การเดินทางของอัศวินไร้นาม
ครั้งเมื่อโลกถือกำเนิดขึ้นทุกอย่างล้วนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกสีเทาหนา กลางวันกลางคืนไม่มี ยุคนี้ถูกเรียกว่า Age of grey ปกครองโดยเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลัง Everlasting Dragon " มังกรนิรันดร "
ร่างของพวกมันมีเกล็ดที่แข็งแกร่งทนทานต่อการโจมตีอีกทั้งยังไม่มีอายุขัยเป็นร่างกายคงกระพัน มังกรเหล่านี้อาศัยอยู่ในต้นไม้ใหญ่ที่ต่อมาถูกเรียกว่า Arch Tree ยอดของมันสูงขึ้นไปจนเกือบจะแตะก้อนเมฆ บนพื้นพิภพไม่มีสิ่งใดกล้าต่อกรกับบรรดามังกรเหล่านี้ แต่ใต้ดินลึกลงไปเบื้องล่างได้เกิดบางอย่างที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดการ
First Flame กองเพลิงแรกบนโลกได้ลุกขึ้น ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหนหรือเกิดได้อย่างไร มันลุกโชนขึ้นกลางความมืดและความหนาวเหน็บ แสงสว่างและความอบอุ่นได้ไปกระตุนความสนใจบรรดาสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่อาศัยอยู่ใต้ดิน และมีสิ่งมีชีวิต 3 ตนได้ค้นพบ “Lord Soul” หรือจิตวิญญาณอันทรงพลังจากข้างในกองเพลิง พวกมันจึงยึดครอง Lord Soulแต่ละดวงไว้กับตนเองเพื่อให้ได้พลังที่ยิ่งใหญ่
ตนแรกคือ “Gwyn เทพแห่งพระอาทิตย์” เป็นตัวแทนของแสง,และเป็นผู้นำของกองทัพ Silver Knight
Nito " จ้าวแห่งความตาย” มีรูปลักษณ์เป็นโครงกระดูกขนาดยักษ์และมีดาบคู่กายเล่มใหญ่เป็นอาวุธ
ตนสุดท้าย “แม่มดแห่ง Izalith” ผู้คิดค้นศาสตร์แห่งการใช้ไฟ และนางยังได้ถ่ายทอดความรู้นี้ไปยังบรรดาลูกสาวซึ่งถูกเรียกรวมกันว่า Daughters of Chaos โดยต่อมาเผ่าพันธุ์ของLordทั้งสามได้ถูกเรียกว่า Giant (ยักษา)
หาก Lord Soul เกิดขึ้นจากแสงสว่างของ First Flame เงาของมันก็ย่อมให้กำเนิด Soul ได้เช่นกัน นั้นก็คือ “The Dark Soul” มันถูกค้นพบโดยสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำตัวเล็กๆตนหนึ่งแต่แทนที่เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้จะเก็บเอา Dark Soul ไว้เพียงคนเดียวเหมือนกับบรรดา Lord ทั้งสามก่อนหน้านี้ มันกลับเลือกที่จะแยก Dark Soul ออกเป็นชิ้นๆนับไม่ถ้วนจากนั้นแจกจ่ายไปยังพวกพ้อง ซึ่งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของเหล่าบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกนั้นเอง
ผู้นำของมนุษย์กลุ่มนี้ถูกเรียกว่า Pygmy Lord ง่ายๆก็คือตำแหน่งราชา
เมื่อถึงจุดที่อาณาจักรของ Gwyn นั้นเรืองอำนาจมากขึ้น Gwyn ได้นำกองทัพ Silver Knight ของตนเข้าทำสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดร ไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริงหรือบางทีมันอาจจะเป็นความทะเยอทะยานที่อยากพิชิตจุดสูงสุดของห่วงโซ่ก็ได้ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักที่เทพแห่งดวงอาทิตย์และแสงสว่างอย่าง Gwyn ย่อมปรารถนาที่จะได้เห็นดวงตะวันบนพื้นพิภพลอยสุขสว่างแทนที่โลกอันเต็มไปด้วยเมฆหมอกหนาสีเทา ทางด้านของพวกมังกรนิรันดร
ถึง Gwyn จะมีกองทัพ Silver Knight และขุนพลมือฉมังในสังกัดจำนวนมาก แต่เห็นทีสงครามใต้ผืนฟ้าสีเทาครั้งนี้จะไม่ง่ายเสียแล้ว ยิ่งนานวัน Gwyn ค่อยๆถูกเหล่ามังกรนิรันดรเข้าบดขยี้กองทัพจนและเริ่มสูญเสียมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เหล่าทวยเทพที่เป็นวงศาคณาญาติหรือเผ่าพันธุ์เดียวกันกับ Gwyn จ่างก็เริ่มล้มตายจากการต่อสู้
บีบให้ Gwyn ต้องเริ่มมองหาหนทางใหม่เพื่อเอาชนะสงครามครั้งนี้...แม้หนทางนั้นจะต้องดำดิ่งสู่ความมืดก็ตาม เขาได้รวมมือกับ Nito และแม่มดแห่ง Izalith เพื่อที่จะเอาชนะในมหาสงคราม เอาจริงๆมันเหมือนตลกร้ายที่สิ่งมีชีวิตซึ่งเรียกตัวเองว่าเทพเจ้าต้องขอความร่วมมือกับตัวแทนแห่งความตายและแม่มดนอกรีต
แม้ตอนนี้ Gwyn จะได้พันธมิตรมาเพิ่มแต่เขาก็ยังคงแสวงหาความแข็งแกร่งที่มากกว่านี้ เขาต้องการกองกำลังที่จะมาเป็นหมากใต้บังคับบัญชาหรืออย่างน้อยก็สนับสนุนตัวเขาเพียงคนเดียว โดยทางออกก็คือกองกำลังนักรบของ Pygmy Lord นั้นเอง นักรบพวกนี้ในภายหลังจะถูกเรียกขานว่า Ringed Knight
จากท่าทีเสียเปรียบตั้งแต่ต้นของGwyn ในสงครามมาตอนนี้เขาพอที่จะมีกำลังเพื่อเปลี่ยนทิศทางของสงครามได้บ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นสงครามกับเหล่ามังกรครั้งนี้เกือบจะต้องกินเวลาแสนนานไม่รู้จบเสียแล้ว หาก Gwyn ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ทรยศที่เป็นหนึ่งในบรรดามังกรนิรันดร นามของมังกรตัวนั้นคือ Seath มังกรผู้ไร้เกล็ด
Seath เกิดมาในฐานะของมังกรนิรันดรสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดและอยู่บนจุดสูงสุดเหนือเผ่าพันธุ์อื่น แต่ตัว Seath นั้นแตกต่างจากเหล่าพี่น้องเพราะมีร่างกายที่พิกลพิการไม่มีขาและไร้ซึ่งเกล็ดทำให้มองเห็นเนื้อสีขาวที่บอบบาง และอีกสิ่งที่ไม่มีก็คือความคงกระพันที่เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของมังกรนิรันดร ปราศจากมันก็ไม่ต่างอะไรจากเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำ Seath ไม่ถูกยอมรับและถูกมองข้ามจากเหล่ามังกรนิรันดรด้วยกันเอง เป็นแค่ตัวภาระมันเป็นบาดแผลในใจบวกกับความแค้นในโชคชะตาที่ต้องเกิดมาต้องพิกลพิการถูกปฏิเสธจากเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างไร้เยื่อใย แต่ใช่ว่า Seath จะยอมรับต่อชะตากรรมเช่นนี้ เขาทดแทนร่างกายที่อ่อนแอด้วยความพยายามที่จะศึกษาและเรียนรู้ และแล้ว Seath สามารถสร้างศาสตร์แห่งเวทย์มนต์ขึ้นมาได้
ด้วยความแค้นที่ฝังลึก Seath ได้แปรพักตร์ไปเข้ากับ Gwyn และช่วยเหล่าเทพคิดค้นศาสตร์แห่ง Miracle ศาสตร์ที่ต้องอาศัยความศรัทธาเป็นพลังแห่งปาฏิหาริย์ Gwyn จึงสามารถสร้างสายฟ้าอันทรงพลังที่ทำลายเกล็ดอันแข็งแกร่งของเหล่ามังกรนิรันดรลงได้และแน่นอนว่า Gwyn ต้องติดอาวุธใหม่นี้ให้กับกองกำลัง Silver Knight ของเขาด้วย
เมื่อเกล็ดหลุดหายไปด้วยพลังแห่งสายฟ้า Nito จ้าวแห่งความตายก็รับไม้ต่อทันที เขาจัดการใช้พลังสร้างโรคร้ายเข้าสู่ร่างกายที่ไร้การป้องกันของพวกมังกรทำให้เจ็บปวดทรมานจนตาย เมื่อเหล่ามังกรเห็นว่าความคงกระพันของพวกตนถูกทำลายลงอย่างง่ายดายล้วนต่างก็หวาดกลัวแต่ก็ไม่มีที่ให้ถอยกลับไปตั้งหลักเสียแล้ว เพราะแม่มดแห่ง Izalith และลูกๆได้ใช้พลังไฟเผาต้น Arch Tree ที่เป็นบ้านของเหล่ามังกรจนหมดสิ้น
ชั่วพริบมหาสงครามอันยาวนานก็ได้จบลง นับจากเวลานั้นเป็นต้นมาก็หมดสิ้นแล้วซึ่งเหล่ามังกร เมฆหมอกสีเทาบดบังท้องฟ้าได้หายไปเผยให้เห็นรุ่งอรุณที่สดใส่บนฝากฟ้าและโลกก็ได้เข้าสู่ Age of Fire หรือยุคแห่งไฟ ยุคของ Gywn อย่างแท้จริง
หลังการสิ้นสุดลงของมหาสงครามมังกร โลกได้เข้าสู่ยุคแห่งเพลิงซึ่งแน่นอนว่าบรรดา Lord ทั้งสามที่ชนะสงครามต่างกลายเป็นมหาอำนาจเเห่งโลกใบใหม่ โดย Lord ตนแรก Nito จ้าวแห่งความตายที่แม้จะเป็นผู้ชนะในสงครามก็ตาม แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลก
การปรากฏขึ้นของ The Frist Flame และการเข้าสู่ยุคแห่งเพลิง มันส่งผลดีต่อ Gwyn ที่เป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่างรวมไปถึงบรรดาลูกหลานทั้งหลาย ทำให้มีอิทธิฤทธิ์เหนือบรรดา Lord ตนอื่นอยู่ไม่น้อย
Lordran คือดินแดนที่ถูกสร้างขึ้นโดย Lord ทั้งสามซึ่งมีการเเบ่งเเยกอาณาเขตกันอย่างชัดเจน โดย Nito และแม่มดแห่ง Izalith ได้ยึดครองพื้นที่ใต้พิภพเอาไว้ ส่วน Gwyn ผู้เป็นเทพเจ้าสูงสุดได้ปกครองพิ้นที่บนพื้นผิวโลกเเละได้สถาปนานครหลวงนามว่า Anor Londo ขึ้น ณ ใจกลางของดินแดน Lordran
สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ในดินแดน Lordran เรียกได้ว่าอยู่กันแบบตามเวรตามกรรม มีตั้งแต่สลัมที่แออัดไปจนถึงเมืองที่มีความเจริญอย่าง Oolacile ที่มีความก้าวหน้าในเวทย์มนต์แห่งแสง และยังมีเมือง New Londo ที่มีราชาปกครองร่วมกันอยู่ 4 คน แต่ความพิเศษของเมืองนี้ก็คือ Gwyn ได้แบ่งชิ้นส่วนของ Lord Soul ให้กับราชาทั้ง 4 เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า Gwyn ก็ดูแลและเอาใจใส่มนุษย์เป็นเหมือนกัน แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆน่ะเหรอ? อีกทั้งการวางผังเมืองของดินแดน Lordran ค่อนข้างที่จะแปลก เพราะภายในมีการสร้างกำแพงหลายชั้นทั้งที่ภายนอกก็มีกำเเพงสูงคอยป้องกันดินเเดนอยู่เเล้ว รวมไปถึงมีการสร้างป้อมปราการอีกหลายเเห่งราวกับว่ามันถูกใช้เพื่อควบคุมพฤติกรรมเหล่าของมนุษย์ ความจริงถูกซ่อนอยู่ในการกระทำของ Gwyn ที่มีต่อ Seath มังกรผู้ไร้เกร็ด
ด้วยความดีที่ Seath เคยช่วยให้ Gwyn ชนะสงครามมังกรในอดีต Seath ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Duke หรือตำเเหน่งเจ้าพระยา และยังได้รับพื้นที่ส่วนตัวเป็นหอจดหมายเหตุ The Dukes Archives ซึ่งภายในนั้น Seath ได้ใช้พลัง Sorcery ทำการทดลองเพื่อค้นหาความเป็นอมตะให้กับตน
แต่ว่าการทดลองครั้งนี้มันช่างกินเวลายาวนานเสียเหลือเกิน มันได้สร้างความเครียดเเละความเบื่อหน่ายให้กับ Seath เป็นอย่างมาก เขาจึงมีวิธีคลายเครียดที่สุดพิลึกด้วยการจับเอาสิ่งมีชีวิตมาทดลองต่างๆนานา โดยสิ่งที่เขาโปรดปรานมากที่สุดก็คือการจับเอามนุษย์มาเปลี่ยนให้กลายเป็นงู ว่ากันว่าการที่ Seath ลงมือทำเรื่องที่ชั่วร้ายเช่นนี้ก็เพื่อชดเชยปมด้อยของเขาที่ไม่อาจสืบพันธุ์เเละมีทายาทได้นั่นเอง
โดยเรื่องทุกอย่างอยู่ภายใต้การรับรู้ของ Gwyn เเต่เขาก็เเกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่ได้ลงมือห้าม Seath แต่อย่างใด มันแสดงให้เห็นว่า Gwyn ไม่ได้เอ็นดูเเละไว้ใจพวกมนุษย์อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ โดยไอ้ความหวาดระแวงเหล่านี้มันมาจากคำเตือนของสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดตนหนึ่งนามว่า Frampt ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ Primordial Serpent ที่เป็นมังกรชั้นต่ำชนิดหนึ่ง โดยมันได้เตือน Gwyn ถึงเรื่องที่วันหนึ่ง The First Flame จะค่อยๆอ่อนแรงและดับลง จากนั้นผู้ที่ถือครอง Dark Soul อย่างเหล่ามนุษย์จะเป็นใหญ่เหนือบรรดาเทพเจ้า สำหรับ Gwyn เรื่องนี้คือฝันร้ายสุดๆมันเปรียบได้กับการใช้ชีวิตโดยรู้วันตายของตัวเอง แต่หากจะให้ Gwyn ยอมแพ้และนั่งรอจุดจบอยู่เฉยๆละก็ไม่มีทาง! เขาเริ่มมุ่งเป้าไปจัดการกับ Pygmy Lord เป็นคนแรก
Pygmy Lords มีร่างกายที่เหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วๆไป ต่างกันก็เเค่เขาเลือกที่จะยอมรับเเละดึงพลังของ Dark Soul ในตัวมาใช้ ซึ่งนั่นทำให้ Gwyn อยากจะเชือดเหล่า Pygmy Lords ทิ้งเสียด้วยซ้ำ แต่มันจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองเเละอาจทำให้อาณาจักรของเขาพังพินาศเร็วยิ่งกว่าเดิม Gwyn จึงเลือกใช้วิธีที่แยบยลกว่านั้น เขาเริ่มสร้างเมืองที่มีชื่อว่า Ringed City ซึ่งตั้งอยู่ ณ สุดขอบโลก ทำทีว่านี่คือการตบรางวัลให้กับ Pygmy Lord ด้วยการยกเมืองนี้ให้ ซึ่งตอนนั้น Pygmy Lord ก็ไม่ได้เอะใจเลยว่า Ringed City ก็คือคุกดีๆนี่เอง แต่กลับหลงดีใจคิดว่าเทพเจ้าให้ความสำคัญของตนเอง...ช่างเป็นสิ่งที่น่าสังเวชยิ่งนัก
คิวต่อมาก็เป็นเหล่านักรบ Ringed Knight ซึ่ง Gwyn ได้มอบตราสัญลักษณ์ให้กับนักรบพวกนี้โดยอ้างว่าเป็นการรยกย่องเกียรติ แต่ที่จริงเจ้าสัญลักษณ์พวกนี้มันคือเวทมนต์ที่ใช้ผนึก Dark Soul อย่างลับๆทำให้พวกเขาดึงพลังของ Dark Soul มาใช้ได้อย่างไม่เต็มที่
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามเเผนการแสดงละครของเทพเจ้าก็สิ้นสุดลง Gwyn ได้จัดการลบประวัติศาสตร์ของ Pygmy Lord ไปจนหมดด้วยการทำลายจารึกและรูปปั้น อีกทั้งยังสั่งห้ามพวกขุนพลที่เคยร่วมรบกับเหล่า Ringed Knight ไม่ให้เอ่ยถึงเรื่องของนักรบพวกนี้อีก ทำให้มนุษย์รุ่นหลังๆไม่รู้ถึงวีรกรรมของเหล่านักรบพวกนี้เลย มันคือการลบตัวตนออกจากน่าประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นการหักหลังของเทพเจ้าครั้งนี้ ก็ไม่รอดพ้นสายของ Velka ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความผิดบาป และนางยังเป็นพระชายาของ Gwyn อีกด้วย
ในตอนนี้ทุกสิ่งบนโลกล้วนอยู่ภายใต้อาณัติของ Gwyn หากว่าเขาปรารถนาสิ่งใดก็ย่อมจะได้สิ่งนั้นมาครอบครองเสมอ มันคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ Gwyn จุดสูงสุดของยุคแห่งเพลิง แต่เวลาแห่งความสุขมันมักจะผ่านไปเร็วเสมอเหมือนกับการจุดไม้ขีดไฟ ที่มันจะให้แสงสว่างเเละความอบอุ่นเพียงเสี้ยววินาทีจากนั้นก็จะค่อยๆดับลง เหลือทิ้งไว้เพียงความมืดมิด
นับตั้งเเต่ The First Flame ได้มอบการมีชีวิตให้เเก่เหล่ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความโศกเศร้า ไม่ว่าจะเป็นสันติภาพหรือความวุ่นวาย ล้วนเเล้วเเต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มันเป็นการย้ำเตือนว่าคนเรามีเวลาอยู่บนโลกอย่างจำกัดเเละต้องใช้ชีวิตนี้ให้มีค่ามากที่สุด เเต่เมื่อ The First Flame ได้อ่อนกำลังลงมันก็ทำให้โรคร้ายที่เรียกว่า Curse of Undead หรือคำสาปของผู้ไม่ตายปรากฏขึ้นมาบนโล
การมาของ Curse of Undead สร้างความโกลาหลให้กับทุกอาณาจักรบนโลกและมันยังมีแนวโน้มที่มันจะระบาดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับดินแดน Lordran เเต่ Gwyn ก็ได้เตรียมพร้อมรับมือไว้อยู่แล้ว เขาได้มอบหมายให้ยักษาตนหนึ่งนาม Allfather Lloyd จัดตั้งศาสนา Way of White ขึ้นมา โดยสาวกของศาสนานี้จะประกอบไปด้วยพระนักบวชที่ใช้เวทมนต์ Miracle และพวก Paladin ที่เป็นเหมือนนักรบ คำสอนของ Way of White มีอยู่ไม่กี่อย่างโดยสรุปเป็นใจความได้ว่า “ จงทำตามที่พระเจ้าประสงค์เพราะนั่นคือสิ่งที่ดีและถูกต้อง “ แม้มันจะเป็นคำสอนที่ฟังดูแปลกๆแต่ก็มีผู้คนมากมายที่ยอมรับ เพราะคิดว่า Way of White จะปกป้องให้ตนพ้นจาก Curse of Undead ได้
Way of White ได้ส่งคำเชื้อเชิญไปยังเหล่านักปราชญ์ทั่วทุกมุมโลก เพื่อให้มาประชุมเเละเฟ้นหาวิธีในการจัดการกับมนุษย์ที่กลายเป็น Undead โดยหนึ่งในนักปราชญ์คนหนึ่งมีนามว่า Ludleth ที่มีความเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนแปลง Soul หรือพลังวิญญาณให้กลายเป็นวัตถุต่างๆได้ ( ในเวลาต่อมา Ludleth จะได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยโลกจากความมืด ) ซึ่งเหล่านักปราชญ์ทั้งหลายได้วิเคราะห์ว่า Curse of Undead มีสาเหตุมาจาก Humanity อันเป็นพลังงานมีอยู่ในตัวของมนุษย์เท่านั้น ทุกครั้งที่มนุษย์สิ้นชีพ Humanity ในตัวก็จะค่อยๆหายไปเเละร่วมไปถึงร่างกายก็จะเน่าเปื่อยลงไปตาม ถ้าหากว่าเริ่มตายบ่อยครั้งเข้าก็จะสูญเสียความทรงจำไปทีละนิดๆจนท้ายที่สุดจะเข้าสู่ภาวะ Hollow อันเป็นภาวะที่ Undead ได้สูญเสียสติปัญญาไปโดยสมบูรณ์และจะมีพฤติกรรมที่ทำสิ่งเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา เเต่หากถูกรบกวนก็จะเข้าทำร้ายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทันที ทว่าก็ภาวะ Hollow นี่แหละที่ Undead จะสามารถตายได้จริงๆ
ปัญหาติดอยู่ตรงที่การจะฆ่า Undead ให้เข้าสู่ภาวะ Hollow ได้นั้น จะมีจำนวนครั้งที่ไม่แน่นอนเเตกต่างกัน บางตนก็ตาย 10 ครั้ง, บางตนก็เป็นร้อย, เเละโดยเฉพาะพวกที่มีแรงจูงใจให้อยู่ต่อที่แม้จะถูกฆ่าตายนับครั้งไม่ถ้วนก็ไม่มีวี่แววว่าจะเข้าสู่ภาวะ Hollow เสียที ทำให้ Way of White ต้องเริ่มมองหาหนทางอื่น โดยในระหว่างที่การทดลองกำลังดำเนินไป ก็มีเหตุทะเลาะวิวาทและฆ่ากันตายของ Undead สองตน แต่คนที่ชนะกลับดูซับ Humanity ของคนที่ตายไปโดยบังเอิญ ทำให้ร่างกายกลับมามีสภาพดูดีเหมือนตอนยังมีชีวิต แต่ก็เป็นเเค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นไม่ใช่การรักษาที่เเท้จริงเพราะหากว่าตายอีกครั้งก็จะกลับไปเป็น Undead เหมือนเดิม
มาถึงจุดนี้ Way of White ก็รู้แล้วว่าตราบใดที่ The First Flame ยังอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ Curse of Undead ก็จะเป็นชะตากรรมของมนุษย์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการใช้ประโยชน์จากความเป็น Undead ให้มากที่สุด โดย Way of White ได้เผยแพร่คำสอนที่ว่า “ มันผู้ใดที่เป็น Undead มันผู้นั้นคือคนบาปเเละวิธีเดียวที่จะไถ่บาปได้ก็คือต้องถวายตัวรับใช้เทพเจ้าไปชั่วชีวิตจนกว่าจะ Hollow ” ซึ่งมันเป็นการโกหกเพื่อหลอกใช้ Undead นั่นเอง... มินำซ้ำ Gwyn ยังได้ใช้เวทมนต์สร้าง Dark Sign ซึ่งเคยถูกใช้กับเหล่า Ringed Knight มาก่อน ตีตราใส่ Dark Soul ในตัวมนุษย์ของทุกผู้ทุกนางเเละผูกเข้ากับ Bonfire ที่เป็นเหมือนท่อส่งพลังงานของ The First Flame
Bonfire ทำหน้าที่เป็นเหมือนจุดเกิดใหม่ของ Undead ซึ่งตายลงในบริเวณใกล้เคียง เเละไฟของมันสามารถรักษาบาดแผลให้กับเหล่า Undead ได้อีกด้วย โดย Bonfire แต่ละที่จะมี Fire Keeper คอยประจำการอยู่ เเละทำหน้าที่ยุยงให้พวก Undead ทำตามความประสงค์ของเทพเจ้า ( หลอกใช้มนุษย์อีกแล้ว! ) ซึ่ง Fire Keeper ทั้งหมดจะต้องเป็นเพศหญิงเเละมักจะมีร่างกายที่พิกลพิการหรือไม่ก็ป่วยเป็นโรคร้าย
Way of White สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ Curse of Undead ได้ในระดับที่น่าพอใจ แต่ Gwyn ก็ยังไม่สามารถวางใจได้อย่างสนิท เพราะ Fire Keeper คนแรกของโลกได้ทำนายว่า The First Flame จะต้องดับสนิทลงอย่างแน่นอนมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สำหรับ Gwyn มันเป็นการตอกย้ำความกลัวในจิตใจของเข้าไปอีก แต่ในขณะที่เขากำลังปวดหัวอยู่กับเรื่องของ The First Flame ก็มีข่าวลือมาจากใต้พิภพ ว่าแม่มดแห่ง Izalith ได้ประดิษฐ์ Chaos Flame ที่สามารถใช้ทดแทน The First Flame ขึ้นมาได้!
นับเป็นเวลาหลายร้อยปีที่ Lord ทั้งสามของโลกใบใหม่ อย่าง Gwyn, Nito, และแม่มดแห่ง Izalith แทบจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวหรือติดต่อกันเลย จะมีก็เเค่พวกพ่อค้ามนุษย์ที่นานๆจึงจะเดินทางเข้าไป ทว่าช่วงพักหลังมานี้ ณ บึงพิษ Great Swarm ที่เคยเป็นทางลัดเข้าสู่ใจกลางนคร Izalith กลับถูกเหล่าอสูรจำนวนมากปิดกั้นเส้นทางเอาไว้ ทำให้ไม่มีใครกล้าผ่านมาทางนี้อีกยกเว้นพวกผู้ใช้ไฟ Pyromancer ที่ยังอาศัยอยู่ในบึงพิษ Great Swarm ที่คอยบอกเล่าเรื่องราวของนคร Izalith ให้กับบุคคลภายนอกได้รับรู้
เรื่องที่ว่าแม่มดแห่ง Izalith สามารถสร้าง Chaos Flame ได้สำเร็จ ได้ลอยไปเข้าหูของ Gwyn ที่ในขณะนั้นพร้อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไม่ให้ยุคแห่งเพลิง ต้องถึงการอวสาน แต่มีหรือที่แม่มดแห่ง Izalith จะยอมมอบ Chaos Flame ให้ง่ายๆ เพราะกว่าจะสร้างขึ้นมาได้นางก็ต้องสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปเหมือนกัน Gwyn จึงได้สั่งให้รวบรวมกำลังพล Silver Knight และขุนพลเกือบทั้งหมดที่มี ให้เตรียมพร้อมทำสงครามกับนคร Izalith โดยเหลือกองกำลังไว้ปกป้องเมือง Anor Londo เพียงเเค่หยิบมือ ส่วนในเรื่องของ Curse of Undead Gwyn ก็ได้มอบหมายให้ Way of White จัดได้ตามสมควร ในขณะที่กองทัพของเขากำลังจะเดินทางออกจากป้อมปราการ Sens Fortress Gwyn ก็สังเกตเห็นว่าโอรสคนแรกของเขาที่ปกติจะออกเดินนำหน้าเหล่ากองทหารเสมอกลับหายหน้าไป Gwyn จึงได้เรียกตัวโอรสคนแรกของเขา เข้ามาถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้ความว่าโอรสคนแรกของ Gwyn ทราบถึงคำทำนายที่ The First Flame ก็จะต้องดับลงอย่างเเน่นอน เขาจึงคิดว่าสิ่งที่ควรจะทำมากที่สุดไม่ใช่การหอบเอากองทัพไปรุกรานเพื่อนบ้าน แต่ควรเป็นการยอมรับและเรียนรู้ เพื่อที่จะอยู่ในยุคที่ปราศจาก The First Flame ต่างหาก
เมื่อได้ยินดังนั้น Gwyn ก็ของขึ้นทันทีด่าเจ้าลูกชายคนโตยกใหญ่ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามานั่งอบรมเเละเเก้ไขปัญหาในครอบครัวอีกเเล้ว Gwyn จึงได้ถามเจ้าลูกชายคนโตเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะยอมไปรบให้กับเขาหรือไม่ แต่โอรสคนเเรกก็ยังยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่ไปแน่นอน เรื่องนี้ทำให้ Gwyn ไม่พอใจเอามากๆเเต่เพื่อไม่ให้ผู้คนสงสัย Gwyn จึงได้ออกแถลงการณ์ว่าตนจะเป็นคนนำทัพไปสู้รบด้วยตัวเอง เเละได้แต่งตั้งโอรสคนแรกให้กลายเป็นราชาคอยทำหน้าที่ดูแลเมืองหลวง Anor Londo ในยามที่เขาไม่อยู่ซึ่งก็เป็นหน้าที่ๆสำคัญไม่เเพ้กัน แต่นั่นมันก็เป็นเเค่การแต่งตั้งแค่ในนามเท่านั้น เป็นการกลบเกลื่อนเรื่องที่เจ้าโอรสตนโตไม่ยอมไปออกรบในสงคราม ส่วนคนที่ได้รับหน้าที่ดูแลเมืองจริงๆก็คือ Gwyndolin ซึ่งเป็นโอรสคนสุดท้อง
ทางด้านแม่มดแห่ง Izalith นางเองก็มีกองทัพอสูรเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้วเหมือนกัน เเต่นางก็มีความได้เปรียบจากพลังอันร้อนแรงของ Chaos Flame เข้ามาช่วยเหลือในการต่อสู้ ทำให้แม้แต่ชุดเกราะของพวก Silver Knight ที่ทนทานต่อไฟของมังกรก็ยังถูกเพลิง Chaos เผาไหม้เสียจนกลายเป็นสีดำสนิทจนถูกเรียกว่า Black Knight เเทน แต่ก็ใช่ว่าอสูรทุกตนจะอยู่ข้างเดียวกับแม่มดแห่ง Izalith เพราะมีอสูรบางตนถูกบังคับหรือทำให้กลายร่างโดยไม่เต็มใจพวกมันจึงได้แปรพักตร์ไปเข้ากับ Gwyn เเทน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กองทัพของ Gwyn ได้เปรียบขึ้นมาเลยสักนิด
จะว่าไปเเล้วกองทัพ Silver Knight ของ Gwyn อาจจะดูน่าเกรงขามในสายตาของมวลมนุษย์ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดา Lord ด้วยกันเอง กองทัพของเขาก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรมากมาย เเถมที่ชนะสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดรมาได้ ก็เพราะพึ่งพาพลังของคนอื่นทั้งนั้น...
ทางด้านเมือง Anor Londo ที่ตอนนี้ไม่มี Gwyn อยู่เเล้ว มันจึงเป็นโอกาสอันดีให้ Velka ผู้เป็นพระชายาได้ดำเนินเเผนการล้างเเค้น Gwyn ผู้เป็นพระสวามี โดย Velka ได้ส่ง Havel The Rock ซึ่งเป็นสหายเก่าของโอรสคนแรกตั้งเเต่ครั้งที่ยังสู้รบกับเหล่ามังกร แต่ปัจจุบัน Havelได้ดำรงตำเเหน่งเป็นนักรบระดับสูงอยู่ใน Way of White เมื่อทั้งสองเจอกันต่างก็ยินดีเป็นอย่างมากเเละได้นั่งคุยปรับทุกข์กันตามประสาเพื่อนเก่า จนกระทั้ง Havel ได้เริ่มถามถึงเรื่องการเมืองภายใน Anor Londo และสถานที่ลับภายในวังหลวงเช่นพวกประตูลับหรือห้องใต้ดิน โดยก่อนที่โอรสคนแรกจะเริ่มสงสัยในตัวสหายเก่าคนนี้ Havel ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาทันที โดยเขาได้แนะนำว่าโอรสคนแรกควรจะออกเดินทางตามหาจุดมุ่งหมายของตนเอง ดีกว่าจะอยู่เป็นหัวโขนในเมืองหลวงแบบนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าคำแนะนำของ Havel จะสัมฤทธิ์ผล... โดยเรื่องนี้มันคือแผนการของ Velka ที่จะตัดกำลังป้องกันของเมือง Anor Londo ออกไป เพราะนางประสงค์จะให้เกิดการก่อกบฏของเหล่ามนุษย์ขึ้น เพื้อให้ Gwyn ได้เห็นอาณาจักรที่เขารักนักรักหนาแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ และอีกอย่างก็คือการสังหารเจ้ามังกรวิปลาส Seath! ส่วนบรรดาเทพเจ้าที่เป็นบุตรของ Velka ก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้โดยตรง ด้วยเพราะว่าแต่ละพระองค์ก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับเหล่ามนุษย์อยู่เเล้ว
แต่เพื่อความไม่ประมาท Velka จึงได้ส่งมือดีหลายคนของนางเข้าไปขโมย Rite of Kindling จาก Nito ซึ่งมันมีคุณสมบัติในการสร้างของเหลวที่เรียกว่า Estus ในปริมาณมาก เพื่อใช้สำหรับการรักษาบาดแผลของ Undead ในระหว่างการต่อสู้ ( เรียกง่ายๆก็คือไม่ต้องกลับจุดเซฟนั่นเอง ) โดยปฏิบัติการครั้งนี้จะต้องระมัดระวังให้มากที่สุด เพราะกลุ่ม Way of White ก็ได้ส่งคนมาเฝ้าระวัง Nito อยู่เเล้วเหมือนกันเพราะก็ต้องการ Rite of Kindling ไปใช้กับ Undead ของฝ่ายตน
คณะเดินทางของ Velka ได้ลงไปยัง Tomb of Giants หรือสุสานของเหล่ายักษาที่แสนจะอันตราย เเละมืดมิด เเม้ว่า Nito จะไม่มีกองทัพเหมือนกับ Lord คนอื่น เเต่เขาก็สามารถปลุกซากศพที่มีอยู่มากมายให้ขึ้นมาสังหารเหล่าผู้บุกรุกได้ง่ายๆ แต่คนที่ Velka ส่งไปก็ใช่ว่าจะไร้ฝีมือเเถมยังใช้เล่ห์กลจนขโมย Rite of Kindling จาก Nito มาได้ เหลืออุปสรรคเเค่อย่างเดียวนั่นก็คือต้องวิ่งหนีฝ่ากองทัพผีดิบออกมาให้ได้เท่านั้นเอง โดยในระหว่างที่ทำการหนีก็สูญเสียไปหลายคน บรรดาคนที่วิ่งหนีมาถึงปากทางถ้ำก็ต้องพบกับลูกสมุนของ Nito นามว่า Pinwheel ที่ทำการปิดตายถ้ำเอาไว้เเล้ว
ในท้ายที่ภาระกิจของ Velka ก็ทำไม่สำเร็จ ไม่สามารถที่จะนำ Rite of Kindling ออกมาได้ ที่เเย่ไปกว่านั้นคนที่เหลือรอดกลับถูก Way of White จับตัวได้และเค้นความจริงจนแผนก่อกบฏความแตกจนได้ นำไปสู่การจับกุมครั้งใหญ่ใน Lordran พวกกองทหาร Silver Knight ออกลาดตระเวนตามเมืองต่างๆของมนุษย์เพื่อจับตัวผู้ต้องสงสัยที่อาจจะมีส่วนร่วมในการกบฏครั้งนี้ เเต่ถึงแม้แผนการก่อกบฏจะได้ถูกทำลายลงไปแล้ว แต่ก็ยังมีบางคนเลือกที่จะสวมเกราะออกไปสู้รบ จนเป็นเหตุจลาจลครั้งใหญ่ในดินแดน Lordran ส่วนตัวการอย่าง Velka และ Havel ก็หายสาบสูญไปไร้ร่องลอย
เมื่อ Gwyn ที่อยู่ในแนวหน้าได้ทราบถึงข่าวการกบฏก็ร้อนใจยิ่งนัก แต่ก็ยังกลับไปไม่ได้เพราะยังติดพันการสู้รบกับเหล่าอสูรอยู่ เขาจึงได้ถ่ายทอดคำสั่งให้เนรเทศบรรดาผู้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏทั้งหมดไปยัง Painted World of Ariamis ที่เป็นมิติคู่ขนาน โดยสร้างไว้เพื่อคุมขังเหล่าเทพเจ้านอกรีตโดยเฉพาะ เเละมีทางเข้าออกเป็นภาพวาดที่เป็นประตูมิติเชื่อมต่อสองโลกเอาไว้ด้วยกัน
แม้แผนการของ Velka จะล้มเหลวลงไป แต่ก็มี Primordial Serpent ตนหนึ่งที่จะสานต่อสิ่งที่นางเริ่มเอาไว้ นามของมันก็คือ ผู้เฝ้ามองจากความมืด Kaathe.....
To be continued
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 6
Comments