...บทที่ 2
...
...มิติใหม่ของการโดนเท
...
กลางเดือนมีนาคม
เสียงอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ของผู้คนที่เดินขวักไขว่กันไปมาดังคลอทั่วบริเวณ แทรกด้วยเสียงประกาศตามสายของพนักงานสายการบินที่ดังกึกก้องขึ้นมา เรียกความสนใจหญิงสาวที่นั่งเอื่อยเฉื่อยได้เล็กน้อย
“ไม่ใช่ประกาศของเที่ยวบินที่เราจะขึ้นแห๊ะ” สิ้นประโยคฝ่ามือเรียวผิวสีน้ำผึ้งยกแก้วเครื่องดื่มสีเข้มขึ้นดื่ม ขณะที่สายตายังคงสอดส่องผู้คนที่เดินไปมาเพื่อเป็นการฆ่าเวลา
ทั้งกลุ่มหญิงสาวสี่ ห้าคนที่เดินไปยังทางออกของสนามบินด้วยใบหน้าที่แต้มรอยยิ้ม พร้อมด้วยเสียงพูดคุย และเสียงหัวเราะคิกคั้ก ผิดกับชายใส่สูทถือกระเป๋าอีกคนที่เดินสวนกับกลุ่มหญิงสาวด้วยจังหวะก้าวยาวๆ สีหน้าเคร่งเคลียด ดูแล้วก็รู้ได้ในทันทีว่ากำลังเร่งรีบเพื่อไม่ให้ตกเครื่อง
เป็นเวลาเกือบ30นาทีแล้วที่เรามายังสนามบินแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของพี่ฟ้าเลย
เมื่อเปิดมือถือดูแล้วยังไม่เห็นแจ้งเตือนใดๆ ก็เก็บมือถือลงกระเป๋า นี่ก็ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องขึ้นเครื่องแล้วด้วย น่าจะกำลังนั่งรถมาแน่ๆ
แต่ว่านะ…ถึงตอนนี้ก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่าเรากำลังจะไปญี่ปุ่น อาการตื่นเต้น มือไม้เย็น รู้สึกกระสับกระส่าย ยังไงก็ไม่รู้ มันเหมือนเป็นเรื่องไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องยกความดีความชอบให้พี่ฟ้าจริงๆ ตอนแรกที่เราเอ่ยบอกเรื่องอยากไปโครงการแลกเปลี่ยนระยะสั้นต่างประเทศ คนที่บ้านก็คัดค้านกันใหญ่ คัดค้านหัวชนฝาเสียด้วยสิ
นึกถึงแล้วคล้ายความกดดันตอนนั้นหวนกลับมาอีกครั้ง
จำได้เลยว่าวันแรกที่เรากลับมาบ้านหลังจบจากโรงเรียน มื้อเย็นวันนั้นเราได้ไปบอกเรื่องอยากเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนกับครอบครัว พ่อที่ปกติจะค่อนข้างตามใจ และดูเป็นคนที่รับฟังเหตุผลของลูกอยู่เสมอ ยกธงแดงห้ามอย่างเด็ดขาดแล้วยังไล่กลับห้องทั้งที่ไม่เปิดโอกาสให้เราพูดเลย
ถึงอยากจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก สีหน้าพ่อดูโกรธมากจริงๆ อีกทั้งบรรยากาสที่ทั้งอึดอัดและกดดัน ทำให้เราไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงพูดไปตอนนั้นก็คงมีแต่แย่ลง เลยเลือกเดินคอตกกลับห้องไป จบกัน…ลาก่อนทริปแลกเปลี่ยนญี่ปุ่นของเรา
แต่ใครจะไปคิดพอวันรุ่งขึ้นแม่ดันเปิดประเด็นว่าเก็บเรื่องที่เราพูดไปคิดดูแล้ว และอยากฟังรายละเอียด
พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกเลยได้นั่งจับเข่าคุยกันที่โซฟาห้องใหญ่ของบ้าน
เมื่อเล่ารายละเอียดรวมถึงเหตุผลที่อยากเข้าร่วมให้ทั้งพ่อและแม่ฟัง แม่ก็ทำหน้าตาคิดหนักก่อนจะพูดในสิ่งที่อยากพูดที่สุดออกมา
“นัท แม่คิดว่าเราลองวิธีอื่นดีไหม เอาจริงๆนะ แม่ไม่ได้อยากจะกีดกันโอกาสที่ลูกจะออกไปเรียนรู้นะ แต่ลูกยังอายุแค่15-16 แถมลูกยังไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศเลยสักครั้ง การที่เราจะไปอยู่เป็นเวลานานๆมันไม่เหมือนกับการไปเที่ยวนะ”
ได้ยินแบบนั้นเราก็แอบลังเลนิดหน่อยเรื่องที่เรายังเด็กเกินกว่าจะเดินทางไกลคนเดียว
เหมือนเล็งเห็นโอกาสที่เราลังเล พ่อเลยไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดมือ พูดเสริมเข้าไปอีก
“ใช่ ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ไม่อยากให้เราได้ออกไปค้นหาตัวเองนะ แต่ลูกหนะยังเป็นเด็กผู้หญิง เป็นเยาวชนอยู่เลย การจะไปอยู่ต่างที่ต่างถิ่นคนเดียวมันอันตราย และที่จะไปคิดแล้วหรือยังว่าไปแล้วจะอยู่จะกินยังไง พูดกับเขายังไงอีกเรากับเขาไม่ได้พูดภาษาเดียวกันนะ จะสื่อสารกันได้หรอ”
เราหยุดคิดทบทวนหลายสิ่งที่พ่อและแม่พูดออกมา และสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า
“นัทอยากไปจริงๆค่ะ” ตอนนี้เราได้รู้อะไรอย่างหนึ่งจากการอยู่หอพักร่วมกันกับคนหลากหลายแบบ
สิ่งที่เราต้องการให้คนอื่นรู้ เราต้องพูดมันออกมา ไม่ควรเก็บเอาไว้ เพราะถ้าเราไม่พูดออกมาคนอื่นเขาก็จะไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร แต่ต้องดูกาลเทศะด้วย
เอาเถอะ!!! จะพูดแล้วนะ!!! ผลจะออกมาเป็นยังไงก็ช่างมัน ขอแค่พูดออกมาให้เขารู้ในสิ่งที่เราต้องการก่อน
“นัทอยากไป ไม่ใช่แค่ค้นหาตัวเองค่ะ นัทอยากไปลองใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนหลากหลายแบบ อยากลองออกไปดูว่าคนอื่นเขาอยู่กันยังไง ทัศนะคติเป็นแบบไหน โลกที่นอกเหนือจากบ้านและโรงเรียนเป็นยังไง แล้วตัวนัทเองจะเป็นแบบนั้นได้หรือเปล่า หรืออยากเป็นแบบนั้นหรือเปล่า นัทอยากไปดูไปศึกษา แล้วก็หาคำตอบเองค่ะ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆนะคะ นัทคิดว่าในเมื่อโอกาสแบบนี้มาถึงเราก็ควรจะคว้าไว้ไม่ใช่หรอคะ”
ดูจากที่พ่อแม่หันไปมองหน้ากัน เชิงปรึกษา เราก็ไม่รอช้าพูดเสริมเข้าไปอีก
“ที่นั่นมีคนจากหลายประเทศค่ะ ไม่ใช่ที่ไทยกับญี่ปุ่นเท่านั้น คนที่ไปเข้าร่วมก็อายุประมาณนัทนี่แหละค่ะ ที่นั่นมีหลากหลายอาชีพให้เราได้ลองไปศึกษาดูนะคะ ได้ลงมือปฏิบัติจริงด้วย การดูแลก็ดี เรื่องที่พักก็ปลอดภัยมาก ระยะเวลาเข้าร่วมโคงการคือ2เดือนก็จริง แต่มีการให้ไปอบรมปรับพื้นฐานก่อน2อาทิตย์ การจะไปลองงานจะไปลองที่ไหนตอนไหนก็ได้ก็จริง แต่การได้พบคนหลากหลายแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะหาที่ไหนก็ได้นะคะ”
ผิดคาด เราคิดว่าพ่อกับแม่จะพยายามพูดโน้มน้าวเราซะอีก แต่ทั้งสองคนนกลับถอนหายใจ แล้วยิ้มซะงั้น
“แม่เป็นกังวลแทบตายเลยว่าเราจะยอมแพ้ไปง่ายๆ รู้ไหมตั้งแต่ที่เราบอกแม่ว่าม.ต้นอยากเรียนโรงเรียนประจำ แล้วหลังจากเราได้ไปเรียนกลับมาเราก็พูดน้อยมาก”
“แทบไม่พูดเลยต่างหากแม่” เสียงพ่อพูดแย้งขึ้น แม่ยิ้มก่อนจะพูดต่อ
“ใช่ แล้วเราไม่เคยมาปรึกษาเรื่องเรียนต่อ เรื่องอนาคต หรือเรื่องอื่นๆเลย เรื่องที่ลูกยังเลือกไม่ได้ว่าจะเรียนต่ออะไร แม่ยังต้องรู้มาจากครูเลย แม่กับพ่อคิดหนักเรื่องนี้มาตลอดเลยนะ แม่กับพ่อไม่รู้ว่าต้องทำไงดีเพราะเราก็เป็นเป็นลูกคนแรกและยังเป็นพี่คนโตที่เผลอแป็บเดียวก็โตไปจนพ่อแม่เองก็ปรับตัวตามแทบไม่ทัน แล้วจู่ๆพอเรียนจบม.ต้นก็มาบอกว่าอยากไปญี่ปุ่นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แม่กับพ่อใจหายนะรู้ไหม”
เราไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าทำให้ที่บ้านเป็นกังวลเรื่องพวกนี้ แล้วก็ไม่รู้ตัวมาก่อนเลยด้วยว่าเราพูดน้อยลง
หลังจากนั้นแม่ก็เล่าว่าเมื่อคืนพี่ฟ้าโทรมาบอกเล่าเรื่องโครงการแลกเปลี่ยนแล้ว
ถึงแม้ว่าทั้งสองจะยังไม่อยากให้เราไป แต่เพราะไม่อยากปิดโอกาสลูก และเพราะมีพี่ฟ้าที่เคยไปร่วมโครงการมาแล้วจะไปด้วยอีกทั้งยังรับปากว่าจะดูแลเราให้ทั้งสองยอมให้ไป
พี่ฟ้านี้เป็นนางฟ้ามาโปรดจริงๆ แต่ว่าทำไมถึงช้านักนะ อีกไม่กี่นาทีก็จะต้องขึ้นเครื่องแล้ว เราเองก็นั่งดูคนเดินไปเดินมาจนจะตาลายอยู่แล้ว
แม้ว่าการมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะพอฆ่าเวลาได้บ้าง แต่ความเบื่อหน่ายก็เพิ่มขึ้นมาทีละน้อยเช่นกัน เมื่อละสายตาจากพื้นที่นั้นเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายแล้วหันไปยังกลุ่มนักเรียนเสื้อสีแดงเลือดหมูเกือบๆ20คนที่จะไปแลกเปลี่ยน และเราเป็นหนึ่งในคนที่ต้องร่วมเดินทางไปด้วย…อ่า มันก็วุ่นวายไม่แพ้กัน
มีทั้งคนที่จับกลุ่มพูดคุย กลุ่มคนที่นั่งเล่นบอทเกมและเกมมือถือ กลุ่มคนที่อ่านหนังสือ กลุ่มคนที่นั่งกินอาหาร หนักสุดก็คนที่นอนหลับกลางความวุ่นวายนั้นได้อย่างหน้าตาเฉย เห็นแบบนี้นอกจากจะไม่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายลงแล้ว ยังทำให้รู้สึกเคลียดขึ้นมาอีกด้วย
ในเมื่อไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่มีทางเลือกที่สงบเงียบเลย งั้นก็ขอหันกลับไปดูคนเดินไปมาเสียยังจะดีกว่า การไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต…จะไหวไหมเนี่ย
“เธอ เด็กใหม่ใช่ไหม” เสียงทุ้มนุ่มลึกที่ดังขึ้นใกล้ๆ เรียกให้คนผิวสองสีหันไปยังต้นเสียง
“เรา…ใช่ไหม?”
“ใช่ เธอนั่นแหละ”
ปรากฏเป็นสมาชิกคนหนึ่งจากกลุ่มนักเรียนแลกเปลี่ยนที่จะต้องร่วมเดินทางไปด้วย เขายืนยิ้มตาหยี่อยู่ตรงหน้า
“โทษที ขอรบกวนหน่อย พอดีต้องการใช้อันนี่หนะ”
ฝ่ามือขาวเหลืองข้างขวาของเขายกแก้วชาไทยที่ดื่มไปเกือบครึ่งแก้วขึ้นมา
“อันนี้?” ว่าจบก็ยกแก้วโกโก้ปั่นในมือข้างขวาที่พล้องไปเกินครึ่งแก้วแล้วขึ้นมาเชิงถาม
คนตรงหน้าลนลานก่อนจะยกมืออีกข้างที่มีโทรศัพท์อยู่ขึ้นมา
“จะใช้โทรศัพท์?”
“ใช่ๆ แต่ถ้าไม่สะดวกให้ใช้โทรศัพท์ ก็ขอใช้พาวเวอร์แบงค์ก็ได้ พอดีไม่ได้ชาร์ตโทรศัพท์ แล้วก็ไม่หยิบพาวเวอร์แบงค์มาด้วย” เห็นอีกฝ่ายมีท่าทางที่แสดงออกมาว่าเกรงออกเกรงใจ จึงค้นกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ข้างๆให้
หลังจากได้พาวเวอร์แบงค์ไปแล้ว พ่อหนุ่มผิวขาวเหลืองก็ไม่ได้ไปไหน แต่กลับนั่งลงข้างๆ แล้วพูดคุยเรื่องราวต่างๆไปเรื่อยๆ
“จริงสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยใช่ไหม ภาคินนะ เรียกว่าคินก็ได้”
“ณัชชา เรียกนัทก็ได้”
“เพิ่งมาโปรแกรมแลกเปลี่ยนนี้ครั้งแรกใช่ไหม มีอะไรถามได้นะ นี่ครั้งที่2แล้ว”
ท่าทางที่ดูสบายๆ กับบรรยากาสที่ผ่อนคลายขึ้นทำให้อีกฝ่ายดูเข้าถึงง่ายไม่น้อยเลย ถึงแม้หน้าตาจะดูถึงดูดผู้คนอยู่แล้ว แต่เมื่อมานั่งคุยแบบเป็นกันเองแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี หนุ่มหล่อกับความเฟรนลี่ช่างเป็นอะไรที่เข้ากันจริงๆ
“ว่าแต่นัทรู้จักโปรแกรมแลกเปลี่ยนนี่มาจากไหน เห็นในเน็ต หรือมีใครแนะนำหรอ”
“รุ่นพี่ที่โรงเรียนแนะนำมา เขาเพิ่งเข้าร่วมโปรแกรมนี่ตอนรอบล่าสุด เลยเชียร์ให้มา”
“อ๋อ แล้วนัทลงจังหวัดไหนหละ”
“โทชิกิ”
“ถามจริง!!! บังเอิญจังทางนี้ก็โทชิกิ”
อือ บังเอิญจริง จังหวะมีตั้งเยอะแยะ ดันได้ที่เดียวกันเฉย
“แล้วนัทลงโรงเรียนอะไร”
“ตอนแรกก็ลงที่อุตสึโนะมิยะ แต่ที่นั่นเต็มเลยโดนปัดไปอยู่อาชิคางะแทน”
หลังจาที่เราตอบ ภาคินเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานก็สีหน้าตกใจ ตาโต ส่วนปากเองก็เหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูดออกมาอยู่หลายครั้งจนในที่สุดก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“จริงดิ สุดยอด คือซีซั่นที่แล้วทางนี้เองก็อยู่โรงเรียนนั้นนะ เสียดาย ถ้าเลือกที่เดิมเราอาจจะได้อยู่ด้วยกัน”
น้ำเสียงเสียดายกับท่าทางหงอยๆแอบทำให้มีความคิดว่า เขาดูน่ารักดีนะ ผุดขึ้นมาในหัวซะอย่างงั้น
“งั้นหรอ แล้วทำไมครั้งนี้ถึงเลือกไปเรียนที่นั่นหละ”
“แน่นอนอยู่แล้วเพราะว่า ที่อุตสึโนะมิยะเป็นเมืองหลวงของจังหวังโทชิกิ เรื่องความสะดวกสบายหนะแน่นอนอยู่แล้ว ที่เที่ยวนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง และที่สำคัญที่สุดคือ…”
ท่าทางที่เล่าอย่างจริงจังและออกรสนั้นทำให้คนฟังอย่างเราแอบลุ้นคำตอบสุดท้ายที่เขาจงใจเว้นเอาไว้
“ยูนิฟอร์มนักเรียนชายโครตเท่”
เหตุผลแค่นี้อะนะ ถามจริง
แต่ด้วยสีหน้าของคนที่ตั้งใจเล่าดูภูมิอกภูมิใจเราเลยทำได้แต่ยิ้มแห้งกลับไป
“งั้นหรอ”
“ใช่ รู้ไหมในโทชิกิ มีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการนี้อยู่แค่3แห่ง ซึ่งที่อาชิคางะนักเรียนชาย ใส่ชุดกัคคุรันสีดำ ส่วนที่นิกโก ใส่กัคคุรันสีกรม มีแค่ที่อุตสึโนะมิยะที่ได้ผูกเน็กไท เราเลยเลือกได้อย่างไม่ลังเล”
เอาที่สบายใจเถอะ จะใส่แบบไหนก็เป็นนักเรียนเหมือนกันไม่ใช่หรอ ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดขึ้นอีกครั้งก็มีเสียงตามสายแจ้งว่าต้องขึ้นเครื่องแล้ว จากนั้นผู้ดูแลก็เช็คจำนวนคน และจัดการนำทางคณะนักเรียนแลก
เปลี่ยนไปขึ้นเครื่อง
ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นเสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้้นมาพอดี
คนแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือพี่ฟ้า
เรารีบเปิดเข้าไปอ่านข้อความทันที
...‘นัท พี่ขอโทษนะ พอดีพี่เป็นไข้หวัดใหญ่เลยไปกับเรา...
...ไม่ได้แล้ว
...
...พี่แจ้งกับทางผู้ดูแลโครงการแล้ว เราเองก็ขอให้สนุก...
...กับการค้นหาตัวเองนะ
...
...ด้วยรัก…พี่ฟ้า’
...
หัวสมองของเราในตอนนั้นรู้สึกโล่ง ขาวโพลนไปหมด
อ่า…ไม่ใช่สิ มันตื้อไปหมดต่างหาก!!!!!
.
.
.
.
.
.
.
.
พี่ฟ้านะพี่ฟ้าทิ้งกันได้ลงคอ
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 6
Comments
Rena Ryuuguu
ขอบคุณแอดที่แบ่งปันเรื่องราวน่าสนใจให้เราอ่าน🤗
2024-07-10
1