่คำพูดของบอลช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย "ขอบใจนะ"
หลังจากทีมอรินทราช 26 พูดคุยกันเสร็จ ทุกคนก็เดินไปยังห้องประชุมภารกิจ ห้องประชุมถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย มีแผนที่คฤหาสน์และบริเวณโดยรอบกระจายอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับอุปกรณ์เสริมที่จำเป็นสำหรับปฏิบัติการ พลตำรวจเอกฐานศักธิ์ยืนอยู่หน้าห้อง ประกาศเริ่มการประชุมทันทีเมื่อทุกคนเข้ามานั่งพร้อมหน้า
“ทุกคนครับ ภารกิจคืนนี้จะเกิดขึ้นในเวลาเที่ยงคืนเป๊ะ จุดหมายคือคฤหาสน์ลึกลับในป่าลึกทางเหนือของลพบุรี เราต้องทำการบุกตรวจค้นเพื่อหาตัวผู้ลักพาตัวและช่วยเหลือเหยื่อที่ยังไม่ทราบจำนวน เราจะเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ลักษณะของสถานที่และยุทธวิธีที่จะใช้”
พลตำรวจเอกชี้ไปที่แผนที่บนโต๊ะ ซึ่งแสดงภาพถ่ายทางอากาศของคฤหาสน์วิคตอเรียขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางป่า ล้อมรอบด้วยพื้นที่หนาทึบ ไม่มีถนนหลักเข้าถึง มีเพียงทางลูกรังเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะใช้เฉพาะคนในพื้นที่
“คฤหาสน์หลังนี้มีขนาดใหญ่ มีสองชั้นหลักและหอคอยขนาดเล็กทางด้านหลัง มันเป็นอาคารเก่าแต่ยังอยู่ในสภาพดี ประตูและหน้าต่างทุกบานถูกล็อกไว้แน่นหนา ทำให้เราต้องใช้เครื่องมือสำหรับงัดหรือระเบิดประตู ในส่วนของป่าโดยรอบก็มีพื้นที่ที่สามารถใช้เป็นจุดซุ่มยิงได้ เราจะใช้ประโยชน์จากจุดนี้เพื่อการคุ้มกันจากภายนอก” พลตำรวจเอกอธิบาย
เขาหันไปหาจักรพรรดิและพูดต่อ “ส่วนยุทธวิธีการบุก เราจะแบ่งทีมออกเป็นสองชุดหลัก ทีมบุกและทีมคุ้มกัน”
พลตำรวจเอกชี้ที่แผนที่อีกครั้งและพูดต่อ “ทีมบุกจะเข้าไปทางด้านหน้าคฤหาสน์ จักรพรรดิ นายจะเป็นหัวหน้าทีมนี้ นำทีม บอล เจม และทิว บุกเข้าไปภายใน ส่วนทีมคุ้มกันจะอยู่รอบนอก โดยใช้เคน โชกุน และฉันเป็นหน่วยซุ่มยิงและรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบ พวกเราจะใช้ปืนไรเฟิลจู่โจม M4A1 เพื่อความแม่นยำและคล่องตัวในพื้นที่แคบ”
จักรพรรดิพยักหน้ารับ พลตำรวจเอกฐานศักธิ์พูดต่อ “เมื่อเข้าไปในคฤหาสน์ ทีมบุกต้องแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกจะตรวจสอบชั้นหนึ่งให้ครบถ้วน ส่วนกลุ่มที่สองจะขึ้นไปตรวจสอบชั้นสอง และอย่าลืมตรวจสอบหอคอยทางด้านหลังด้วย คฤหาสน์นี้มีโครงสร้างซับซ้อน ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ”
พลตำรวจเอกยกนิ้วขึ้นเป็นการย้ำเตือน “เวลาปฏิบัติการเที่ยงคืน แต่พวกเราจะเริ่มเคลื่อนย้ายจากจุดรวมพลในเวลา 22:00 น. เพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าสู่พื้นที่ เราจะใช้เฮลิคอปเตอร์ทางการทหารสำหรับเดินทางเข้าสู่พื้นที่เป้าหมาย อย่าลืมพกเครื่องมือตัดสัญญาณและอุปกรณ์วิทยุสื่อสารทั้งหมด”
ทุกคนในทีมฟังอย่างตั้งใจ พลตำรวจเอกฐานศักธิ์ปิดท้าย “ถ้ามีอะไรผิดพลาด ให้ยุติการปฏิบัติการทันที และกลับมาที่จุดปลอดภัยที่กำหนดไว้ ทางนี้เราจะมีเฮลิคอปเตอร์ standby สำหรับการอพยพด่วนเมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน”
“เข้าใจไหม?” พลตำรวจเอกถามขึ้นอย่างจริงจัง
“เข้าใจครับ!” ทุกคนตอบพร้อมเพรียง
หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น ทุกคนในทีมแยกย้ายไปพักผ่อนตามเวลาของตัวเอง จักรพรรดิเดินออกมาจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลเพียงลำพังเพื่อสูบบุหรี่คลายเครียด ท่ามกลางอากาศเย็นสบายของยามเย็น เขายืนสูบบุหรี่หน้ากองบัญชาการ พลางปล่อยให้ควันบุหรี่ลอยไปในอากาศ
ในขณะที่จักรพรรดิกำลังดื่มด่ำกับความเงียบสงบ เขาก็ได้เหลือบไปเห็นนักศึกษาสาวคนหนึ่งเดินผ่านหน้ากองบัญชาการ เธอดูมีลักษณะที่โดดเด่นจนเขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมอง ผมสั้นสีน้ำตาลที่พลิ้วไหว ดวงตากลมโตที่มีแว่นทรงสี่เหลี่ยมช่วยเสริมความน่ารักของเธอ ตัวเล็ก ผิวขาวสะอาด เธอเป็นภาพที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงโดยไม่ทันรู้ตัว
พวกเขาสบตากันชั่วครู่ สายตาของหญิงสาวดูเหมือนจะส่งความรู้สึกบางอย่างกลับมาด้วยเช่นกัน จักรพรรดิรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น ความรู้สึกแปลกใหม่ที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อนทำให้เขายืนจ้องมองเธอต่อไปอย่างไม่สามารถละสายตาได้
แต่แล้วเขาก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นจริง เขารีบทิ้งบุหรี่ที่สูบอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปในกองบัญชาการด้วยความเขินอาย ใจเต้นรัวกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
ระหว่างที่เขากำลังเดินกลับเข้าไปในตัวอาคาร พลตำรวจเอกฐานศักธิ์ สีขมิ้น ที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าได้เห็นท่าทางของจักรพรรดิและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแฝงรอยยิ้ม "เป็นอะไรหรือไง ยิ้มอยู่คนเดียว"
จักรพรรดิสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยความลนลาน "เออ...เปล่าครับ ขอโทษด้วยครับ" เขารีบก้มหน้าก้มตาเดินผ่านพลตำรวจเอกเข้าไปทันที พร้อมกับความรู้สึกเขินอายที่ไม่อาจปิดบังได้
พลตำรวจเอกหัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินตามเข้าไปในกองบัญชาการอย่างไม่ใส่ใจมากนัก
หลังจากที่จักรพรรดิเดินผ่านพล ตำรวจเอกไปอย่างเขินอาย เขารีบเดินตรงไปยังห้องน้ำทันที เมื่อเขาเข้ามาในห้องส้วม จักรพรรดิก็ปิดประตูและนั่งลงบนโถอย่างเงียบ ๆ เขาพยายามรวบรวมความคิดและ ไตร่ตรองถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นความรู้สึกที่เขาได้เจอเมื่อสบตากับนักศึกษาสาวคนนั้นยังคงก้องอยู่ในหัว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกชอบ เธอได้ตั้งแต่แรกเห็น แต่มันชัดเจน มากเกินกว่าจะปฏิเสธได้
ในขณะที่เขานึกถึงรอยยิ้มและดวงตากลมโตของเธอ ความคิดของเขาก็เริ่มไหลไปอย่างควบคุมไม่ได้ จนร่างกายของเขาเกิดการตอบสนองขึ้น อวัยวะเพศของเขากลับตื่นตัวอย่างไม่ทันตั้งตัว จักรพรรดิรู้สึก ตกใจและสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
แต่ก่อนที่เขาจะสามารถควบคุมความคิดหรือทำอะไรได้มากไปกว่านี้ เสียงฝีเท้าของคนที่เข้ามาในห้องน้ำ ทำให้เขาสะดุ้ง จักรพรรดิจึงรีบลบความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวทันที เขาพยายามสงบสติอารมณ์และจัดการตัวเองให้กลับมาสู่สภาพปกติ ก่อนที่จะเปิดประตูเดินออกจากห้องส้วม
เมื่อเขาเดินออกมาก็พบว่าคนที่เข้า ห้องน้ำมาตามเสียงฝีเท้านั้นคือ "บอล" เพื่อนร่วมทีมหน่วยอรินทราช 26 บอลมองจักรพรรดิด้วยสายตาสงสัยเล็กน้อยแต่ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม จักรพรรดิจึงเดินออกจากห้องน้ำไปอย่างเงียบๆ โดยพยายาม ทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด
หลังจากที่จักรพรรดิเดินออกจากห้องน้ำ เขาดูนาฬิกาข้อมือและเห็นว่าเป็นเวลา 19:00 น. เขาจึงรีบไปที่โรงอาหารเพื่อเติมพลัง พอไปถึง เขาเห็นกลุ่มหน่วยอรินทราช 26 นั่งรับประทานอาหารกันอยู่ เขาตักผัดกะเพรามาเป็นอาหารเย็นของตัวเองและไปนั่งร่วมกับทีม ไม่นานนัก บอลที่เพิ่งกลับจากห้องน้ำก็มานั่งทานข้าวด้วย โดยเขาเลือกผัดกะเพราเช่นเดียวกับจักรพรรดิ แล้วร่วมวงสนทนากับทีม
บอลเริ่มเปิดการสนทนาด้วยน้ำเสียงที่สงบแต่หนักแน่น เขาพูดกับทั้งกลุ่มว่า "ถึงเขา (จักรพรรดิ) จะอายุแค่ 27 และประสบการณ์น้อยสุดในกลุ่ม แต่พวกเราก็ไม่สมควรไปบอกเขาว่าเขาไม่มีฝีมือหรอกนะ" ซึ่งทำให้เจมสวนกลับด้วยความไม่พอใจว่า "แล้วเราจะมั่นใจได้ยังไงว่าเขาจะคุมทีมได้ดี?"
จักรพรรดิที่ฟังอยู่ไม่รอช้า ตอบโต้กลับอย่างมั่นใจว่า "ผมจะคุมทีมได้ดีได้ ถ้าพวกคุณทำตามคำสั่งผม ไม่งั้นมันจะดีได้ยังไง?"
ท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียด ทิวก็ตะโกนขึ้น "เห้ย! หยุดทะเลาะกันดิวะ! พวกเราต้องร่วมงานกันอยู่ดีนะ" คำพูดของทิวทำให้ทุกคนหยุดชะงักและหันกลับมากินข้าวต่อโดยไม่ทะเลาะกันอีก จบมื้ออาหารลงด้วยความเงียบและการเตรียมใจสำหรับภารกิจข้างหน้า
หลังจากที่ทุกคนกินอาหารเสร็จ เจม ทิว โชกุนและเคนได้แยกกันไปตามทางของแต่ละคน ในขณะที่จักรพรรดิและบอลเดินออกไปยังด้านหน้าของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ทั้งคู่หยุดยืนที่จุดพักผ่อนด้านหน้า สูดอากาศเย็นยามค่ำคืนพร้อมกับ เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่บอลจะเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“นี่...นาย” บอลพูดขึ้นแบบไม่ทางการ “ฉันรู้ว่านายคงเจ็บปวดกับเรื่องนั้นอยู่ใช่มั้ย?”
จักรพรรดิที่ยืนพิงกำแพง หันมองบอลด้วยความสงสัย “เรื่องไหน?”
บอลหันมาสบตาเขาเล็กน้อยก่อนจะ ตอบ "ก็เหตุการณ์ที่นายรอดชีวิตมาคนเดียวนั่นแหละ"
จักรพรรดิขมวดคิ้วทันที “นี่นายรู้ เรื่องนั้นได้ยังไง? ใครบอก?”
บอลถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ก็...ท่านฐานศักธิ์ เขาบอกฉันมาแต่ถ้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวนาย ก็ขอโทษด้วยนะไม่ได้ตั้งใจจะก้าวก่าย"
จักรพรรดิส่ายหัว “ไม่...ไม่เป็นไร แต่ นายอยากรู้เรื่องนั้นจริงเหรอ?”
บอลเงยหน้ามองฟ้าก่อนจะพยักหน้า “ก็...ใช่ ฉันก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน นายไม่เคยพูดถึงมันเลย”
จักรพรรดิยืนเงียบไปชั่วครู่ก่อนตอบ กลับ “ได้...เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟัง แต่บอกไว้ก่อน มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายจะพูดถึงหรอกนะ”
บอลพยักหน้าเบาๆ “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ”
จักรพรรดินั่งลงบนม้านั่งไม้ยาวที่อยู่ ใกล้ๆ บอลตามมานั่งข้างๆ ทั้งสองนั่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จักรพรรดิจะเริ่มเล่า
^^^วันที่13 มีนาคม ปี2015 ปัตตานี ประเทศไทย^^^
ภารกิจนั้นเริ่มต้นด้วยคำสั่งด่วนให้หน่วยของจักรพรรดิเตรียมบุกเข้าจับกุมตัวผู้ก่อการร้ายระดับสูงที่ชื่อว่า คาชิม เจวาบี ผู้นำกลุ่มที่ก่อเหตุระเบิดหลายครั้งในพื้นที่ภาคใต้ของไทยและมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายก่อการร้ายข้ามชาติ เป้าหมาย ครั้งนี้คือการหยุดยั้งเขาก่อนที่แผนการต่อไปของเขาจะเป็นจริง
จักรพรรดิในเวลานั้นอายุเพียง 25 ปี เต็มไปด้วยพลังและความมุ่งมั่นในฐานะหนึ่งในสมาชิกหนุ่มใหม่ไฟแรงของทีม พวกเขาได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้เคลื่อนตัวไปยังบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางป่าลึก ซึ่งคาดว่าเป็นที่ซ่อนตัวของคาชิม ทีมของ จักรพรรดิประกอบไปด้วยสมาชิกทั้งหมดหกคน พวกเขาขึ้นรถพร้อมอาวุธครบมือ เตรียมตัวพร้อมสำหรับปฏิบัติการที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงอีกภารกิจหนึ่งในภารกิจหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา
“สถานที่เป้าหมายอยู่ห่างไปไม่เกิน 5 กิโลเมตร” หัวหน้าทีมบอกกับทุกคนผ่านวิทยุ
จักรพรรดินั่งอยู่ท้ายรถ เหลือบมองป่าที่เริ่มหนาทึบขึ้นข้างนอก เขารู้ว่าภารกิจนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะคาชิม ไม่ใช่คนธรรมดาเขาคือผู้ก่อการร้ายที่เก่งกาจและฉลาด เขาเคยหลบหนีจากการจับกุมมาแล้วหลายครั้ง จักรพรรดิรู้ดีว่าภารกิจนี้มีความเสี่ยงแต่ความตื่นเต้นของการได้ เผชิญหน้ากับศัตรูที่สำคัญทำให้เขารู้สึกพร้อมสำหรับทุกสิ่ง
เมื่อทีมมาถึงจุดหมาย พวกเขาเคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบไปยังบ้านเป้าหมายที่อยู่กลางป่า มันเป็นบ้านไม้เก่าที่ดูเหมือนไม่มีใครอยู่ แต่สายตาของทุกคนต่างจดจ้องที่เป้าหมายอย่างระมัดระวัง
“ตรวจสอบสัญญาณความร้อนแล้วมีคนอยู่ในบ้านแต่ยังไม่ชัดเจนว่ามีกี่คน” หนึ่งในสมาชิกทีมรายงานขณะใช้กล้องจับสัญญาณความร้อนสแกนตัวอาคาร
หัวหน้าทีมส่งสัญญาณให้ทุกคนเตรียมบุก “จำไว้นะ พวกมันอาจ เตรียมพร้อมแล้ว อย่าประมาท"
ทุกคนพยักหน้าและเตรียมพร้อมบุกเข้าประตูด้วยท่าทีระวัง แต่เมื่อพวกเขาก้าวเข้าไปในบ้าน ทุกอย่างกลับผิดแผน พื้นที่ว่างเปล่าของบ้านไม่ได้บอกว่ามันจะซ่อนกับดักเอาไว้ ขณะนั้นเองเสียงระเบิดก็เกิดขึ้นในพริบตา เสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำให้จักรพรรดิและเพื่อนร่วมทีมกระเด็นออกไปจากที่ตั้ง
ภาพค่อยๆ ช้าลง เสียงหูอื้อและฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ จักรพรรดิที่ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองโดนอะไร พยายามลุกขึ้นจากพื้น เขาเห็นสมาชิกทีมสองคนที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงข้างๆ เลือดไหลออกจากร่างกายพวกเขา ในขณะที่อีกสองคนพยายามฝ่าห่ากระสุนที่ถูกยิงมาจากทิศทางที่ไม่สามารถระบุได้
“พวกมันรู้ว่าเรามา!” หัวหน้าทีม ตะโกน “เตรียมถอย! เราโดนดัก!”
จักรพรรดิพยายามหาที่กำบัง แต่ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงแรงกระแทกที่รุนแรงเข้าที่หน้าอก เขามองลงไปและเห็นลูกซองที่เจาะเข้ากลางอกของเขา ร่างของเขาล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับความเจ็บปวดที่รุนแรงจนแทบขยับตัวไม่ได้
ทุกอย่างรอบตัวเริ่มมืดลง...เขามองเห็นเพื่อนร่วมทีมของเขาถูกยิงล้มทีละคน ไม่มีใครรอดจากห่ากระสุนนั้น สุดท้ายเขาเองก็นอนอยู่กลางกองเลือดของเพื่อนๆ ที่เขาไม่สามารถช่วยเหลือได้
จักรพรรดิพยายามกลั้นหายใจเพื่อไม่ให้เจ็บปวดเกินไป เขารู้ว่าตัวเองไม่ควรขยับมาก เขาจำได้ว่าภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือคาชิมยืนอยู่ไกลๆ พร้อมกับลูกน้องของมันที่หัวเราะเยาะกับความพ่ายแพ้ของทีมนี้
มันคือความพ่ายแพ้ที่เขาไม่เคยลืม...
หลังจากที่ภาพความทรงจำอันเจ็บปวดนั้นจบลง จักรพรรดิกลับมาสู่ปัจจุบัน เขานั่งนิ่งอยู่กับบอลตรงหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ความเงียบปกคลุมระหว่างพวกเขาทั้งสองอยู่ชั่วครู่ สายลมเย็นพัดผ่านไปเบาๆ แต่ในใจจักรพรรดิกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งจากอดีตที่ยังไม่จางหาย
บอลที่นั่งฟังเรื่องราวของจักรพรรดิอย่างตั้งใจ นิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันมามองจักรพรรดิด้วยแววตาที่แสดงถึงความเข้าใจ
"นายคงผ่านอะไรมามากจริงๆ" บอลพูดเบาๆ แต่เสียงของเขาชัดเจนพอที่จะทำให้จักรพรรดิรู้สึกได้ถึงความเห็นใจ
จักรพรรดิมองออกไปข้างหน้า พยายามเก็บความรู้สึกที่หลั่งไหลในหัวใจของเขา "ใช่... มันหนักมาก... หนักจนบางครั้งฉันก็ไม่รู้ว่าจะรับมือยังไง"
บอลนั่งพิงเก้าอี้ด้านหลัง สายตายังคงมองไปที่จักรพรรดิ เขาเข้าใจดีว่าความเจ็บปวดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะพูดหรืออธิบายได้ง่ายๆ
"ฉันรู้ว่านายอาจจะโทษตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเพื่อนร่วมทีมได้ แต่บางครั้งสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็ไม่ใช่ความผิดของใครเลย" บอลพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
จักรพรรดิพยักหน้าช้าๆ แม้คำปลอบใจเหล่านั้นจะฟังดูดี แต่ในใจเขายังคงรู้สึกถึงความผิดบาปที่แบกรับอยู่ "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าฉันเก่งกว่านี้ ถ้าฉันไม่พลาด... บางทีพวกเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้"
บอลถอนหายใจยาว เขารู้ว่าจักรพรรดิยังคงไม่ปล่อยวางจากความรู้สึกนี้ แต่เขาก็ไม่ต้องการเร่งให้จักรพรรดิต้องเปลี่ยนความคิด
"นายทำดีที่สุดแล้ว จักรพรรดิ" บอลกล่าวอย่างอ่อนโยน "ในสถานการณ์นั้น ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ นายยังอยู่ที่นี่... และนายมีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ โอกาสที่จะเป็นหัวหน้าทีมและนำพวกเราไปสู่ภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จ"
จักรพรรดิหันมามองบอลเป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มเล่าเรื่องราว เขาเห็นประกายในแววตาของบอลที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเขา
"ฉันไม่รู้ว่าฉันพร้อมหรือยัง" จักรพรรดิพูดเสียงเบา แต่บอลยิ้มเล็กน้อยและส่ายหัว
"ไม่มีใครเคยรู้หรอกว่าตัวเองพร้อมเมื่อไหร่ แต่ที่ฉันรู้คือนายมีหัวใจของนักสู้ และพวกเราจะผ่านมันไปด้วยกัน นายไม่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวหรอก"
ความเงียบกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ใช่ความเงียบที่กดดัน จักรพรรดิรู้สึกถึงความอบอุ่นจากการที่มีเพื่อนร่วมทีมที่เข้าใจและอยู่เคียงข้าง เขาค่อยๆ หายใจลึกและปล่อยความรู้สึกที่เก็บเอาไว้ออกมา เขาไม่ต้องการพูดอะไรมากไปกว่านี้ บอลเองก็ไม่พูดอะไรต่อ ทั้งสองคนนั่งมองออกไปยังความมืดของถนนหน้ากองบัญชาการ เหมือนกับว่าความรู้สึกนั้นเพียงพอแล้ว
"ขอบใจนะ บอล" จักรพรรดิพูดขึ้นมาเบาๆ ในที่สุด "ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีใครเข้าใจแบบนาย"
บอลพยักหน้าเบาๆ "ไม่เป็นไร เราจะผ่านมันไปด้วยกัน"
ทั้งคู่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ความเงียบที่ไม่ได้อึดอัด แต่เป็นความสงบสุขในแบบที่จักรพรรดิไม่ได้รู้สึกมานาน
หลังจากที่บทสนทนาของพวกเขาเงียบไปสักพัก จักรพรรดิก็คิดถึงเรื่องบางอย่างที่เขายังสงสัย เลยตัดสินใจถามบอล
"บอล... ทำไมเจมถึงดูไม่ค่อยใจดีเลยล่ะ? ทุกครั้งที่ฉันเจอเขา เขาดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าฉันเอามากๆ" จักรพรรดิถามขึ้นด้วยความสงสัย
บอลหันมามองจักรพรรดิแล้วถอนหายใจเล็กน้อย "เจมเป็นคนมีประสบการณ์มาก เขาผ่านเรื่องราวมามากมายในภารกิจต่างๆ และแน่นอนว่าเขาเสียเพื่อนร่วมทีมไปหลายคนแล้ว"
จักรพรรดิพยักหน้าฟังด้วยความตั้งใจ "เข้าใจแล้ว..."
"จริงๆ แล้วเจมก็เป็นคนใจดีนะ" บอลพูดต่อ "เขาเป็นคนที่มีจิตใจดีมาก แต่ว่าเรื่องความเป็นและความตายน่ะสิ... มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา เจมไม่ชอบที่จะต้องพาคนมือใหม่เข้ามาร่วมภารกิจเสี่ยงชีวิต โดยเฉพาะคนที่เขาคิดว่าอาจจะไม่พร้อม"
จักรพรรดิหันมองบอลด้วยสายตาครุ่นคิด "เพราะฉันอายุยังน้อยกว่าคนอื่นในทีมสินะ?"
บอลพยักหน้า "ใช่ อายุของนายถือว่าน้อยที่สุดในกลุ่มเลย พวกเราคนอื่นก็ผ่านการทำงานมาหลายปีแล้ว มันก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเจมถึงมองว่านายยังอ่อนประสบการณ์อยู่ เขาแค่ไม่อยากให้ใครต้องมาเสียชีวิตอีก ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ชอบนายนะ"
จักรพรรดิฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาเริ่มเข้าใจมุมมองของเจมมากขึ้นเล็กน้อย "ฉันเข้าใจแล้ว... ขอบใจนายที่บอกฉัน"
"ไม่เป็นไร" บอลตอบอย่างอ่อนโยน "อย่าลืมว่า นายเองก็มีอะไรให้พิสูจน์อยู่เสมอ เพียงแต่ต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพร้อมแล้ว"
จักรพรรดินิ่งฟังคำพูดของบอล มันทำให้เขารู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นในการพิสูจน์ตัวเองกับเพื่อนร่วมทีม
แต่จักพรรดิเขาก็ยังคงสงสัยเรื่องของสมาชิกคนอื่นในทีมต่อ จึงถามบอลอีกครั้งว่า "แล้ว เคน โชกุน กับทิวล่ะ พวกเขาดูเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจาเลย เหมือนเป็นตายด้านยังไงไม่รู้"
บอลยักไหล่เล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนัก "เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่เคยร่วมงานกับพวกเขามาก่อน แต่ว่าท่านฐานศักดิ์บอกกับฉันและเจมว่า พวกเขาเป็นคนมากประสบการณ์ เคยรบมาหลายที่ หลายภารกิจ ฉันเลยเดาว่าพวกเขาอาจจะมี PTSD หรือไม่ก็ผ่านเรื่องหนักๆ มามากจนกลายเป็นคนเงียบขรึมแบบนั้น"
จักรพรรดิพยักหน้าช้าๆ ขณะที่คิดตาม "งั้นเหรอ... ฉันก็พอจะเข้าใจละ ถ้าเป็นอย่างที่นายว่ามาจริงๆ พวกเขาก็คงเจอเรื่องเลวร้ายมาเยอะ"
บอลตอบกลับ "ใช่ ทุกคนในทีมนี้ล้วนผ่านอะไรที่มันโหดร้ายมา แล้วแต่ว่าจะรับมือกับมันยังไง บางคนก็เลือกจะปิดตัวเอง บางคนก็ยังสู้ต่อไป เหมือนเจมที่ถึงจะโหดแต่เขาก็ทำเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่พลาด"
จักรพรรดิฟังแล้วเริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมทีมมากขึ้น เขารู้ว่าต้องพยายามเข้าใจพวกเขา และในขณะเดียวกันก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าตนเองมีความสามารถพอที่จะนำทีมนี้ได้
ในขณะที่จักรพรรดิกำลังครุนคิดเรื่องที่บอลเล่าอยู่ จักรพรรดิกลับสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวแปลกๆ อยู่ตรงมุมหนึ่งของอาคาร มีเงาของใครบางคนกำลังแอบมองพวกเขาอยู่ ดวงตาของจักรพรรดิหรี่ลง เขาจ้องไปที่เงานั้นชั่วครู่ก่อนจะตะโกนออกไปเสียงดัง
"เฮ้! ใครน่ะ!?"
เงานั้นสะดุ้งด้วยความตกใจและรีบหันหลังวิ่งหนีทันที บอลเห็นเช่นนั้นจึงลุกขึ้นพร้อมจักรพรรดิ "วิ่งตามเร็ว!" บอลกล่าว ทั้งคู่พุ่งตัวออกไปตามเงาที่กำลังวิ่งหนีไปทางท้ายอาคาร
จักรพรรดิและบอลวิ่งอย่างไม่ลดละ จักรพรรดิเร่งฝีเท้าจนในที่สุดก็ไล่ทันคนที่วิ่งหนี เขาคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่น "หยุดนะ!" จักรพรรดิกล่าวเสียงแข็งพร้อมกับจับคนที่หนีไว้ เขาหายใจแรงและกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ "หันหน้ามาช้าๆ อย่าคิดหนีอีก"
คนที่ถูกจับตัวหันกลับมาช้าๆ ตามคำสั่ง และเมื่อใบหน้าของเธอปรากฏขึ้นภายใต้แสงไฟนวล จักรพรรดิก็ถึงกับตกใจไปชั่วขณะ มันคือ... นักศึกษาสาวที่เขาเห็นเมื่อตอนเย็น คนที่เขาสบตาแล้วรู้สึกหวั่นไหวอย่างประหลาด
"เป็นเธอเหรอ?" จักรพรรดิพูดขึ้นเบาๆ
นักศึกษาสาวทำหน้าเขินอายและลังเลที่จะพูดอะไรออกมา บอลยืนมองสถานการณ์อย่างงุนงง ก่อนจะถามขึ้น "นายรู้จักเธอเหรอ จักรพรรดิ?"
จักรพรรดิยังคงมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น "ก็... ฉันเห็นเธอเมื่อตอนเย็น สบตากันแป๊บเดียวเอง... แต่ทำไมเธอถึงมาแอบดูพวกเราล่ะ?"
นักศึกษาสาวยังคงนิ่งเงียบ ไม่ตอบอะไรในทันที ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้สถานการณ์ยิ่งแปลกเข้าไปอีก จักรพรรดิรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขายังไม่เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากอะไร...
จักรพรรดิหรี่ตามองนักศึกษาสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขารู้สึกถึงความไม่แน่ใจในตัวเธอที่ส่งผ่านออกมา "นี่คุณ มาแอบดูพวกเราทำไม?" เขาถามด้วยความสงสัย
นักศึกษาสาวทำท่าจะตอบ แต่คำพูดกลับติดอยู่ที่ลิ้น เธออ้ำๆ อึ้งๆ และส่ายหน้าไปมา จนจักรพรรดิเริ่มรู้สึกถึงความไม่สะดวกใจที่มีต่อสถานการณ์นี้ “นี่คุณเป็นใบ้เหรอ ถึงพูดไม่ได้?” เขาเผลอถามออกไปอย่างไม่ตั้งใจ
ทันใดนั้นนักศึกษาสาวทำหน้าบึ้ง และความโกรธปรากฏชัดในดวงตากลมโตของเธอ เธอค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้จักรพรรดิ โดยไม่ทำให้เขารู้สึกถึงความเป็นภัยในตัวเธอแม้แต่น้อย "ไม่" เธอตอบเสียงเบา แต่กลับมีเสน่ห์อย่างประหลาด น้ำเสียงของเธออ่อนหวานเหมือนเสียงเพลงที่ส่งผ่านมาในยามค่ำคืน ทำให้จักรพรรดิเข้าใจถึงความอ่อนไหวและความลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในคำตอบของเธอ
น้ำเสียงนั้นช่างดึงดูดจนเขาไม่สามารถหักห้ามใจได้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในพะวงที่ไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะที่เธอเดินเข้ามาใกล้ ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อนเริ่มเกิดขึ้นในใจของจักรพรรดิ เขาต้องการเข้าใจว่าทำไมเธอถึงรู้สึกอึดอัดขนาดนี้ และทำไมเธอถึงต้องแอบดูพวกเขา
“แล้วคุณทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ?” จักรพรรดิถามอีกครั้ง แต่ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาเบาลงเหมือนต้องการเปิดใจให้กับเธอ
นักศึกษาสาวยิ้มเล็กน้อย แต่มือของเธอกลับยังคงขยับไปมาอย่างไม่มั่นใจ เธอเริ่มตั้งท่าจะพูด แต่ดูเหมือนคำพูดจะติดอยู่ในลำคออีกครั้ง ความไม่แน่ใจและความเขินอายทำให้จักรพรรดิเห็นถึงความเปราะบางของเธอ ซึ่งยิ่งทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น
“คุณไม่ต้องกลัวนะ ผมแค่สงสัยจริงๆ” เขาพูดเสียงเบาและอ่อนโยน ขณะที่สายตาของเขายังคงจ้องมองเธอ “ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงแอบดูพวกเรา”
นักศึกษาสาวสบตากับจักรพรรดิอย่างลังเล ก่อนจะค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว เธอเหมือนจะรู้สึกถึงความกดดันในอากาศ แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง ทำให้จักรพรรดิรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังดึงดูดให้เขาเข้าใกล้เธออีกครั้ง
“คุณ... อยากให้ผมช่วยอะไรไหม?” จักรพรรดิถามด้วยความหวังว่าคำถามนี้จะช่วยให้เธอรู้สึกสบายใจมากขึ้น
นักศึกษาสาวเงยหน้ามองจักรพรรดิ สายตาของเธอฉายแววสับสนก่อนที่เธอจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเบาและสั่น "ไม่... ไม่ต้องการ" น้ำเสียงของเธอช่างอ่อนหวาน ราวกับเสียงเพลงที่ดังก้องในห้องเงียบ ความอ้ำอึ้งของเธอที่ออกมาอย่างไม่มั่นใจยิ่งทำให้เธอดูมีเสน่ห์ ไม่ต่างจากมนต์สะกดที่ทำให้จักรพรรดิรู้สึกคล้ายว่าตัวเองกำลังหลงทาง
บอลที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นท่าทีที่ดูเคลิบเคลิ้มของจักรพรรดิ จึงเอียงตัวมาพูดเบาๆ ข้างหูเขา “นี่นาย เป็นอะไรหรือเปล่า?”
เสียงของบอลดึงสติจักรพรรดิกลับมาเล็กน้อย เขารีบตอบกลับโดยพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึก “อืม… เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น จักรพรรดิรู้ดีว่าตัวเองยังคงรู้สึกแปลกๆ กับนักศึกษาสาวคนนี้ ทั้งเสียงและท่าทางของเธอทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้ในใจของเขา
นักศึกษาสาวที่ยืนอยู่เงียบๆ ดูเหมือนจะสังเกตเห็นว่าจักรพรรดิถูกดึงดูดด้วยคำพูดและท่าทีของเธอ เธอจึงค่อยๆ ยื่นมือมาทางเขา โดยที่สายตาของเธอยังคงจับจ้องเขาไม่วาง ทำให้จักรพรรดิรู้สึกสับสนยิ่งขึ้นไปอีก
“เอ่อ... ทำไมถึงยื่นมือมาแบบนี้?” จักรพรรดิคิดในใจ แต่ความสงสัยของเขาก็ถูกความรู้สึกบางอย่างดึงดูด เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไปจับมือของเธอ
ทันทีที่มือของเขาสัมผัสมือของเธอ นักศึกษาสาวก็กุมมือเขาไว้แน่นจนเขารู้สึกได้ถึงแรงกด มือเล็กๆ ของเธอแต่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ ความอึดอัดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของจักรพรรดิ ความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่เธอต้องการจะสื่อออกมาแต่ไม่สามารถทำได้
“นี่คุณ… คุณทำอะไร?” เขาพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่เริ่มไม่มั่นใจ แต่นักศึกษาสาวกลับไม่พูดอะไรต่อ เธอกุมมือเขาไว้อย่างนั้นราวกับต้องการส่งผ่านความรู้สึกบางอย่างที่ไร้คำอธิบาย
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที แต่สำหรับจักรพรรดิมันกลับรู้สึกเหมือนนานกว่านั้น ความนิ่งเงียบและแรงกดของมือเธอที่ยังไม่ผ่อนลงทำให้เขาเริ่มรู้สึกถึงความหนักอึ้งบางอย่าง จนสุดท้ายเขาจำเป็นต้องสะบัดมือออกอย่างช้าๆ ถอนตัวเองออกมาจากความรู้สึกอันแปลกประหลาดที่ยังคงวนเวียนในใจ
จักรพรรดิเลยได้หันไปมองนักศึกษาสาวคนนั้นด้วยสายตาสงสัย “นี่คุณ... คุณทำอะไรของคุณน่ะ?” คำถามของเขาแฝงความสับสนและไม่เข้าใจ แต่ก่อนที่เธอจะได้ตอบ เสียงของตำรวจนายหนึ่งดังแทรกเข้ามา “จักรพรรดิ! บอล! ท่านพลตำรวจเอกฐานศักดิ์เรียกตัวพวกคุณอยู่ครับ!”
เสียงนั้นทำให้ทั้งจักรพรรดิและบอลต้องรีบหันไปตามเสียง พอพวกเขากลับมามองนักศึกษาสาวอีกครั้ง จักรพรรดิก็รีบพูดเสียงเบาๆ กับเธอ “รีบไปซะ เดี๋ยวเรามีเรื่องกันเปล่าๆ” เขาเร่งให้เธอหนีไป
นักศึกษาสาวพยักหน้าเล็กน้อย แต่ก่อนจะวิ่งออกไป เธอกลับหยุดและหันมากระซิบคำหนึ่งที่ทำให้จักรพรรดิยืนนิ่งอยู่กับที่ “ที่ลพบุรีมันอันตรายมากนะ… ระวังตัวด้วยล่ะ ฉันเป็นห่วง” น้ำเสียงของเธอแม้จะอ่อนโยนแต่กลับทำให้หัวใจของจักรพรรดิเต้นแรงขึ้นด้วยความงุนงง
ทั้งจักรพรรดิและบอลได้แต่มองตามเธอที่ค่อยๆ วิ่งหายไปในความมืด ความเงียบเข้าครอบงำชั่วขณะ ทั้งสองหันมามองหน้ากันด้วยความรู้สึกงุนงง นักศึกษาสาวคนนั้นรู้เรื่องภารกิจที่พวกเขาจะไปลพบุรีได้ยังไง? ทั้งที่ยังไม่มีใครเปิดเผยข้อมูลนี้เลย พวกเขารู้เพียงแต่ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ
จักรพรรดิพยายามสลัดความสงสัยนั้นออกจากหัว ก่อนจะตั้งสติเมื่อเห็นตำรวจนายเดิมเดินมาถึงตรงหน้าเขาอีกครั้ง “จักรพรรดิครับ ท่านพลตำรวจเอกฐานศักดิ์มาเรียกตัวพวกคุณทั้งคู่แล้วครับ” นายตำรวจนั้นย้ำด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเร่งรีบ
จักรพรรดิและบอลจึงพยักหน้าตอบรับเงียบๆ ก่อนจะก้าวตามตำรวจรายนั้นไป แต่ในใจของจักรพรรดิยังคงค้างคา เหมือนมีอะไรบางอย่างดึงเขากลับไปหานักศึกษาสาวคนนั้น และประโยคสุดท้ายของเธอยังคงดังก้องในใจ ราวกับคำเตือนจากเงามืดที่กำลังคืบคลานเข้ามา
จักรพรรดิและบอลเดินตามตำรวจรายนั้นไปจนถึงห้องประชุมใหญ่ เมื่อมาถึง ตำรวจนายนี้โค้งศีรษะให้ทั้งคู่เล็กน้อยก่อนเดินออกไป ปล่อยให้จักรพรรดิและบอลยืนอยู่หน้าประตูห้องประชุม จักรพรรดิสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเอื้อมมือผลักประตูเข้าไป
ภายในห้องนั้นมีเพียงพลตำรวจเอกฐานศักดิ์นั่งรออยู่ร่วมกับเจม ทั้งสองหันมามองพวกเขาทันทีที่เข้ามาในห้อง จักรพรรดิเดินเข้ามาพร้อมกับบอล ยืนตัวตรงและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ท่านครับ เรียกตัวพวกผมมามีอะไรหรือครับ?”
พลตำรวจเอกฐานศักดิ์พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม “ที่เรียกมานี่เพราะพี่ต้องการให้พวกคุณทั้งสามคนได้รับเซรุ่มตัวใหม่ที่ศูนย์วิจัยของไทยเราคิดค้นขึ้นมา”
จักรพรรดิขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย แต่ก่อนที่จะทันถามอะไรเพิ่มเติม เจมเองก็กำลังสนใจในสิ่งที่ท่านพลตำรวจเอกพูด พลตำรวจเอกมองพวกเขาด้วยแววตาแน่วแน่ ก่อนจะอธิบายต่อ “เซรุ่มตัวนี้จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันกับเชื้อโรคต่างๆ ให้พวกนาย จะว่าไปก็คือพวกนายจะไม่ป่วยอีกต่อไป”
จักรพรรดิเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “อย่างนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีสิครับท่าน แล้ว… หมอที่จะมาฉีดเซรุ่มให้อยู่ที่ไหนครับ?”
พลตำรวจเอกฐานศักดิ์ยิ้มเล็กๆ ก่อนจะหยิบปืนฉีดยาขนาดกะทัดรัดออกมาและยื่นให้พวกเขาทีละกระบอก ทั้งสามรับปืนฉีดยาด้วยความแปลกใจ “พวกนายต้องฉีดกันเอง ฉีดตรงแขนซ้ายแล้วกดให้สุด”
จักรพรรดิ เจม และบอลสบตากัน ก่อนที่แต่ละคนจะหยิบปืนฉีดยามาถือไว้ และฉีดลงที่ต้นแขนของตัวเอง จักรพรรดิรู้สึกถึงความเย็นเฉียบของเซรุ่มที่ไหลเข้ามาในกล้ามเนื้อ แต่มันก็หายไปในเวลาไม่กี่วินาที ทุกอย่างดูเหมือนปกติ แต่เขาก็ยังมีความสงสัยค้างคา
บอลเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย “แล้วคนอื่นๆ อย่างเคน โชกุน และทิวล่ะครับ พวกเขาฉีดเซรุ่มหรือยัง?”
พลตำรวจเอกพยักหน้า “พวกนั้นได้รับเซรุ่มไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังเหลือพวกนายสามคนที่ยังไม่ได้รับ” คำตอบนี้ดูเหมือนจะสร้างความมั่นใจให้ทั้งสามคนได้บ้าง
พลตำรวจเอกฐานศักดิ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ก่อนจะเอ่ยออกคำสั่ง “โอเค หลังจากนี้พวกนายไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้พร้อม แล้วเตรียมตัวออกปฏิบัติการได้เลย”
ทั้งสามพยักหน้าและออกจากห้องไป แต่ไม่ทันที่ประตูจะปิด พลตำรวจเอกฐานศักดิ์ก็มองตามพวกเขาไปด้วยรอยยิ้มมุมปากแฝงเลศนัย ความคิดดำมืดผุดขึ้นในใจของเขา “หึ… ไม่ใช่เซรุ่มต้านเชื้อโรคอะไรหรอก แต่มันคือเซรุ่มที่จะทำให้พวกนั้นไม่แพร่เชื้อใส่พวกเองไง”
ตัดภาพมาที่ห้องอาบน้ำรวม ที่เต็มไปด้วยเสียงน้ำไหลที่กระทบพื้น จักรพรรดิ บอล และเจมกำลังอาบน้ำอยู่ด้วยกันอย่างสงบ พวกเขาคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้จนไม่รู้สึกขัดเขินใดๆ ในขณะที่พวกเขายืนอยู่ในความเงียบของบรรยากาศ ช่วงเวลาเช่นนี้มักจะทำให้คิดถึงสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น จักรพรรดิเลยตัดสินใจทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงที่เรียบเย็น
“นี่ เจม… ฉันเข้าใจนายนะ” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ “ถึงนายจะดูไม่เป็นมิตร ดูไม่เปิดโอกาสให้ใครง่ายๆ… แต่ฉันก็เข้าใจดีว่านายต้องผ่านอะไรมาบ้าง”
เจมหันมามองเขาด้วยสายตาที่นิ่งเฉย “ถ้าคุณรู้แล้วก็ดี” เขาตอบเสียงเบา แต่หนักแน่น “อย่าทำให้คนในทีมต้องมาตายเพราะคุณก็แล้วกัน”
เจมเดินเข้ามาประชิดตรงหน้าจักรพรรดิ ทั้งสองยืนสบตากัน จักรพรรดิรู้สึกได้ถึงพลังความมุ่งมั่นในแววตาของเจม เจมไม่ละสายตาไปไหนและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแต่จริงจัง "ผมน่ะเป็นคนดีนะ แต่ไม่ใช่คนใจดี เรื่องราวในอดีตมันหล่อหลอมผมให้เป็นแบบนี้ เป็นคนที่เข้มงวด เย็นชา และโหดร้าย ถ้าคุณทำตัวเป็นหัวหน้าทีมที่ไม่ดี หรือทำให้ใครในทีมต้องตาย... ผมจะยิงคุณทิ้ง เข้าใจตรงกันนะ คุณหัวหน้า?”
คำพูดของเจมแทรกซึมเข้าถึงใจ จักรพรรดิยิ้มมุมปากบางๆ แบบประชดประชันตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “ครับ คุณลูกน้อง”
บอลที่ยืนฟังเงียบๆ เห็นว่าอารมณ์เริ่มจะตึงเครียดเกินไปจึงรีบเข้ามาห้าม “โว้ๆ ใจเย็นกันหน่อยสิ พวกเราต้องทำงานด้วยกันนะ จะมาทะเลาะกันทำไม”
เสียงของบอลช่วยดึงอารมณ์ตึงเครียดให้คลายลง ทั้งสองหนุ่มสบตากันอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปอาบน้ำต่อ ในใจของพวกเขายังมีคำพูดค้างคา แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ความสัมพันธ์ในทีมนี้จะต้องถูกทดสอบในภารกิจที่กำลังจะมาถึง
หลังจากที่จักรพรรดิ บอล และเจมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย พวกเขาก็เดินไปยังห้องปฏิบัติการที่ได้รับคำสั่งจากพลตำรวจเอกไว้ พอเปิดประตูเข้าไป พวกเขาพบว่า โชกุน เคน และทิว ยืนรออยู่แล้ว พลตำรวจเอกฐานศักดิ์ก้มมองดูทั้งสามที่เพิ่งเดินเข้ามา แล้วเอ่ยถามเสียงเข้ม “พวกคุณคงเตรียมตัวกันพร้อมแล้วใช่ไหม?”
“พร้อมครับ” ทั้งสามตอบพร้อมกันด้วยเสียงหนักแน่น แสดงถึงความพร้อมที่ไม่หวั่นไหว
พลตำรวจเอกพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเดินนำพวกเขาไปยังส่วนจัดเตรียมอุปกรณ์ทางการทหาร “อุปกรณ์ที่จะใช้ในภารกิจครั้งนี้ เราได้เตรียมไว้อย่างครบครัน เป็นอุปกรณ์เฉพาะที่พวกคุณจำเป็นต้องใช้ เพื่อความปลอดภัยและความสำเร็จของภารกิจนี้”
เขาหยิบเสื้อเกราะกันกระสุนที่ทำจากวัสดุเคฟลาร์ผสมกับเซรามิกแบบใหม่ ที่ช่วยลดน้ำหนักได้ดีขึ้นแต่ยังคงความทนทานสูง "เสื้อเกราะรุ่นนี้เป็นของใหม่ ผลิตขึ้นมาเฉพาะภารกิจระดับสูง กันกระสุนได้ดีเยี่ยมโดยไม่ทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง"
ถัดจากเสื้อเกราะ เขาแนะนำปืนไรเฟิลจู่โจมที่วางอยู่ตรงหน้า “นี่คือปืนไรเฟิล M4A1 ติดกล้องเล็งและอุปกรณ์เก็บเสียง กระบอกนี้ผ่านการปรับแต่งพิเศษ ให้มีอัตราการยิงที่สม่ำเสมอและแม่นยำ แม้ในระยะกลางถึงไกล”
พลตำรวจเอกหยิบปืนพก Glock 19 ขึ้นมา “พวกคุณแต่ละคนจะได้ปืนพก Glock 19 ไว้เป็นอาวุธเสริม ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา แต่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้ในระยะประชิด”
นอกจากอาวุธปืนแล้ว เขายังชี้ไปที่มีดคอมแบทที่วางอยู่ด้านข้าง “และนี่คือมีดคอมแบทรุ่นใหม่ ขนาดพอเหมาะ จับถนัดมือ มีความคมสูง เหมาะสำหรับการต่อสู้ระยะประชิด รวมทั้งการใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ”
พลตำรวจเอกยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุปกรณ์พิเศษอีกหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นระเบิดแฟลชเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเป้าหมาย กล้องมองกลางคืนที่ช่วยให้การมองเห็นในสภาพแสงน้อย และ GPS แบบพกพาที่มีการเชื่อมต่อกับดาวเทียมสำหรับระบุตำแหน่งที่แม่นยำ
เมื่อพลตำรวจเอกแนะนำอุปกรณ์จนเสร็จ เขาก็หันมาสั่งด้วยเสียงที่หนักแน่น “พวกคุณเตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ภารกิจนี้จะเริ่มต้นในอีกสิบ นาที พวกคุณมีเวลาจัดการตัวเองเท่านั้น"
ทั้งทีมตอบรับคำสั่ง แล้วแต่ละคนก็เริ่มหยิบจับอุปกรณ์ขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบ พวกเขารู้ดีว่าในภารกิจครั้งนี้ ทุกชิ้นที่พวกเขาพกติดตัวไปคือสิ่งที่อาจช่วยชีวิตพวกเขา
จักรพรรดิหันไปทางพลตำรวจเอกฐานศักดิ์ ขณะเขาเตรียมอุปกรณ์ชิ้นสุดท้ายด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย “เอ่อ ท่านครับ แล้วปฏิบัติการครั้งนี้...มีชื่อเรียกว่าอะไรครับ?”
พลตำรวจเอกเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาแฝงความหนักแน่นและเด็ดเดี่ยว “ผมตั้งชื่อปฏิบัติการครั้งนี้ว่า Operation Going Dark” คำพูดนั้นถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แต่มีบางอย่างแฝงอยู่ในความหมาย คำนี้ทำให้ทุกคนหันมองกันเล็กน้อย พวกเขาพยักหน้าตอบรับ แสดงถึงความเข้าใจในภารกิจที่ท้าทายที่รออยู่
บรรยากาศในห้องเริ่มหนักอึ้งขึ้น การเตรียมอุปกรณ์ดำเนินต่อไปในความเงียบ มีเพียงเสียงของการตรวจสอบคลิปกระสุน เสียงติดตั้งดาบสั้นบนซอง และการจัดชุดเกราะให้เข้าที่ที่คอยขับเคลื่อนความมุ่งมั่นในใจของพวกเขา
ทันใดนั้น พลตำรวจเอกฐานศักดิ์ก็เรียกเคน โชกุน และทิวออกไปนอกห้องปฏิบัติการ ทั้งสามคนมองหน้ากันเล็กน้อยและตามออกไปอย่างเงียบๆ เหลือเพียงจักรพรรดิ บอล และเจมที่ยังคงอยู่ในห้อง
พวกเขาหันมามองหน้ากันพร้อมด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัย เจมเอียงศีรษะเล็กน้อยราวกับจะถามว่าคนพวกนั้นออกไปคุยอะไร จักรพรรดิเพียงยักไหล่พลางพูดเบาๆ “คงเรื่องส่วนตัวน่ะ” เขายิ้มออกมาบางๆ แล้วหันกลับมาเช็คอุปกรณ์ของตัวเองต่อไป
เสียงของการเตรียมความพร้อมยังคงดำเนินไปในความเงียบสงบ แม้จะไม่มีใครพูดออกมา แต่ในใจของพวกเขาต่างก็คาดเดา พลางระวังตัวในแบบฉบับของทหารที่เคยชินกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
หลังจากที่จักรพรรดิ บอล และเจมเตรียมอุปกรณ์เสร็จ พลตำรวจเอกฐานศักดิ์ก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับเคน โชกุน และทิว ซึ่งตอนนี้สวมชุดอุปกรณ์ครบชุด ดวงตาของทุกคนยังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและสงบนิ่ง
จักรพรรดิหันไปถามพลตำรวจเอกด้วยความสงสัย “อ้าว ท่านครับ พวกคุณออกไปเตรียมอุปกรณ์นอกห้องหรือครับ?”
พลตำรวจเอกยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “ใช่ พวกเราเป็นทีมสนับสนุน จะต้องคอยคุ้มกันนายจากนอกคฤหาสน์ เลยมีบางอุปกรณ์ที่ต้องไปเตรียมเพิ่มเติมสำหรับภารกิจนี้”
จักรพรรดิ บอล และเจมพยักหน้ารับคำ ตอบสนองด้วยความเข้าใจ พลตำรวจเอกเหลือบตามองทุกคน พลางสั่งให้พวกเขายืนเรียงหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบ แล้วเริ่มเดินนำหน้าไปยังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่ด้านหลังของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ทุกย่างก้าวมีเพียงเสียงรองเท้ากระทบพื้นคอนกรีต บรรยากาศรอบข้างหนักอึ้งราวกับโลกทั้งใบกำลังจับจ้องพวกเขา
เมื่อมาถึงลานจอด ทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมองเฮลิคอปเตอร์รุ่น Bell 429 สีดำสนิทสองลำที่จอดรออยู่ เครื่องบินรุ่นใหม่นี้สะท้อนเงาของแสงไฟจางๆ ในยามค่ำคืน สัญลักษณ์ตำรวจที่ประทับบนลำตัวเฮลิคอปเตอร์สื่อถึงความเป็นทางการและอำนาจที่ทรงพลังของทีมนี้
พลตำรวจเอกฐานศักดิ์ตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “เจม บอล และจักรพรรดิ ไปนั่งลำแรก ส่วนเคน โชกุน และทิว มานั่งลำที่สองกับผม เข้าใจไหม?”
เสียงตอบรับดังประสานกันทันที “รับทราบครับ!” ความพร้อมเพรียงและมั่นใจแฝงไปด้วยความตื่นตัวของทุกคน สะท้อนถึงการฝึกฝนที่ไม่ธรรมดาและความเคารพในคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
เมื่อได้ยินคำสั่ง ทุกคนก็เริ่มเคลื่อนตัวไปยังเฮลิคอปเตอร์ของตนเอง จักรพรรดิ บอล และเจมวิ่งไปยังลำแรก พลางตรวจเช็คอุปกรณ์ของพวกเขาอีกครั้งก่อนจะก้าวขึ้นไปประจำที่นั่ง เสียงเครื่องยนต์เริ่มดังขึ้นเบาๆ พร้อมการหมุนของใบพัดที่สร้างแรงลมมหาศาล จนทำให้ทุกคนต้องหรี่ตาเล็กน้อยเพื่อต่อสู้กับแรงลมและละอองฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย
เมื่อทุกคนขึ้นประจำที่ พลตำรวจเอกก็มองดูทีมของเขาในแต่ละลำด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง ก่อนจะตะโกนสั่งครั้งสุดท้ายผ่านเสียงเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ “เตรียมตัวออกเดินทางได้!”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!