เฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำค่อยๆ ยกตัวขึ้นจากพื้นทีละนิด เสียงใบพัดหมุนเร็วขึ้นทุกขณะจนเกิดแรงลมปะทะพื้นแรงมาก ฝุ่นค่อยๆ ฟุ้งกระจายเป็นวงกว้าง ก่อนจะค่อยๆ เบาลงเมื่อเฮลิคอปเตอร์ลอยสูงขึ้นจนความเครียดเริ่มถาโถมเข้ามาให้กับทุกคน
ภายในลำแรก จักรพรรดิ บอล และเจมต่างนั่งเงียบสนิท ทั้งสามคนมีสีหน้าตึงเครียด ลึกๆ ในใจรู้ดีว่าภารกิจข้างหน้านั้นไม่ธรรมดา เสียงเครื่องยนต์ของเฮลิคอปเตอร์ดังกระหึ่มจนบดบังทุกเสียง ความเงียบงันระหว่างพวกเขานั้นเหมือนเวลาที่หยุดนิ่ง จักรพรรดิปล่อยใจให้ไหลไปกับเสียงรบกวนนี้ สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง แต่กลับไม่ได้จดจ่ออยู่กับวิวด้านนอก มันเป็นการนั่งคิดเงียบๆ ที่ไม่มีใครอยากรบกวนใคร
แต่แล้วบอลก็ยกมือข้างซ้ายขึ้น แตะไปที่คอของเขาเอง ราวกับหาสิ่งสำคัญบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้ใต้เสื้อ และเมื่อเขาดึงมันออกมาอย่างระมัดระวัง ปรากฏเป็นตะกรุดโลหะสีเงินรูปร่างแปลกตาที่เปล่งประกายเบาๆ ภายใต้แสงไฟในเฮลิคอปเตอร์ บอลค่อยๆ ยกมันขึ้นมากุมไว้ในมือทั้งสองข้าง พลางหลับตา แล้วก็พึมพำสวดมนต์เบาๆ ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เสียงพึมพำเหมือนเป็นพิธีกรรมเฉพาะตน ทำให้จักรพรรดิที่นั่งข้างๆ อดไม่ได้ที่จะมองด้วยความสงสัย
หลังจากที่บอลสวดจบ จักรพรรดิได้ตะโกนถามบอลแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ว่า “เฮ้ บอล นั่นมันอะไรกัน ตะกรุดที่คอของนาย?”
บอลชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มตอบกลับมา “มันคือตะกรุดที่ตระกูลฉันสืบทอดต่อๆ กันมาน่ะ จักรพรรดิ… ผ่านมากี่ร้อยปีแล้วก็ไม่รู้ แต่ตระกูลฉันเชื่อว่า ตะกรุดอันนี้มันปกป้องเราจากสิ่งที่ตามองไม่เห็น...”
จักรพรรดิพยักหน้ารับคำ เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแม้ไม่ได้รู้ลึก แต่ทางด้านของเจมกลับจ้องมองตะกรุดของบอลด้วยสายตาที่แฝงความคุ้นเคยและลึกซึ้งบางอย่าง เจมมองนิ่งไปที่ตะกรุดนั้นอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะหันหน้ากลับไป ไม่พูดอะไรออกมา
บทสนทนาของพวกเขาสิ้นสุดลงพร้อมกับความเงียบที่กลับมาอีกครั้ง ความคิดของแต่ละคนไหลวนไปตามที่เฮลิคอปเตอร์เคลื่อนที่ไปข้างหน้า เตรียมพร้อมรับกับสิ่งที่รอพวกเขาอยู่
^^^วันที่16 เมษายน ปี2017 ลพบุรีประเทศไทย^^^
เฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำค่อยๆ ลดระดับความสูงลงเหนือพื้นที่เปิดโล่งกลางป่าที่มีแสงจันทร์ส่องให้เห็นรางๆ พื้นดินมีฝุ่นฟุ้งตลบขึ้นเมื่อล้อของเฮลิคอปเตอร์สัมผัสพื้น ความเงียบของป่าถูกทำลายด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกึกก้อง พลตำรวจเอกและสมาชิกในทีมต่างเตรียมพร้อมในแต่ละอิริยาบถเพื่อรับมือกับภารกิจที่อยู่ตรงหน้า ทันทีที่เฮลิคอปเตอร์จอดสนิท พวกเขาก็รีบลงจากเฮลิคอปเตอร์พร้อมอุปกรณ์เต็มชุด
พลตำรวจเอกยืนมองสภาพรอบตัวอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยเสียงนิ่งแต่หนักแน่นกับทีม “ตั้งแถวเป็นขบวน เรียงตามลำดับที่เราฝึกมา จักรพรรดินำหน้า ตามด้วยบอล เจม เคน โชกุน และทิว ส่วนฉันจะอยู่ท้ายแถว คอยคุมขบวน”
เมื่อคำสั่งจบ ทีมทุกคนพยักหน้าอย่างเงียบๆ พวกเขารีบจัดขบวนอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิก้าวไปยืนหน้าสุด มองลึกเข้าไปในป่าที่แสงจันทร์เล็ดลอดผ่านใบไม้ใบหญ้าจางๆ สร้างบรรยากาศกดดันแผ่ซ่าน บรรยากาศเงียบเชียบแต่หนักหน่วง ทุกคนตั้งใจแน่วแน่และพร้อมที่จะเจอทุกอย่างที่รออยู่ในป่าข้างหน้า
จักรพรรดิชูมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณหยุด ก่อนจะหันมามองทุกคน “เช็คอาวุธ เตรียมพร้อม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความสงบและเยือกเย็น บอลทิวและคนอื่นๆ ต่างตรวจสอบอาวุธและอุปกรณ์ในมืออย่างละเอียด ปืนถูกเล็งและปรับให้พร้อมยิง ไฟฉายที่ติดบนหมวกนิรภัยถูกเช็คให้พร้อมใช้งาน ทุกคนเงียบสนิท ไม่พูดอะไรต่อ มีเพียงเสียงลมหายใจที่พ่นออกมาเบาๆ
เมื่อทุกคนดูพร้อมแล้ว จักรพรรดิก็ก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนเอ่ยอย่างหนักแน่น “Bravo Six… going dark” เสียงของเขาหายไปในความมืด พร้อมกับทุกคนที่ค่อยๆ ปิดไฟฉายและอุปกรณ์ทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีแสงรบกวน พวกเขาเริ่มเคลื่อนที่เข้าไปในป่าตามลำดับที่วางไว้ ความมืดกลืนกินเงาร่างของทุกคน หลงเหลือเพียงเสียงฝีเท้าที่เงียบเชียบค่อยๆ จางหายไปในป่ามืด
ทีมอรินทราช 26 เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบในความมืด ป่ารอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบจนน่าขนลุก มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้กิ่งไม้ไหวเบาๆ และเสียงฝีเท้าของพวกเขาที่แทบไม่ได้ยิน กล้องมองกลางคืนบนหมวกของแต่ละคนฉายภาพสีเขียวจางๆของต้นไม้หนาทึบ พวกเขาเดินอย่างระมัดระวัง หยุดมองรอบๆ ทุกไม่กี่ก้าวราวกับว่ากำลังเฝ้าระวังสิ่งที่อาจจะคืบคลานเข้ามาหาจากความมืด
เวลาผ่านไปช้าๆ พวกเขาเดินเป็นขบวนยาวผ่านต้นไม้ที่เรียงรายเหมือนผืนม่านอันไม่มีที่สิ้นสุด กระทั่งแสงเงาไกลๆ ที่ดูเหมือนโครงร่างของคฤหาสน์ร้างโผล่พ้นออกมาจากขอบสายตา ทุกคนหยุดชั่วครู่พลตำรวจเอกส่งสัญญาณให้เงียบยิ่งขึ้น มุ่งตรงไปยังเป้าหมายที่อยู่ไกลๆ
ทันใดนั้นเสียงปืนกลก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ป่าที่เคยเงียบสงบแตกกระจายด้วยเสียงกระสุนที่พุ่งแหวกอากาศ เสียงระเบิดกระแทกเปรี้ยงเข้ากับต้นไม้และก้อนหิน บอลรีบตะโกนบอกให้ทุกคนหมอบลง แต่กระสุนยังคงถล่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทิวและโชกุนที่อยู่ในขบวนหลังสุดพยายามหาที่กำบัง แต่มันสายไปเสียแล้ว กระสุนกระแทกเข้าที่ร่างของทั้งคู่จนล้มลงอย่างรวดเร็ว ส่วนเคนที่อยู่ข้างหน้าไม่ไกลพยายามพลิกตัวหลบ แต่กระสุนพุ่งทะลุเข้าร่างเขาอีกคน เสียงตะโกนขาดหายไปในความมืด ร่างของพวกเขาทั้งสามนอนนิ่ง ไม่ไหวติงอีกต่อไป
จักรพรรดิ บอล และเจม ที่เหลืออยู่รีบวิ่งไปข้างหน้า ร่างกายหนักอึ้งด้วยความหวาดกลัวและความเศร้า แต่ความคิดที่จะหยุดเพื่อสูญเสียอีกไม่ใช่ทางเลือก พวกเขาเหลือบมองรอบๆ ทว่าพลตำรวจเอกกลับหายไปอย่างลึกลับราวกับละลายหายไปในความมืดของป่า ทั้งสามไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนหรือเขาอาจจะเป็นเป้าหมายต่อไป
พวกเขารีบวิ่งไปยังคฤหาสน์ร้างที่เห็นอยู่ไกลๆ ร่างกายเหนื่อยล้าอย่างที่สุด แต่ความกลัวผลักดันให้วิ่งต่อไป เสียงกระสุนยังคงดังก้องในหู พวกเขาเร่งฝีเท้ากระโดดข้ามก้อนหินและพงหญ้า จนกระทั่งในที่สุดก็ถึงประตูคฤหาสน์ร้าง บอลและเจมผลักจักรพรรดิให้เข้าไปก่อน แล้วรีบตามเข้าไปก่อนที่เจมจะปิดประตูสนิท
พอประตูปิดลง ความเงียบก็ปกคลุมรอบตัว ทั้งสามทรุดลงกับพื้นหายใจหอบเสียงดังราวกับจะกลืนอากาศเข้าไปทั้งปอด เหงื่อไหลซึมลงมาตามใบหน้าและลำคอพวกเขามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะพูดอะไร สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความตึงเครียดจากการสูญเสียเพื่อนร่วมทีม
จักรพรรดิยังหายใจหอบหนัก หันมองรอบๆ ตัวภายในคฤหาสน์ดูมืดและเงียบอย่างน่ากลัว ราวกับมันกำลังซ่อนบางสิ่งที่พวกเขาไม่อยากจะพบเจอ
ทั้งสามคนกวาดสายตามองไปทั่วคฤหาสน์ร้างที่เงียบสนิท สภาพภายในมืดมิดและชวนให้รู้สึกอึดอัด พวกเขาหยิบอาวุธขึ้นมาตรวจเช็คด้วยความเคยชิน ก่อนจะค่อยๆ เดินสำรวจไปยังมุมต่างๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ หน้าต่างที่โดนยิงทะลุเป็นรูยังมีรอยกระสุนที่เผยให้เห็นความโหดร้ายของการปะทะที่เกิดขึ้นไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ตอนนี้ทุกอย่างเงียบสนิท ราวกับสิ่งที่ไล่ล่าพวกเขาหายไปในเงามืดของป่ารอบตัว
พวกเขาเดินผ่านห้องโถงใหญ่ที่กว้างขวาง มีบันไดขนาดใหญ่ทอดตัวขึ้นสู่ชั้นสอง พื้นปูพรมสีเลือดหมูที่เคยหรูหราบัดนี้เปื้อนฝุ่นและร่องรอยของเวลา โคมไฟระย้าที่ห้อยจากเพดานกลางห้องยังคงเป็นประกายเล็กน้อยในความมืด ราวกับกำลังสะท้อนแสงที่ไม่มีอยู่จริง พวกเขามองเห็นประตูสองบานที่ตั้งอยู่คนละฟาก ฝั่งซ้ายและขวา จักรพรรดิเห็นสภาพที่น่าขนลุกนี้แล้วก็ถอนหายใจยาว "โอเค… ตอนนี้มันผิดแผนไปหมดแล้ว เราคงต้องหาทางเกาะกลุ่มกันไว้ก่อน"
เขาเหลือบมองไปที่เจมพร้อมพูดต่อ "ลองใช้วิทยุสื่อสาร ขอให้กำลังเสริมมารับเราออกไปจากที่นี่" เจมพยักหน้า หยิบวิทยุออกมากดปุ่มส่งสัญญาณ แต่กลับมีเพียงเสียงซ่าๆ ของคลื่นแทรก เจมลองหมุนสัญญาณใหม่อยู่หลายครั้งก่อนจะหันมาส่ายหน้า "วิทยุสื่อสารใช้ไม่ได้เลย เหมือนคฤหาสน์นี้มันตัดสัญญาณจากภายนอก"
บอลที่ยืนข้างๆ ฟังแล้วก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล "แล้วพวกเราจะทำยังไงดีล่ะ ถ้าไม่มีสัญญาณเรียกกำลังเสริม ก็แปลว่าเราติดอยู่ที่นี่" เจมพยายามหาคำตอบที่เป็นไปได้ "ถ้าเราออกไปข้างนอกคฤหาสน์ อาจจะได้สัญญาณก็ได้ แต่ก็เสี่ยงนะ ออกไปก็เหมือนเป้าซ้อมยิงให้พวกมันอีก"
จักรพรรดิกัดฟันแน่น มองรอบๆ ด้วยความลังเล "แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่น พวกเราคงต้องเสี่ยงดู… ถ้าไม่ออกไปเรียกกำลังเสริม พวกเราจะติดอยู่ที่นี่โดยไร้ทางหนี"
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงแหลมของโลหะเคลื่อนไหวดังขึ้นจากทุกทิศทาง ราวกับกลไกบางอย่างทำงานโดยอัตโนมัติ ทั้งสามคนหันมองรอบตัวอย่างงุนงง ขณะที่บานประตูและหน้าต่างทุกบานถูกปิดด้วยเหล็กเลื่อนลงมา ครอบคลุมทุกช่องทางจนปิดกั้นแสงและเสียงจากภายนอก ไฟสว่างพรึบขึ้นทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ แสงไฟสีเหลืองอ่อนแทรกเข้ามาแทนที่ความมืด ราวกับต้องการขับไล่เงามืด แต่กลับทำให้บรรยากาศยิ่งน่าขนลุกไปอีก
พวกเขามองหน้ากันด้วยความงุนงงและตกใจ สงสัยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ใครกันที่ควบคุมกลไกเหล่านี้? หรือมันเป็นกลไกที่ติดตั้งมานานแล้ว ถูกกระตุ้นจากการเคลื่อนไหวของพวกเขา? จักรพรรดิรู้สึกถึงความตึงเครียดที่แผ่ซ่านทั่วร่าง ก่อนจะกัดฟันและพึมพำเบาๆ "ดูท่าทาง…เราจะไม่ได้เข้ามาแค่คนเดียวแล้ว"
บอลและจักรพรรดิกำลังพยายามตั้งสติกับสถานการณ์ที่น่ากลัวรอบตัว พวกเขาแทบจะไม่ทันตั้งตัวกับประตูและหน้าต่างที่ถูกปิดอย่างกะทันหัน ไฟที่สว่างขึ้นทำให้บรรยากาศดูอึดอัดและแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่เจมกลับยืนนิ่ง ไม่ได้แสดงอาการตกใจหรือกังวลใจเลยแม้แต่น้อย
บอลหันไปมองเจมด้วยความสงสัย “นี่นาย… นายไม่ตกใจอะไรบ้างเลยเหรอ?” เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความสงสัยและกึ่งตกใจ
เจมมองกลับไปอย่างเยือกเย็น พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ไม่หรอก ข้าเคยเจอเรื่องที่หนักกว่านี้มาแล้ว”
จักรพรรดิที่ฟังบทสนทนาของทั้งสองอยู่ เผลอรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ เขาสัมผัสได้ถึงอาการแปลกๆ ในร่างกายของตัวเอง ซึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นช้าๆ เขาหันไปถามบอลและเจม “นี่พวกนาย… ฉันรู้สึกแปลกๆ ไปนะ นายรู้สึกบ้างไหม?”
แต่ก่อนที่ใครจะตอบอะไร บอลกลับมองเขาด้วยสีหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจ “นี่… นาย… บนหัวของนาย…”
จักรพรรดิรู้สึกถึงบางอย่างที่ไหลออกจากหน้าผากของตัวเองอย่างหนืดๆ และเย็นเยียบ เขาค่อยๆ เอามือขึ้นไปสัมผัส พอเห็นว่ามือนั้นชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดง ความรู้สึกช็อกแล่นพล่านไปทั่วร่าง เขาพูดเบาๆ “เลือด…นี่มันเลือดของฉัน…”
ความมืดเริ่มปกคลุมทัศนวิสัยของจักรพรรดิ ร่างกายของเขาอ่อนแรงลงทุกที ทันใดนั้นเขาล้มลงกับพื้น ความรู้สึกและสติของเขาค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ บอลรีบวิ่งเข้ามารับร่างของจักรพรรดิที่กำลังล้มลง เขาพยายามเขย่าตัวเพื่อนและเรียกให้ตื่นขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“จักรพรรดิ เฮ้ย…นาย…ตื่นสิวะ!” บอลพูดพร้อมพยายามไม่ให้เสียงตัวเองสั่นด้วยความกลัว จักรพรรดิหรี่ตามองเพื่อนรักพร้อมกับส่งเสียงออกมาอย่างเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก… สุดท้ายเราก็ต้องตายกันทุกคน… ฉันจะตายจริงๆ เหรอวะเนี่ย ว้าว…”
บอลฟังคำพูดนั้นและตะโกนกลับไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด “ว้าวอะไรวะ! นี่มึงจะตายแล้วนะเว้ย!” น้ำเสียงเขาสั่นขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะหมดคำพูด จักรพรรดิล้มตัวลงในอ้อมแขนของบอล สติสุดท้ายของเขาหลุดลอยไปพร้อมกับลมหายใจที่เงียบสงบ
บอลนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น กอดร่างเพื่อนที่ไร้ชีวิตไว้แน่น เขากัดฟันพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ แม้ว่าข้างในจะปวดร้าว แต่เขาก็พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ไม่ให้ใครเห็น แต่เจมที่ยืนมองเหตุการณ์นี้กลับยืนนิ่งอย่างเฉยเมย ราวกับไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เจมหันมามองบอลด้วยสีหน้าเรียบเฉย "ไม่มีเวลามาเสียใจแล้ว รีบหาทางออกจากที่นี่กันดีกว่า เสียเวลาไปก็เปล่าประโยชน์"
บอลเงยหน้าขึ้นมามองเจมด้วยสายตาเต็มไปด้วยความโกรธและผิดหวัง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “นี่นาย! เพื่อนเราตายไปทั้งคนเลยนะ นายไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอวะ นี่นายเป็นคนจริงๆ รึเปล่า?”
เจมมองบอลอย่างนิ่งเฉย ไม่มีคำตอบหรือการแสดงอารมณ์ใดๆ เขายืนนิ่งมองบอลด้วยสายตาที่เย็นชาและว่างเปล่า ราวกับไม่รู้จักคำว่า “เสียใจ”
บรรยากาศในคฤหาสน์ร้างยังคงหนาวเหน็บและเงียบสงัด เสียงที่เคยมีเพียงเสียงลมหายใจของบอลซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธและเจ็บปวด เสียงขบกรามที่เค้นความเจ็บใจออกมา เขาหันมามองเจมอย่างไม่ไว้ใจ ราวกับภาพของเพื่อนร่วมทีมคนนี้เต็มไปด้วยความลึกลับที่ยังไขไม่ออก ในใจของเขามีคำถามที่กำลังดังก้อง—คำถามที่เขารอคอยคำตอบอย่างใจร้อน
เขาสูดลมหายใจลึก แต่ความสงสัยกลับเพิ่มมากขึ้น บอลเอ่ยถามออกมาอย่างเด็ดขาด “นี่นาย… นายรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่ไหม?” เสียงเขาสั่นเล็กน้อยจากความเจ็บปวดที่ยังคงอยู่ในใจหลังจากการสูญเสียจักรพรรดิ เจมเลิกคิ้วด้วยความไม่เข้าใจหรืออาจจะเป็นเพียงการเสแสร้ง “เรื่องอะไร?”
บอลสูดลมหายใจหนัก แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความโมโหและผิดหวัง “ก็เรื่องที่พวกเราต้องมาติดอยู่ในคฤหาสน์ส้นตีนนี่ไง เคน โชกุน ทิว… และพลตำรวจเอกที่ถูกฆ่าตาย นายรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้วใช่ไหม?” เขาพูดอย่างดุดัน แล้วสายตาก็จ้องเจมอย่างไม่ละสายตา ราวกับจะเผาผลาญให้คนตรงหน้าเปิดเผยความจริงทั้งหมด
เจมยืนนิ่งมองบอลที่ใกล้จะระเบิดออกมา ราวกับสายตาที่เห็นเรื่องนี้เป็นเพียงเหตุการณ์ธรรมดา บอลทนไม่ไหว เขาพุ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อของเจมแล้วเขย่าอย่างแรง “ตอบมา! ตอบมาสิวะ มึงรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า!”
เจมรู้สึกถึงแรงกระชากที่รุนแรง และเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธที่ซ่อนอยู่ในแววตาของบอล เขาผลักแขนของบอลออกอย่างแรงและตะโกนกลับด้วยน้ำเสียงที่เก็บกดมานาน “ไม่เว้ย! มึงเป็นเหี้ยอะไรนักวะ! มึงควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ไหวเหรอ? ถ้ามึงคุมอารมณ์ตัวเองแค่เรื่องนี้ไม่ได้ มึงไม่น่ามาเป็นทหารเลย!”
คำพูดของเจมเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและเย็นชา เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเหยียดหยาม “ก็แค่จักรพรรดิตาย มันเกี่ยวอะไรกับกูวะ มึงเลิกโทษคนอื่นแล้วหันมาดูตัวเองก่อนเถอะ ฮะ!” เสียงเจมดังก้องไปทั่วห้อง บอลกำมือแน่น น้ำตาของเขาเอ่อขึ้นมาด้วยความเจ็บใจ
แต่ก่อนที่ทั้งสองจะสานต่อความขัดแย้งไปไกลกว่านี้ เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นจากประตูด้านซ้าย เสียงนั้นหนักแน่นและสม่ำเสมอ เสมือนกำลังเตือนพวกเขาให้หยุดความบาดหมางชั่วคราว พวกเขาต่างมองหน้ากันด้วยสายตาที่แฝงความระแวง แต่ก็ตระหนักได้ว่าการเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังเข้ามานั้นสำคัญกว่า
บอลและเจมรีบตั้งสติ ค่อยๆ ปล่อยมือจากความโกรธชั่วคราว ทั้งสองหยิบอาวุธที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา เสียงลมหายใจเริ่มกลับมาควบคุมได้อีกครั้ง ทั้งคู่ใช้สัญญาณมืออย่างระมัดระวัง พร้อมกับเดินเบาๆ ไปทางประตู ฝีเท้าย่างเข้าหาความมืดอย่างแผ่วเบา ดวงตาสองคู่จ้องมองไปที่ประตูที่กำลังปิดไว้ เงียบสงัด…
เจมกระซิบอย่างเบาๆ “พร้อมหรือยัง?” บอลพยักหน้าเงียบๆ หายใจลึกอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งสองจะค่อยๆ เปิดประตูบานนั้นออกไปอย่างช้าๆ ใช้เทคนิคการเคลื่อนที่แบบ Close Quarters Battle (CQB) ฝึกฝนมาอย่างดี ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาระมัดระวังและนิ่งสงบ ข้างในนั้นเป็นเพียงความมืดที่ไม่รู้จัก เสียงหัวใจเต้นของพวกเขาดังขึ้นเรื่อยๆ
ทันทีที่ประตูเปิดออก กลิ่นอับๆ ของสิ่งที่อยู่ข้างหลังประตูนั้นก็พุ่งเข้ามา บอลและเจมต่างระวังตัวในทุกย่างก้าว ความตึงเครียดกลับมาอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้มันแตกต่าง พวกเขารู้ดีว่าความขัดแย้งภายในของพวกเขาอาจต้องพักไว้ก่อน ในเมื่อทั้งคู่กำลังจะเผชิญหน้ากับสิ่งที่มองไม่เห็น ความมืดเงียบสงัดที่ไม่รู้ว่าจะพาพวกเขาไปเจออะไรต่อจากนี้
เมื่อเจมกดสวิตช์เปิดไฟ แสงสีส้ม อ่อนๆ ของหลอดไฟเก่าๆ ก็ส่องสว่างขึ้นทั่วห้อง บรรยากาศเงียบสงบและนิ่งงันราวกับห้องนี้ไม่ได้รับการใช้มานาน ด้านซ้ายของห้องมีหน้าต่างคู่ที่มองออกไปเห็นแค่เงาไม้ที่ไหวเบาๆ จากลมยามค่ำด้านขวามือมีทางเดินยาวลึกไปในความมืด ทั้งสองค่อยๆ ก้าวเดินสำรวจไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังทุกย่างก้าว เสียงรองเท้าสัมผัสพื้นไม้ดังเอี๊ยด อ๊าด ทำให้บรรยากาศชวนขนลุกยิ่งขึ้น
เมื่อสายตาของพวกเขามองขึ้นไปทางมุมเพดาน มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ที่นั่นลำแสงสีแดงเล็กๆ กระพริบแสดงว่ามันยังทำงานอยู่ ความเงียบถูกทำลายโดยเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นดังมาจากอีกห้องหนึ่ง เสียงนั้นเหมือนคนเดินด้วยจังหวะสม่ำเสมอทำให้พวกเขาต้องหยุดมองหน้ากัน และพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าต้องตรวจสอบ
เจมและบอลเดินต่อไปสู่ห้องที่มีเสียงปริศนาดังขึ้น พวกเขาค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง ภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยชั้นหนังสือเก่าเรียงรายสูงถึงเพดาน กลิ่นกระดาษเก่าและฝุ่นผงอบอวลอยู่ในอากาศ รูปแบบของห้องคล้ายห้องรับแขกเมื่อครู่ แต่เต็มไปด้วยเงามืดที่ส่องซ่อนสิ่งต่างๆ เอาไว้
ทันใดนั้นเอง สายตาของพวกเขาก็เห็นบางอย่าง หญิงชราคนหนึ่งนั่งยองอยู่กลางห้อง ก้มหน้าหันหลังให้พวกเขา ท่าทางเหมือนกำลังทำอะไรบางอย่าง บอลและเจมยกปืนขึ้นอย่างรวดเร็ว เจมสูดหายใจลึกก่อนพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน “ค่อยๆ หันมานะครับอย่าตุกติก ไม่งั้นผมจำเป็นต้องยิงคุณ”
หญิงชราค่อยๆ หันมาช้าๆ ท่ามกลางความเงียบ เมื่อเธอหันหน้ามาสบตาพวกเขาแสงไฟจับเห็นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มปริศนา ริมฝีปากและปากของเธอเปื้อนไปด้วยเลือดที่ไหลเยิ้มเป็นหยดสีแดงเข้ม ข้างหน้าของเธอคือร่างที่ถูกแทะจนเละเทะจนไม่อาจระบุได้ว่าเป็นใคร กลิ่นคาวเลือดและเนื้อเน่าเสียกระทบจมูกทำให้บอลรู้สึกคลื่นไส้ทันที
บอลรู้สึกถึงมือที่สั่นไหว สายตาของเขาเบิกกว้างด้วยความสยดสยอง เขาพยายามหันไปมองเจมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและไม่เข้าใจ แต่เจมกลับยืนนิ่งไม่แสดงอาการตกใจใดๆ เขาเพียงมองหญิงชราตรงหน้าอย่างเย็นชา สายตาที่จ้องมองไปยังเธอไร้ความรู้สึกเหมือนมองดูสิ่งของที่ไม่น่าจะมีชีวิต
บอลค่อยๆ หันกลับมามองหญิงชรา อีกครั้งหัวใจเต้นแรง ความตื่นตระหนกพุ่งขึ้นแต่เจมกลับพูดขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ก็แค่คนบ้า อย่าไปสนใจ”
หญิงชราหัวเราะออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะของเธอดังก้องไปทั่วห้อง เสียงแหลมสูงที่เต็มไปด้วยความวิปลาส สะท้อนให้ความกลัวและความสยองขวัญทวีขึ้น บอลพยายามกดความกลัวในใจและสูดลมหายใจ เพื่อควบคุมสติพลางหันไปหาเจมที่ยังคงยืนอย่างสงบ
“ทำไม...นายไม่ตกใจเลย?” บอลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ
เจมหันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง “ถ้านายกลัวก็ออกไปได้เลย ฉันจะจัดการเอง"
บอลยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองไปยังหญิงชราที่นั่งยองอยู่ตรงหน้า ภาพของเธอที่ยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ตามมุมปากนั้นทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขากระซิบกับเจมด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความลังเล “เฮ้ย…แต่เขาไม่มีอาวุธนะ เราอาจจะคุยกับเขาได้”
เจมไม่ละสายตาจากหญิงชรา เขาหายใจเข้าลึก ก่อนจะกระซิบตอบกลับมาอย่างเยือกเย็น “มึงดูสิ่งที่มันทำอยู่ มึงเห็นไหมว่ามันนั่งอยู่บนร่างเละเทะของใครสักคน…นายอยากเป็นมื้อต่อไปเหรอ?”
บอลกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ความลังเลและความหวาดระแวงก่อตัวขึ้นในใจ เขาไม่เคยเห็นอะไรที่น่าขนลุกแบบนี้มาก่อน ความคิดที่ว่าอาจมีคนที่ยังสามารถเจรจากับพวกเขาได้ก็เริ่มดูจะเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ แต่บางอย่างในตัวเขาก็ยังรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่อาจจะรุนแรงเกินไป
หญิงชราเริ่มหันหน้ากลับมาทางพวกเขาอีกครั้ง นัยน์ตาของเธอเหม่อลอย สายตาไร้แววคล้ายคนที่ไม่รู้สึกถึงโลกภายนอก แต่กลับมีรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความวิปลาสปรากฏขึ้นบนใบหน้า เธอขยับตัวเล็กน้อย เสียงขยับเนื้อแห้งกรอบของศพดังขึ้นเบาๆ ภายในห้อง
บอลขยับถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เขากลั้นใจขณะจ้องมองหญิงชราที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับพวกเขา นัยน์ตาของเธอเริ่มสั่นไหว ดูเหมือนจะรับรู้ถึงการปรากฏตัวของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ เขากระซิบเบาๆ กับเจม “หรือว่า…เราควรจะถอยออกไปก่อน?”
เจมสูดหายใจเข้าลึก สีหน้าเขายังคงเยือกเย็น “ถอยไม่ได้…ถ้าเธอไล่ตามมา เราอาจจะตกเป็นเหยื่อเหมือนคนก่อนหน้านี้” เขากระชับปืนในมือแน่น จ้องหญิงชราอย่างระแวดระวัง พร้อมจะโจมตีทุกเมื่อหากสถานการณ์บีบคั้น
บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบงันที่กดดัน และการเต้นของหัวใจที่เร่งจังหวะของพวกเขาเอง…
...(ทางเลือกให้พวกคุณร่วมกันโหวต)...
...(1)เลือกที่จะให้บอลกับเจมยอมคุยกับหญิงชราคนนั้น เพื่อเขาอาจจะมีข้อมูลอะไรบ้าง...
...(ข้อเสีย ถ้าหญิงชราคนนั้นไม่มีสติแล้วไม่ยอมคุย บอลกับเจมอาจจะโดนทำร้ายก็ได้)...
...(2)เลือกที่จะให้บอลกับเจมยิงหญิงชราคนนั้นทิ้งไปเลย จะได้ไม่มีความเสี่ยง...
...(ข้อเสีย ถ้ายิงหญิงชราคนนั้นไปแล้ว แล้วปรากฏว่าเขายังมีสติอยู่ เราอาจจะไม่ได้ข้อมูล แถมเรายังมีความผิดที่ยิงผู้บริสุทธิ์อีก)...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 4
Comments