ครั้งเมื่อโลกถือกำเนิดขึ้นทุกอย่างล้วนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกสีเทาหนา กลางวันกลางคืนไม่มี ยุคนี้ถูกเรียกว่า Age of grey ปกครองโดยเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลัง Everlasting Dragon " มังกรนิรันดร "
ร่างของพวกมันมีเกล็ดที่แข็งแกร่งทนทานต่อการโจมตีอีกทั้งยังไม่มีอายุขัยเป็นร่างกายคงกระพัน มังกรเหล่านี้อาศัยอยู่ในต้นไม้ใหญ่ที่ต่อมาถูกเรียกว่า Arch Tree ยอดของมันสูงขึ้นไปจนเกือบจะแตะก้อนเมฆ บนพื้นพิภพไม่มีสิ่งใดกล้าต่อกรกับบรรดามังกรเหล่านี้ แต่ใต้ดินลึกลงไปเบื้องล่างได้เกิดบางอย่างที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดการ
First Flame กองเพลิงแรกบนโลกได้ลุกขึ้น ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหนหรือเกิดได้อย่างไร มันลุกโชนขึ้นกลางความมืดและความหนาวเหน็บ แสงสว่างและความอบอุ่นได้ไปกระตุนความสนใจบรรดาสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่อาศัยอยู่ใต้ดิน และมีสิ่งมีชีวิต 3 ตนได้ค้นพบ “Lord Soul” หรือจิตวิญญาณอันทรงพลังจากข้างในกองเพลิง พวกมันจึงยึดครอง Lord Soulแต่ละดวงไว้กับตนเองเพื่อให้ได้พลังที่ยิ่งใหญ่
ตนแรกคือ “Gwyn เทพแห่งพระอาทิตย์” เป็นตัวแทนของแสง,และเป็นผู้นำของกองทัพ Silver Knight
Nito " จ้าวแห่งความตาย” มีรูปลักษณ์เป็นโครงกระดูกขนาดยักษ์และมีดาบคู่กายเล่มใหญ่เป็นอาวุธ
ตนสุดท้าย “แม่มดแห่ง Izalith” ผู้คิดค้นศาสตร์แห่งการใช้ไฟ และนางยังได้ถ่ายทอดความรู้นี้ไปยังบรรดาลูกสาวซึ่งถูกเรียกรวมกันว่า Daughters of Chaos โดยต่อมาเผ่าพันธุ์ของLordทั้งสามได้ถูกเรียกว่า Giant (ยักษา)
หาก Lord Soul เกิดขึ้นจากแสงสว่างของ First Flame เงาของมันก็ย่อมให้กำเนิด Soul ได้เช่นกัน นั้นก็คือ “The Dark Soul” มันถูกค้นพบโดยสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำตัวเล็กๆตนหนึ่งแต่แทนที่เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้จะเก็บเอา Dark Soul ไว้เพียงคนเดียวเหมือนกับบรรดา Lord ทั้งสามก่อนหน้านี้ มันกลับเลือกที่จะแยก Dark Soul ออกเป็นชิ้นๆนับไม่ถ้วนจากนั้นแจกจ่ายไปยังพวกพ้อง ซึ่งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของเหล่าบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกนั้นเอง
ผู้นำของมนุษย์กลุ่มนี้ถูกเรียกว่า Pygmy Lord ง่ายๆก็คือตำแหน่งราชา
เมื่อถึงจุดที่อาณาจักรของ Gwyn นั้นเรืองอำนาจมากขึ้น Gwyn ได้นำกองทัพ Silver Knight ของตนเข้าทำสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดร ไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริงหรือบางทีมันอาจจะเป็นความทะเยอทะยานที่อยากพิชิตจุดสูงสุดของห่วงโซ่ก็ได้ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักที่เทพแห่งดวงอาทิตย์และแสงสว่างอย่าง Gwyn ย่อมปรารถนาที่จะได้เห็นดวงตะวันบนพื้นพิภพลอยสุขสว่างแทนที่โลกอันเต็มไปด้วยเมฆหมอกหนาสีเทา ทางด้านของพวกมังกรนิรันดร
ถึง Gwyn จะมีกองทัพ Silver Knight และขุนพลมือฉมังในสังกัดจำนวนมาก แต่เห็นทีสงครามใต้ผืนฟ้าสีเทาครั้งนี้จะไม่ง่ายเสียแล้ว ยิ่งนานวัน Gwyn ค่อยๆถูกเหล่ามังกรนิรันดรเข้าบดขยี้กองทัพจนและเริ่มสูญเสียมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เหล่าทวยเทพที่เป็นวงศาคณาญาติหรือเผ่าพันธุ์เดียวกันกับ Gwyn จ่างก็เริ่มล้มตายจากการต่อสู้
บีบให้ Gwyn ต้องเริ่มมองหาหนทางใหม่เพื่อเอาชนะสงครามครั้งนี้...แม้หนทางนั้นจะต้องดำดิ่งสู่ความมืดก็ตาม เขาได้รวมมือกับ Nito และแม่มดแห่ง Izalith เพื่อที่จะเอาชนะในมหาสงคราม เอาจริงๆมันเหมือนตลกร้ายที่สิ่งมีชีวิตซึ่งเรียกตัวเองว่าเทพเจ้าต้องขอความร่วมมือกับตัวแทนแห่งความตายและแม่มดนอกรีต
แม้ตอนนี้ Gwyn จะได้พันธมิตรมาเพิ่มแต่เขาก็ยังคงแสวงหาความแข็งแกร่งที่มากกว่านี้ เขาต้องการกองกำลังที่จะมาเป็นหมากใต้บังคับบัญชาหรืออย่างน้อยก็สนับสนุนตัวเขาเพียงคนเดียว โดยทางออกก็คือกองกำลังนักรบของ Pygmy Lord นั้นเอง นักรบพวกนี้ในภายหลังจะถูกเรียกขานว่า Ringed Knight
จากท่าทีเสียเปรียบตั้งแต่ต้นของGwyn ในสงครามมาตอนนี้เขาพอที่จะมีกำลังเพื่อเปลี่ยนทิศทางของสงครามได้บ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นสงครามกับเหล่ามังกรครั้งนี้เกือบจะต้องกินเวลาแสนนานไม่รู้จบเสียแล้ว หาก Gwyn ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ทรยศที่เป็นหนึ่งในบรรดามังกรนิรันดร นามของมังกรตัวนั้นคือ Seath มังกรผู้ไร้เกล็ด
Seath เกิดมาในฐานะของมังกรนิรันดรสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดและอยู่บนจุดสูงสุดเหนือเผ่าพันธุ์อื่น แต่ตัว Seath นั้นแตกต่างจากเหล่าพี่น้องเพราะมีร่างกายที่พิกลพิการไม่มีขาและไร้ซึ่งเกล็ดทำให้มองเห็นเนื้อสีขาวที่บอบบาง และอีกสิ่งที่ไม่มีก็คือความคงกระพันที่เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของมังกรนิรันดร ปราศจากมันก็ไม่ต่างอะไรจากเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำ Seath ไม่ถูกยอมรับและถูกมองข้ามจากเหล่ามังกรนิรันดรด้วยกันเอง เป็นแค่ตัวภาระมันเป็นบาดแผลในใจบวกกับความแค้นในโชคชะตาที่ต้องเกิดมาต้องพิกลพิการถูกปฏิเสธจากเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างไร้เยื่อใย แต่ใช่ว่า Seath จะยอมรับต่อชะตากรรมเช่นนี้ เขาทดแทนร่างกายที่อ่อนแอด้วยความพยายามที่จะศึกษาและเรียนรู้ และแล้ว Seath สามารถสร้างศาสตร์แห่งเวทย์มนต์ขึ้นมาได้
ด้วยความแค้นที่ฝังลึก Seath ได้แปรพักตร์ไปเข้ากับ Gwyn และช่วยเหล่าเทพคิดค้นศาสตร์แห่ง Miracle ศาสตร์ที่ต้องอาศัยความศรัทธาเป็นพลังแห่งปาฏิหาริย์ Gwyn จึงสามารถสร้างสายฟ้าอันทรงพลังที่ทำลายเกล็ดอันแข็งแกร่งของเหล่ามังกรนิรันดรลงได้และแน่นอนว่า Gwyn ต้องติดอาวุธใหม่นี้ให้กับกองกำลัง Silver Knight ของเขาด้วย
เมื่อเกล็ดหลุดหายไปด้วยพลังแห่งสายฟ้า Nito จ้าวแห่งความตายก็รับไม้ต่อทันที เขาจัดการใช้พลังสร้างโรคร้ายเข้าสู่ร่างกายที่ไร้การป้องกันของพวกมังกรทำให้เจ็บปวดทรมานจนตาย เมื่อเหล่ามังกรเห็นว่าความคงกระพันของพวกตนถูกทำลายลงอย่างง่ายดายล้วนต่างก็หวาดกลัวแต่ก็ไม่มีที่ให้ถอยกลับไปตั้งหลักเสียแล้ว เพราะแม่มดแห่ง Izalith และลูกๆได้ใช้พลังไฟเผาต้น Arch Tree ที่เป็นบ้านของเหล่ามังกรจนหมดสิ้น
ชั่วพริบมหาสงครามอันยาวนานก็ได้จบลง นับจากเวลานั้นเป็นต้นมาก็หมดสิ้นแล้วซึ่งเหล่ามังกร เมฆหมอกสีเทาบดบังท้องฟ้าได้หายไปเผยให้เห็นรุ่งอรุณที่สดใส่บนฝากฟ้าและโลกก็ได้เข้าสู่ Age of Fire หรือยุคแห่งไฟ ยุคของ Gywn อย่างแท้จริง
หลังการสิ้นสุดลงของมหาสงครามมังกร โลกได้เข้าสู่ยุคแห่งเพลิงซึ่งแน่นอนว่าบรรดา Lord ทั้งสามที่ชนะสงครามต่างกลายเป็นมหาอำนาจเเห่งโลกใบใหม่ โดย Lord ตนแรก Nito จ้าวแห่งความตายที่แม้จะเป็นผู้ชนะในสงครามก็ตาม แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลก
การปรากฏขึ้นของ The Frist Flame และการเข้าสู่ยุคแห่งเพลิง มันส่งผลดีต่อ Gwyn ที่เป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่างรวมไปถึงบรรดาลูกหลานทั้งหลาย ทำให้มีอิทธิฤทธิ์เหนือบรรดา Lord ตนอื่นอยู่ไม่น้อย
Lordran คือดินแดนที่ถูกสร้างขึ้นโดย Lord ทั้งสามซึ่งมีการเเบ่งเเยกอาณาเขตกันอย่างชัดเจน โดย Nito และแม่มดแห่ง Izalith ได้ยึดครองพื้นที่ใต้พิภพเอาไว้ ส่วน Gwyn ผู้เป็นเทพเจ้าสูงสุดได้ปกครองพิ้นที่บนพื้นผิวโลกเเละได้สถาปนานครหลวงนามว่า Anor Londo ขึ้น ณ ใจกลางของดินแดน Lordran
สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ในดินแดน Lordran เรียกได้ว่าอยู่กันแบบตามเวรตามกรรม มีตั้งแต่สลัมที่แออัดไปจนถึงเมืองที่มีความเจริญอย่าง Oolacile ที่มีความก้าวหน้าในเวทย์มนต์แห่งแสง และยังมีเมือง New Londo ที่มีราชาปกครองร่วมกันอยู่ 4 คน แต่ความพิเศษของเมืองนี้ก็คือ Gwyn ได้แบ่งชิ้นส่วนของ Lord Soul ให้กับราชาทั้ง 4 เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า Gwyn ก็ดูแลและเอาใจใส่มนุษย์เป็นเหมือนกัน แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆน่ะเหรอ? อีกทั้งการวางผังเมืองของดินแดน Lordran ค่อนข้างที่จะแปลก เพราะภายในมีการสร้างกำแพงหลายชั้นทั้งที่ภายนอกก็มีกำเเพงสูงคอยป้องกันดินเเดนอยู่เเล้ว รวมไปถึงมีการสร้างป้อมปราการอีกหลายเเห่งราวกับว่ามันถูกใช้เพื่อควบคุมพฤติกรรมเหล่าของมนุษย์ ความจริงถูกซ่อนอยู่ในการกระทำของ Gwyn ที่มีต่อ Seath มังกรผู้ไร้เกร็ด
ด้วยความดีที่ Seath เคยช่วยให้ Gwyn ชนะสงครามมังกรในอดีต Seath ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Duke หรือตำเเหน่งเจ้าพระยา และยังได้รับพื้นที่ส่วนตัวเป็นหอจดหมายเหตุ The Dukes Archives ซึ่งภายในนั้น Seath ได้ใช้พลัง Sorcery ทำการทดลองเพื่อค้นหาความเป็นอมตะให้กับตน
แต่ว่าการทดลองครั้งนี้มันช่างกินเวลายาวนานเสียเหลือเกิน มันได้สร้างความเครียดเเละความเบื่อหน่ายให้กับ Seath เป็นอย่างมาก เขาจึงมีวิธีคลายเครียดที่สุดพิลึกด้วยการจับเอาสิ่งมีชีวิตมาทดลองต่างๆนานา โดยสิ่งที่เขาโปรดปรานมากที่สุดก็คือการจับเอามนุษย์มาเปลี่ยนให้กลายเป็นงู ว่ากันว่าการที่ Seath ลงมือทำเรื่องที่ชั่วร้ายเช่นนี้ก็เพื่อชดเชยปมด้อยของเขาที่ไม่อาจสืบพันธุ์เเละมีทายาทได้นั่นเอง
โดยเรื่องทุกอย่างอยู่ภายใต้การรับรู้ของ Gwyn เเต่เขาก็เเกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่ได้ลงมือห้าม Seath แต่อย่างใด มันแสดงให้เห็นว่า Gwyn ไม่ได้เอ็นดูเเละไว้ใจพวกมนุษย์อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ โดยไอ้ความหวาดระแวงเหล่านี้มันมาจากคำเตือนของสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดตนหนึ่งนามว่า Frampt ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ Primordial Serpent ที่เป็นมังกรชั้นต่ำชนิดหนึ่ง โดยมันได้เตือน Gwyn ถึงเรื่องที่วันหนึ่ง The First Flame จะค่อยๆอ่อนแรงและดับลง จากนั้นผู้ที่ถือครอง Dark Soul อย่างเหล่ามนุษย์จะเป็นใหญ่เหนือบรรดาเทพเจ้า สำหรับ Gwyn เรื่องนี้คือฝันร้ายสุดๆมันเปรียบได้กับการใช้ชีวิตโดยรู้วันตายของตัวเอง แต่หากจะให้ Gwyn ยอมแพ้และนั่งรอจุดจบอยู่เฉยๆละก็ไม่มีทาง! เขาเริ่มมุ่งเป้าไปจัดการกับ Pygmy Lord เป็นคนแรก
Pygmy Lords มีร่างกายที่เหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วๆไป ต่างกันก็เเค่เขาเลือกที่จะยอมรับเเละดึงพลังของ Dark Soul ในตัวมาใช้ ซึ่งนั่นทำให้ Gwyn อยากจะเชือดเหล่า Pygmy Lords ทิ้งเสียด้วยซ้ำ แต่มันจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองเเละอาจทำให้อาณาจักรของเขาพังพินาศเร็วยิ่งกว่าเดิม Gwyn จึงเลือกใช้วิธีที่แยบยลกว่านั้น เขาเริ่มสร้างเมืองที่มีชื่อว่า Ringed City ซึ่งตั้งอยู่ ณ สุดขอบโลก ทำทีว่านี่คือการตบรางวัลให้กับ Pygmy Lord ด้วยการยกเมืองนี้ให้ ซึ่งตอนนั้น Pygmy Lord ก็ไม่ได้เอะใจเลยว่า Ringed City ก็คือคุกดีๆนี่เอง แต่กลับหลงดีใจคิดว่าเทพเจ้าให้ความสำคัญของตนเอง...ช่างเป็นสิ่งที่น่าสังเวชยิ่งนัก
คิวต่อมาก็เป็นเหล่านักรบ Ringed Knight ซึ่ง Gwyn ได้มอบตราสัญลักษณ์ให้กับนักรบพวกนี้โดยอ้างว่าเป็นการรยกย่องเกียรติ แต่ที่จริงเจ้าสัญลักษณ์พวกนี้มันคือเวทมนต์ที่ใช้ผนึก Dark Soul อย่างลับๆทำให้พวกเขาดึงพลังของ Dark Soul มาใช้ได้อย่างไม่เต็มที่
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามเเผนการแสดงละครของเทพเจ้าก็สิ้นสุดลง Gwyn ได้จัดการลบประวัติศาสตร์ของ Pygmy Lord ไปจนหมดด้วยการทำลายจารึกและรูปปั้น อีกทั้งยังสั่งห้ามพวกขุนพลที่เคยร่วมรบกับเหล่า Ringed Knight ไม่ให้เอ่ยถึงเรื่องของนักรบพวกนี้อีก ทำให้มนุษย์รุ่นหลังๆไม่รู้ถึงวีรกรรมของเหล่านักรบพวกนี้เลย มันคือการลบตัวตนออกจากน่าประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นการหักหลังของเทพเจ้าครั้งนี้ ก็ไม่รอดพ้นสายของ Velka ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความผิดบาป และนางยังเป็นพระชายาของ Gwyn อีกด้วย
ในตอนนี้ทุกสิ่งบนโลกล้วนอยู่ภายใต้อาณัติของ Gwyn หากว่าเขาปรารถนาสิ่งใดก็ย่อมจะได้สิ่งนั้นมาครอบครองเสมอ มันคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ Gwyn จุดสูงสุดของยุคแห่งเพลิง แต่เวลาแห่งความสุขมันมักจะผ่านไปเร็วเสมอเหมือนกับการจุดไม้ขีดไฟ ที่มันจะให้แสงสว่างเเละความอบอุ่นเพียงเสี้ยววินาทีจากนั้นก็จะค่อยๆดับลง เหลือทิ้งไว้เพียงความมืดมิด
นับตั้งเเต่ The First Flame ได้มอบการมีชีวิตให้เเก่เหล่ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความโศกเศร้า ไม่ว่าจะเป็นสันติภาพหรือความวุ่นวาย ล้วนเเล้วเเต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มันเป็นการย้ำเตือนว่าคนเรามีเวลาอยู่บนโลกอย่างจำกัดเเละต้องใช้ชีวิตนี้ให้มีค่ามากที่สุด เเต่เมื่อ The First Flame ได้อ่อนกำลังลงมันก็ทำให้โรคร้ายที่เรียกว่า Curse of Undead หรือคำสาปของผู้ไม่ตายปรากฏขึ้นมาบนโล
การมาของ Curse of Undead สร้างความโกลาหลให้กับทุกอาณาจักรบนโลกและมันยังมีแนวโน้มที่มันจะระบาดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับดินแดน Lordran เเต่ Gwyn ก็ได้เตรียมพร้อมรับมือไว้อยู่แล้ว เขาได้มอบหมายให้ยักษาตนหนึ่งนาม Allfather Lloyd จัดตั้งศาสนา Way of White ขึ้นมา โดยสาวกของศาสนานี้จะประกอบไปด้วยพระนักบวชที่ใช้เวทมนต์ Miracle และพวก Paladin ที่เป็นเหมือนนักรบ คำสอนของ Way of White มีอยู่ไม่กี่อย่างโดยสรุปเป็นใจความได้ว่า “ จงทำตามที่พระเจ้าประสงค์เพราะนั่นคือสิ่งที่ดีและถูกต้อง “ แม้มันจะเป็นคำสอนที่ฟังดูแปลกๆแต่ก็มีผู้คนมากมายที่ยอมรับ เพราะคิดว่า Way of White จะปกป้องให้ตนพ้นจาก Curse of Undead ได้
Way of White ได้ส่งคำเชื้อเชิญไปยังเหล่านักปราชญ์ทั่วทุกมุมโลก เพื่อให้มาประชุมเเละเฟ้นหาวิธีในการจัดการกับมนุษย์ที่กลายเป็น Undead โดยหนึ่งในนักปราชญ์คนหนึ่งมีนามว่า Ludleth ที่มีความเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนแปลง Soul หรือพลังวิญญาณให้กลายเป็นวัตถุต่างๆได้ ( ในเวลาต่อมา Ludleth จะได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยโลกจากความมืด ) ซึ่งเหล่านักปราชญ์ทั้งหลายได้วิเคราะห์ว่า Curse of Undead มีสาเหตุมาจาก Humanity อันเป็นพลังงานมีอยู่ในตัวของมนุษย์เท่านั้น ทุกครั้งที่มนุษย์สิ้นชีพ Humanity ในตัวก็จะค่อยๆหายไปเเละร่วมไปถึงร่างกายก็จะเน่าเปื่อยลงไปตาม ถ้าหากว่าเริ่มตายบ่อยครั้งเข้าก็จะสูญเสียความทรงจำไปทีละนิดๆจนท้ายที่สุดจะเข้าสู่ภาวะ Hollow อันเป็นภาวะที่ Undead ได้สูญเสียสติปัญญาไปโดยสมบูรณ์และจะมีพฤติกรรมที่ทำสิ่งเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา เเต่หากถูกรบกวนก็จะเข้าทำร้ายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทันที ทว่าก็ภาวะ Hollow นี่แหละที่ Undead จะสามารถตายได้จริงๆ
ปัญหาติดอยู่ตรงที่การจะฆ่า Undead ให้เข้าสู่ภาวะ Hollow ได้นั้น จะมีจำนวนครั้งที่ไม่แน่นอนเเตกต่างกัน บางตนก็ตาย 10 ครั้ง, บางตนก็เป็นร้อย, เเละโดยเฉพาะพวกที่มีแรงจูงใจให้อยู่ต่อที่แม้จะถูกฆ่าตายนับครั้งไม่ถ้วนก็ไม่มีวี่แววว่าจะเข้าสู่ภาวะ Hollow เสียที ทำให้ Way of White ต้องเริ่มมองหาหนทางอื่น โดยในระหว่างที่การทดลองกำลังดำเนินไป ก็มีเหตุทะเลาะวิวาทและฆ่ากันตายของ Undead สองตน แต่คนที่ชนะกลับดูซับ Humanity ของคนที่ตายไปโดยบังเอิญ ทำให้ร่างกายกลับมามีสภาพดูดีเหมือนตอนยังมีชีวิต แต่ก็เป็นเเค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นไม่ใช่การรักษาที่เเท้จริงเพราะหากว่าตายอีกครั้งก็จะกลับไปเป็น Undead เหมือนเดิม
มาถึงจุดนี้ Way of White ก็รู้แล้วว่าตราบใดที่ The First Flame ยังอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ Curse of Undead ก็จะเป็นชะตากรรมของมนุษย์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการใช้ประโยชน์จากความเป็น Undead ให้มากที่สุด โดย Way of White ได้เผยแพร่คำสอนที่ว่า “ มันผู้ใดที่เป็น Undead มันผู้นั้นคือคนบาปเเละวิธีเดียวที่จะไถ่บาปได้ก็คือต้องถวายตัวรับใช้เทพเจ้าไปชั่วชีวิตจนกว่าจะ Hollow ” ซึ่งมันเป็นการโกหกเพื่อหลอกใช้ Undead นั่นเอง... มินำซ้ำ Gwyn ยังได้ใช้เวทมนต์สร้าง Dark Sign ซึ่งเคยถูกใช้กับเหล่า Ringed Knight มาก่อน ตีตราใส่ Dark Soul ในตัวมนุษย์ของทุกผู้ทุกนางเเละผูกเข้ากับ Bonfire ที่เป็นเหมือนท่อส่งพลังงานของ The First Flame
Bonfire ทำหน้าที่เป็นเหมือนจุดเกิดใหม่ของ Undead ซึ่งตายลงในบริเวณใกล้เคียง เเละไฟของมันสามารถรักษาบาดแผลให้กับเหล่า Undead ได้อีกด้วย โดย Bonfire แต่ละที่จะมี Fire Keeper คอยประจำการอยู่ เเละทำหน้าที่ยุยงให้พวก Undead ทำตามความประสงค์ของเทพเจ้า ( หลอกใช้มนุษย์อีกแล้ว! ) ซึ่ง Fire Keeper ทั้งหมดจะต้องเป็นเพศหญิงเเละมักจะมีร่างกายที่พิกลพิการหรือไม่ก็ป่วยเป็นโรคร้าย
Way of White สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ Curse of Undead ได้ในระดับที่น่าพอใจ แต่ Gwyn ก็ยังไม่สามารถวางใจได้อย่างสนิท เพราะ Fire Keeper คนแรกของโลกได้ทำนายว่า The First Flame จะต้องดับสนิทลงอย่างแน่นอนมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สำหรับ Gwyn มันเป็นการตอกย้ำความกลัวในจิตใจของเข้าไปอีก แต่ในขณะที่เขากำลังปวดหัวอยู่กับเรื่องของ The First Flame ก็มีข่าวลือมาจากใต้พิภพ ว่าแม่มดแห่ง Izalith ได้ประดิษฐ์ Chaos Flame ที่สามารถใช้ทดแทน The First Flame ขึ้นมาได้!
นับเป็นเวลาหลายร้อยปีที่ Lord ทั้งสามของโลกใบใหม่ อย่าง Gwyn, Nito, และแม่มดแห่ง Izalith แทบจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวหรือติดต่อกันเลย จะมีก็เเค่พวกพ่อค้ามนุษย์ที่นานๆจึงจะเดินทางเข้าไป ทว่าช่วงพักหลังมานี้ ณ บึงพิษ Great Swarm ที่เคยเป็นทางลัดเข้าสู่ใจกลางนคร Izalith กลับถูกเหล่าอสูรจำนวนมากปิดกั้นเส้นทางเอาไว้ ทำให้ไม่มีใครกล้าผ่านมาทางนี้อีกยกเว้นพวกผู้ใช้ไฟ Pyromancer ที่ยังอาศัยอยู่ในบึงพิษ Great Swarm ที่คอยบอกเล่าเรื่องราวของนคร Izalith ให้กับบุคคลภายนอกได้รับรู้
เรื่องที่ว่าแม่มดแห่ง Izalith สามารถสร้าง Chaos Flame ได้สำเร็จ ได้ลอยไปเข้าหูของ Gwyn ที่ในขณะนั้นพร้อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไม่ให้ยุคแห่งเพลิง ต้องถึงการอวสาน แต่มีหรือที่แม่มดแห่ง Izalith จะยอมมอบ Chaos Flame ให้ง่ายๆ เพราะกว่าจะสร้างขึ้นมาได้นางก็ต้องสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปเหมือนกัน Gwyn จึงได้สั่งให้รวบรวมกำลังพล Silver Knight และขุนพลเกือบทั้งหมดที่มี ให้เตรียมพร้อมทำสงครามกับนคร Izalith โดยเหลือกองกำลังไว้ปกป้องเมือง Anor Londo เพียงเเค่หยิบมือ ส่วนในเรื่องของ Curse of Undead Gwyn ก็ได้มอบหมายให้ Way of White จัดได้ตามสมควร ในขณะที่กองทัพของเขากำลังจะเดินทางออกจากป้อมปราการ Sens Fortress Gwyn ก็สังเกตเห็นว่าโอรสคนแรกของเขาที่ปกติจะออกเดินนำหน้าเหล่ากองทหารเสมอกลับหายหน้าไป Gwyn จึงได้เรียกตัวโอรสคนแรกของเขา เข้ามาถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้ความว่าโอรสคนแรกของ Gwyn ทราบถึงคำทำนายที่ The First Flame ก็จะต้องดับลงอย่างเเน่นอน เขาจึงคิดว่าสิ่งที่ควรจะทำมากที่สุดไม่ใช่การหอบเอากองทัพไปรุกรานเพื่อนบ้าน แต่ควรเป็นการยอมรับและเรียนรู้ เพื่อที่จะอยู่ในยุคที่ปราศจาก The First Flame ต่างหาก
เมื่อได้ยินดังนั้น Gwyn ก็ของขึ้นทันทีด่าเจ้าลูกชายคนโตยกใหญ่ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามานั่งอบรมเเละเเก้ไขปัญหาในครอบครัวอีกเเล้ว Gwyn จึงได้ถามเจ้าลูกชายคนโตเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะยอมไปรบให้กับเขาหรือไม่ แต่โอรสคนเเรกก็ยังยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่ไปแน่นอน เรื่องนี้ทำให้ Gwyn ไม่พอใจเอามากๆเเต่เพื่อไม่ให้ผู้คนสงสัย Gwyn จึงได้ออกแถลงการณ์ว่าตนจะเป็นคนนำทัพไปสู้รบด้วยตัวเอง เเละได้แต่งตั้งโอรสคนแรกให้กลายเป็นราชาคอยทำหน้าที่ดูแลเมืองหลวง Anor Londo ในยามที่เขาไม่อยู่ซึ่งก็เป็นหน้าที่ๆสำคัญไม่เเพ้กัน แต่นั่นมันก็เป็นเเค่การแต่งตั้งแค่ในนามเท่านั้น เป็นการกลบเกลื่อนเรื่องที่เจ้าโอรสตนโตไม่ยอมไปออกรบในสงคราม ส่วนคนที่ได้รับหน้าที่ดูแลเมืองจริงๆก็คือ Gwyndolin ซึ่งเป็นโอรสคนสุดท้อง
ทางด้านแม่มดแห่ง Izalith นางเองก็มีกองทัพอสูรเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้วเหมือนกัน เเต่นางก็มีความได้เปรียบจากพลังอันร้อนแรงของ Chaos Flame เข้ามาช่วยเหลือในการต่อสู้ ทำให้แม้แต่ชุดเกราะของพวก Silver Knight ที่ทนทานต่อไฟของมังกรก็ยังถูกเพลิง Chaos เผาไหม้เสียจนกลายเป็นสีดำสนิทจนถูกเรียกว่า Black Knight เเทน แต่ก็ใช่ว่าอสูรทุกตนจะอยู่ข้างเดียวกับแม่มดแห่ง Izalith เพราะมีอสูรบางตนถูกบังคับหรือทำให้กลายร่างโดยไม่เต็มใจพวกมันจึงได้แปรพักตร์ไปเข้ากับ Gwyn เเทน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กองทัพของ Gwyn ได้เปรียบขึ้นมาเลยสักนิด
จะว่าไปเเล้วกองทัพ Silver Knight ของ Gwyn อาจจะดูน่าเกรงขามในสายตาของมวลมนุษย์ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดา Lord ด้วยกันเอง กองทัพของเขาก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรมากมาย เเถมที่ชนะสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดรมาได้ ก็เพราะพึ่งพาพลังของคนอื่นทั้งนั้น...
ทางด้านเมือง Anor Londo ที่ตอนนี้ไม่มี Gwyn อยู่เเล้ว มันจึงเป็นโอกาสอันดีให้ Velka ผู้เป็นพระชายาได้ดำเนินเเผนการล้างเเค้น Gwyn ผู้เป็นพระสวามี โดย Velka ได้ส่ง Havel The Rock ซึ่งเป็นสหายเก่าของโอรสคนแรกตั้งเเต่ครั้งที่ยังสู้รบกับเหล่ามังกร แต่ปัจจุบัน Havelได้ดำรงตำเเหน่งเป็นนักรบระดับสูงอยู่ใน Way of White เมื่อทั้งสองเจอกันต่างก็ยินดีเป็นอย่างมากเเละได้นั่งคุยปรับทุกข์กันตามประสาเพื่อนเก่า จนกระทั้ง Havel ได้เริ่มถามถึงเรื่องการเมืองภายใน Anor Londo และสถานที่ลับภายในวังหลวงเช่นพวกประตูลับหรือห้องใต้ดิน โดยก่อนที่โอรสคนแรกจะเริ่มสงสัยในตัวสหายเก่าคนนี้ Havel ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาทันที โดยเขาได้แนะนำว่าโอรสคนแรกควรจะออกเดินทางตามหาจุดมุ่งหมายของตนเอง ดีกว่าจะอยู่เป็นหัวโขนในเมืองหลวงแบบนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าคำแนะนำของ Havel จะสัมฤทธิ์ผล... โดยเรื่องนี้มันคือแผนการของ Velka ที่จะตัดกำลังป้องกันของเมือง Anor Londo ออกไป เพราะนางประสงค์จะให้เกิดการก่อกบฏของเหล่ามนุษย์ขึ้น เพื้อให้ Gwyn ได้เห็นอาณาจักรที่เขารักนักรักหนาแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ และอีกอย่างก็คือการสังหารเจ้ามังกรวิปลาส Seath! ส่วนบรรดาเทพเจ้าที่เป็นบุตรของ Velka ก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้โดยตรง ด้วยเพราะว่าแต่ละพระองค์ก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับเหล่ามนุษย์อยู่เเล้ว
แต่เพื่อความไม่ประมาท Velka จึงได้ส่งมือดีหลายคนของนางเข้าไปขโมย Rite of Kindling จาก Nito ซึ่งมันมีคุณสมบัติในการสร้างของเหลวที่เรียกว่า Estus ในปริมาณมาก เพื่อใช้สำหรับการรักษาบาดแผลของ Undead ในระหว่างการต่อสู้ ( เรียกง่ายๆก็คือไม่ต้องกลับจุดเซฟนั่นเอง ) โดยปฏิบัติการครั้งนี้จะต้องระมัดระวังให้มากที่สุด เพราะกลุ่ม Way of White ก็ได้ส่งคนมาเฝ้าระวัง Nito อยู่เเล้วเหมือนกันเพราะก็ต้องการ Rite of Kindling ไปใช้กับ Undead ของฝ่ายตน
คณะเดินทางของ Velka ได้ลงไปยัง Tomb of Giants หรือสุสานของเหล่ายักษาที่แสนจะอันตราย เเละมืดมิด เเม้ว่า Nito จะไม่มีกองทัพเหมือนกับ Lord คนอื่น เเต่เขาก็สามารถปลุกซากศพที่มีอยู่มากมายให้ขึ้นมาสังหารเหล่าผู้บุกรุกได้ง่ายๆ แต่คนที่ Velka ส่งไปก็ใช่ว่าจะไร้ฝีมือเเถมยังใช้เล่ห์กลจนขโมย Rite of Kindling จาก Nito มาได้ เหลืออุปสรรคเเค่อย่างเดียวนั่นก็คือต้องวิ่งหนีฝ่ากองทัพผีดิบออกมาให้ได้เท่านั้นเอง โดยในระหว่างที่ทำการหนีก็สูญเสียไปหลายคน บรรดาคนที่วิ่งหนีมาถึงปากทางถ้ำก็ต้องพบกับลูกสมุนของ Nito นามว่า Pinwheel ที่ทำการปิดตายถ้ำเอาไว้เเล้ว
ในท้ายที่ภาระกิจของ Velka ก็ทำไม่สำเร็จ ไม่สามารถที่จะนำ Rite of Kindling ออกมาได้ ที่เเย่ไปกว่านั้นคนที่เหลือรอดกลับถูก Way of White จับตัวได้และเค้นความจริงจนแผนก่อกบฏความแตกจนได้ นำไปสู่การจับกุมครั้งใหญ่ใน Lordran พวกกองทหาร Silver Knight ออกลาดตระเวนตามเมืองต่างๆของมนุษย์เพื่อจับตัวผู้ต้องสงสัยที่อาจจะมีส่วนร่วมในการกบฏครั้งนี้ เเต่ถึงแม้แผนการก่อกบฏจะได้ถูกทำลายลงไปแล้ว แต่ก็ยังมีบางคนเลือกที่จะสวมเกราะออกไปสู้รบ จนเป็นเหตุจลาจลครั้งใหญ่ในดินแดน Lordran ส่วนตัวการอย่าง Velka และ Havel ก็หายสาบสูญไปไร้ร่องลอย
เมื่อ Gwyn ที่อยู่ในแนวหน้าได้ทราบถึงข่าวการกบฏก็ร้อนใจยิ่งนัก แต่ก็ยังกลับไปไม่ได้เพราะยังติดพันการสู้รบกับเหล่าอสูรอยู่ เขาจึงได้ถ่ายทอดคำสั่งให้เนรเทศบรรดาผู้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏทั้งหมดไปยัง Painted World of Ariamis ที่เป็นมิติคู่ขนาน โดยสร้างไว้เพื่อคุมขังเหล่าเทพเจ้านอกรีตโดยเฉพาะ เเละมีทางเข้าออกเป็นภาพวาดที่เป็นประตูมิติเชื่อมต่อสองโลกเอาไว้ด้วยกัน
แม้แผนการของ Velka จะล้มเหลวลงไป แต่ก็มี Primordial Serpent ตนหนึ่งที่จะสานต่อสิ่งที่นางเริ่มเอาไว้ นามของมันก็คือ ผู้เฝ้ามองจากความมืด Kaathe.....
To be continued
ย้อนกลับไปในยุคที่ The First Flame ยังคงร้อนแรงและส่องเเสงสว่างให้แก่โลกใบนี้ Gwyn ได้หวาดกลัว Dark Soul ที่อยู่ในตัวของมนุษย์ โดยเฉพาะบรรดา Pygmy Lords ที่มีพลังแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่านัก Gwyn จึงได้สร้างเมืองที่มีชื่อว่า Ringed City ขึ้นมาเพื่อจับตาดูพฤติกรรมของเหล่า Pygmy Lords อย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังส่งกองทัพของเขามาคอยดูเเลเเละควบคุมเมืองเเห่งนี้อยู่เบื้องหลัง เเต่ไม้เด็ดจริงๆของ Gwyn ไม่ใช่เหล่ากองทัพทหารกล้าหรือกลอุบายสกปรกเเต่อย่าง เเต่หากเป็นบุตรีสุดรักสุดหวงของเขานามว่า Filianore เจ้าหญิงองค์สุดท้ายแห่งดินแดน Lordarn
เวทมนต์เเห่งเเสงคือพลังที่มีพลังเกี่ยวข้องกับกาลเวลา เเละยังสามารถหักเหวิถีของเเสงเพื่อสร้างภาพลวงตาขึ้นมาได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่นเวทมนต์ที่ใช้เพื่อย้อนเวลาสิ่งของที่พุพังไปเเล้วให้ย้อนกลับมาเหมือนใหม่โดยที่ไม่ต้องซ่อมเเซ่ม( ดีจัง...) ซึ่งพลังเเห่งเเสงนี่เเหละคือสิ่งที่ Filianore เกิดมาพร้อมกับมัน เเต่ที่พิเศษยิ่งกว่าก็คือนางสามารถใช้พลังบิดเบือนมิติเเละเวลาให้เดินผ่านไปช้าหรือเร็วก็ได้ตามต้องการ ซึ่งนี่เป็นพลังที่แม้แต่น้องชายอย่าง Gwyndolin ผู้มากพรสวรรค์ก็ยังไม่อาจทำได้
Filianore ได้รับหน้าที่ให้เป็นกงสุลใหญ่เเละคอยทำหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์กับบรรดาเมืองต่างๆของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยื่งกับเมือง Oolacile อันเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองไม่เเพ้นครหลวงอย่าง Anor Londo เลยที่เดียว...เเต่การอ่อนกำลังลงของ The First Flame ทำให้ Gwyn ออกคำสั่งให้เธอเดินทางไปยัง Ringed City โดยใช้เหตุผลทางการทูตบังหน้าเเต่ที่จริงเขาต้องการให้ Filianore ใช้พลังบีบห้วงกาลเวลาในเมือง Ringed City ให้เดินไปช้ากว่าโลกภายนอกเพื่อที่จะชะลอไม่ให้ Dark Soul ในตัวของ Pygmy Lords แข็งแกร่งขึ้น เเต่การทำเเบบนี้ Filianore จำเป็นจะต้องใช้พลังมหาศาลในการควบคุมเเละยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขจุกจิกมากมาย อย่างเช่น Filianore จำเป็นจะต้องพึ่งพาเครื่องรางที่เป็นสื่อขยายพลังให้ขยายครอบคลุมทั้ง Ringed City เเละนางจะต้องอยู่ในสภาพจำศีลตลอดเวลาโดยห้ามถูกรบกวนเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการจัดตั้งกลุ่ม Spear of the Church ที่นำโดยเหล่าผู้ลงทัณฑ์ Judicator ที่จะคอยทำหน้าที่อารักขาไม่ให้มีใครเข้ามารบกวนพิธีกรรมนี้ได้ เเละ Spear of the Church ยังมีไม้ตายก้นหีบเป็นมังกรนิรันดร นาม Midir ! ซึ่งมันถูกเลี้ยงดูมาโดยเหล่าเทพเจ้าทำให้ Midir มีความจงรักภักดีต่อเทพเจ้าเป็นอย่างสูง
แม้สมาชิกของ Spear of the Church จะมีอยู่จำนวนไม่มากนัก เเต่พวกเขาก็มักได้รับการช่วยเหลื่อจาก Way of White ที่เดินทางพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมายัง Ringed City เพื่อตรวจตราพฤติกรรมของ Pygmy Lords อยู่เป็นระยะๆ จนประชากรเกือบครึ่งของทั้งเมืองล้วนแล้วแต่เป็นคนของ Way of White ทั้งนั้น ซึ่งเหตุผลที่ต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้ก็เพราะโลกภายนอกกำลังเผชิญอยู่กับ Curse of Undead อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายุคที่ Dark Soul กำลังจะเฉิดฉายได้ใกล้เข้ามา เเต่เรื่องนี้กลับถูกปกปิดเป็นไม่ให้เหล่า Pygmy Lords ได้รับรู้ จนกระทั้งเหล่า Pygmy Lords เริ่มสังเกตว่าสมาชิกของ Way of White บางคนมีร่างกายที่เน่าเปื่อยเหมือนกับ Undead และรวมไปถึงพลังของ Dark Soul ที่อยู่ในตัวก็เริ่มทรงพลังขึ้นทุกวันๆ จึงมีการส่งคนไปสืบเสาะหาความจริงจากคณะเดินทางต่างเมืองที่ไม่ใช่คนของ Way of White เเละต้องตกตลึงกับผลลัพธ์ที่ได้ เพราะคนพวกนั้นไม่มีใครรับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของ Pygmy Lords เลย รวมไปถึงวีรกรรมต่างๆนานาในมหาสงครามมังกรก็ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน รู้เพียงว่า Ringed City เป็นเเค่เมืองที่ตั้งอยู่สุดขอบโลกและเป็นที่ประทับของ Filianore เพียงเท่านั้น
เหล่า Pygmy Lords รู้ได้ทันทีว่า Gwyn ไม่ได้ใจซื่อมือสะอาดอย่างที่คิดเสียเเล้ว ทุกอย่างที่ผ่านมามันเป็นเเค่การหลอกลวงเพื่อให้พวกเขาตายใจ ทั้งความโกรธเเละความผิดหวังถาโถมเข้ามา จึงเป็นชนวนเหตุนำไปสู่การลุกฮือเพื่อต่อต้านเทพเจ้า ซึ่งนำโดยหนึ่งในบรรดา Pygmy Lord ที่ถูกขนานนามว่า Mad King โดยเขาได้ทำการรื้อฟื้นศาสตร์แห่งมนต์ดำขึ้นมาใหม่และยังเรียกตัวเหล่า Ringed Knight ให้กลับมาสวมชุดเกราะเพื่อทำสงครามกับ Spear of the Church และ Way of White เรื่องราวได้บานปลายกลายจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง เเต่ทางฝั่งเทพเจ้าได้ Shira ซึ่งเป็นหนึ่งใน Spear of the Church ได้ทำการลอบสังหาร Mad King ได้สำเร็จ เเละจับร่างของเขามาผนึกไว้เพื่อไม่ให้คืนชีพได้ ส่วนพวกสมุนอย่าง Ringed Knight ที่ปัจจุบันไม่สามารถดึงพลังจากความมืดมาใช้ได้อีกเเล้ว ก็ถูก Midir ตีแตกพ่ายไปอย่างไม่มีชิ้นดี ( นี่ถ้าหากเป็นในอดีตละก็ Ringed Knight พวกนี้คงจะสังหาร Midir ตายไปเเล้ว )
ถึงแม้แผนการของ Mad King จะได้ถูกหยุดยั้งไปเเล้ว เเต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาทำสำเร็จ ซึ่งก็คือการเปลี่ยนใต้ดินของ Ringed City ให้กลายเป็น The Abyss หรือแหล่งพลังความมืดไร้จุดจบที่จะคอยเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ใครก็ตามที่คิดจะต่อต้านเทพเจ้าจะสามารถลงไปยัง The Abyss เพื่อเพิ่มพลังความมืดในตัวได้เสมอ ตอนนี้ใน Ringed City ต่างเต็มไปด้วยสงครามกองโจรขนาดย่อมตามจุดต่างๆ มากกว่าจะเป็นสงครามเเบบยกทัพประจันหน้ากัน
ความโกลาหลครั้งนี้ทำให้ Spear of the Church และ Way of White เลือกที่จะเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนและเข้าควบคุมเมืองเเห่งนี้อย่างเบ็ดเสร็จ เเละจัดการวางกำลังล้อมเมืองเอาไว้ เเต่ดูเหมือนว่าจะมี Pygmy Lord นิรนามคนหนึ่งที่หลบหนีออกจากเมืองมาได้ ซึ่งเขาคิดว่ากุญแจสำคัญที่จะทำให้ชัยชนะในศึกครั้งนี้ก็คือจะต้องนำเอา The Abyss ไปเเพร่กระจายยังโลกภายนอก Pygmy นิรนามจึงได้แฝงตัวไปกับคณะเดินทางที่กำลังมุ่งหน้าไปยังนคร Oolacile
เมื่อ Pygmy นิรนามเดินทางมาถึงยังดินแดน Lordran เขาก็พบว่าจำนวนของทหารยามดูน้อยลงผิดปกติโดยเฉพาะกับพวก Silver Knight ที่ตอนนี้แทบจะไม่เห็นแม้แต่เงา นั่นก็เพราะกองทัพส่วนใหญ่ของ Gwyn กำลังสู้รบอยู่กับเหล่าอสูรแห่ง Izalith ทำให้พวกที่เหลืออยู่เน้นกำลังไปปกป้องเมืองหลวง Anor Londo ซะส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Pygmy นิรนามสามารถเข้ามาในดินเเดน Lordran ได้อย่างไม่ยากเย็น
เมื่อเข้ามาได้ Pygmy นิรนามก็ได้พบกับ Primordial Serpent ตนหนึ่งนามว่า Kaathe ซึ่งมันก็รู้ตัวตนที่เเท้จริงของเขาเพราะสามารถสัมพัทธ์ถึงพลัง Dark Soul ที่แข็งแกร่งในตัวของเขาได้ เจ้างูพิษเริ่มพูดยกย่อว่า Pygmy นิรนามเป็นผู้ที่ชะตาขีดมาให้เป็นใหญ่เหนือเหล่าทวยเทพ และนำทางเหล่ามนุษย์ไปสู่ความยิ่งใหญ่ในยุคเเห่งมืด ทั้งสองจึงได้ร่วมมือกันแพร่กระจาย The Abyss ในดินเเดน Lordran โดย Pygmy นิรนาม ได้ถ่ายทอดศาสตร์ต้องห้ามต่างๆให้กับ Kaathe ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Dark Hand ที่เป็นเหมือนเครื่องมือใช้ขโมย Humanity จากตัวของมนุษย์คนอื่นได้ ในระหว่างที่แผนการกำลังไปได้สวย Kaathe ก็ได้เสนอเมือง New Londo เป็นที่แรกที่ควรจะสร้าง The Abyss เพราะประชาชนในเมืองนี้มีความเกลียดชังต่อ Gwyn เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะปั่นหัวให้ยอมรับ The Abyss เเต่ทว่า Pygmy นิรนามกลับบอกให้มันลงมือจัดการเรื่องนี้ไปเลยส่วนเขาจะคอยแพร่กระจายความมืดอยู่ที่เมือง Oolacile ด้วยวิธีนี้เเผนการจะเดินหน้าเร็วขึ้นเป็นสองเท่า… แต่จริงๆเเล้วเหตุผลที่เขาไม่ไปจาก Oolacile ก็เพราะว่าดันไปต้องตาต้องใจเจ้าหญิงคนหนึ่งนามของเธอก็คือกุลสตรี Dusk แต่เนื่องจากฐานันดรที่ต่างกันเกินไป ทั้งสองจึงต้องหลบซ่อนความความสัมพันธ์นี้ Dusk จึงได้มอบจี้สร้อยคอของนางให้กับเขาเพื่อเป็นตัวเเทนความรักของทั้งสอง
เมือง Oolacile เป็นเมืองที่มีความเป็นอยู่ดีที่สุดในดินเเดน Lordran รองจาก Anor Londo เล่ากันว่าในเมืองนี้ไม่เคยมีอาชญากรรมเกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน ผู้คนในเมืองล้วนแต่มีจิตใจที่ดี เเละเท่านั้นยังไม่พอเมือง Oolacile ยังขึ้นชื่อในเรื่องการศึกษาเวทมนต์แห่งแสงจนกลายเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันไปเเล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเมืองเเห่งการศึกษามันก็ย่อมมาพร้อมกับการทดลองเพื่อคิดค้นหาความรู้ใหม่ๆ โดยหนึ่งในนั้นก็คือศาสตร์แห่งความมืด ที่มันเล็ดลอดออกมาสู่สาธารณะชนหลังจากการล้มสลายของกบฏทมิฬ พวกนักเวทย์แห่ง Oolacile จึงได้แอบทำการทดลองศาสตร์แห่งความมืดกับนักโทษในคุกใต้ดินอย่างลับๆ… ใช่แล้วครับภายใต้ฉากหน้าที่ดูสวยงามของเมืองนี้มันได้ซ่อนเอาความบิดเบี้ยวในใจของมนุษย์เอาไว้ เหตุผลที่เมืองนี้ไม่เคยมีอาชญากรรมเกิดขึ้นนั่นก็เพราะ ทุกคนที่ส่อแววเป็นตัวปัญหาจะถูกจับลงมาอยู่คุกใต้ดินเเห่งนี้เเละถูกนำตัวไปทดลองต่างๆนานา ไม่ก็ถูกบังคับให้สู้ในสนามประลองเพื่อความบันเทิง เเละการกระทำที่ผิดศีลธรรมเหล่านี้ มันกลับยิ่งช่วยให้ Pygmy นิรนามสามารถชักจูงจิตใจของนักเวทย์แห่ง Oolacile ให้ดำดิ่งลงสู่ The Abyss ได้ง่ายขึ้น
ทว่าแผนการของเขาก็ต้องพังลงเสียก่อน เพราะหน่วยลอบสังหารของ Gwyn ที่นำโดย Ciaran นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งดินแดน Lordran ได้ตามสืบมาจนพบตัว Pygmy นิรนามเเละลงมือฆ่าเขาอย่างโหดเหี้ยมซ้ำไปซ้ำมา อีกทั้งยังทรมานทางจิตใจเพื่อกระตุ้นให้เขาเข้าสู่ภาวะ Hollow ให้เร็วที่สุด Ciaran ได้โกหกว่านางได้สังหารกุลสตรี Dusk ผู้เป็นคนรักของเขาไปแล้ว เรื่องนี้ได้สร้างความเสียใจและความเคียดแค้นให้กับ Pygmy นิรนามเป็นอย่างมากจนสุดท้ายร่างกายก็ได้เข้าสู่ภาวะ Hollow และตายลงในที่สุด จากนั้น Ciaran ก็นำร่างของเขาไปฝังยังถ้ำใต้ดินลึกลงไปข้างใต้เมือง Oolacile เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครพบศพ ส่วนบรรดาคนที่รู้จัก Pygmy นิรนามก็ถูกให้ข่าวลวงว่าเขาได้เดินทางออกจาก Oolacile ไปเเล้ว เเม้เเต่ Dusk ก็ยังคิดว่านางโดนเขาทิ้ง
ทางด้าน Kaathe ที่มุ่งหน้าไปยังเมือง New Londo มันก็ได้เข้าเฝ้า Four Kings ราชันย์ทั้งสี่คนที่ปกครองเมืองนี้อยู่ โดยได้ทูลว่า The Abyss คือสิ่งที่จะกรุยทางสู่การเป็นมหาอำนาจในยุคเเห่งมืด และจะทำให้เหล่าราชันย์ไม่ต้องเกรงกลัว Gwyn อีกต่อไป หากมองหยาบๆเมือง New Londo อาจจะไม่ดูศิวิไลซ์เท่ากับนคร Oolacile แต่ Four Kings ก็มีนโยบายในการต้อนรับมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันไม่ว่าคุณจะเป็น Undead หรือไม่ก็ตามเพราะในสังคมอื่นๆหากว่าคุณเป็น Undead แล้วไม่ยอมเข้าร่วม Way of White ก็จะถูกรังเกียจเดียดฉันท์ราวกับเศษขยะ ด้วยเหตุนี้เมือง New Londo จึงเป็นเหมือนที่พักพิงของเหล่าผู้ไม่ตาย เเต่ทว่าการมาของ The Abyss กำลังจะเปลี่ยนเมืองนี้ไปตลอดกาล…
Four Kings ได้มีรับสั่งให้ Kaathe จัดตั้งกลุ่มนักรบ Darkwraith ขึ้นมา ซึ่งนักรบทุกคนจะยอมรับพลังของ Dark Soul ภายในตัว ( คล้ายกับ Ringed Knight ) เเละออกล่า Humanity ไปทั่วดินแดน Lordran โดยเหยื่อส่วนมากจะ Way of White ซะเป็นส่วนใหญ่
เมื่อแผนการสำเร็จ Kaathe ก็ได้กลับไปยังนคร Oolacile แต่กลับพบว่า Pygmy นิรนามได้หายตัวไป เจ้างูพิษจึงใช้สัมผัสตามร่องลอยพลังของ Dark Soul ไปจนพบศพที่ถูกซ่อนเอาไว้ การตายของ Pygmy นิรนามเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในเเผนของ Kaathe ทำให้มันต้องลองใช้วิธีอื่นในการสร้าง The Abyss ที่นี่ โดยเจ้างูพิษได้ทำการล่อลวงให้นักเวทย์แห่งนคร Oolacile ทำพิธีเพื่อปลดปล่อย Dark Soul ในศพของ Pygmy นิรนามออกมา แต่มันกลับไม่เป็นไปตามแผน เพราะพลัง Dark Soul ที่ถูกปลดปล่อยออกมามันมากมายมหาศาลและบ้าคลั่งเกินกว่าที่ Kaathe จะควบคุมได้ พลังที่พวยพุ่งออกมาไม่หยุดได้กลายเป็น The Abyss เเละเข้ากลืนกินทั้งเมือง Oolacile ภายในเวลาไปไม่ถึงเดือน ใครที่หนีไม่ทันก็จะกลายสภาพเป็นปีศาจคลุ้มคลั่งหรือไม่ก็ร่างสลายกลายเป็นพลัง Humanity บริสุทธิ์
ทว่าความน่ากลัวจริงๆเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เพราะ Pygmy นิรนามได้ฟื้นคืนชีพกลับมาด้วย...แต่ไม่ใช่ในฐานะของมนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นในฐานะจ้าวเเห่งปีศาจผู้เป็นบิดาเเห่งความมืดมิด ผู้คนเรียกขานมันว่า Manus ปีศาจผู้จะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขว้างหน้า เเม้เเต่เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ในป่าก็ยังโดนหางเลขไปด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ทำให้ Kaathe ตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของพลัง The Abyss ที่บ้าคลั่ง เเละยังกังวลว่ามันอาจจะส่งผลกระทบไปยัง The Abyss ในเมือง New Londo ของเขา
การล่มสลายของ Oolacile ได้กลายเป็นที่โจษจันไปทั่วดินเเดน Lordran โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Gwyn ที่เขาเข้าใจว่า The Abyss มียู่เเค่เพียงใน Ringed City เท่านั้น บีบให้ Gwyn ต้องส่งอัศวินที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขาไปจัดการ นามของอัศวินผู้นั้นก็คือ “อัศวินเขี้ยวหมาป่า Artorias”
นับเป็นเวลาหลายปีที่ Gwyn ได้ออกเดินทางไปทำสงครามยังดินแดนอันห่างไกล และได้ละทิ้งเมืองหลวง Anor Londo เอาไว้เบื้องหลัง โดยเขาได้แต่งตั้งให้โอรสคนแรกของตนที่มีศักดิ์เป็นถึง God of War ขึ้นสถาปนาเป็นกษัตริย์เพื่อปกครองเมืองหลวงแห่งนี้ แต่ในความเป็นจริงการเเต่งตั้งครั้งนี้มันเป็นเเค่การกลบเกลื่อนเหตุทะเลาะเบาะแวงกันในราชวงศ์ ซึ่งบานปลายจนทำให้โอรสคนแรกไม่ยอมไปออกรบจนส่งผลให้ Gwyn ต้องออกนำทัพไปสู้รบกับเหล่าอสูรแห่ง Izalith ด้วยตัวเอง ทว่าหลังจากที่เขาจากไปไม่นานเจ้าโอรสคนแรกก็หายตัวไปอย่างปริศนา เเละเปิดช่องให้พวกตัวเหลือบไรที่จ้องจะยึดอำนาจของ Gwyn ใช้โอกาสนี้ออกมาสร้างความวุ่นวายต่างๆนานาให้กับเหล่าเทพเจ้า โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือกบฏทมิฬซึ่งถูกสนับสนุนอย่างลับๆโดยเทพเจ้า Velka ทำให้ในตอนนี้เมืองหลวง Anor Londo จะต้องระแวงทั้งศึกนอกและศึกในอยู่ตลอดเวลา
เเละหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นก็มาจากเจ้ามังกรวิปลาส Seath ที่เหิมเกริมใช้อํานาจบาดใหญ่อย่างไม่ไว้หน้าเทพเจ้า เนื่องจากในเมืองหลวง Anor Londo ตำเเหน่งที่ปรึกษาของมันจะเป็นรองแค่ต่อ Gwyn และโอรสคนแรกเพียงเท่านั้นซึ่งทั้งคู่ก็ไม่อยู่ในเมืองเเล้ว จึงทำให้ Seath อ้างคําสัญญาที่ Gwyn เคยให้ไว้กับมัน และทำการทดลองเวทมนตร์ภายในครรภ์ของ Gwynevere จนนางตั้งท้อง และได้ให้กำเนิดทารกเพศหญิงคนหนึ่งที่เป็นเลือดผสมระหว่างมังกรและเทพเจ้าคนแรกของโลก นามของเธอก็คือเจ้าหญิงนอกรีต “ Priscilla ” โดยเธอมีผิวพันและใบหน้าที่คล้ายคลึงผู้เป็นแม่ แต่ทั่วร่างกายกลับมีขนสีขาวปกคุมและยังมีหางมังกรเหมือนกับผู้เป็นพ่อ แต่ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูงดงามและไร้เดียงสาของเธอกลับซ่อนเร้นพลังที่มีความสามารถในการดูดกลืนชีวิตซึ่งคล้ายกับเหล่า Darkwraith และเธอยังมีความสามารถในการล่องหนหายตัวอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ Priscilla กลายเป็นที่หวาดกลัวของเหล่าทวยเทพไม่เว้นแม้แต่ผู้ให้กำเนิดอย่าง Gwynevere ส่วนสำหรับ Seath มันก็มองว่าเธอเป็นแค่อีกหนึ่งผลการทดลองเท่านั้น...ในเมื่อโลกใบนี้ไม่มีใครต้องการ Priscilla อีกแล้ว เธอจึงถูกส่งไปจองจำอยู่ในโลก Painted World of Ariamis อันหนาวเหน็บเเละมืดมิดตลอดกาล
อีกหนึ่งการทดลองที่ Seath ทุ่มเทเเรงกายเเรงใจเพื่อให้มันสำเร็จก็คือการทดลองที่มุ่งสู่ความเป็นอมตะ เพราะในอดีตมันเคยถูกเหล่ามังกรนิรันดรด้วยกันดูถูกและเหยียดหยามในความพิกลพิการที่ปราศจากความคงกระพันอันเป็นเหมือนสิ่งล้ำค่าที่สุดของมังกร ทำให้หลังจากนั้นมันก็ได้หมกมุ่นอยู่กับการทดลองสู่ความเป็นอมตะไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เเละถึงแม้ในภายหลัง Seath จะค้นพบหนทางสู่ความเป็นอมตะได้สำเร็จ แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยศีลธรรมในจิตใจที่บิดเบี้ยวอันเกิดมาจากการทดลองวิปริตนับครั้งไม่ถ้วน หากจะว่าไปแล้วก็เหมือนกับตลกร้ายเพราะความเป็นอมตะที่ Seath ได้มา กลับทำให้มันต้องใช้ชีวิตเยี่ยงคนวิปลาสไปตลอดกาล
หลายปีมาแล้วที่ Gwyn ได้ต่อสู้กับเหล่าอสูรแห่ง Izalith และได้ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจนัก(แพ้) ประกอบกับปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้น จึงทำให้เขาตัดสินใจเดินทางกลับมายังเมืองหลวง Anor Londo โดยก่อนที่จะเข้าเมืองเขาก็ได้สั่งการให้พวก Black Knight ออกไปตั่งแคมป์ให้ห่างไกลจากตัวเมือง เพราะต้องการปิดบังพวกชุดเกราะที่ถูกเพลิง Chaos เผาไหม้จนกลายเป็นสีดําสนิท อันเป็นเหมือนการย้ำเตือนถึงความพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้
เมื่อเข้ามาถึงยังวังหลวงสิ่งแรกที่ Gwyn คาดหวังก็คือการได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีระบุรุษจากบรรดาบุตรของตน แต่ก็ต้องพบว่ามีเพียงแค่ Gwyndolin และ Gwynevere เท่านั้นที่ออกมาต้อนรับเขา และเมื่อถามไถ่จนรู้เรื่องราวทั้งหมด Gwyn ก็ถึงกับควันออกหู โดยเฉพาะเรื่องที่เจ้าลูกชายตัวดีไม่ยอมอยู่ปกป้องเมืองหลวง Anor Londo อันเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหลายทั้งมวล อีกทั้งยังมีข่าวลือหน่าหูจากพวก Warrior of Sunlight ว่าโอรสคนแรกไปมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิที่บูชามังกรนิรันดรอันเป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับเทพเจ้า แต่ถึงจะโกรธเพียงใด Gwyn ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าลูกคนนี้นี่เเหละที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสืบทอดราชบัลลังก์ เขาจึงได้ออกคำสั่งให้ตามหาตัวโอรสคนเเรกเเละพากลับมายังเมืองหลวง Anor Londo เเต่ก็หาไม่เจอ...
เรื่องที่เกิดขึ้นมันได้ทำให้ทั้งกายและใจของ Gwyn ตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่สุดๆจนเรียกได้ว่าแทบจะหมดอาลัยตายอยากกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเพราะต้องทนเห็นอาณาจักร Lordran ของตนค่อยๆล้มสลายลง หรือบรรดาคนใกล้ชิดที่ทยอยกันตีตัวออกห่างจากเขา ด้วยความสิ้นหวังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จึงทำให้ Gwyn ได้ตัดสิ้นใจใช้วิธีสุดท้าย... วิธีซึ่งต้องแลกมาด้วยวิญญาณของตัวเองด้วยการอุทิศ Lord Soul หรือมหาดวงวิญญาณทวายเข้าเป็นเชื้อเพลิงเพื่อต่ออายุให้กับ The First Flame นั่นจะเป็นการยืดเวลาของยุคแห่งไฟออกไปสักพักซึ่ง Gwyn ก็รู้อยู่แก่ใจว่าวิธีแก้ปัญหาแบบนี้มันไม่มีทางยั่งยืน เขาจึงได้ลงมือวางแผนครั้งสุดท้าย แผนการที่จะกลายเป็น “บาปแรก” ที่วันหนึ่งจะนำความพินาศมาสู่โลกของเขาเสียเอง
Gwyn ได้เรียกตัวเหล่าบริวารทั้งหมดที่ยังคงภักดีต่อเขามาเข้าเฝ้าและหาลือในแผนการใหญ่ครั้งนี้ และหลังจากหาลืออยู่หลายวัน Gwyn ก็ได้แผนการที่มีชื่อว่า “ผู้ถูกเลือก” ขึ้นมา โดย Gwyn เริ่มจากให้นักบวชของ Way of White ออกป่าวประกาศไปทั่วทุกดินแดนว่าเขาจะเป็นผู้ที่เสียสละและยอมอุทิศ Lord Soul ภายในกายเป็นเชื้อเพลิงมอบแด่ The First Flame เพื่อช่วยโลกให้พ้นภัยจากความมืดมิด จากนั้นก็อุปโลกน์คำทำนายว่า “หากวันใดก็ตามที่ความมืดย่างกรายกลับคืนมา เมื่อถึงเวลาก็จะมีผู้ถูกเลือกทำหน้าที่ต่ออายุของ The First Flame เฉกเช่นที่ Gwyn เคยทำ” ซึ่งนี้จะถือเป็นการได้รับเกียรติที่สูงที่สุดเท่าที่คนๆหนึ่งจะมีได้ (ตอแหลสุดๆ...) แต่ประเด็นสำคัญก็คือการที่คนๆหนึ่งจะเป็นผู้ถูกเลือกได้นั้นจำเป็นจะต้องผ่านบททดสอบมากมาย และต่อให้กลายเป็นผู้ถูกเลือกได้แล้วคนๆนั้นก็ต้องไปตามล่า Lord Soul จากเหล่าบรรดา Lord ตนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแม่มดแห่ง Izalith และจ้าวแห่งความตาย Nito …. ยังไม่หมด! ผู้ที่ถูกเลือกจำเป็นจะต้องไปสังหาร Four Kings เพื่อช่วงชิงเศษเสี้ยว Lord Soul ของ Gwyn กลับคืนมา และยังไปต้องสังหาร Seath เพื่อเก็บเอาดวงวิญญาณของมังกรนิรันดรมาด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มพลัง Soul ของผู้ถูกเลือกให้แข็งแกร่งมากพอที่จะต่ออายุของ The First Flame ได้
หลังจากที่คำทำนายแพร่สะพัดออกไป เหล่าบรรดามนุษย์ที่เป็น Undead ก็ต่างกลับมามีหวังที่จะหลุดพ้นจากคำสาปนี้อีกครั้งหนึ่ง แต่ในทางกลับกันคำทำนายนี้ก็เหมือนกับบอกให้ศัตรูของ Gwyn เตรียมตัวรับมือศึกที่กำลังจะมาถึง ตัวอย่างเช่นพวกอสูรแห่ง Izalith ที่เมื่อรู้ถึงคำทำนายก็ได้ส่งเหล่าอสูรบางส่วนขึ้นไปบนผิวโลกเพื่อขัดขวางทุกคนที่ต้องการทำตามคำทำนายนี้ หรือจะเป็นเจ้าอสรพิษเจ้าเล่ห์ Kaathe ที่จ้องจะปั่นหัวผู้ถูกเลือกให้มีความคิดทรยศต่อเทพเจ้า ด้วยเหตุนี้ Gwyn จึงต้องทำให้มั่นใจว่าคนที่จะถือครอง Lord Soul และจะเข้าไปถึง The First Flame ได้นั้นจะต้องเป็นคนที่เทพเจ้าไว้ใจและคัดสันมาแล้วเท่านั้น Gwyn จึงได้สร้างอุปกรณ์ทรงพลังชิ้นหนึ่งขึ้นที่เรียกว่า Lordvessel ซึ่งมันมีคุณสมบัติในการดึงพลังของ The First Flame ออกมาใช้งานได้สารพัดประโยชน์ เช่นใช้ในการสร้างม่านพลังวิเศษเพื่อปิดกั้นเส้นทางต่างๆได้ Gwyn จึงได้ใช้ความสามารถนี้สร้างม่านพลังขึ้นมาผนึกเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังรังของ Seath, Nito, และแม่มดแห่ง Izalith เอาไว้และมีเเต่คนที่เทพเจ้าเห็นว่าคู่ควรเท่านั้นที่จะได้รับ Lordvessel เพื่อใช้เป็นกุญแจปลดผนึกเส้นทางนั้นๆได้
เมื่อการเผยแพร่คำทำนายประสบความสำเร็จ Gwyn ก็ได้เรียกตัวบรรดาลูกๆที่เหลือเข้ามาสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย โดยเขาได้แต่งตั้งให้ลูกสาวคนโตอย่าง Gwynevere ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการชั่วคราวในระหว่างที่รอให้โอรสคนเเรกกลับมาปกครองดูแลเมืองหลวง Anor Londo แต่ถ้าหากโอรสคนเเรกยังคงดื้อดึงไม่ทำตาม Gwyn ก็อนุญาตให้ขับไล่ออกจากราชวงศ์ เรียกได้ว่าตัดพ่อตัดลูกกันไปเลย! ส่วน Gwyndolin เขาได้กำชับให้ทำหน้าที่คอยให้คำปรึกษาผู้เป็นพี่สาวอยู่เบื้องหลัง เนื่องมาจาก Gwynevere ไม่ค่อยประสีประสาในเรื่องการเมืองเท่าไรนัก เเ ส่วนด้านความมั่นคง Gwyn ก็ได้เรียกตัวเหล่า Silver Knight และทหารทั้งหมดให้กลับมาปกป้องเมืองหลวง Anor Londo
ช่วงเวลาอันหอมหวานในอำนาจของ Gwyn มันกำลังเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เขาได้นำกำลังเหล่า Black Knight ออกเดินทางไปยัง Kiln of the First Flame ซึ่งถูกสร้างโดย Lord ทั้งสามตนในสมัยที่ยังทำสงครามมังกรร่สมกันเพื่อกักเก็บพลังของ The First Flame เอาไว้ข้างใน เมื่อเข้ามาถึง Gwyn ก็ได้นั่งลงและจ้องมองกองไฟที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย กองไฟที่เคยมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขา และวันนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะมอบกลับคืนให้กับมัน... บรรยากาศโดยรอบเริ่มค่อยๆเงียบสงัดลงพร้อมแสงไฟที่ค่อยๆหรี่ลงๆ ราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังหยุดหมุนเพียงเพื่อเฝ้ารอการตัดสินใจของมหาเทพคนนี้ ทุกคนต่างแหงนหน้ามองท้องฟ้าอันมืดมิดเเต่ปราศจากหมู่ดาว นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่า The First Flame ได้ตายลงแล้ว! ทั่วโลกต่างเกิดความวุ่นวายขึ้น บ้างก็กรีดร้องด้วยความหวาดกลัวบ้างก็ยอมรับชะตากรรมที่กำลังมาถึง การหายไปของแสงสว่างยังทำให้แม้แต่โอรสคนแรกก็ยังต้องปีนขึ้นไปบนภูเขาสูงเพื่อเฝ้ามองแสงสุดท้ายที่กำลังจะลับหาย ณ ปลายขอบฟ้า แต่ฉับพลันอยู่ดีๆก็บังเกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นแสงสว่างจากการระเบิดได้สาดส่องไปทั่วผืนปฐพีราวกับรุ่งสาง และเมื่อมองไปบนฝากฟ้าก็จะได้เห็นดวงตะวันลอยสุกสว่างตั้งตระหง่าน สิ่งมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นได้เพราะว่า Gwyn ยอมสละตัวเองให้กับ The First Flame เหล่าผู้คนที่เคยหวาดกลัวกลับลุกขึ้นและโห่ร้องยินดีพร้อมกับเอยสรรเสริญเทพเจ้า Gwyn ว่าเป็นผู้ช่วยให้โลกพ้นจากการล่มสลาย แต่ก็มีบางคนที่ไม่รู้สึกยินดียินร้ายในเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะต่างก็รู่ดีว่านี่มันเป็นแค่เรื่องหลอกลวงทั้งเพ!
การอุทิศตัวเองของ Gwyn ได้ทำให้วิญญาณของเขาถูกเผาไหม้จนสูญสลายไป และคงเหลือเอาไว้เพียงร่างกายที่ไร้สติคอยเดินวนเวียนไปมารอบ The First Flame ส่วนบริเวณโดยรอบต่างถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านจำมหาศาลล่องลอยไปตามท้องฟ้าและปกคลุมล้อมรอบ Kiln of The First Flame ด้านพวก Black Knight ที่ติดตามมาด้วยเมื่อเจ้านายไม่อยู่แล้วก็ต่างออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อเฝ้าระวังภัยจากภายนอกให้แก่เหล่าเทพเจ้า เหลือไว้ไม่กี่คนเพื่อเป็นบททดสอบสุดท้ายให้แก่ผู้ถูกเลือก
หลังจากที่โลกรอดพ้นวิกฤติมาได้แบบฉิวเฉียด เหล่าเทพเจ้าก็อวดอ้างความสำเร็จของ Gwyn และจัดพิธีศพอันยิ่งใหญ่ให้กับเขาด้วยการสร้างโลงศพเปล่าขนาดมหึมาเพื่อเป็นการแสดงถึงอำนาจบารมี จากนั้นยังได้ยกย่องให้ Gwyn กลายเป็น “ Lord of Cinder ” หรือจ้าวแห่งปฐมเพลิงคนแรกของโลก ภายในพิธีศพมีผู้คนจากทั่วทุกดินแดนแห่แหนกันมาเข้าร่วมพิธีอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แม้แต่ลูกอกตัญญูอย่างโอรสคนแรกก็ยังกลับมาร่วมพิธีศพเช่นกัน แต่พอ Gwynevere และ Gwyndolin พูดถึงเรื่องการสืบราชบัลลังก์เขาก็ได้เเต่อ้างว่ามีบางสิ่งที่สำคัญมากกว่าจะต้องไปทำเเละเเม้จะขอร้องมากเเค่ไหนแต่ดูเหมือนว่าเขาจะเอาแต่ปฏิเสธลูกเดียว จนสุดท้าย Gwyndolin ทนไม่ไหวจึงหยิบเอาคำสั่งไม้ตายที่ Gwyn เคยให้ไว้ออกมาข่มขู่ผู้เป็นพี่ชาย เเต่โอรสคนแรกกลับตอบว่าเรื่องพวกนี้ไม่เคยอยู่ในหัวเขาเลย ราชบัลลังก์มันก็เป็นแค่ภาพมายาและเป็นการเเสดงออกถึงความดื้อรั้นในการรักษาอำนาจ ตัวเขาจะไม่ยอมแบกรับคำโกหกของผู้เป็นพ่ออย่างเด็ดขาด!
ก่อนที่จะจากไปเขาก็ยังได้ทิ้งคำพูดสุดท้ายเพื่อเตือนสติน้องๆทั้งสองคน ว่าควรจะเลิกตามรอยโชคชะตาที่ผู้เป็นพ่อได้กำหนดเอาไว้ให้ จงอย่าได้เป็นเหมือนเขาที่เคยถูกฝังความคิดให้หลงเข่นฆ่าเหล่ามังกรนิรันดรแบบไม่มีเหตุผล เมื่อพูดจบเขาก็ได้เดินทางออกจากเมืองหลวง Anor Londo ทันทีและไม่เคยย้อนกลับมาเหยียบยังเมืองนี้อีกเลย คำพูดที่เขาทิ้งไว้ดูเหมือนจะไปสะกิดใจ Gwynevere ให้เริ่มฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แต่สำหรับ Gwyndolin มันก็คือการทรยศต่อผู้เป็นพ่อ...ทรยศต่อเผ่าพันธุ์ของตัวเอง Gwyndolin จึงได้ออกคำสั่งผ่านพี่สาวให้ขับไล่เเละลบจารึกการมีตัวตนอยู่ของโอรสคนเเรกออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ส่วนพวก Warrior of Sunlight ซึ่งบูชาและนับถือโอรสคนแรกก็ถูกบังคับให้ละทิ้งความเชื่อ ส่วนพวกสิ่งของต่างๆที่เป็นการแสดงถึงอัตลักษณ์ของโอรสคนแรกก็ล้วนแต่ถูกทำลายจนหมดสิ้น บีบให้เหล่าสาวกต้องแอบบูชาอยู่ในเงามืดและเปลี่ยนมาใช้คำว่า “ Nameless King ” หรือกษัตริย์ไร้นามเป็นข้อความลับเพื่อใช้กล่าวแทนชื่อของโอรสคนแรก...
To be continued
โลกยุคใหม่ที่เกิดขึ้นจากการที่ Gwyn อุทิศดวงวิญญาณให้กับ The First Flame ได้นำพาโลกนี้กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าอาณาจักร Lordran ของเหล่าทวยเทพก็ไม่ได้กลับมายิ่งใหญ่และรุ่งเรืองเหมือนดังเช่นเคย มิหนำซ้ำพวกดินแดนที่อยู่รอบๆก็ต่างเริ่มตั้งตนขึ้นมาเป็นใหญ่จนสามารถเทียบเคียงบารมีกับเมืองหลวง Anor Londo ได้
ณ เมืองหลวง Anor Londo ที่ดูเหมือนว่าจะสงบสุขดีเเละไร้ซึ่งปัญหาจากภายนอก... บนฟากฟ้ามีตวงตะวันคอยสาดแสงในยามเช้าและมอบความอบอุ่นภายให้กับผู้คนในเมืองดังเช่นที่เป็นตลอดมา ทว่าความจริงเเล้วตอนนี้เมืองหลวง Anor Londo แทบจะเรียกได้ว่าถูกตัดขาดออกจากโลกภายอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเพราะคำทำนายของผู้ถูกเลือกที่ทำให้เมืองนี้ต้องปิดกั้นตัวเอง ทุกตารางนิ้วล้วนเต็มไปด้วยเหล่า Silver Knight และทหารยักษ์มากมายที่ถูกวางกำลังไว้อย่างแน่นหนา และแน่นอนว่าวังหลวงที่เป็นสถานที่อยู่อาศัยของ Gwynevere และ Gwyndolin ก็ย่อมต้องมีปราการสุดหินเป็นด้านสุดท้ายเพื่อทดสอบผู้ถูกเลือก ซึ่งก็คือสองนักรบฝีมือฉกาจนามว่าอัศวินราชสีห์ Ornstein และมือเพชฌฆาต Smough
ทั้งสองได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์สูงสุดเพื่อปกป้องเทพเจ้า แต่ในอดีตนั้น Smough มีนิสัยที่วิปริตผิด มนุษย์มนาชื่นชอบการกินกระดูกของมนุษย์ที่ถูกเขาฆ่าตาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้จนทำให้เขาไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนพลสักที… ทุกท่านสงสัยกันไหมครับว่าทำไมถึงต้องเอาคนแบบนี้เข้ามาเป็นองครักษ์ระดับสูงภายในวัง นั่นก็เพราะตอนนี้ในเมืองหลวง Anor Londo แทบจะไม่เหลือขุนพลคนอื่นๆอยู่อีกแล้ว อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ Gwyn และ Nameless King ซึ่งเคยเป็นที่พึ่งพิงทางจิตวิญญาณของเหล่านักรบได้สูญสิ้นไปหมดเเล้ว ทำให้บางส่วนได้เกษียณตัวเองดังเช่น Hawkeye Gough บ้างก็ออกเดินทางหายสาบสูญไปอีกนับไม่ถ้วน
ส่วน Ornstein เขาก็คือยอดนักรบที่เคยรับใช้ Gwyn มาตั้งแต่สมัยสงครามมังกรในอดีต อีกทั้งยังเป็นศิษย์เอกของ Nameless King ที่ได้รับการถ่ายทอดกระบวนท่าสังหารมังกรมาโดยตรง จนทำให้เขาได้รับฉายาว่า “นักปราบมังกร Ornstein” (อู้ฮู!...) และเท่านั้นยังไม่พอเขายังเป็นหนึ่งใน “สี่สุดยอดขุนพลแห่ง Gwyn” โดยตัวเขาเองได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำของกลุ่ม, คนถัดมาก็คืออัศวินเขี้ยวหมาป่า Artorias ผู้ซึ่งกลายเป็นตำนานในการพิชิต The Abyss, คนที่สามก็คือมือมีดแห่งเหล่าทวยเทพ Ciaran นักลอบสังหารแห่งอาณาจักร Lordran, และคนสุดท้ายก็คือนัยน์ตาปักษา Gough ผู้ที่มีฝีมือการยิงธนูที่แม่นยำราวกับปาฏิหาริย์ แต่ทว่าเกือบทั้งหมดที่กล่าวมานั่นไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง Anor Londo อีกแล้ว จะเหลือเอาไว้ก็แต่ Ornstein ที่นับวันก็ยิ่งเริ่มคิดทบทวนถึงจุดมุ่งหมายในชีวิต เพราะตัวเขาก็เหมือนกับเสือดุที่มีเจ้านายถ้าหากคนขี่หลังอยู่ไม่เข้มแข็งพอละก็จะไม่มีวันควบคุมเสือดุตัวนี้ได้ และเนื่องจากการที่เขาเป็นนักรบที่เจนศึกมามากก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีความกระหายในการต่อสู้ แต่นี่ต้องมาติดอยู่ภายในวังหลวงโดยจะออกไปไหนมาไหนห่างไกลก็ไม่ได้ มันจึงยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดขึ้นเป็นทวีคูณ
ส่วนทางด้านของเทพเจ้าอย่าง Gwynevere เองก็ใช่ว่าจะดีเด่นไปกว่าคนอื่นๆ เพราะตัวนางก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับตำแหน่งหัวโขนที่ได้รับ และไหนจะพวกราชกิจต่างๆที่ถูกวงการโดยน้องชายอยู่ลับหลัง จะใช้อำนาจตามดุลพินิจของตัวเองก็ไม่ได้...จะกลับไปทำหน้าที่ตั้งครรภ์และเลี้ยงดูบุตรเเบบเดิมก็ไม่ได้ Gwynevere จึงได้นำเอาความคับข้องใจนี้ไปปรึกษากับ Gwyndolin ผู้เป็นน้องชายเพื่อที่จะหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน แต่ทว่าต่อให้ Gwyndolin จะสงสารพี่สาวคนนี้มากแค่ไหนก็ตามแต่คำสั่งเสียของผู้เป็นพ่อก็ย่อมต้องมาก่อนเสมอ! ด้วยนี้นี่เองจึงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มหินห่างมากขึ้นและที่สำคัญมันทำให้ Gwynevere นึกหวนคิดถึงคำพูดของ Nameless King ผู้เป็นพี่ชาย ที่เคยกล่าวว่านางควรคิดคำนึงถึงความต้องการของตนเองให้มากกว่าความต้องการของคนที่ตายไปแล้ว ทำให้นางเริ่มมีความคิดว่าเมืองหลวง Anor Londo ไม่ใช่บ้านอีกไปแล้วแต่เป็นเหมือนคุกที่จองจำจิตใจของนางเอาไว้
แต่ในระหว่างที่เกิดความไม่ลงรอยกันของสองพี่น้อง ก็มีรายงานจาก Way of White ว่าตามชานเมืองเริ่มมีข่าวลือถึงการกลับมาของ Curse of Undead! เมื่อเหล่าเทพเจ้าทราบเรื่องก็ต่างอกสั่นขวัญแขวนกันไปตามๆกัน เพราะยังคงจดจำภาพแห่งความวินาศสันตะโรอันเกิดจากการที่ The First Flame อ่อนกำลังลงได้เป็นอย่างดี ดังนั้น Gwyndolin จึงได้รับสั่งการให้ Way of White เร่งเผยแพร่คำทำนายของผู้ถูกเลือกออกไปยังดินแดนต่างๆให้มากที่สุดจนนำไปสู่การตีความคำทำนายออกมาแบบต่างๆซึ่งเเทบจะไม่เหลือเค้าเดิมอยู่เลย กลับมาทางด้านของ Gwynevere เมื่อนางได้รู้ว่า Curse of Undead ได้กลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำให้นางตระนักได้ว่าความมืดจะย่างกรายเข้ามาสู่เมืองหลวง Anor Londo ในอีกไม่ช้า Gwynevere จึงได้ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะแอบหนีออกจากเมืองหลวง Anor Londo ไปพร้อมๆกับเทพเจ้าหลายองค์ที่มีตวามคิดเช่นเดียวกัน จากนั้น Gwynevere ก็ได้ไปพึ่งใบบุญของ Flann เทพแห่งอัคคีและทั้งสองก็ได้อภิเษกสมรสกัน ณ อาณาจักรในดินแดนที่ห่างไกลนามว่า Heide
กลับมาทางด้านของเมืองหลวง Anor Londo ที่ตอนนี้กำลังประสบปัญหาความน่าเชื่อถือเพราะเหล่าเทพเจ้าหลายองค์ได้หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา บีบให้ Gwyndolin จึงแก้ปัญหาด้วยการใช้เวทมนต์สร้างภาพลวงตาของบรรดาทุกคนที่หายตัวไปขึ้นมาทดเเทน ซึ่งภาพลวงตาเหล่านี้จะมีพลังวิเศษและนิสัยใจคอใกล้เคียงกับตัวจริงทุกประการ เมื่อปัญหาการหายตัวไปถูกจัดการได้เเล้วต่อมาก็ถึงคราวของปัญหาภาพลักษณ์ภายในตัวเมือง Gwyndolin ได้จัดการสร้างภาพลวงตาของดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อทำให้ดูเหมือนว่าแสงสว่างยังคงสาดส่องอยู่ในเมือง Anor Londo ดังเช่นวันวาน…. แต่ทว่ามีหรือเรื่องที่ฉาวโฉ่เช่นนี้จะรอดพ้นสายตาของ Ornstein ไปได้ เขาได้คอยเฝ้ามองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและได้นำกลับมาคิดทบทวน จนมีอยู่วันหนึ่ง Ornstein ก็ได้เดินทางไปยังวิหารของเทพเจ้าที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งในนั้นมีเเท่นบูชาที่ว่างเปล่าอยู่อันหนึ่งซึ่งในอดีตมันเคยรองรับเทวรูปของ Nameless King ผู้เป็นอาจารย์ของเขา Ornstein ได้จ้องมองเข้าไปยังแท่นบูชาที่ว่างเปล่านั้นราวกับว่าในสายตาเขามันยังคงมีเทวรูปของ Nameless King ตั้งอยู่เสมอมา…
ค่ำคืนที่แสนเยือกเย็นและยาวนานค่อยๆลอยผ่านพ้นเมืองหลวง Anor Londo ไปอย่างช้าๆ ต่างกับภายในวังที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากการสังสรรค์รื่นเริง แต่ทว่าค่ำคืนนี้กลับมีบุคคลปริศนาที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาร่วมงานด้วย… บุคคลปริศนาคนนั้นได้เดินแหวกกลางงานที่เต็มไปด้วยเหล่าทวยเทพมากมายอย่างไม่สนใจมารยาทหรือพิธีรีตองอะไรทั้งสิ้น โดยเขามุ่งตรงเข้าไปหา Gwyndolin จากนั้นก็เอยปากบอกให้เทพเจ้าคนนี้คลายภาพลวงตาของทุกคนออกไปซะ เมื่อพูดจบผู้คนในงานก็ต่างหันไปมองยังบุคคลปริศนาซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น Ornstein นี่เอง! เขาได้เริ่มสาธยายความคับข้องใจออกมาว่า Nameless King นั้นพูดถูกต้องมาตลอดสถานที่แห่งนี้ได้เดินทางมาถึงจุดแตกดับแล้ว เเต่ Gwyndolin กลับเอาแต่เบือนหน้าหนีความเป็นจริง เเละตัวเขาจะไม่ปกป้องภาพลวงตาที่ไม่มีอยู่จริงเป็นอันขาด นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะไม่มีองครักษ์ที่ชื่อว่า Ornstein อีก สิ่งที่เขาพูดออกมาทำให้ Gwyndolin โกรธจนแทบอยากจะฆ่าอัศวินราชสีห์คนนี้ทิ้งแต่ก็ต้องยั้งเอามือไว้ เพราะฉายา “นักปราบมังกร” ของ Ornstein นั้นเป็นของจริง! เพียงแค่ Gwyndolin กระดิกนิ้วเขาก็สามารถพุ่งเข้าประชิดตัวได้ในพริบตา
เมื่อเห็นว่าไม่มีท่าทีจะเกลี้ยกล่อมได้ Gwyndolin จึงใช้วิธีลงทัณฑ์โดยอ้างถึงการตระบัดสัตย์ต่อเทพเจ้า ฉะนั้นก่อนที่เขาจะไปก็จะต้องมอบ Soul ครึ่งหนึ่งของตนเองคืนให้แก่เหล่าทวยเทพ และแค่นั้นยังไม่พอ Gwyndolin ยังสั่งให้เขาถอดแหวน Leo Ring ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ 4 สุดยอดขุนพลเพราะคนที่ทรยศไม่มีสิทธิที่จะสวมมันอีกเเล้ว การลงทัณฑ์ดังกล่าวสำหรับ Ornstein มันก็ไม่ต่างอะไรกับการย่ำยีเกียรติของนักรบซึ่งเขาพากเพียรสั่งสมมานาน...แต่ทว่า Ornstein กลับไม่ลังเลที่จะทิ้งมันไปเลย เขาลงมือกระชาก Soul ออกมาร่างกายของตัวเองพร้อมๆกับถอดแหวน Leo Ring ทิ้งเอาไว้ที่พื้นและก็เดินจากไป ปล่อยให้ Gwyndolin ต้องยืนสงบนิ่งท่ามกลางเหล่าภาพลวงตาทั้งหลาย ที่เริ่มกลับมาสังสรรค์อีกครั้งโดยเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ก่อนที่ Ornstein จะก้าวเท้าออกจากเมืองหลวง Anor Londo เขาก็ได้ไปบอกลาเพื่อนคนสุดท้ายอย่าง Smough ที่กำลังโมโหโกรธาเขาเป็นอย่างยิ่งและยังได้กล่าวว่าตนควรจะฆ่า Ornstein ทิ้งซะเดี๋ยวนี้ แต่เพราะยังเห็นว่าเคยเป็นเพื่อนเก่ากันมาก่อนจึงได้ยอมปล่อยให้ขาผ่านไป...ใครจะไปอยากเชื่อกันเล่า Smough ที่ผู้คนปรามาสถึงนิสัยส่วนตัวอันน่ารังเกียจกลับกลายเป็นคนสุดท้ายที่มีความจงรักภักดีต่อนายเหนือหัวมากที่สุด
กระแพร่กระจายของข่าวลือที่ว่า Curse of Undead ได้กลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ได้ทำให้หลายอาณาจักรเริ่มตื่นตัวและเตรียมพร้อมรับมือกันอย่างแข็งขัน หลายดินแดนเริ่มมีการคัดสันเหล่าตัวแทนเพื่อส่งไปทำตามคำทำนายที่ดินแดน Lordran โดยส่วนมากก็จะเป็นพวก Undead เพราะว่าสามารถที่จะตายแล้วเกิดใหม่ได้เรื่อยๆแถมยังเป็นการป้องกันปัญหาการเข้าสู่ภาวะ Hollow ไปในตัว จนคำติดปากที่ว่า “ผู้ถูกเลือก” ได้ถูกเปลี่ยนเป็น “Undead ผู้ถูกเลือก” ไปแทน แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่เดินทางมายังดินแดน Lordran จะมาเพื่อทำตามคำทำนายของผู้ถูกเลือกกันเสียหมด บางคนก็เป็นพ่อค้าที่มาเพื่อการค้าขายโดยเฉพาะ บ้างก็เป็นอาชญากรที่รักในการปล้นฆ่าโดยมาเพื่อคอยดักปล้นหรือกลั่นแกล้งเหล่า Undead คนอื่นๆ... ซึ่งคนพวกนี้จะมองว่า Curse of Undead ไม่ใช่คำสาปแต่มันเป็นเหมือนพรจากพระเจ้าที่มอบชีวิตอันเป็นอมตะให้
ดูเหมือนว่าในยุคนี้สถานการณ์ของ Curse of Undead จะอยู่ในสภาพที่สามารถควบคุมและดูแลได้ ทุกคนต่างก็คิดว่าแค่รอให้เวลาผ่านไปแล้วเดียวผู้ถูกเลือกตามคำทำนายก็จะโผล่ตัวออกมาเอง แต่ที่ไหนได้เมื่อยิ่งเวลาผ่านพ้นไป จากวันก็เข้าสู่เดือน จากเดือนก็เข้าสู่ปี จากปีก็กลายเป็นหลายสิบปีซึ่งก็ไม่มีวี่แววของผู้ถูกเลือกว่าจะโผล่สักที ประกอบกับช่วงพักหลังมานี้มี Undead หลายคนเริ่มไม่ยอมทำตามคำนายส่งผลให้หลายอาณาจักรเริ่มร้อนรน ประกอบกับจำนวนของ Undead ที่ยิ่งนับวันก็ยิ่งมีเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณจนเป็นการยากที่จะควบคุม ทาง Way of White เองก็ได้เร่งประโคมข่าวหนักขึ้นอีก! โดยหยิบเอามาตรการที่รุนแรงมากขึ้นมาใช้อย่างเช่นการจัดตั้งอาสาสมัครตามหมู่บ้านเล็กๆให้ออกตามล่าและขับไล่พวก Undead เพื่อบีบให้ต้องลี้ภัยไปยังดินแดน Lordran ที่ตอนนี้กลายเป็นที่ทิ้งขยะของดินเเดนอื่นๆไปเเล้ว… จากการคัดสันหาตัวแทนมาตอนนี้ก็ได้แปลเลี่ยนกลายเป็นการบีบบังคับไปเเทน ในบางอาณาจักรถึงขั้นจัดตั้งสถานกักกันเหล่า Undead ขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งเหล่าผู้โชคร้ายทั้งหลายจะถูกนำตัวมาเเละบังคับให้ผูกวิญญาณเข้ากับ Bonfire ในสถานนี้เพื่อให้เกิด, ตาย, และวนเวียนอยู่ในสถานกักกันไปตลอดกาล (โหดร้ายสุดๆ) โลกทั้งใบได้กำลังกลับเข้าสู่ความโกลาหลอีกครั้งหนึ่ง!
ณ ดินแดนทางตอนเหนืออันห่างไกลสุดลูกหูลูกตา ได้มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่า Undead Asylum ที่สร้างขึ้นมาเพื่อกักขังและทำการทดสอบเพื่อค้นหาตัว Undead ผู้ถูกเลือก แต่ทว่าท่ามกลางเหล่าผู้คนมากมายที่ถูกจับตัวมาอย่างไม่ยินยอม ก็ได้มีนักรบหนุ่มอยู่คนหนึ่งที่เต็มใจอาสามายังสุสานแห่งนี้ด้วยตัวเองเพราะมีศรัทธาอันแรงกล้าต่อคำทำนาย นามของนักรบคนนั้นก็คือ Oscar แห่ง Astora ซึ่งเขาได้พยายามรวบรวมผู้คนข้างใน Undead Asylum ให้ช่วยกันต่อสู้เเละหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ แต่ทว่าอุปสรรคตามรายทางนั้นก็ช่างมีมากเสียเหลือเกินไม่ว่าจะเป็นเส้นทางภายในที่มีความคดเคี้ยววงวน จรดเหล่าทหารยามและพวกอสูรร้ายที่ได้รับอนุญาตให้สังหาร Undead ทันทีที่พบเจอ หลายคนเริ่มยอมแพ้และสิ้นหวังเพราะต่อให้ฝ่าฟันขึ้นไปยังดาดฟ้าได้สำเร็จ พื้นที่เเห่งนี้ก็ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาและหุบเหวสูงลึก ไม่ว่าจะพยายามปีนป่ายแค่ไหนหากพลาดเพียงก้าวเดียวก็จะตกลงไปตายและกลับมาเกิดใหม่ยัง Undead Asylum เหมือนเดิม ทำให้ทุกคนที่เหลืออยู่หมดหวังจนกลายสภาพเป็น Hollow จะเหลือก็แต่ตัว Oscar คนเดียวเท่านั้นที่ยังพอมีสติลงเหลือแบบเลือนราง... แต่เหมือนมีบางอย่างดลใจทำให้เขาได้ไปพบเข้ากับ “Undead นิรนาม” คนหนึ่งที่ถูกขุมขังอยู่คุกเบื้องล่าง และเมื่อ Oscar ดูจนแน่ใจว่า Undead นิรนามคนนั้นไม่ได้เป็นพวก Hollow เขาจึงหอบสังขารของตนเองไปยังซากศพที่อยู่ใกล้ๆ และจัดการเอากุญแจประตูห้องขังที่มีอยู่กับตัวยัดเข้าใส่ในเนื้อหนังของศพ เพื่อป้องกันไม่ให้กุญแจที่แสนสำคัญนี้กระเด็นหายไปจากแรงของการโยนกระเเทกพื้น
Oscar ได้โยนศพลงไปในห้องขังของ Undead นิรนามที่อยู่เบื้องล่าง ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันเเละกันเเต่ไม่ปริปากพูดคุยกันเลยเเม้เเต่คำเดียว เหมือนกับเป็นสัญญาณว่าให้หนีออกไปได้เสียก่อนแล้วค่อยมากล่าวขอบคุณก็ยังไม่สาย... Undead นิรนามได้ไขกุญแจและออกเดินไปตามทางโถงทางเดินแคบๆซึ่งเต็มไปเหล่า Undead มากมายที่นั่งลงอย่างสิ้นหวังเเละเสียสติ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนกำลังถูกเทพเจ้า Velka จับจ้องอยู่ห่างๆ
วิกฤติความมืดในครั้งนี้ช่างหนักหนายิ่งนัก
หนึ่งราชาละทิ้งหน้าที่แห่งราชวงศ์
หนึ่งอัศวินหมาป่าเสียสละแต่ล้มเหลว
หนึ่งเทพเจ้าร่ำไห้เเละเบือนความจริง
หนึ่งหญิงสาวหลับใหลชั่วนิรันดร์เพื่อยับยั้งความมืด
นำไปสู่การสูญสิ้นดวงตะวันแห่งเหล่าทวยเทพ
จะมีก็แต่เจ้ามนุษย์ตัวจ่อยที่อาจหาญขึ้นท้าทายด้วยแรงศรัทธา
อันก่อกำเนิดมาจากคำปลิ้นปล้อนของคนตาย
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!