ตอนที่ 3 เริ่มปฏิบัติการ GOING DARK

จักรพรรดิหรี่ตามองนักศึกษาสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขารู้สึกถึงความไม่แน่ใจในตัวเธอที่ส่งผ่านออกมา "นี่คุณ มาแอบดูพวกเราทำไม?" เขาถามด้วยความสงสัย

นักศึกษาสาวทำท่าจะตอบ แต่คำพูดกลับติดอยู่ที่ลิ้น เธออ้ำๆ อึ้งๆ และส่ายหน้าไปมา จนจักรพรรดิเริ่มรู้สึกถึงความไม่สะดวกใจที่มีต่อสถานการณ์นี้ “นี่คุณเป็นใบ้เหรอ ถึงพูดไม่ได้?” เขาเผลอถามออกไปอย่างไม่ตั้งใจ

ทันใดนั้นนักศึกษาสาวทำหน้าบึ้ง และความโกรธปรากฏชัดในดวงตากลมโตของเธอ เธอค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้จักรพรรดิ โดยไม่ทำให้เขารู้สึกถึงความเป็นภัยในตัวเธอแม้แต่น้อย "ไม่" เธอตอบเสียงเบา แต่กลับมีเสน่ห์อย่างประหลาด น้ำเสียงของเธออ่อนหวานเหมือนเสียงเพลงที่ส่งผ่านมาในยามค่ำคืน ทำให้จักรพรรดิเข้าใจถึงความอ่อนไหวและความลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในคำตอบของเธอ

น้ำเสียงนั้นช่างดึงดูดจนเขาไม่สามารถหักห้ามใจได้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในพะวงที่ไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะที่เธอเดินเข้ามาใกล้ ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อนเริ่มเกิดขึ้นในใจของจักรพรรดิ เขาต้องการเข้าใจว่าทำไมเธอถึงรู้สึกอึดอัดขนาดนี้ และทำไมเธอถึงต้องแอบดูพวกเขา

“แล้วคุณทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ?” จักรพรรดิถามอีกครั้ง แต่ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาเบาลงเหมือนต้องการเปิดใจให้กับเธอ

นักศึกษาสาวยิ้มเล็กน้อย แต่มือของเธอกลับยังคงขยับไปมาอย่างไม่มั่นใจ เธอเริ่มตั้งท่าจะพูด แต่ดูเหมือนคำพูดจะติดอยู่ในลำคออีกครั้ง ความไม่แน่ใจและความเขินอายทำให้จักรพรรดิเห็นถึงความเปราะบางของเธอ ซึ่งยิ่งทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น

“คุณไม่ต้องกลัวนะ ผมแค่สงสัยจริงๆ” เขาพูดเสียงเบาและอ่อนโยน ขณะที่สายตาของเขายังคงจ้องมองเธอ “ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงแอบดูพวกเรา”

นักศึกษาสาวสบตากับจักรพรรดิอย่างลังเล ก่อนจะค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว เธอเหมือนจะรู้สึกถึงความกดดันในอากาศ แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง ทำให้จักรพรรดิรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังดึงดูดให้เขาเข้าใกล้เธออีกครั้ง

“คุณ... อยากให้ผมช่วยอะไรไหม?” จักรพรรดิถามด้วยความหวังว่าคำถามนี้จะช่วยให้เธอรู้สึกสบายใจมากขึ้น

นักศึกษาสาวเงยหน้ามองจักรพรรดิ สายตาของเธอฉายแววสับสนก่อนที่เธอจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเบาและสั่น "ไม่... ไม่ต้องการ" น้ำเสียงของเธอช่างอ่อนหวาน ราวกับเสียงเพลงที่ดังก้องในห้องเงียบ ความอ้ำอึ้งของเธอที่ออกมาอย่างไม่มั่นใจยิ่งทำให้เธอดูมีเสน่ห์ ไม่ต่างจากมนต์สะกดที่ทำให้จักรพรรดิรู้สึกคล้ายว่าตัวเองกำลังหลงทาง

บอลที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นท่าทีที่ดูเคลิบเคลิ้มของจักรพรรดิ จึงเอียงตัวมาพูดเบาๆ ข้างหูเขา “นี่นาย เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เสียงของบอลดึงสติจักรพรรดิกลับมาเล็กน้อย เขารีบตอบกลับโดยพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึก “อืม… เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น จักรพรรดิรู้ดีว่าตัวเองยังคงรู้สึกแปลกๆ กับนักศึกษาสาวคนนี้ ทั้งเสียงและท่าทางของเธอทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้ในใจของเขา

นักศึกษาสาวที่ยืนอยู่เงียบๆ ดูเหมือนจะสังเกตเห็นว่าจักรพรรดิถูกดึงดูดด้วยคำพูดและท่าทีของเธอ เธอจึงค่อยๆ ยื่นมือมาทางเขา โดยที่สายตาของเธอยังคงจับจ้องเขาไม่วาง ทำให้จักรพรรดิรู้สึกสับสนยิ่งขึ้นไปอีก

“เอ่อ... ทำไมถึงยื่นมือมาแบบนี้?” จักรพรรดิคิดในใจ แต่ความสงสัยของเขาก็ถูกความรู้สึกบางอย่างดึงดูด เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไปจับมือของเธอ

ทันทีที่มือของเขาสัมผัสมือของเธอ นักศึกษาสาวก็กุมมือเขาไว้แน่นจนเขารู้สึกได้ถึงแรงกด มือเล็กๆ ของเธอแต่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ ความอึดอัดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของจักรพรรดิ ความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่เธอต้องการจะสื่อออกมาแต่ไม่สามารถทำได้

“นี่คุณ… คุณทำอะไร?” เขาพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่เริ่มไม่มั่นใจ แต่นักศึกษาสาวกลับไม่พูดอะไรต่อ เธอกุมมือเขาไว้อย่างนั้นราวกับต้องการส่งผ่านความรู้สึกบางอย่างที่ไร้คำอธิบาย

เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที แต่สำหรับจักรพรรดิมันกลับรู้สึกเหมือนนานกว่านั้น ความนิ่งเงียบและแรงกดของมือเธอที่ยังไม่ผ่อนลงทำให้เขาเริ่มรู้สึกถึงความหนักอึ้งบางอย่าง จนสุดท้ายเขาจำเป็นต้องสะบัดมือออกอย่างช้าๆ ถอนตัวเองออกมาจากความรู้สึกอันแปลกประหลาดที่ยังคงวนเวียนในใจ

จักรพรรดิเลยได้หันไปมองนักศึกษาสาวคนนั้นด้วยสายตาสงสัย “นี่คุณ... คุณทำอะไรของคุณน่ะ?” คำถามของเขาแฝงความสับสนและไม่เข้าใจ แต่ก่อนที่เธอจะได้ตอบ เสียงของตำรวจนายหนึ่งดังแทรกเข้ามา “จักรพรรดิ! บอล! ท่านพลตำรวจเอกฐานศักดิ์เรียกตัวพวกคุณอยู่ครับ!”

เสียงนั้นทำให้ทั้งจักรพรรดิและบอลต้องรีบหันไปตามเสียง พอพวกเขากลับมามองนักศึกษาสาวอีกครั้ง จักรพรรดิก็รีบพูดเสียงเบาๆ กับเธอ “รีบไปซะ เดี๋ยวเรามีเรื่องกันเปล่าๆ” เขาเร่งให้เธอหนีไป

นักศึกษาสาวพยักหน้าเล็กน้อย แต่ก่อนจะวิ่งออกไป เธอกลับหยุดและหันมากระซิบคำหนึ่งที่ทำให้จักรพรรดิยืนนิ่งอยู่กับที่ “ที่ลพบุรีมันอันตรายมากนะ… ระวังตัวด้วยล่ะ ฉันเป็นห่วง” น้ำเสียงของเธอแม้จะอ่อนโยนแต่กลับทำให้หัวใจของจักรพรรดิเต้นแรงขึ้นด้วยความงุนงง

ทั้งจักรพรรดิและบอลได้แต่มองตามเธอที่ค่อยๆ วิ่งหายไปในความมืด ความเงียบเข้าครอบงำชั่วขณะ ทั้งสองหันมามองหน้ากันด้วยความรู้สึกงุนงง นักศึกษาสาวคนนั้นรู้เรื่องภารกิจที่พวกเขาจะไปลพบุรีได้ยังไง? ทั้งที่ยังไม่มีใครเปิดเผยข้อมูลนี้เลย พวกเขารู้เพียงแต่ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ

จักรพรรดิพยายามสลัดความสงสัยนั้นออกจากหัว ก่อนจะตั้งสติเมื่อเห็นตำรวจนายเดิมเดินมาถึงตรงหน้าเขาอีกครั้ง “จักรพรรดิครับ ท่านพลตำรวจเอกฐานศักดิ์มาเรียกตัวพวกคุณทั้งคู่แล้วครับ” นายตำรวจนั้นย้ำด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเร่งรีบ

จักรพรรดิและบอลจึงพยักหน้าตอบรับเงียบๆ ก่อนจะก้าวตามตำรวจรายนั้นไป แต่ในใจของจักรพรรดิยังคงค้างคา เหมือนมีอะไรบางอย่างดึงเขากลับไปหานักศึกษาสาวคนนั้น และประโยคสุดท้ายของเธอยังคงดังก้องในใจ ราวกับคำเตือนจากเงามืดที่กำลังคืบคลานเข้ามา

จักรพรรดิและบอลเดินตามตำรวจรายนั้นไปจนถึงห้องประชุมใหญ่ เมื่อมาถึง ตำรวจนายนี้โค้งศีรษะให้ทั้งคู่เล็กน้อยก่อนเดินออกไป ปล่อยให้จักรพรรดิและบอลยืนอยู่หน้าประตูห้องประชุม จักรพรรดิสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเอื้อมมือผลักประตูเข้าไป

ภายในห้องนั้นมีเพียงพลตำรวจเอกฐานศักดิ์นั่งรออยู่ร่วมกับเจม ทั้งสองหันมามองพวกเขาทันทีที่เข้ามาในห้อง จักรพรรดิเดินเข้ามาพร้อมกับบอล ยืนตัวตรงและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ท่านครับ เรียกตัวพวกผมมามีอะไรหรือครับ?”

พลตำรวจเอกฐานศักดิ์พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม “ที่เรียกมานี่เพราะพี่ต้องการให้พวกคุณทั้งสามคนได้รับเซรุ่มตัวใหม่ที่ศูนย์วิจัยของไทยเราคิดค้นขึ้นมา”

จักรพรรดิขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย แต่ก่อนที่จะทันถามอะไรเพิ่มเติม เจมเองก็กำลังสนใจในสิ่งที่ท่านพลตำรวจเอกพูด พลตำรวจเอกมองพวกเขาด้วยแววตาแน่วแน่ ก่อนจะอธิบายต่อ “เซรุ่มตัวนี้จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันกับเชื้อโรคต่างๆ ให้พวกนาย จะว่าไปก็คือพวกนายจะไม่ป่วยอีกต่อไป”

จักรพรรดิเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “อย่างนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีสิครับท่าน แล้ว… หมอที่จะมาฉีดเซรุ่มให้อยู่ที่ไหนครับ?”

พลตำรวจเอกฐานศักดิ์ยิ้มเล็กๆ ก่อนจะหยิบปืนฉีดยาขนาดกะทัดรัดออกมาและยื่นให้พวกเขาทีละกระบอก ทั้งสามรับปืนฉีดยาด้วยความแปลกใจ “พวกนายต้องฉีดกันเอง ฉีดตรงแขนซ้ายแล้วกดให้สุด”

จักรพรรดิ เจม และบอลสบตากัน ก่อนที่แต่ละคนจะหยิบปืนฉีดยามาถือไว้ และฉีดลงที่ต้นแขนของตัวเอง จักรพรรดิรู้สึกถึงความเย็นเฉียบของเซรุ่มที่ไหลเข้ามาในกล้ามเนื้อ แต่มันก็หายไปในเวลาไม่กี่วินาที ทุกอย่างดูเหมือนปกติ แต่เขาก็ยังมีความสงสัยค้างคา

บอลเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย “แล้วคนอื่นๆ อย่างเคน โชกุน และทิวล่ะครับ พวกเขาฉีดเซรุ่มหรือยัง?”

พลตำรวจเอกพยักหน้า “พวกนั้นได้รับเซรุ่มไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังเหลือพวกนายสามคนที่ยังไม่ได้รับ” คำตอบนี้ดูเหมือนจะสร้างความมั่นใจให้ทั้งสามคนได้บ้าง

พลตำรวจเอกฐานศักดิ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ก่อนจะเอ่ยออกคำสั่ง “โอเค หลังจากนี้พวกนายไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้พร้อม แล้วเตรียมตัวออกปฏิบัติการได้เลย”

ทั้งสามพยักหน้าและออกจากห้องไป แต่ไม่ทันที่ประตูจะปิด พลตำรวจเอกฐานศักดิ์ก็มองตามพวกเขาไปด้วยรอยยิ้มมุมปากแฝงเลศนัย ความคิดดำมืดผุดขึ้นในใจของเขา “หึ… ไม่ใช่เซรุ่มต้านเชื้อโรคอะไรหรอก แต่มันคือเซรุ่มที่จะทำให้พวกนั้นไม่แพร่เชื้อใส่พวกเองไง”

ตัดภาพมาที่ห้องอาบน้ำรวม ที่เต็มไปด้วยเสียงน้ำไหลที่กระทบพื้น จักรพรรดิ บอล และเจมกำลังอาบน้ำอยู่ด้วยกันอย่างสงบ พวกเขาคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้จนไม่รู้สึกขัดเขินใดๆ ในขณะที่พวกเขายืนอยู่ในความเงียบของบรรยากาศ ช่วงเวลาเช่นนี้มักจะทำให้คิดถึงสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น จักรพรรดิเลยตัดสินใจทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงที่เรียบเย็น

“นี่ เจม… ฉันเข้าใจนายนะ” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ “ถึงนายจะดูไม่เป็นมิตร ดูไม่เปิดโอกาสให้ใครง่ายๆ… แต่ฉันก็เข้าใจดีว่านายต้องผ่านอะไรมาบ้าง”

เจมหันมามองเขาด้วยสายตาที่นิ่งเฉย “ถ้าคุณรู้แล้วก็ดี” เขาตอบเสียงเบา แต่หนักแน่น “อย่าทำให้คนในทีมต้องมาตายเพราะคุณก็แล้วกัน”

เจมเดินเข้ามาประชิดตรงหน้าจักรพรรดิ ทั้งสองยืนสบตากัน จักรพรรดิรู้สึกได้ถึงพลังความมุ่งมั่นในแววตาของเจม เจมไม่ละสายตาไปไหนและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแต่จริงจัง "ผมน่ะเป็นคนดีนะ แต่ไม่ใช่คนใจดี เรื่องราวในอดีตมันหล่อหลอมผมให้เป็นแบบนี้ เป็นคนที่เข้มงวด เย็นชา และโหดร้าย ถ้าคุณทำตัวเป็นหัวหน้าทีมที่ไม่ดี หรือทำให้ใครในทีมต้องตาย... ผมจะยิงคุณทิ้ง เข้าใจตรงกันนะ คุณหัวหน้า?”

คำพูดของเจมแทรกซึมเข้าถึงใจ จักรพรรดิยิ้มมุมปากบางๆ แบบประชดประชันตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “ครับ คุณลูกน้อง”

บอลที่ยืนฟังเงียบๆ เห็นว่าอารมณ์เริ่มจะตึงเครียดเกินไปจึงรีบเข้ามาห้าม “โว้ๆ ใจเย็นกันหน่อยสิ พวกเราต้องทำงานด้วยกันนะ จะมาทะเลาะกันทำไม”

เสียงของบอลช่วยดึงอารมณ์ตึงเครียดให้คลายลง ทั้งสองหนุ่มสบตากันอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปอาบน้ำต่อ ในใจของพวกเขายังมีคำพูดค้างคา แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ความสัมพันธ์ในทีมนี้จะต้องถูกทดสอบในภารกิจที่กำลังจะมาถึง

หลังจากที่จักรพรรดิ บอล และเจมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย พวกเขาก็เดินไปยังห้องปฏิบัติการที่ได้รับคำสั่งจากพลตำรวจเอกไว้ พอเปิดประตูเข้าไป พวกเขาพบว่า โชกุน เคน และทิว ยืนรออยู่แล้ว พลตำรวจเอกฐานศักดิ์ก้มมองดูทั้งสามที่เพิ่งเดินเข้ามา แล้วเอ่ยถามเสียงเข้ม “พวกคุณคงเตรียมตัวกันพร้อมแล้วใช่ไหม?”

“พร้อมครับ” ทั้งสามตอบพร้อมกันด้วยเสียงหนักแน่น แสดงถึงความพร้อมที่ไม่หวั่นไหว

พลตำรวจเอกพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเดินนำพวกเขาไปยังส่วนจัดเตรียมอุปกรณ์ทางการทหาร “อุปกรณ์ที่จะใช้ในภารกิจครั้งนี้ เราได้เตรียมไว้อย่างครบครัน เป็นอุปกรณ์เฉพาะที่พวกคุณจำเป็นต้องใช้ เพื่อความปลอดภัยและความสำเร็จของภารกิจนี้”

เขาหยิบเสื้อเกราะกันกระสุนที่ทำจากวัสดุเคฟลาร์ผสมกับเซรามิกแบบใหม่ ที่ช่วยลดน้ำหนักได้ดีขึ้นแต่ยังคงความทนทานสูง "เสื้อเกราะรุ่นนี้เป็นของใหม่ ผลิตขึ้นมาเฉพาะภารกิจระดับสูง กันกระสุนได้ดีเยี่ยมโดยไม่ทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง"

ถัดจากเสื้อเกราะ เขาแนะนำปืนไรเฟิลจู่โจมที่วางอยู่ตรงหน้า “นี่คือปืนไรเฟิล M4A1 ติดกล้องเล็งและอุปกรณ์เก็บเสียง กระบอกนี้ผ่านการปรับแต่งพิเศษ ให้มีอัตราการยิงที่สม่ำเสมอและแม่นยำ แม้ในระยะกลางถึงไกล”

พลตำรวจเอกหยิบปืนพก Glock 19 ขึ้นมา “พวกคุณแต่ละคนจะได้ปืนพก Glock 19 ไว้เป็นอาวุธเสริม ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา แต่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้ในระยะประชิด”

นอกจากอาวุธปืนแล้ว เขายังชี้ไปที่มีดคอมแบทที่วางอยู่ด้านข้าง “และนี่คือมีดคอมแบทรุ่นใหม่ ขนาดพอเหมาะ จับถนัดมือ มีความคมสูง เหมาะสำหรับการต่อสู้ระยะประชิด รวมทั้งการใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ”

พลตำรวจเอกยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุปกรณ์พิเศษอีกหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นระเบิดแฟลชเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเป้าหมาย กล้องมองกลางคืนที่ช่วยให้การมองเห็นในสภาพแสงน้อย และ GPS แบบพกพาที่มีการเชื่อมต่อกับดาวเทียมสำหรับระบุตำแหน่งที่แม่นยำ

เมื่อพลตำรวจเอกแนะนำอุปกรณ์จนเสร็จ เขาก็หันมาสั่งด้วยเสียงที่หนักแน่น “พวกคุณเตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ภารกิจนี้จะเริ่มต้นในอีกสิบ นาที พวกคุณมีเวลาจัดการตัวเองเท่านั้น"

ทั้งทีมตอบรับคำสั่ง แล้วแต่ละคนก็เริ่มหยิบจับอุปกรณ์ขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบ พวกเขารู้ดีว่าในภารกิจครั้งนี้ ทุกชิ้นที่พวกเขาพกติดตัวไปคือสิ่งที่อาจช่วยชีวิตพวกเขา

จักรพรรดิหันไปทางพลตำรวจเอกฐานศักดิ์ ขณะเขาเตรียมอุปกรณ์ชิ้นสุดท้ายด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย “เอ่อ ท่านครับ แล้วปฏิบัติการครั้งนี้...มีชื่อเรียกว่าอะไรครับ?”

พลตำรวจเอกเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาแฝงความหนักแน่นและเด็ดเดี่ยว “ผมตั้งชื่อปฏิบัติการครั้งนี้ว่า Operation Going Dark” คำพูดนั้นถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แต่มีบางอย่างแฝงอยู่ในความหมาย คำนี้ทำให้ทุกคนหันมองกันเล็กน้อย พวกเขาพยักหน้าตอบรับ แสดงถึงความเข้าใจในภารกิจที่ท้าทายที่รออยู่

บรรยากาศในห้องเริ่มหนักอึ้งขึ้น การเตรียมอุปกรณ์ดำเนินต่อไปในความเงียบ มีเพียงเสียงของการตรวจสอบคลิปกระสุน เสียงติดตั้งดาบสั้นบนซอง และการจัดชุดเกราะให้เข้าที่ที่คอยขับเคลื่อนความมุ่งมั่นในใจของพวกเขา

ทันใดนั้น พลตำรวจเอกฐานศักดิ์ก็เรียกเคน โชกุน และทิวออกไปนอกห้องปฏิบัติการ ทั้งสามคนมองหน้ากันเล็กน้อยและตามออกไปอย่างเงียบๆ เหลือเพียงจักรพรรดิ บอล และเจมที่ยังคงอยู่ในห้อง

พวกเขาหันมามองหน้ากันพร้อมด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัย เจมเอียงศีรษะเล็กน้อยราวกับจะถามว่าคนพวกนั้นออกไปคุยอะไร จักรพรรดิเพียงยักไหล่พลางพูดเบาๆ “คงเรื่องส่วนตัวน่ะ” เขายิ้มออกมาบางๆ แล้วหันกลับมาเช็คอุปกรณ์ของตัวเองต่อไป

เสียงของการเตรียมความพร้อมยังคงดำเนินไปในความเงียบสงบ แม้จะไม่มีใครพูดออกมา แต่ในใจของพวกเขาต่างก็คาดเดา พลางระวังตัวในแบบฉบับของทหารที่เคยชินกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน

หลังจากที่จักรพรรดิ บอล และเจมเตรียมอุปกรณ์เสร็จ พลตำรวจเอกฐานศักดิ์ก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับเคน โชกุน และทิว ซึ่งตอนนี้สวมชุดอุปกรณ์ครบชุด ดวงตาของทุกคนยังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและสงบนิ่ง

จักรพรรดิหันไปถามพลตำรวจเอกด้วยความสงสัย “อ้าว ท่านครับ พวกคุณออกไปเตรียมอุปกรณ์นอกห้องหรือครับ?”

พลตำรวจเอกยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “ใช่ พวกเราเป็นทีมสนับสนุน จะต้องคอยคุ้มกันนายจากนอกคฤหาสน์ เลยมีบางอุปกรณ์ที่ต้องไปเตรียมเพิ่มเติมสำหรับภารกิจนี้”

จักรพรรดิ บอล และเจมพยักหน้ารับคำ ตอบสนองด้วยความเข้าใจ พลตำรวจเอกเหลือบตามองทุกคน พลางสั่งให้พวกเขายืนเรียงหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบ แล้วเริ่มเดินนำหน้าไปยังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่ด้านหลังของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ทุกย่างก้าวมีเพียงเสียงรองเท้ากระทบพื้นคอนกรีต บรรยากาศรอบข้างหนักอึ้งราวกับโลกทั้งใบกำลังจับจ้องพวกเขา

เมื่อมาถึงลานจอด ทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมองเฮลิคอปเตอร์รุ่น Bell 429 สีดำสนิทสองลำที่จอดรออยู่ เครื่องบินรุ่นใหม่นี้สะท้อนเงาของแสงไฟจางๆ ในยามค่ำคืน สัญลักษณ์ตำรวจที่ประทับบนลำตัวเฮลิคอปเตอร์สื่อถึงความเป็นทางการและอำนาจที่ทรงพลังของทีมนี้

พลตำรวจเอกฐานศักดิ์ตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “เจม บอล และจักรพรรดิ ไปนั่งลำแรก ส่วนเคน โชกุน และทิว มานั่งลำที่สองกับผม เข้าใจไหม?”

เสียงตอบรับดังประสานกันทันที “รับทราบครับ!” ความพร้อมเพรียงและมั่นใจแฝงไปด้วยความตื่นตัวของทุกคน สะท้อนถึงการฝึกฝนที่ไม่ธรรมดาและความเคารพในคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

เมื่อได้ยินคำสั่ง ทุกคนก็เริ่มเคลื่อนตัวไปยังเฮลิคอปเตอร์ของตนเอง จักรพรรดิ บอล และเจมวิ่งไปยังลำแรก พลางตรวจเช็คอุปกรณ์ของพวกเขาอีกครั้งก่อนจะก้าวขึ้นไปประจำที่นั่ง เสียงเครื่องยนต์เริ่มดังขึ้นเบาๆ พร้อมการหมุนของใบพัดที่สร้างแรงลมมหาศาล จนทำให้ทุกคนต้องหรี่ตาเล็กน้อยเพื่อต่อสู้กับแรงลมและละอองฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย

เมื่อทุกคนขึ้นประจำที่ พลตำรวจเอกก็มองดูทีมของเขาในแต่ละลำด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง ก่อนจะตะโกนสั่งครั้งสุดท้ายผ่านเสียงเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ “เตรียมตัวออกเดินทางได้!”

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!