...บทที่ 4
...
...เริ่มต้นการอบรมสุดโหด
...
วันที่1 ของการอบร สถานที่:อุตสึโนะมิยะ
ในเช้าวันถัดมา เราและพี่เมย์ ออกจากห้องพักของครูฮิมิโกะ ค่อนข้างเร็วเพราะต้องไปขอกุญแจหอพักจากนิติประจำหอ
เนื่องจากเป็นการอบรมชั่วคราวแค่สองอาทิตย์ ทางโรงเรียนจึงจัดการให้นักเรียนที่เข้าร่วมอบรมใช้หอพักร่วมกัน โดยเราได้มารู้ตัวเอาตอนนั้นว่านักเรียนที่เข้าร่วมโครงการหลายคนมาอยู่ที่นี่ก่อนประมาณสองถึงสามวัน และพวกเราที่มาจากไทยก็เป็นนักเรียนกลุ่มสุดท้ายที่มาถึง
หอพักชั่วคราวที่เราได้ใช้จุคนได้พอสมควร ทันทีที่เปิดประตูมาก็เจอนักเรียนหลายคนที่กำลังนอนกันอยู่ และอีกหลายคนที่กำลังนั่งสะลึมสะลืออยู่บนฟูกที่นอน บางคนก็ทักทายเราสองคนทั้งที่ยังลืมตาไม่ขึ้นเลย เมื่อหันไปทางซ้ายมือสุดทางก็เจอเข้ากับล็อคเกอร์ที่วางเรียงรายกันอยู่
เรากับพี่เมย์ที่ได้อยู่หอเดียวกันก็เดินเข้าไปตรงเก็บกระเป๋าที่ล็อคเกอร์ก่อนจะออกไปด้านนอกเพื่อไปหาอาหารเช้ากิน
หลังจากที่กินข้าวกันไปสักพักพี่คินกับพีพี ก็มาร่วมวงกินข้าวด้วย หลังจากกินข้าวเสร็จก็คุยสัพเพเหระกันไปต่างๆ นานาเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอให้ถึงเวลาอบรมปรับพื้นฐาน
“แต่จะว่าไปเมื่อคืนนี้ คือเกินคาดมาก เรานึกว่าจะได้กินราเม็งร้อนๆ ที่ไหนได้ ต้องซัดข้าวผัดไปเป็นจาน แล้วคือหน้านัทดูสับสนมากมากตอนกินข้าวผัด” เสียงพี่เมย์พูดเล่าเหตูการณ์อันน่าผิดหวังเมื่อคืนด้วยน้ำเสียงเจือยแจ้ว
“นัทผิดหวังกับมื้อแรกในญี่ปุ่นเป็นข้าวผัดใช่ไหม เข้าใจๆ เพราะปีที่แล้วก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน” พี่คินพูดพลางหัวเราะไปพลาง
“ก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่สงสัยว่าในญี่ปุ่นหาข้าวหอมมะลิง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วอีกอย่างก็คิดว่าถ้ากินข้าวผัดเข้าไปตอนนั้นน่าจะนอนไม่หลับเพราะแน่นท้องด้วย” เราพูดแก้ต่างออกไป
“เออก็จริง เมื่อคืนตอนนอนเหมือนพีพีจะท้องอืดด้วยนะ” พี่คินพูดเสริมบท
“ก็ก่อนนอนต้องกินอะไรที่ย่อยง่ายสิ เล่นกินทั้งผักทั้งไก่เข้าไปขนาดนั้นก่อนนอน กระเพาะก็ทำงานหนักกันพอดี” พีพีที่พูดขึ้นมาแม้ว่าจะไม่ละสายตาจากโทรศัพท์ของตัวเองเลยก็เถอะ แต่ก็เห็นนะว่าเจ้าแมวติดโทรศัพท์แอบขมวดคิ้วเป็นปมเลย
“เพื่อนเอาข้าวให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว นอนท้องอืดก็ยังดีกว่านอนท้องหิวนะ” พี่เมย์พูดขึ้นพลางตักเค้กกาแฟคำโตเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ่ยๆ
นอนท้องอืดดีกว่านอนท้องหิวเหรอ มันดีกว่าตรงไหนละเนี่ย
แต่จะว่าไปพวกเราก็มานั่งที่ม้านั่งหน้าโรงอาหารสักพักแล้ว เริ่มเห็นคนเดินผ่านไปผ่านมามากขึ้น จำนวนน่าจะพอๆ กับจำนวนนักเรียนม. ต้นของโรงเรียนเราได้เลย
อารมณ์ตอนนี้เหมือนอยู่ในโรงเรียนนานาชาติเลย มีนักเรียนที่เดินผ่านไปผ่านมาบางคนดูก็รู้เลยว่ามาจากยุโรป-อเมริกา บางคนก็หน้าดูเอเชีย ถึงขนาดบางคนก็หน้าบอกสัญชาติเลยทีเดียวว่ามาจากจีน หรือจะหน้าตาที่ดูคมเข้มบ่งบอกว่าเป็นชาติพันธุ์อาหรับนั่นก็ด้วย
“โครงการนี้เป็นโครงการที่ใหญ่มากเลยเหรอ ดูเหมือนจะเป็นที่รวมนักเรียนจากทั่วทุกมุมโลกเลยนะคะ” เราถามไปเพราะคิดว่าดูยังไงๆ ก็ไม่น่าจะเป็นโครงการทั่วๆ ไป
“จะให้พูดยังไงดี จะว่าใหญ่ก็ใหญ่แหละ คือมันเป็นโครงการระดับประเทศอย่างไม่เป็นทางการน่ะ” พี่คินตอบ แต่เหมือนว่าเราจะแสดงออกทางสีหน้าว่าไม่เข้าใจพี่คินเลยอธิบายเสริมไปว่า
“เอ่อ...แรกเริ่มเดิมที คนที่คิดค้นและเริ่มจัดโครงการนี้ขึ้นมาเขาเป็นคนที่ค่อนข้างจะกว้างขวางน่ะ เขามีคนรู้จักที่เป็นเจ้าของโรงเรียนหลายคน และมีเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศหลายคนประเทศด้วย ตอนแรกๆ ก็จัดไปตามอารมณ์เพราะอยากให้มีโครงการระดับนานาชาติในชนบทบ้าง แต่ไปๆ มาๆ ก็กลับกลายเป็นอย่างที่เห็น”
“รู้ลึกดีนะเนี่ย” เราพึมพำกับตัวเองแต่เหมือนว่าพี่คินจะได้ยินด้วย
“เพื่อนพี่เป็นลูกเจ้าของโรงเรียน เลยเล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟัง จะว่าไปเพื่อนพี่คนนั้นก็อยู่โรงเรียนเดียวกับที่นัทลงหนิ ก็คงได้เจอกันเดี๋ยวพี่พาไปแนะนำให้รู้จักเอง”
หลังจากที่นั่งกันอยู่นานก็ถึงเวลาที่จะต้องเข้าอบรมแล้ว คราวนี้เราต้องแยกกันไปตามห้องที่จัดไว้ให้ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะจัดเรียงตามโรงเรียนที่เราลงนะ คงจะเพื่อให้นักเรียนได้ทำความรู้จักกัน ตอนไปที่แยกย้ายไปตามโรงเรียนจะได้ไม่ต้องปรับตัวเยอะ
ห้องอบรมของเราอยู่ชั้นที่สองห้องเกือบสุดทางเดิน ระหว่างทางเลยทำให้เราได้เพื่อนมาด้วยสองคน คนหนึ่งมาจากเมืองผู้ดีประเทศอังกฤษ ชื่อไลลา อีกคนก็มาจากประเทศใกล้ๆ กัน คือประเทศ สเปน ชื่อโซเฟีย
หลังจากที่มาหถึงห้องเรียนก็พบครูที่มารออยู่ก่อนแล้ว และใช่ค่ะ เป็นคนที่เราคุ้นเคยดี เพราะคุณครูคนนี้คือผู้ชายคนเดียวกันกับคนที่ไปรับเราที่สนามบิน ชื่อว่า ซาโตะ อิสุมิ หรือก็คือคุณสามีของครูฮิมิโกะนั่นแหละค่ะ
ครูอิสุมิ เดิมทีเป็นคนอาชิคางะ และเป็นครูจากโรงเรียนที่เราจะต้องไปแลกเปลี่ยนเป็นเวลาสองเดือนด้วย แต่เมื่อปีที่แล้วก้ได้แต่งงานกับครูฮิมิโกะ เพราะดันมาพบรักกันตอนเป็นฝ่ายผสานงานเกี่ยวกับโครงการแลกเปลี่ยนนานาชาตินี้ ถ้าถามว่าเรารู้ได้ยังไงหนะเหรอ ก็เพราะว่าตั้งแต่ที่ทุกคนเข้านั่งเตรียมพร้อมรออบรมเขาก็เราเรื่องชีวิตตั้งแต่เริ่มทำงาน ไปจบถึง การพบกันครั้งแรกของครูกับครูฮิมิโกะ และตกลงแต่งงานกันได้ยังไง จวบจนตอนนี้ เหลือเวลาอีกสามสิบนาที จะถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว ถึงได้เพิ่งเริ่มอบรม
เมื่อเสียงออดดังขึ้น บรรดานักเรียนต่างก็เดินออกมาจากห้องอบรบและมุ่งตรงไปยังโรงอาหาร ส่วนเราและเพื่อนใหม่ทั้งสองออกมาช้าเพราะรอให้คนที่ทางเดินบางตาลงไปบ้างก่อน
ระหว่างที่กำลังเดินลงมาจากชั้นสองก็ได้ยินเสียงพึมพำจากเพื่อนข้างๆ เป็นระยะ
“Nat, Is red general waste?” โซเฟียที่อยู่ ๆ ก็หั่นมาหาเราแล้วถามขึ้นทำให้เรานิ่งคิดเล็กน้อยว่าเธอถามเรื่องอะไร
พอหันไปเห็นไลลาที่เดินพึมพำเรื่องสีถุงขยะเลยทำให้เราเข้าใจในทันทีว่าเราถามถึงเรื่องอะไร
เรายกกระดาษขนาด A5 ขึ้นมากวาดตามองว่าถุงขยะแดงเอาไว้ใส่ขยะทั่วไปไหม แล้วก็ตอบโซเฟียไป
“Yeah”
“Thank” โซเฟียพูดขอบคุณเสร็จก็หันไปจดข้อมูลที่เพิ่งได้ใหม่ลงในกระดาษ
ความจริงในข่วงสามสิบนาทีหลังจากที่ครูอิสุมิสาธยายชีวประวัติของตัวเองจบ ก็อธิบายเกี่ยวกับการแยกขยะในญี่ปุ่น บอกได้เลยว่าสุดยอดสปาต้าไปเลย
ไม่ใช่แค่แยกขยะเลเวลปกติแล้วแบบนี้ ถ้าให้พูดคือมีหลายประเภทมาก แต่หลักๆ ที่ต้องรู้ มีสามประเภท คือ แบบเผาได้ แบบเผาไม่ได้ และขยะพลาสติก (แต่ละประเภทมีแยกย่อยอีกต่างหาก) ไหนจะมีเรื่องประเภทถุงขยะ กับวันที่ต้องเอาขยะมาทิ้งอีก
ถึงวันนี้จะพูดถึงแค่เรื่องแยกขยะอย่างเดี๋ยว ก็เล่นเอาหมดแรงเลย แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่มีโบรชัวร์แยกประเภทขยะมาให้ เดี๋ยวช่วงบ่ายก็ต้องมาเรียนวิธีจัดการกับขยะแต่ละประเภทก่อนทิ้งอีก แต่ก็แค่วันนี้แหละ เพราะพรุ่งนี้ก็จะได้ปรับพื้นฐานภาษากันแล้ว คงจะเบากว่านี้
“See you”
“See you”
เสียงไลลากับโซเฟียที่ดังขึ้นพร้อมกันจากนั้นก็ตามด้วยเสียงของเราดังขึ้นทันทีที่พวกเราทั้งสามมาถึงโรงอาหาร
โซเฟียและไลลาที่แอบกินขนมในห้องอบรมจนอิ่มแยกกับเราเพื่อไปหาที่งีบ เพราะเล่าว่าเมื่อคืนเอาแต่โต้รุ่งเล่นเกมกันจนตีสามตีสี่
ส่วนเราที่นัดกับพี่เมย์เอาไว้แล้วว่าจะมากินข้าวเที่ยงด้วยกันก็มุ่งตรงเข้าสู่โรงอาหารทันที
จำนวนคนในโรงอาหารแน่นกว่าตอนเช้าที่เรามานั่งกินข้าวมาก ตอนที่นัดกันตอนเช้าไม่ได้คิดว่าคนจะแน่นขนาดนี้ ถ้าคนเยอะขนาดนี้หาที่นั่งเองเลยดีไหมกว่าจะหาโต๊ะที่นัดกันเจอคงหมดเวลาข้าวเที่ยงเสียก่อน
ตอนแรกว่าจะตัดใจแล้วแต่อยู่ ๆ โทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่นขึ้นมา เพราะเข้าอบรมเลยกลัวว่าจะรบกวนคนอื่นเลยเปิดโหมดสั่นเอาไว้
“ทำไมรับสายช้า” ทันทีที่รับโทรศัพท์ก็ได้ยินเสียงที่เหมือนจะคุยหู อาจจะเพราะได้ยินไม่กี่ครั้งทำให้เราไม่ค่อยแน่ใจ
“พีพีเหรอ”
“อื้อ นัทอยู่ไหน”
“เราอยู่ที่โรงอาหารแล้ว พีพีอยู่ตรงไหน”
“โต๊ะติดกับทางออก ซื้อข้าวให้แล้วรีบมาเลย”
พูดจบก็สายตัดไปทันที คิดไปเองหรือเปล่านะว่าน้ำเสียงพีพีมันฟังดูงอแงยังไงก็ไม่รู้
เราเดินตรงไปยังทางออกของโรงอาหารทันที เพราะการจัดวางของที่นี่เลยทำให้เดินเข้าออกค่อนข้างง่าย ทางเข้ากับทางออกจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพื้นที่ทางเดินเข้าออกกับพื้นที่ทางเดินเลือกซื้ออาหารจะถูกกั้นโดยโต๊ะอาหารแบบยาวหลายๆ โต๊ะเรียงต่อกับ และฝั่งในสุดก็เป็นร้านค้าต่างๆ โรงอาหารของที่นี่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เพื่องรองรับนักเรียนแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะ ดังนั้นถ้าแยกย้ายไปตามโรงเรียนอาจจะไม่ได้เห็นโรงอาหารเหมือนอย่างโรงเรียนนี้ หรืออาจจะไม่มีโรงอาหารแล้วก็เป็นได้
เมื่อมาถึงโต๊ะก็พบเข้ากับพี่เมย์ พี่คิน พีพี และนักเรียนชายอีกสองคนที่เราไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“นัทมานั่งตรงนี้เลยจ้า” เสียงพี่เมย์ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงตบโต๊ะปึกปึก ข้างที่นั่งตรงเอง
“ทำไมมาช้าจัง อาจารย์ปล่อยเลทเหรอ”
พูดไทยชัดขนาดนี้ไม่ต้องบอกก็รู้คนไทยแน่นอน เพราะเป็นหนึ่งในสองคนที่เราไม่รู้จักเราเลยประมวลผลอยู่นิดหน่อย ก่อนจะสรุปได้ว่าเขาคนนี้อาจจะชื่อศรัณ คนที่เอาข้าวผัดมาให้ เพราะอีกคนดูจากหน้าแล้วไม่น่าจะใช่คนไทย
“เปล่าค่ะ”
“อ้าวแล้วทำไมลงมาช้าหล่ะ หรือหลงทาง”
“ก็ห้องพวกเราเซ็นเซย์ปล่อยก่อนเวลาไง”
เพราะอีกฝ่ายเอาแต่จี้ถาม พี่คินที่นั่งซดราเม็งอยู่เลยพูดขึ้นมา
“นัทกินเผ็ดได้ไหม เราสั่งราเม็งแบบเผ็ดมาเพราะลืมถาม แต่ไม่ได้เผ็ดมากนะ” พูดจบเมย์ก็เลื่อนชามราเม็งมาให้ เราลองตักน้ำซุปมาชิมรสชาติไม่เผ็ดเราเลยพยักหน้า
“กินได้เต็มที่เลยนะ ถ้าไม่พอก็ไปเอาเพิ่มเดี๋ยวศรัณเลี้ยง”
“ไหงคนเลี้ยงเป็นเราได้”
“ก็ชดข้าวผัดที่ทำพีพีท้องอืดเมื่อคืนไง”
“ได้ๆ กินให้เต็มที่เลยครับ เดี๋ยวพี่ศรัณคนนี้เลี้ยงเอง”
ตอนแรกศรัณจะเถียงเรื่องเลี้ยงข้าวกับพี่คินต่อ แต่สายตาพี่แกดันเหลือบไปเห็นพีพีที่ทำหน้ามุ้ยเพราะพี่คินพูดเรื่องท้องอืดขึ้นมา ศรัณเลยรับจบเรื่องเลี้ยงข้าวแล้วนั่งซดราเม็งเงียบๆ
พอเห็นแบบนี้ทำเอาเราหลุดยิ้มขึ้นมาเลย
“นัท คนที่พูดมากเมื่อกี้ชื่อศรัณ อย่าลืมเรียกพี่ด้วยนะ ส่วนทางนี้ ชื่อว่า มิยาโนะ ชูยะ เรียกว่า ชูยะเซ็มไปก็ได้ เป็นคนที่ไอ้คินเล่าให้ฟังเมื่อเช้า ที่เล่าว่าอยู่โรงเรียนเดียวกับนัทจำได้ไหม”
“ส่วนเซ็มไปคะ นี้ นัทค่ะ เป็นรุ่นน้องของฟ้า”
หลังจากที่พี่เมย์แนะนำเรากับเพื่อนของพี่เมย์แล้ว คนที่ชื่อ ชูยะก็พยักหน้าให้เราเล็กน้อย
ส่วนเราก็ได้แต่ค้อมศีรษะเล็กน้อยเชิงทักทาง
“ตอนไปที่โรงเรียนมีอะไรบอกรุ่นพี่เขาได้เลยนะ พูดภาษาไทยก็ได้รุ่นพี่เขาฟังออก แล้วก็นี่เกี๊ยวซ่า ของขึ้นชื่อของอุตสึโนะมิยะรุ่นพี่ซื้อมาฝากพวกเราด้วย”
พี่เมย์ว่าพลางเลื่อนชามใส่เกี๊ยวซ่ามาให้เรา
“ขอบคุณค่ะ”
เราพูดขอบคุณรุ่นพี่คนนั้น ไปก่อนที่จะคีบเกี๊ยวซ่าหนึ่งตัวในชามมากิน อีกฝ่ายจะพยักหน้าและพูดขึ้นมาว่า
“彼女はとても魅力的です”
อะไรเดสเดสนะ เราที่แทบจะไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย มองหน้าอีกฝ่ายที่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเป็นพิเศษ เลยลากสายตาไปหาพี่เมย์ พี่คิน พีพี หรือรุ่นพี่ป้ายแดงอย่างพี่ศรัณ
ปรากฏว่าทั้งโต๊ะตกอยู่ในความเงียบ แทบทุกสายตาในกลุ่มพวกเรามองไปยังรุ่นพี่ชูยะเป็นสายตาเดียวกัน (สีหน้าประหลาดใจ?)
“อะ...อะแฮ่มๆ เรื่องนี้ผมว่าเอาไว้ก่อนดีกว่า เราอยากรู้มากกว่าว่าพีพีมีเบอร์นัทได้ไง”
ศรัณกระแอมแล้วหันมาทางเรากับพีพีเชิงเปลี่ยนเรื่อง
พี่เมย์กับพี่คินทำหน้าตาเลิ่กลั่ก ก่อนจะตามน้ำไป
“ใช่ๆ ไปแลกเบอร์กันตอนไหน เมื่อไหร่ อย่างไร”
เราเคี้ยวเกี๊ยวซ่าในปากหมดก็ตอบคำถามพี่คิน เพราะเจ้าแมวพีพีเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินเกี๊ยวซ่าจนไม่สนใจทางโลกแล้วมั้งนั่น
“ก็เมื่อวานตอนที่ลงจากชินคันเซ็นไงคะ”
“อ๋อออออ” เสียงพี่เมย์ดังขึ้น
.
หลังจากที่ลงมาจากชินคันเซ็นทุกคนที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางมาตลอดทั้งวันจนแทบเดินไม่ไหว นอกจากต้องเดินลากกระเป๋าของตัวเองแล้ว ยังต้องลากร่างที่แทบจะล้มลงไปนอนกับพื้นแล้วให้เดินต่อไปยังที่ที่รถเช่าจอดอยู่ ซึ่งห่างจากสถานีพอสมควร
ทุกคนดูเหมือนจะไม่ไหวกันแล้ว พี่คินกับพี่เมย์ถึงกับนั่งบนกระเป๋าลากแล้วให้ครูช่วยลากไป ส่วนพีพีในตอนที่อยู่สถานีแล้วรู้ว่าต้องเดินเท้าไปที่รถก็ทำหน้าบึ้งตึง ยู่ปากขมวดคิ้วอยู่ยกใหญ่ แต่ตอนนี้.....
“พีพีเป็นอะไร”
เห็นพีพีที่จู่ ๆ ก็หยุดเดินแล้วเบิกตาโตด้วยท่าทางตกใจเราเลยถามอีกฝ่าย
“ไม่มี”
เสียงสั่นๆ ของพีพีเรียกให้ทั้งสี่คนที่เดินอยู่ด้านหน้าหั่นกลับมามอง
“โทรศัพท์ไม่มี” สีหน้าที่เหมือนน้ำตาที่คลออยู่รอบดวงตากลมนั้นจะไหลออกมาได้ตลอดเวลา ทำให้เราและอีกสี่คนที่เหลือถึงกับมองหน้ากันด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก
“หาดูดีดีแล้วเหรอ ในกระเป๋ากางเกง หรือกระเป๋าสะพายไม่มีเลยเหรอ” เสียงครูอิสุมิพูดขึ้นพลางรีบเดินมาหาพีพี
ส่วนพีพีเองก็ล้วงมือในกระเป๋ากางเกงก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วส่ายหน้าไปมา
ต่างคนต่างก็แตกตื่น เพราะตอนนี้ก็เดินออกมาจากสถานีเกินครึ่งทางแล้ว จะเดินกลับไปก็คงไม่ทัน ต่างคนตามก็อลหม่ากับการหาเบอร์ติดต่อกับทางสถานีและตำรวจในพื้นที่ ส่วนพีพีเองก็ยืนน้ำตาซึมกอดกระเป๋าสะพายหลังใบสีขาวของตัวเองอยู่ข้างๆ เรา
“ขอเบอร์หน่อยได้ไหม” เราหันไปคุยกับคนที่ยืนซึมน้ำตาไหลอยู่ข้างๆ
หลังจากที่ได้เบอร์โทรติดต่อ และกดโทรออกไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นมาจากกระเป๋าที่พีพีกอด และทันทีที่ได้ยินเสียเจ้าของกระเป๋าก็รีบเปิดกระเป๋ารื้อของจบในที่สุดก็เจอ จากนั้นเจ้าตัวก็รีบเช็ดน้ำตากับแขนเสื้อตัวเอง แล้วยิ้มร่าจบตาปิด
.
“สรุปก็คือตัวเองเอามือถือไปเก็บในกระเป๋าชั้นด้านในสุดก่อนที่จะนอนยาวๆ ตลอดเส้นทางมาอุตสึโนะมิยะ แต่ก็เป็นตัวเองอีกนั้นแหละที่ดันลืมที่เก็บซะเอง”
พี่เมย์ที่เล่าเหตุการณ์เมื่อวานอย่างออกรส ทำเอาคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยอย่างพี่คินอดไม่ได้ที่จะต้องพูดเสริมเข้าไปอีกว่า
“เมื่อวานนี้เกือบจะได้เดินเวียนไปสถานีเสียเที่ยวแล้วนะ ฮิมิโกะเซ็นเซย์เองก็โทรงแจ้งทางตำรวจเรียบร้อยแล้วด้วย อิสุมิเซ็นเซย์เองก็โทรไปแจ้งทางสถานีแล้วด้วยนะแต่ยังไม่ทันได้วางสายก็เจอโทรศัพท์ซะก่อน”
พี่ศรัณที่นั่งเป็นผู้ฟังที่ดีอยู่ตั้งนานสองนานหลังจากที่ฟังทั้งสองคนแฉ...เอ้ยไม่ใช่..เล่าประสบการณ์ลืมโทรศัพท์ในกระเป๋าเสร็จก็ล้อพีพีอยู่นานจนใกล้ถึงเวลาที่จะต้องอบรมช่วงบ่ายแล้วพวกเราต่างก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัวสำหรับช่วงบ่าย
อย่างที่ได้บอกเอาไว้ว่าช่วงบ่ายเป็นการอบรมเกี่ยวกับการจัดการกับขยะชนิดต่างๆ ดังนั้นสถานที่ที่เรามารวมตัวกันในตอนนี้จึงไม่ใช่ที่ห้องอบรมแต่อย่างใด แต่กลับเป็นลานกว้างหลังอาคารเรียน
การอบรมครั้งนี้คือการลงมือทำ เราต้องลองแยกประเภทขยะเองและต้องลองแกะฉลากไปจนถึงแกะกล่องนมด้วยตนเอง
“พึ่งรู้เลยนะว่าการจะทิ้งกล่องนมแต่ละทีมันต้องลำบากขนาดนี้ ต่อไปนี้ถ้าจะดื่มนมคงต้องคิดหนักหน่อยแล้ว”
เราบ่นไปพลางแกะกล่องนมไปพลาง จนเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบจะเย็นแล้วงานแยกขยะของพวกเราก็ทำเสร็จพอดี
ถุงขยะสีต่างๆ ถูกยกมาเก็บตรงที่ทิ้งขยะส่วนกลางของโรงเรียนเพื่อว่าเมื่อถึงวันที่กำหนดเก็บขยะแต่ละประเภทคนที่รับผิดชอบจะได้เอาขยะไปวางไว้ตรงจุดที่เจ้าหน้าที่มาเก็บ
.
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จเราก็ไปกินข้าวเย็น จากนั้นก็พูดคุยไปเรื่อยเปื่อยจนถึงเวลาแยกย้ายกันเข้าไปนอน
เช้าวันต่อมาก็ยังคงมีกิจวัตรที่ราบเรียบตามปกติ แต่ในความรู้สึกของเรามันไม่ปกติ มันราบรื่นเกินไปจนน่ากลัวเลยหละ อารมณ์ประมาณท้องทะเลที่คลื่นลมสงบก่อนเกิดสึนามิเลย
.
แล้วความรู้สึกเรามันจะผิดพลาดตรงไหนล่ะ ทันทีที่ห้องอบรมถูกเปิดเราก็แทบจะเข่าทรุดตรงหน้าประตูเลยทีเดียว
บรรยากาศในห้องนั่น ไม่ต้องเข้าไปก็รู้เลยว่านรกเป็นยังไง ไอ้ตัวอักษรยึกยือที่อัดแน่นอยู่บนกระดานนั่นคืออะไร แล้วปึกกระดาษหนาที่วางอยู่บนโต๊ะแต่ละตัวนั่นคืออะไร!!!!
เราถึงกับหันขวับกลับไปหาโซเฟียกับไลลาที่เดินตามหลับเรามาเมื่อกี้ ปรากฏว่าทั้งสองคนสีหน้าซีดเผือก เบิกตากว้างจนลูกตาแทบจะถลนออกมาอยู่แล้ว
ไม่ต้องพูดพวกเราทั้งสามก็สามารถเข้าใจกันได้ ว่าถ้าเราก้าวขาเข้าไปในห้องนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการก้าวขาลงสู่นรกด้วยตนเอง
“What are you doing?”
เสียงของผู้ชายที่ฟังดูมีอายุประมาณหนึ่งดังออกมาจากภายในห้องเรียกให้เราหันกลับไปมอง ก็พบเข้ากับครูที่ยืนยิ้มอยู่ตรงบริเวรหน้ากระดานในมือถือเอกสารปึกหนึ่งอยู่
ไม่ ไม่ใช่หรอกในมือนั่นไม่ใช่เอกสารแต่เป็นเดธโน๊ตต่างหาก และต่อมาใบหน้าของครูคนนั่นก็มีเขางอกออกมา พร้อมทั้งถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มสุดสยอง ดวงตาสีแดงที่เป็นรูปพระจันทร์คว่ำทั้งสองข้าง จนในที่สุดก็มีหมอกควันออกมาจากปากที่กำลังจะเอ่ยประโยคต่อไป
“Dear, come quickly into the classroom.”
แต่น้ำเสียงของครูเย็นยะเยือกจนเหมือนจะเชือดกันให้ตาย ทำให้เราต้องเบิกตากว้าง กลั้นหายใจ ปิดริมฝีปากแน่น พร้อมทั้งส่ายหน้ารัวๆ
เสียงสัญญาณเตือนอันตรายภายในใจกู่ร้อง บ่งบอกว่าถ้าเข้าไปในนี้แกไม่รอดออกมาแน่นัท
.
.
.
.
.
.
.
.
ขอโทษที่บรรยายเกินจริงนะคะอาจารย์ ดูจากกระดานที่อาจารย์เขียนหนูก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจและพยายามของอาจารย์มากเลยค่ะ แต่ว่านะคะ หนูไม่อยากเข้าไปตายในนั้น
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 6
Comments