เตรียมตัวให้พร้อม

...บทที่ 3...

...เตรียมตัวให้พร้อม...

สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น

คณะนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ลงมาจากเครื่องทั้งหมดกำลังจะแยกตัวไปยังจุดรวมตัวที่ครูของแต่ละจังหวัดส่งมา

ตอนแรกที่รู้มาว่าจะต้องไปหาครูของแต่ละโรงเรียงด้วยตัวเอง ใจเรานี่แอบว้าวุ่นอยู่นะ ก็สนามบินนาริตะไม่ใช่เล็กๆ เลย จะให้คนที่ไม่มีประสบการณ์การเดินทางไปต่างประเทศเลยแบบเรามาเดินเตร่ในสนามบินที่ต่างประเทศมันก็ยังไงๆ อยู่ คินเองก็หายไปตั้งแต่ลงจากเครื่อง เราเลยเดินเกาะกลุ่มกับนักเรียนคนอื่นๆ ไปก่อน แล้วระหว่างทางที่เดินไปนั้นก็มีเสียงใสๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง

“พวกเราต้องเดินทางทันทีที่ลงจากเครื่องเลยใช่ไหมนะ อยากหาอะไรกินก่อนจังเลย”

“ก็เพิ่งจะกินของหวานไปไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงละมุนๆ แต่ก็ยังพอจะฟังออกว่าเจ้าของเสียงเป็นผู้ชายตอบกลับเธอคนนั้น

เสียงพูดคุยด้านหลังทำเรารู้สึกตัวว่ามีคนเดินตามหลังมาด้วย เลยหันกลับไปดูก็พบเข้ากับผู้เข้าร่วมโครงการผู้หญิงตัวเล็กน่ารักที่เดินลากกระเป๋าใบใหญ่สีพีชสองใบ พร้อมทั้งกระเป๋าสะพายข้างและกระเป๋าสะพายหลังสีขาวใบใหญ่อย่างละใบ และอีกคนเป็นผู้ชายที่ไม่ได้สูงมากที่มือหนึ่งลากกระเป๋าสีขาวใบใหญ่พอๆ กับหญิงสาวที่เดินข้างๆ ส่วนมืออีกข้างก็กดโทรศัพท์ยุกยิก

“ที่หมายถึงคือของคาวต่างหาก ของคาวอะ อยากกินของคาวให้อิ่มท้องไง” เสียงใสๆ ของหญิงสาวดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าตัวจะเผลอสบตาเข้ากับเรา เมื่อรู้ว่ามีคนจ้องมองอยู่เธอเลยส่งยิ้มหวานมาให้

ความว้าวุ่นในตอนที่ลงเครื่องมาคลายลงไปมาก หลังจากที่เดินมาสักพักก็พบกับครูที่มารอรับ แต่ละคนถือป้ายที่เขียนชื่อจังหวัดต่างๆ ไว้ เลยทำให้เบาใจไปได้หลายเปราะเลย

หาครูประจำจังหวัดโทชิกิไม่นานก็เจอ จากนั้นก็เดินไปรวมกับครูผู้หญิงที่ยืนถือเอกสารอยู่ข้างๆ ครูผู้ชายที่ถือป้ายภาษาอังกฤษที่เขียนว่า Tochigi ดูเหมือนว่าในบรรดาคนที่ลงแลกเปลี่ยนที่โทชิกิเราจะมาเป็นคนแรกนะ เมื่อกรอกเอกสารและยื่นเอกสารต่างๆ เสร็จเราก็นั่งรอในที่ที่ครูกำหนด

ไม่นานนักก็มีนักเรียนสองคนเดินมาทางนี้พร้อมด้วยน้ำเสียงสดใสเจื้อยแจ้วของผู้หญิงที่ดังมาก่อนตัวเสียอีก

“เซ็นเซย์ มิสยูม๊ากมากเลยค่ะ” สิ้นสุดเสียงเธอก็โผลกอดครูทั้งสองคนเต็มแรง ขนาดที่ทำให้คนสองคนถึงกับเซเลยทีเดียว

“เมย์จัง ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”

อ้าว พูดไทยได้เหรอ ครูผู้หญิงที่ถือเอกสารพูดไทยออกมาเสียเต็มปากเต็มคำ เมื่อกี้เราก็พูดอังกฤษอยู่ตั้งนานสองนาน น่าจะบอกกันหน่อยนะคะว่าครูพูดไทยได้ ถึงสำเนียงการพูดจะไม่เหมือนคนไทยแท้ๆ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะพูดไทยได้พอสมควรเลย

“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” น้ำเสียงนุ่มละมุนของนักเรียนชายอีกคนดังขึ้น ตามด้วยการโค้งศีรษะเชิงทักทายให้กับอาจารย์ทั้งสอง

“พีพีไม่เจอกันแค่ปีเดียวเอง โตเป็นหนุ่มซะแล้ว” เสียงครูผู้ชายอีกคนทักขึ้นมา

อ้าวพูดไทยได้ทั้งสองคนเลยนี้หว่า ยิ่งรู้ว่าพูดไทยได้ทันสองคนเลยแบบนี้ทำให้เรารู้สึกอายยังไงก็ไม่รู้ อยากแทรกแผ่นดินหนีซะตอนนี้เลย

“ครูจักการเอกสารให้เรียบร้อยแล้วทั้งสองคนไปนั่งรอกับเพื่อนอีกคนตรงนั้นนะ” ครูสาวพูดจบก็ชี้ไม้ชี้มือมาทางเก้าอี้ยาวที่เรานั่งอยู่

พอรู้ว่าจะมีคนมานั่งด้วยตัวเราก็ทำอะไรไม่ถูกเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าแอพนู่นทีแอพนี่ที เพื่อบังหน้าเอาไว้จะได้ไม่ต้องเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา

ปกติแล้วคนที่นั่งอยู่ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาไหมนะ หรือต้องชวนอีกฝ่ายนั่งด้วยกันก่อน แต่ที่ตรงนี้ก็เป็นที่สาธารณะ ไม่จำเป็นต้องเชิญชวนอะไรหรอกมั้ง

เพราะปกติแล้วเราจะเป็นคนที่ไม่ค่อยเริ่มเปิดบทสนทนากับคนที่ไม่สนิทก่อน เลยทำให้มนุษย์สัมพันธ์ค่อนข้างใกล้เคียงกับคำว่าแย่ (แค่ใกล้เคียงนะไม่ได้แย่ ก็ถ้าจำเป็นจริงๆ เราก็เริ่มพูดก่อนได้แหละ) เพราะเป็นแบบนั้นส่วนใหญ่เวลาที่ต้องอยู่กับคนอื่นๆ เลยทำตัวไม่ถูกไปด้วย ตอนนี้ถ้าเกิดเราแอบเลี่ยงๆ การพูดคุยไปก่อนคงไม่เป็นไรใช่ไหมนะ

“ทำอะไรอยู่เหรอ”

ไม่เป็นไรใช่ไหม ไม่เป็นไรใช่ไหมอะไรละ อีกฝ่ายเดินยิ้มหน้าบานมาทางนี้แล้ว อย่าว่าแต่ชวนนั่งเลย ยังไม่ทันที่ก้นจะแตะที่นั่งเธอคนนั้นก็ยิงคำถามเหมือนสนิทกันมานานใส่เลย

ปกติแล้วสำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนต้องทักทายทำความรู้จักอะไรกันก่อนจะถามเรื่องอื่นๆ ไม่ใช่เหรอ นี่เล่นมาถามเหมือนถามเพื่อนที่รู้จักกันอยู่แล้วเลย

เอ๊ะ…หรือคนที่อีกฝ่ายถามถึงจะไม่ใช่เรา แต่หันซ้ายมองขวาแล้วตรงนี้ก็ไม่มีใครนอกจากเรานิ

“เอ่อออ ถามเราเหรอ” เพราะกลัวว่าตอบไปแล้วอีกฝ่ายไม่ได้ถามแล้วจะหน้าแตก เลยถามอีกฝ่ายก่อนเพื่อความแน่ใจก่อนละกัน

“ก็ต้องถามเธอสิ ตรงนี้มีเธออยู่แค่คนเดียวหนิ ถ้าจะให้ถามพีพีก็เห็นๆ อยู่ว่ากำลังเล่นโทรศัพท์” เธอขมวดคิ้วตอบก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆ เรา

สรุปว่านักเรียนชายที่มากับเธอชื่อพีพีสินะ เป็นคนติดโทรศัพท์หรือไงเห็นเล่นโทรศัพท์มา ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว จริงสิ สองคนนี้คือสองคนที่เดินอยู่ด้านหลังเราตรงทางเดินนั่นสินะ แต่เธอคนนี้ก็แปลกคนนะ เห็นเพื่อนที่เดินมาตามหลังเธอว่าเล่นโทรศัพท์ แต่ไม่เห็นเราที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่เหมือนกัน

“ว่าไงๆ ทำอะไรอยู่เหรอ” น้ำเสียงกับท่าทางตอนที่ถามออกมาของเธอคนนี้ไม่ใช่เล่นๆ เลยแห๊ะ เล่นทำตากลมใสแล้วยืนหน้ามาใกล้ๆ แบบนี้ ถ้าเป็นผู้ชายคงต้องมีเขินกันบ้างแหละ เพราะเดิมทีเครื่องหน้าเธอก็ดูน่ารักอยู่แล้ว พอเห็นท่าทางการแสดงออกของเธอที่ดูน่ารักน่าหยิกแบบนี้ ก็ยิ่งเสริมความน่าเอ็นดูเข้าไปอีก โอ๊ยยย น่ารักจนใจเจ็บ

“ก็เช็คเชื่อมต่อมือถือว่าทำงานได้ปกติดีหรือเปล่า” เราลดโทรศัพท์ลงแล้วหันไปตอบ แต่อีกฝ่ายกลับชะงักแล้วทำตาโตกว่าเดิมใส่ซะงั้น

ปฏิกิริยาแบบนั้นมันคืออะไร จะอึ้งอะไรขนาดนั้น หรือว่า…เราใช้คำพูดอะไรผิดไปเหรอ!

“อ๊ะ..โทษที พอดีเราไม่คิดว่าเธอจะตอบ เลยตกใจหนะ” เธอพูดออกมาแบบยิ้มๆ พลางเกาแก้มของตัวเองไปด้วย

“อ๋อ..”

ห๋า…อะไรไม่คิดว่าเราจะตอบ แล้วจะถามเพื่อ? เราเองก็ไม่ใช่คนมารยาททรามสักหน่อย เวลาคนอื่นมาถามปกติแล้วคนเราก็ต้องตอบกลับไม่ใช่หรือไง หรือเราดูเป็นคนนิสัยไม่ค่อยดีเหรอ เลยทำให้อีกฝ่ายคิดว่าเราจะไม่ตอบ

เอ่อ…แต่พอมาคิดดูดีๆ ก็ไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าไหร่ เดิมที่แล้วเราเป็นคนไม่ค่อยยิ้มอยู่แล้วด้วย เลยมีหลายคนคิดว่าเราเป็นคนหยิ่ง…คงต้องทำใจสินะก็เกิดมาน่าตาแบบนี้จะให้ทำไงได้ แต่ก็ไม่ใช้ว่าเรายิ้มไม่เป็นนะตอนนี้ก็กำลังพยายามยิ้มอยู่ด้วย

ขอพูดตามตรงเลยนะ ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะยังหันหน้ายิ้มให้อีกฝ่ายอยู่แต่ในใจคืออึดอัดสุดๆ สรุปว่าที่เธอถามเมื่อกี้คือถามไปงั้นเหรอ แล้วเราต้องทำไงต่อ ห..หันกลับไปดูมือถือต่อเลยดีไหม หรือชวนคุยอะไรต่ออีก แล้วที่ยิ้มอยู่นี่ดูเป็นธรรมชาติไหมนะ รู้สึกหน้าตึงกรามค้างปากเกร็งยังไงก็ไม่รู้

“เช็คสัญญาณมือถือสินะ ใช้ซิมของค่ายอะไรละ ถ้าไปที่โทชิกิบางค่ายมันไม่เสถียรหนะ” น้ำเสียงและท่าทางที่ดูเหมือนสงสัยใคร่รู้ของอีกฝ่ายทำให้เราพอจะเดาได้ว่าเราทั้งสองได้เริ่มบทสนทนาจริงๆ แล้ว

“เราเช่าพ็อกเก็ตไวไฟมา เราคิดว่ามันยุ่งยากหลายอย่าง เลยให้ทางร้านจัดการให้แล้ว คิดว่าคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” เราตอบไป

อีกฝ่ายก็นั่งพยักหน้าตาวาวอย่างตั้งใจฟังก่อนจะพูดขึ้นว่า

“เธอไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยแน่เลยรู้เรื่องอะไรแบบนี้ด้วย เราที่มาญี่ปุ่นสองครั้งก็ซื้อซิมเปลี่ยนทั้งสองครั้งดูเป็นกบในกะลาไปเลย”

“ก็เมย์ติ๊งต๊อง เคยบอกไปแล้วตั้งหลายรอบว่าให้ซื้อหรือเช่าพ็อกเก็ตไวไฟดีกว่าก็ไม่เชื่อ” เสียงละมุนที่น้ำเสียงแอบติดขำดังขึ้นมาจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ดึงให้ทั้งเราและคู่สนทนาหลันไปมอง

ส่วนตัวเราไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไร แต่คนที่นั่งข้างเรานี่สิ ทั้งขมวดคิ้วแล้วก็บุ้ยปากออกมาเล็กน้อย คนอะไรโกรธได้ดูน่าเอ็นดูมาก

“พีพีหนะไม่ต้องพูดเลย” เธอพูดจบ พีพีที่นั่งอยู่อีกฝั่งของเก้าอี้ก็ส่ายหน้าเล็กน้อย แม้ว่าสายตาจะไม่ได้ละจากโทรศัพท์เลยก็เถอะ

“ว่าไง เธอไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยเหรอ หรือมาร่วมโครงการนี้หลายรอบแล้ว ดูเหมือนจะเตรียมตัวมาดีมากเลย”

“เปล่าหรอก เราเพิ่งมาต่างประเทศครั้งนี้เป็นครั้งแรก แล้วก็เรื่องเตรียมตัวอะไรต่างๆ รุ่นพี่ของเราที่เคยมาเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนเมื่อปีที่แล้วเขาแนะนำมาหนะ”

“ปีที่แล้วเหรอ ได้ลงจังหวัดโทชิกิหรือเปล่า ถ้าเป็นคนที่ลงปีที่แล้วละก็เรารู้จักทุกคนเลยนะ แล้วเขาไม่มาด้วยเหรอ” เธอถามจบก็ชะเง้อมองด้านหลัง

“ใช่ ปีที่แล้วก็ลงที่โทชิกินี้แหละ พี่เขาชื่อฟ้า แต่ปีนี้ดันเป็นไข้หวัดใหญ่ซะก่อนเลยมาไม่ได้หนะ”

“เธอเป็นรุ่นน้องของฟ้าเหรอ”

หลังจากที่เราและเมย์คุยเรื่องพี่ฟ้าไปสักพัก ภาคินก็มารายงานตัวพอดี จึงได้รู้ว่าที่ภาคินหายไปก็เพราะไปเข้าห้อน้ำมา เจ้าตัวบอกว่าอยากเข้าห้องน้ำตั้งแต่อยู่บนเครื่องแล้ว แต่เจอตัวไปสะดวกใจเลยอั้นไว้จนเครื่องลงจอด เลยใช้เวลานานหน่อย

ไม่นานหลังจากที่ภาคินรายงายนตัวเสร็จ คณะของพวกเราที่ประกอบไปด้วย ครูจากโทชิกิ ชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน พี่เมย์ พี่คิน พีพี และเราก็เริ่มต้นออกเดินทางอีกครั้ง

โดยครั้งนี้เราจะเดินทางไปที่อุตสึโนะมิยะ จังหวัดโทชิกิ โดยเราจะไปที่สถานีอาซากุสะก่อน จากนั้นก็นั่งชินคันเซ็นไปยังโทชิกิ และสุดท้ายก็ต่อรถไปยังโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการของอุตสึโนะมิยะ เพื่ออบรม และปรับพื้นฐาน

.

การเดินทางในวันนี้พูดได้เลยว่าเหนื่อยมาก เนื่องจากต้องขึ้นเครื่องบิน นั่งรถไฟ ต่อรถบัส ทั้งยังใช้เวลาในการเดินทางตลอดทั้งวันเลยทำให้เหนื่อยกันเป็นพิเศษ ดูจากสภาพตอนลงจากรถของพวกเราแต่ละคนไม่ต่างจากซอมบี้กันเลย

เพราะว่าเราเดินทางมาถึงที่พักกันค่อนข้างค่ำมากแล้ว ทันทีที่พวกเราทั้งหกลงจากรถที่มาจอดตรงหน้าอาคารเรียนก็ถูกบรรยากาศที่เงียบเข้าปกคลุม

จากเวลาท้องถิ่นตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มยี่สิบเก้านาที เดาว่าคนอื่นๆ คงนอนกันหมดแล้ว เพราะทั้งอาคารเรียนทั้งหอพักมันเงียบมาก แสงไฟในหลายๆ จุดก็ดับไปแล้ว ที่ยังเหลือแสงสว่างก็เห็นแต่จะที่ตรงที่ทางเดินเท่านั้น

“งั้นวันนี้ก็ไปนอนห้องเดียวกับพวกครูก่อนดีกว่า เวลานี้คงไปขอกุญแจหอไม่ได้” เสียงของครูผู้หญิงพูดขึ้น

.

หลังจากที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันอาบน้ำเพื่อที่จะเตรียมตัวเข้านอนเนื่องจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวัน ห้องที่เรากับพี่เมย์มาขอค้างในคืนนี้เป็นห้องพักของครูที่ชื่อว่า ซาโตะ ฮิมิโกะ หรือก็คือคุณครูผู้หญิงทางไปรับพวกเรามาจากสนามบินนั้นเอง

เราพึ่งจะมารู้ว่าครูเธอเป็นหัวหน้าครูประจำหอพักของโรงเรียนแห่งนี้

เราแอบตกใจนิดหน่อย เพราะครูคนนี้ที่เป็นถึงหัวหน้าครูประจำหอพักเลยนะ จริงๆ คนอื่นๆ อาจจะไม่เข้าใจว่ามันแปลกยังไง คือสำหรับเราที่เคยเรียนโรงเรียนประจำมาก่อนบอกเลยว่าครูประจำหอพักนี่น่ากลัวสุดๆ เข้มงวดมาก แล้วก็ดุเกินเลเวลแม็สไปเลย ก็ลองคิดดูนะ นี่แค่ครูประจำหอ ยังโหดขนาดนี้ แล้วหัวหน้าครูประจำหอจะโหดขนาดไหน

“แปรงฟันกันหรือยังคะ” เสียงหวานๆ ของครูฮิมิโกะ ทำเอาเราที่ฟังยิ่งไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะอยู่ในครูตำแหน่งอภิมหาโหดนั่นเลยจริงๆ

“ยังเลยคะ หนูกับนัทพูดกันว่าจะกินขนมที่ซื้อมาจากรถไฟก่อน แล้วค่อยไปแปรงฟันกันอีกที” ครั้งนี้ก็เป็นเสียงหวานๆ ของพี่เมย์ที่ตอบ

อะไรกันเนี่ย จะบอกว่านางฟ้าคุยกันก็คงไม่ผิดเท่าไร เวลานางฟ้าคุยกันเข้าคุยกันแบบนี้เองสินะ

“งั้นดีเลย เพื่อนเมย์จัง เอาข้าวกล่องมาฝากไว้ให้ตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว เดี๋ยวครูเอาไปอุ่นให้แล้วกินอันนี้แทนขนมดีกว่าเนอะ” ครูฮิมิโกะพูดจบก็ชูถุงผ้าสีกรมท่าที่คาดว่าด้านในคงเป็นกล่องข้าว จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องเพื่อไปห้องส่วนกลาง

“น่าจะเป็นศรัณนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะพาไปทำความรู้จักนะ”

ประโยคแรกเหมือนพี่เมย์จะพึมพำกับตัวเอง แต่ประโยคหลังคงจะคุยกับเรา เราเลยพยักหน้าอือออไปก่อน

“ศรัณที่ว่าคือใครเหรอคะ” เราถามไปเพื่อไม่ให้บรรยากศดูเงียบและอึดอัดเกินไป

“ไม่ได้สินัท เรียกแบบนั้นไม่ได้นะ ต้องเรียกศรัณว่าพี่ด้วยสิ” พี่เมย์พูดพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

เธอดูพอใจกับการแกล้งเราดีนะ ตั้งแต่ที่สนามบินแล้วที่พี่เมย์กับพี่คินรบเร้าให้เราเรียกทั้งสองว่าพี่ พอแกล้งทำเมินทั้งสองก็ก่อกวนไม่เลิกจนสุดท้ายเลยต้องเรียกพี่ไปทั้งแบบนั้น แม้ว่าจริงๆ แล้วพวกเราจะอยู่ชั้นเดียวกันก็เถอะนะ

“ศรัณ เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเหมือนกัน แต่เพราะคุณน้าของศรัณมาแต่งงานแล้วก็สร้างครอบครัวที่นี่ ช่วงปิดภาคเรียนศรัณเลยมาอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเลี้ยงหลานหนะ”

อุสาข้ามประเทศเพื่อมาเลี้ยงหลานเหรอ ลงทุนเกินไปไหม หรือเพราะว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องมาแลกเปลี่ยนอยู่แล้วเลยมาช่วยซะด้วยเลยมั้ง

“จริงด้วย ช่วงสองอาทิตย์ที่อบรมที่นี่เรานัดออกไปเที่ยวช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์กันนะ” พี่เมย์เปลี่ยนเรื่องพลายเอาขนมขบเคี้ยวออกมากิน

“สุดสัปดาห์ออกไปด้านนอกได้เหรอคะ”

“ได้สิ ถ้าอยู่ที่นี่ ระหว่างที่อบรมทางโรงเรียนอนุญาตให้ออกนอกโรงเรียนช่วงสุดสัปดาห์ได้หนึ่งวัน แต่พอแยกย้ายกันไปตามโรงเรียนแล้ว ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้บังคับเรื่องออกจากโรงเรียนนะ จะออกวันไหนก็ได้ หรือออกสัปดาห์ละกี่ครั้งก็ได้อีกเหมือนกัน”

“ให้อิสระจังเลยนะคะ ปกติโรงเรียนประจำของญี่ปุ่นเป็นแบบนี้ทุกโรงเลยเหรอคะ เรื่องที่ไม่บังคับออกนอกโรงเรียนน่ะค่ะ”

“ก็ไม่นะ ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ นักเรียนจะได้ออกก็ต่อเมื่อวันที่โรงเรียนอนุญาต หรือไม่ก็เป็นวันกำหนดกลับบ้านน่ะ ถามทำไมเหรอ”

“พอดีเราเองก็อยู่หอประจำเหมือนกัน เลยอยากรู้เฉยๆ ค่ะ”

“อ๋อ แล้วโรงเรียนนัทละ เขาให้ออกกี่วันต่อสัปดาห์เหรอ”

“ออกได้เดือนละครั้ง เฉพาะวันกลับบ้านค่ะ”

“ถามจริง!!! โหดเอาเรื่องเลยนะนั่น นัทเรียนโรงเรียนอะไรละ”

“สรรค์ศาสตร์ค่ะ”

พี่เมย์วางมือจากขนมที่ถืออยู่แล้ว หันมาทำตาโตใส่เรา ท่าทางอึ้งเกินเบอร์นั่นคืออะไร เป็นเพื่อนพี่ฟ้าไม่ใช่เหรอ นึกว่าจะรู้อยู่แล้วเสียอีก

“โรงเรียนเก่งหนิ เห็นว่าข้อสอบเข้ายากมาก นัทสุดยอด” พี่เมย์ยกนิ้วโป้งที่เปื้อนผงปรุงรสสีแดงขึ้น แล้วพูดพึมพำอะไรก็ไม่รู้คนเดียว

แต่จะว่าไปทำไมเราถึงมาคุยเรื่องนี้ได้หละ ตอนแรกพวกเราไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ใช่ไหม

“มาแล้วค่ะ ข้าวร้อนๆ รีบกินแล้วรีบเข้านอนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้แปดโมงครึ่งต้องไปรวมตัวกันพูดคุยเรื่องเนื้อหาที่จะต้องอบรม” ครูฮิมิโกะเดินเข้ามาพร้อมกับถาดวางกล่องข้าวที่ควันฟุ้งโชยด้วยกลิ่นหอมที่คุ้นเคย

จะว่าไปนี่เป็นมื้อแรกตั้งแต่ที่เรามาถึงญี่ปุ่นสินะ คาดหวังนะเนี่ย มื้อแรกจะเป็นอาหารญี่ปุ่นเมนูอะไรนะ

เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ ครูฮิมิโกะเดินเข้ามาพร้อมกับถาดวางกล่องข้าวที่ควันฟุ้ง โชยด้วยกลิ่นหอมที่คุ้นเคย....เหรอ?

พอลองดมกลิ่นดีๆ แล้ว มันเหมือนข้าวผัดจากร้านอาหารตามสั่งเลยนะ...ไม่น่าใช่หรอกมั้ง

เมื่ออาหารที่ครูฮิมิโกะเอาไปอุ่นเมื่อครู่ว่าอยู่ตรงหน้า

เราและพี่เมย์ก็มองหน้ากับอย่างไม่ได้นัดหมายพลางคิดในใจว่า

ชัดเลย นี่มันข้าวผัดร้านอาหารตามสั่งชัดๆ

.

.

.

.

.

.

.

.

อ้ากกกกกก นี่มันอาหารไทยชัดๆ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ข้าวผัดโบราณของไทยชัดๆ แถมข้าวนี้มัน ข้าวหอมมะลิใช่ไหม นี้เราอยู่ญี่ปุ่นจริงๆ ใช่ไหม อย่างน้อยมื้อแรกที่ญี่ปุ่นก็ขอเป็นข้าวญี่ปุ่นก็ยังดี

.......

.......

.......

.......

.......

......To be continued ......

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!