EPISODE 0.1

ย้อนกลับไปในยุคที่ The First Flame ยังคงร้อนแรงและส่องเเสงสว่างให้แก่โลกใบนี้ Gwyn ได้หวาดกลัว Dark Soul ที่อยู่ในตัวของมนุษย์ โดยเฉพาะบรรดา Pygmy Lords ที่มีพลังแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่านัก Gwyn จึงได้สร้างเมืองที่มีชื่อว่า Ringed City ขึ้นมาเพื่อจับตาดูพฤติกรรมของเหล่า Pygmy Lords อย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังส่งกองทัพของเขามาคอยดูเเลเเละควบคุมเมืองเเห่งนี้อยู่เบื้องหลัง เเต่ไม้เด็ดจริงๆของ Gwyn ไม่ใช่เหล่ากองทัพทหารกล้าหรือกลอุบายสกปรกเเต่อย่าง เเต่หากเป็นบุตรีสุดรักสุดหวงของเขานามว่า Filianore เจ้าหญิงองค์สุดท้ายแห่งดินแดน Lordarn

เวทมนต์เเห่งเเสงคือพลังที่มีพลังเกี่ยวข้องกับกาลเวลา เเละยังสามารถหักเหวิถีของเเสงเพื่อสร้างภาพลวงตาขึ้นมาได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่นเวทมนต์ที่ใช้เพื่อย้อนเวลาสิ่งของที่พุพังไปเเล้วให้ย้อนกลับมาเหมือนใหม่โดยที่ไม่ต้องซ่อมเเซ่ม( ดีจัง...) ซึ่งพลังเเห่งเเสงนี่เเหละคือสิ่งที่ Filianore เกิดมาพร้อมกับมัน เเต่ที่พิเศษยิ่งกว่าก็คือนางสามารถใช้พลังบิดเบือนมิติเเละเวลาให้เดินผ่านไปช้าหรือเร็วก็ได้ตามต้องการ ซึ่งนี่เป็นพลังที่แม้แต่น้องชายอย่าง Gwyndolin ผู้มากพรสวรรค์ก็ยังไม่อาจทำได้

Filianore ได้รับหน้าที่ให้เป็นกงสุลใหญ่เเละคอยทำหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์กับบรรดาเมืองต่างๆของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยื่งกับเมือง Oolacile อันเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองไม่เเพ้นครหลวงอย่าง Anor Londo เลยที่เดียว...เเต่การอ่อนกำลังลงของ The First Flame ทำให้ Gwyn ออกคำสั่งให้เธอเดินทางไปยัง Ringed City โดยใช้เหตุผลทางการทูตบังหน้าเเต่ที่จริงเขาต้องการให้ Filianore ใช้พลังบีบห้วงกาลเวลาในเมือง Ringed City ให้เดินไปช้ากว่าโลกภายนอกเพื่อที่จะชะลอไม่ให้ Dark Soul ในตัวของ Pygmy Lords แข็งแกร่งขึ้น เเต่การทำเเบบนี้ Filianore จำเป็นจะต้องใช้พลังมหาศาลในการควบคุมเเละยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขจุกจิกมากมาย อย่างเช่น Filianore จำเป็นจะต้องพึ่งพาเครื่องรางที่เป็นสื่อขยายพลังให้ขยายครอบคลุมทั้ง Ringed City เเละนางจะต้องอยู่ในสภาพจำศีลตลอดเวลาโดยห้ามถูกรบกวนเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการจัดตั้งกลุ่ม Spear of the Church ที่นำโดยเหล่าผู้ลงทัณฑ์ Judicator ที่จะคอยทำหน้าที่อารักขาไม่ให้มีใครเข้ามารบกวนพิธีกรรมนี้ได้ เเละ Spear of the Church ยังมีไม้ตายก้นหีบเป็นมังกรนิรันดร นาม Midir ! ซึ่งมันถูกเลี้ยงดูมาโดยเหล่าเทพเจ้าทำให้ Midir มีความจงรักภักดีต่อเทพเจ้าเป็นอย่างสูง

แม้สมาชิกของ Spear of the Church จะมีอยู่จำนวนไม่มากนัก เเต่พวกเขาก็มักได้รับการช่วยเหลื่อจาก Way of White ที่เดินทางพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมายัง Ringed City เพื่อตรวจตราพฤติกรรมของ Pygmy Lords อยู่เป็นระยะๆ จนประชากรเกือบครึ่งของทั้งเมืองล้วนแล้วแต่เป็นคนของ Way of White ทั้งนั้น ซึ่งเหตุผลที่ต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้ก็เพราะโลกภายนอกกำลังเผชิญอยู่กับ Curse of Undead อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายุคที่ Dark Soul กำลังจะเฉิดฉายได้ใกล้เข้ามา เเต่เรื่องนี้กลับถูกปกปิดเป็นไม่ให้เหล่า Pygmy Lords ได้รับรู้ จนกระทั้งเหล่า Pygmy Lords เริ่มสังเกตว่าสมาชิกของ Way of White บางคนมีร่างกายที่เน่าเปื่อยเหมือนกับ Undead และรวมไปถึงพลังของ Dark Soul ที่อยู่ในตัวก็เริ่มทรงพลังขึ้นทุกวันๆ จึงมีการส่งคนไปสืบเสาะหาความจริงจากคณะเดินทางต่างเมืองที่ไม่ใช่คนของ Way of White เเละต้องตกตลึงกับผลลัพธ์ที่ได้ เพราะคนพวกนั้นไม่มีใครรับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของ Pygmy Lords เลย รวมไปถึงวีรกรรมต่างๆนานาในมหาสงครามมังกรก็ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน รู้เพียงว่า Ringed City เป็นเเค่เมืองที่ตั้งอยู่สุดขอบโลกและเป็นที่ประทับของ Filianore เพียงเท่านั้น

เหล่า Pygmy Lords รู้ได้ทันทีว่า Gwyn ไม่ได้ใจซื่อมือสะอาดอย่างที่คิดเสียเเล้ว ทุกอย่างที่ผ่านมามันเป็นเเค่การหลอกลวงเพื่อให้พวกเขาตายใจ ทั้งความโกรธเเละความผิดหวังถาโถมเข้ามา จึงเป็นชนวนเหตุนำไปสู่การลุกฮือเพื่อต่อต้านเทพเจ้า ซึ่งนำโดยหนึ่งในบรรดา Pygmy Lord ที่ถูกขนานนามว่า Mad King โดยเขาได้ทำการรื้อฟื้นศาสตร์แห่งมนต์ดำขึ้นมาใหม่และยังเรียกตัวเหล่า Ringed Knight ให้กลับมาสวมชุดเกราะเพื่อทำสงครามกับ Spear of the Church และ Way of White เรื่องราวได้บานปลายกลายจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง เเต่ทางฝั่งเทพเจ้าได้ Shira ซึ่งเป็นหนึ่งใน Spear of the Church ได้ทำการลอบสังหาร Mad King ได้สำเร็จ เเละจับร่างของเขามาผนึกไว้เพื่อไม่ให้คืนชีพได้ ส่วนพวกสมุนอย่าง Ringed Knight ที่ปัจจุบันไม่สามารถดึงพลังจากความมืดมาใช้ได้อีกเเล้ว ก็ถูก Midir ตีแตกพ่ายไปอย่างไม่มีชิ้นดี ( นี่ถ้าหากเป็นในอดีตละก็ Ringed Knight พวกนี้คงจะสังหาร Midir ตายไปเเล้ว )

ถึงแม้แผนการของ Mad King จะได้ถูกหยุดยั้งไปเเล้ว เเต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาทำสำเร็จ ซึ่งก็คือการเปลี่ยนใต้ดินของ Ringed City ให้กลายเป็น The Abyss หรือแหล่งพลังความมืดไร้จุดจบที่จะคอยเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ใครก็ตามที่คิดจะต่อต้านเทพเจ้าจะสามารถลงไปยัง The Abyss เพื่อเพิ่มพลังความมืดในตัวได้เสมอ ตอนนี้ใน Ringed City ต่างเต็มไปด้วยสงครามกองโจรขนาดย่อมตามจุดต่างๆ มากกว่าจะเป็นสงครามเเบบยกทัพประจันหน้ากัน

ความโกลาหลครั้งนี้ทำให้ Spear of the Church และ Way of White เลือกที่จะเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนและเข้าควบคุมเมืองเเห่งนี้อย่างเบ็ดเสร็จ เเละจัดการวางกำลังล้อมเมืองเอาไว้ เเต่ดูเหมือนว่าจะมี Pygmy Lord นิรนามคนหนึ่งที่หลบหนีออกจากเมืองมาได้ ซึ่งเขาคิดว่ากุญแจสำคัญที่จะทำให้ชัยชนะในศึกครั้งนี้ก็คือจะต้องนำเอา The Abyss ไปเเพร่กระจายยังโลกภายนอก Pygmy นิรนามจึงได้แฝงตัวไปกับคณะเดินทางที่กำลังมุ่งหน้าไปยังนคร Oolacile

เมื่อ Pygmy นิรนามเดินทางมาถึงยังดินแดน Lordran เขาก็พบว่าจำนวนของทหารยามดูน้อยลงผิดปกติโดยเฉพาะกับพวก Silver Knight ที่ตอนนี้แทบจะไม่เห็นแม้แต่เงา นั่นก็เพราะกองทัพส่วนใหญ่ของ Gwyn กำลังสู้รบอยู่กับเหล่าอสูรแห่ง Izalith ทำให้พวกที่เหลืออยู่เน้นกำลังไปปกป้องเมืองหลวง Anor Londo ซะส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Pygmy นิรนามสามารถเข้ามาในดินเเดน Lordran ได้อย่างไม่ยากเย็น

เมื่อเข้ามาได้ Pygmy นิรนามก็ได้พบกับ Primordial Serpent ตนหนึ่งนามว่า Kaathe ซึ่งมันก็รู้ตัวตนที่เเท้จริงของเขาเพราะสามารถสัมพัทธ์ถึงพลัง Dark Soul ที่แข็งแกร่งในตัวของเขาได้ เจ้างูพิษเริ่มพูดยกย่อว่า Pygmy นิรนามเป็นผู้ที่ชะตาขีดมาให้เป็นใหญ่เหนือเหล่าทวยเทพ และนำทางเหล่ามนุษย์ไปสู่ความยิ่งใหญ่ในยุคเเห่งมืด ทั้งสองจึงได้ร่วมมือกันแพร่กระจาย The Abyss ในดินเเดน Lordran โดย Pygmy นิรนาม ได้ถ่ายทอดศาสตร์ต้องห้ามต่างๆให้กับ Kaathe ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Dark Hand ที่เป็นเหมือนเครื่องมือใช้ขโมย Humanity จากตัวของมนุษย์คนอื่นได้ ในระหว่างที่แผนการกำลังไปได้สวย Kaathe ก็ได้เสนอเมือง New Londo เป็นที่แรกที่ควรจะสร้าง The Abyss เพราะประชาชนในเมืองนี้มีความเกลียดชังต่อ Gwyn เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะปั่นหัวให้ยอมรับ The Abyss เเต่ทว่า Pygmy นิรนามกลับบอกให้มันลงมือจัดการเรื่องนี้ไปเลยส่วนเขาจะคอยแพร่กระจายความมืดอยู่ที่เมือง Oolacile ด้วยวิธีนี้เเผนการจะเดินหน้าเร็วขึ้นเป็นสองเท่า… แต่จริงๆเเล้วเหตุผลที่เขาไม่ไปจาก Oolacile ก็เพราะว่าดันไปต้องตาต้องใจเจ้าหญิงคนหนึ่งนามของเธอก็คือกุลสตรี Dusk แต่เนื่องจากฐานันดรที่ต่างกันเกินไป ทั้งสองจึงต้องหลบซ่อนความความสัมพันธ์นี้ Dusk จึงได้มอบจี้สร้อยคอของนางให้กับเขาเพื่อเป็นตัวเเทนความรักของทั้งสอง

เมือง Oolacile เป็นเมืองที่มีความเป็นอยู่ดีที่สุดในดินเเดน Lordran รองจาก Anor Londo เล่ากันว่าในเมืองนี้ไม่เคยมีอาชญากรรมเกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน ผู้คนในเมืองล้วนแต่มีจิตใจที่ดี เเละเท่านั้นยังไม่พอเมือง Oolacile ยังขึ้นชื่อในเรื่องการศึกษาเวทมนต์แห่งแสงจนกลายเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันไปเเล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเมืองเเห่งการศึกษามันก็ย่อมมาพร้อมกับการทดลองเพื่อคิดค้นหาความรู้ใหม่ๆ โดยหนึ่งในนั้นก็คือศาสตร์แห่งความมืด ที่มันเล็ดลอดออกมาสู่สาธารณะชนหลังจากการล้มสลายของกบฏทมิฬ พวกนักเวทย์แห่ง Oolacile จึงได้แอบทำการทดลองศาสตร์แห่งความมืดกับนักโทษในคุกใต้ดินอย่างลับๆ… ใช่แล้วครับภายใต้ฉากหน้าที่ดูสวยงามของเมืองนี้มันได้ซ่อนเอาความบิดเบี้ยวในใจของมนุษย์เอาไว้ เหตุผลที่เมืองนี้ไม่เคยมีอาชญากรรมเกิดขึ้นนั่นก็เพราะ ทุกคนที่ส่อแววเป็นตัวปัญหาจะถูกจับลงมาอยู่คุกใต้ดินเเห่งนี้เเละถูกนำตัวไปทดลองต่างๆนานา ไม่ก็ถูกบังคับให้สู้ในสนามประลองเพื่อความบันเทิง เเละการกระทำที่ผิดศีลธรรมเหล่านี้ มันกลับยิ่งช่วยให้ Pygmy นิรนามสามารถชักจูงจิตใจของนักเวทย์แห่ง Oolacile ให้ดำดิ่งลงสู่ The Abyss ได้ง่ายขึ้น

ทว่าแผนการของเขาก็ต้องพังลงเสียก่อน เพราะหน่วยลอบสังหารของ Gwyn ที่นำโดย Ciaran นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งดินแดน Lordran ได้ตามสืบมาจนพบตัว Pygmy นิรนามเเละลงมือฆ่าเขาอย่างโหดเหี้ยมซ้ำไปซ้ำมา อีกทั้งยังทรมานทางจิตใจเพื่อกระตุ้นให้เขาเข้าสู่ภาวะ Hollow ให้เร็วที่สุด Ciaran ได้โกหกว่านางได้สังหารกุลสตรี Dusk ผู้เป็นคนรักของเขาไปแล้ว เรื่องนี้ได้สร้างความเสียใจและความเคียดแค้นให้กับ Pygmy นิรนามเป็นอย่างมากจนสุดท้ายร่างกายก็ได้เข้าสู่ภาวะ Hollow และตายลงในที่สุด จากนั้น Ciaran ก็นำร่างของเขาไปฝังยังถ้ำใต้ดินลึกลงไปข้างใต้เมือง Oolacile เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครพบศพ ส่วนบรรดาคนที่รู้จัก Pygmy นิรนามก็ถูกให้ข่าวลวงว่าเขาได้เดินทางออกจาก Oolacile ไปเเล้ว เเม้เเต่ Dusk ก็ยังคิดว่านางโดนเขาทิ้ง

ทางด้าน Kaathe ที่มุ่งหน้าไปยังเมือง New Londo มันก็ได้เข้าเฝ้า Four Kings ราชันย์ทั้งสี่คนที่ปกครองเมืองนี้อยู่ โดยได้ทูลว่า The Abyss คือสิ่งที่จะกรุยทางสู่การเป็นมหาอำนาจในยุคเเห่งมืด และจะทำให้เหล่าราชันย์ไม่ต้องเกรงกลัว Gwyn อีกต่อไป หากมองหยาบๆเมือง New Londo อาจจะไม่ดูศิวิไลซ์เท่ากับนคร Oolacile แต่ Four Kings ก็มีนโยบายในการต้อนรับมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันไม่ว่าคุณจะเป็น Undead หรือไม่ก็ตามเพราะในสังคมอื่นๆหากว่าคุณเป็น Undead แล้วไม่ยอมเข้าร่วม Way of White ก็จะถูกรังเกียจเดียดฉันท์ราวกับเศษขยะ ด้วยเหตุนี้เมือง New Londo จึงเป็นเหมือนที่พักพิงของเหล่าผู้ไม่ตาย เเต่ทว่าการมาของ The Abyss กำลังจะเปลี่ยนเมืองนี้ไปตลอดกาล…

Four Kings ได้มีรับสั่งให้ Kaathe จัดตั้งกลุ่มนักรบ Darkwraith ขึ้นมา ซึ่งนักรบทุกคนจะยอมรับพลังของ Dark Soul ภายในตัว ( คล้ายกับ Ringed Knight ) เเละออกล่า Humanity ไปทั่วดินแดน Lordran โดยเหยื่อส่วนมากจะ Way of White ซะเป็นส่วนใหญ่

เมื่อแผนการสำเร็จ Kaathe ก็ได้กลับไปยังนคร Oolacile แต่กลับพบว่า Pygmy นิรนามได้หายตัวไป เจ้างูพิษจึงใช้สัมผัสตามร่องลอยพลังของ Dark Soul ไปจนพบศพที่ถูกซ่อนเอาไว้ การตายของ Pygmy นิรนามเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในเเผนของ Kaathe ทำให้มันต้องลองใช้วิธีอื่นในการสร้าง The Abyss ที่นี่ โดยเจ้างูพิษได้ทำการล่อลวงให้นักเวทย์แห่งนคร Oolacile ทำพิธีเพื่อปลดปล่อย Dark Soul ในศพของ Pygmy นิรนามออกมา แต่มันกลับไม่เป็นไปตามแผน เพราะพลัง Dark Soul ที่ถูกปลดปล่อยออกมามันมากมายมหาศาลและบ้าคลั่งเกินกว่าที่ Kaathe จะควบคุมได้ พลังที่พวยพุ่งออกมาไม่หยุดได้กลายเป็น The Abyss เเละเข้ากลืนกินทั้งเมือง Oolacile ภายในเวลาไปไม่ถึงเดือน ใครที่หนีไม่ทันก็จะกลายสภาพเป็นปีศาจคลุ้มคลั่งหรือไม่ก็ร่างสลายกลายเป็นพลัง Humanity บริสุทธิ์

ทว่าความน่ากลัวจริงๆเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เพราะ Pygmy นิรนามได้ฟื้นคืนชีพกลับมาด้วย...แต่ไม่ใช่ในฐานะของมนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นในฐานะจ้าวเเห่งปีศาจผู้เป็นบิดาเเห่งความมืดมิด ผู้คนเรียกขานมันว่า Manus ปีศาจผู้จะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขว้างหน้า เเม้เเต่เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ในป่าก็ยังโดนหางเลขไปด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ทำให้ Kaathe ตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของพลัง The Abyss ที่บ้าคลั่ง เเละยังกังวลว่ามันอาจจะส่งผลกระทบไปยัง The Abyss ในเมือง New Londo ของเขา

การล่มสลายของ Oolacile ได้กลายเป็นที่โจษจันไปทั่วดินเเดน Lordran โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Gwyn ที่เขาเข้าใจว่า The Abyss มียู่เเค่เพียงใน Ringed City เท่านั้น บีบให้ Gwyn ต้องส่งอัศวินที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขาไปจัดการ นามของอัศวินผู้นั้นก็คือ “อัศวินเขี้ยวหมาป่า Artorias”

นับเป็นเวลาหลายปีที่ Gwyn ได้ออกเดินทางไปทำสงครามยังดินแดนอันห่างไกล และได้ละทิ้งเมืองหลวง Anor Londo เอาไว้เบื้องหลัง โดยเขาได้แต่งตั้งให้โอรสคนแรกของตนที่มีศักดิ์เป็นถึง God of War ขึ้นสถาปนาเป็นกษัตริย์เพื่อปกครองเมืองหลวงแห่งนี้ แต่ในความเป็นจริงการเเต่งตั้งครั้งนี้มันเป็นเเค่การกลบเกลื่อนเหตุทะเลาะเบาะแวงกันในราชวงศ์ ซึ่งบานปลายจนทำให้โอรสคนแรกไม่ยอมไปออกรบจนส่งผลให้ Gwyn ต้องออกนำทัพไปสู้รบกับเหล่าอสูรแห่ง Izalith ด้วยตัวเอง ทว่าหลังจากที่เขาจากไปไม่นานเจ้าโอรสคนแรกก็หายตัวไปอย่างปริศนา เเละเปิดช่องให้พวกตัวเหลือบไรที่จ้องจะยึดอำนาจของ Gwyn ใช้โอกาสนี้ออกมาสร้างความวุ่นวายต่างๆนานาให้กับเหล่าเทพเจ้า โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือกบฏทมิฬซึ่งถูกสนับสนุนอย่างลับๆโดยเทพเจ้า Velka ทำให้ในตอนนี้เมืองหลวง Anor Londo จะต้องระแวงทั้งศึกนอกและศึกในอยู่ตลอดเวลา

เเละหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นก็มาจากเจ้ามังกรวิปลาส Seath ที่เหิมเกริมใช้อํานาจบาดใหญ่อย่างไม่ไว้หน้าเทพเจ้า เนื่องจากในเมืองหลวง Anor Londo ตำเเหน่งที่ปรึกษาของมันจะเป็นรองแค่ต่อ Gwyn และโอรสคนแรกเพียงเท่านั้นซึ่งทั้งคู่ก็ไม่อยู่ในเมืองเเล้ว จึงทำให้ Seath อ้างคําสัญญาที่ Gwyn เคยให้ไว้กับมัน และทำการทดลองเวทมนตร์ภายในครรภ์ของ Gwynevere จนนางตั้งท้อง และได้ให้กำเนิดทารกเพศหญิงคนหนึ่งที่เป็นเลือดผสมระหว่างมังกรและเทพเจ้าคนแรกของโลก นามของเธอก็คือเจ้าหญิงนอกรีต “ Priscilla ” โดยเธอมีผิวพันและใบหน้าที่คล้ายคลึงผู้เป็นแม่ แต่ทั่วร่างกายกลับมีขนสีขาวปกคุมและยังมีหางมังกรเหมือนกับผู้เป็นพ่อ แต่ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูงดงามและไร้เดียงสาของเธอกลับซ่อนเร้นพลังที่มีความสามารถในการดูดกลืนชีวิตซึ่งคล้ายกับเหล่า Darkwraith และเธอยังมีความสามารถในการล่องหนหายตัวอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ Priscilla กลายเป็นที่หวาดกลัวของเหล่าทวยเทพไม่เว้นแม้แต่ผู้ให้กำเนิดอย่าง Gwynevere ส่วนสำหรับ Seath มันก็มองว่าเธอเป็นแค่อีกหนึ่งผลการทดลองเท่านั้น...ในเมื่อโลกใบนี้ไม่มีใครต้องการ Priscilla อีกแล้ว เธอจึงถูกส่งไปจองจำอยู่ในโลก Painted World of Ariamis อันหนาวเหน็บเเละมืดมิดตลอดกาล

อีกหนึ่งการทดลองที่ Seath ทุ่มเทเเรงกายเเรงใจเพื่อให้มันสำเร็จก็คือการทดลองที่มุ่งสู่ความเป็นอมตะ เพราะในอดีตมันเคยถูกเหล่ามังกรนิรันดรด้วยกันดูถูกและเหยียดหยามในความพิกลพิการที่ปราศจากความคงกระพันอันเป็นเหมือนสิ่งล้ำค่าที่สุดของมังกร ทำให้หลังจากนั้นมันก็ได้หมกมุ่นอยู่กับการทดลองสู่ความเป็นอมตะไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เเละถึงแม้ในภายหลัง Seath จะค้นพบหนทางสู่ความเป็นอมตะได้สำเร็จ แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยศีลธรรมในจิตใจที่บิดเบี้ยวอันเกิดมาจากการทดลองวิปริตนับครั้งไม่ถ้วน หากจะว่าไปแล้วก็เหมือนกับตลกร้ายเพราะความเป็นอมตะที่ Seath ได้มา กลับทำให้มันต้องใช้ชีวิตเยี่ยงคนวิปลาสไปตลอดกาล

หลายปีมาแล้วที่ Gwyn ได้ต่อสู้กับเหล่าอสูรแห่ง Izalith และได้ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจนัก(แพ้) ประกอบกับปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้น จึงทำให้เขาตัดสินใจเดินทางกลับมายังเมืองหลวง Anor Londo โดยก่อนที่จะเข้าเมืองเขาก็ได้สั่งการให้พวก Black Knight ออกไปตั่งแคมป์ให้ห่างไกลจากตัวเมือง เพราะต้องการปิดบังพวกชุดเกราะที่ถูกเพลิง Chaos เผาไหม้จนกลายเป็นสีดําสนิท อันเป็นเหมือนการย้ำเตือนถึงความพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้

เมื่อเข้ามาถึงยังวังหลวงสิ่งแรกที่ Gwyn คาดหวังก็คือการได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีระบุรุษจากบรรดาบุตรของตน แต่ก็ต้องพบว่ามีเพียงแค่ Gwyndolin และ Gwynevere เท่านั้นที่ออกมาต้อนรับเขา และเมื่อถามไถ่จนรู้เรื่องราวทั้งหมด Gwyn ก็ถึงกับควันออกหู โดยเฉพาะเรื่องที่เจ้าลูกชายตัวดีไม่ยอมอยู่ปกป้องเมืองหลวง Anor Londo อันเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหลายทั้งมวล อีกทั้งยังมีข่าวลือหน่าหูจากพวก Warrior of Sunlight ว่าโอรสคนแรกไปมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิที่บูชามังกรนิรันดรอันเป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับเทพเจ้า แต่ถึงจะโกรธเพียงใด Gwyn ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าลูกคนนี้นี่เเหละที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสืบทอดราชบัลลังก์ เขาจึงได้ออกคำสั่งให้ตามหาตัวโอรสคนเเรกเเละพากลับมายังเมืองหลวง Anor Londo เเต่ก็หาไม่เจอ...

เรื่องที่เกิดขึ้นมันได้ทำให้ทั้งกายและใจของ Gwyn ตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่สุดๆจนเรียกได้ว่าแทบจะหมดอาลัยตายอยากกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเพราะต้องทนเห็นอาณาจักร Lordran ของตนค่อยๆล้มสลายลง หรือบรรดาคนใกล้ชิดที่ทยอยกันตีตัวออกห่างจากเขา ด้วยความสิ้นหวังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จึงทำให้ Gwyn ได้ตัดสิ้นใจใช้วิธีสุดท้าย... วิธีซึ่งต้องแลกมาด้วยวิญญาณของตัวเองด้วยการอุทิศ Lord Soul หรือมหาดวงวิญญาณทวายเข้าเป็นเชื้อเพลิงเพื่อต่ออายุให้กับ The First Flame นั่นจะเป็นการยืดเวลาของยุคแห่งไฟออกไปสักพักซึ่ง Gwyn ก็รู้อยู่แก่ใจว่าวิธีแก้ปัญหาแบบนี้มันไม่มีทางยั่งยืน เขาจึงได้ลงมือวางแผนครั้งสุดท้าย แผนการที่จะกลายเป็น “บาปแรก” ที่วันหนึ่งจะนำความพินาศมาสู่โลกของเขาเสียเอง

Gwyn ได้เรียกตัวเหล่าบริวารทั้งหมดที่ยังคงภักดีต่อเขามาเข้าเฝ้าและหาลือในแผนการใหญ่ครั้งนี้ และหลังจากหาลืออยู่หลายวัน Gwyn ก็ได้แผนการที่มีชื่อว่า “ผู้ถูกเลือก” ขึ้นมา โดย Gwyn เริ่มจากให้นักบวชของ Way of White ออกป่าวประกาศไปทั่วทุกดินแดนว่าเขาจะเป็นผู้ที่เสียสละและยอมอุทิศ Lord Soul ภายในกายเป็นเชื้อเพลิงมอบแด่ The First Flame เพื่อช่วยโลกให้พ้นภัยจากความมืดมิด จากนั้นก็อุปโลกน์คำทำนายว่า “หากวันใดก็ตามที่ความมืดย่างกรายกลับคืนมา เมื่อถึงเวลาก็จะมีผู้ถูกเลือกทำหน้าที่ต่ออายุของ The First Flame เฉกเช่นที่ Gwyn เคยทำ” ซึ่งนี้จะถือเป็นการได้รับเกียรติที่สูงที่สุดเท่าที่คนๆหนึ่งจะมีได้ (ตอแหลสุดๆ...) แต่ประเด็นสำคัญก็คือการที่คนๆหนึ่งจะเป็นผู้ถูกเลือกได้นั้นจำเป็นจะต้องผ่านบททดสอบมากมาย และต่อให้กลายเป็นผู้ถูกเลือกได้แล้วคนๆนั้นก็ต้องไปตามล่า Lord Soul จากเหล่าบรรดา Lord ตนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแม่มดแห่ง Izalith และจ้าวแห่งความตาย Nito …. ยังไม่หมด! ผู้ที่ถูกเลือกจำเป็นจะต้องไปสังหาร Four Kings เพื่อช่วงชิงเศษเสี้ยว Lord Soul ของ Gwyn กลับคืนมา และยังไปต้องสังหาร Seath เพื่อเก็บเอาดวงวิญญาณของมังกรนิรันดรมาด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มพลัง Soul ของผู้ถูกเลือกให้แข็งแกร่งมากพอที่จะต่ออายุของ The First Flame ได้

หลังจากที่คำทำนายแพร่สะพัดออกไป เหล่าบรรดามนุษย์ที่เป็น Undead ก็ต่างกลับมามีหวังที่จะหลุดพ้นจากคำสาปนี้อีกครั้งหนึ่ง แต่ในทางกลับกันคำทำนายนี้ก็เหมือนกับบอกให้ศัตรูของ Gwyn เตรียมตัวรับมือศึกที่กำลังจะมาถึง ตัวอย่างเช่นพวกอสูรแห่ง Izalith ที่เมื่อรู้ถึงคำทำนายก็ได้ส่งเหล่าอสูรบางส่วนขึ้นไปบนผิวโลกเพื่อขัดขวางทุกคนที่ต้องการทำตามคำทำนายนี้ หรือจะเป็นเจ้าอสรพิษเจ้าเล่ห์ Kaathe ที่จ้องจะปั่นหัวผู้ถูกเลือกให้มีความคิดทรยศต่อเทพเจ้า ด้วยเหตุนี้ Gwyn จึงต้องทำให้มั่นใจว่าคนที่จะถือครอง Lord Soul และจะเข้าไปถึง The First Flame ได้นั้นจะต้องเป็นคนที่เทพเจ้าไว้ใจและคัดสันมาแล้วเท่านั้น Gwyn จึงได้สร้างอุปกรณ์ทรงพลังชิ้นหนึ่งขึ้นที่เรียกว่า Lordvessel ซึ่งมันมีคุณสมบัติในการดึงพลังของ The First Flame ออกมาใช้งานได้สารพัดประโยชน์ เช่นใช้ในการสร้างม่านพลังวิเศษเพื่อปิดกั้นเส้นทางต่างๆได้ Gwyn จึงได้ใช้ความสามารถนี้สร้างม่านพลังขึ้นมาผนึกเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังรังของ Seath, Nito, และแม่มดแห่ง Izalith เอาไว้และมีเเต่คนที่เทพเจ้าเห็นว่าคู่ควรเท่านั้นที่จะได้รับ Lordvessel เพื่อใช้เป็นกุญแจปลดผนึกเส้นทางนั้นๆได้

เมื่อการเผยแพร่คำทำนายประสบความสำเร็จ Gwyn ก็ได้เรียกตัวบรรดาลูกๆที่เหลือเข้ามาสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย โดยเขาได้แต่งตั้งให้ลูกสาวคนโตอย่าง Gwynevere ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการชั่วคราวในระหว่างที่รอให้โอรสคนเเรกกลับมาปกครองดูแลเมืองหลวง Anor Londo แต่ถ้าหากโอรสคนเเรกยังคงดื้อดึงไม่ทำตาม Gwyn ก็อนุญาตให้ขับไล่ออกจากราชวงศ์ เรียกได้ว่าตัดพ่อตัดลูกกันไปเลย! ส่วน Gwyndolin เขาได้กำชับให้ทำหน้าที่คอยให้คำปรึกษาผู้เป็นพี่สาวอยู่เบื้องหลัง เนื่องมาจาก Gwynevere ไม่ค่อยประสีประสาในเรื่องการเมืองเท่าไรนัก เเ ส่วนด้านความมั่นคง Gwyn ก็ได้เรียกตัวเหล่า Silver Knight และทหารทั้งหมดให้กลับมาปกป้องเมืองหลวง Anor Londo

ช่วงเวลาอันหอมหวานในอำนาจของ Gwyn มันกำลังเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เขาได้นำกำลังเหล่า Black Knight ออกเดินทางไปยัง Kiln of the First Flame ซึ่งถูกสร้างโดย Lord ทั้งสามตนในสมัยที่ยังทำสงครามมังกรร่สมกันเพื่อกักเก็บพลังของ The First Flame เอาไว้ข้างใน เมื่อเข้ามาถึง Gwyn ก็ได้นั่งลงและจ้องมองกองไฟที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย กองไฟที่เคยมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขา และวันนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะมอบกลับคืนให้กับมัน... บรรยากาศโดยรอบเริ่มค่อยๆเงียบสงัดลงพร้อมแสงไฟที่ค่อยๆหรี่ลงๆ ราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังหยุดหมุนเพียงเพื่อเฝ้ารอการตัดสินใจของมหาเทพคนนี้ ทุกคนต่างแหงนหน้ามองท้องฟ้าอันมืดมิดเเต่ปราศจากหมู่ดาว นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่า The First Flame ได้ตายลงแล้ว! ทั่วโลกต่างเกิดความวุ่นวายขึ้น บ้างก็กรีดร้องด้วยความหวาดกลัวบ้างก็ยอมรับชะตากรรมที่กำลังมาถึง การหายไปของแสงสว่างยังทำให้แม้แต่โอรสคนแรกก็ยังต้องปีนขึ้นไปบนภูเขาสูงเพื่อเฝ้ามองแสงสุดท้ายที่กำลังจะลับหาย ณ ปลายขอบฟ้า แต่ฉับพลันอยู่ดีๆก็บังเกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นแสงสว่างจากการระเบิดได้สาดส่องไปทั่วผืนปฐพีราวกับรุ่งสาง และเมื่อมองไปบนฝากฟ้าก็จะได้เห็นดวงตะวันลอยสุกสว่างตั้งตระหง่าน สิ่งมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นได้เพราะว่า Gwyn ยอมสละตัวเองให้กับ The First Flame เหล่าผู้คนที่เคยหวาดกลัวกลับลุกขึ้นและโห่ร้องยินดีพร้อมกับเอยสรรเสริญเทพเจ้า Gwyn ว่าเป็นผู้ช่วยให้โลกพ้นจากการล่มสลาย แต่ก็มีบางคนที่ไม่รู้สึกยินดียินร้ายในเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะต่างก็รู่ดีว่านี่มันเป็นแค่เรื่องหลอกลวงทั้งเพ!

การอุทิศตัวเองของ Gwyn ได้ทำให้วิญญาณของเขาถูกเผาไหม้จนสูญสลายไป และคงเหลือเอาไว้เพียงร่างกายที่ไร้สติคอยเดินวนเวียนไปมารอบ The First Flame ส่วนบริเวณโดยรอบต่างถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านจำมหาศาลล่องลอยไปตามท้องฟ้าและปกคลุมล้อมรอบ Kiln of The First Flame ด้านพวก Black Knight ที่ติดตามมาด้วยเมื่อเจ้านายไม่อยู่แล้วก็ต่างออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อเฝ้าระวังภัยจากภายนอกให้แก่เหล่าเทพเจ้า เหลือไว้ไม่กี่คนเพื่อเป็นบททดสอบสุดท้ายให้แก่ผู้ถูกเลือก

หลังจากที่โลกรอดพ้นวิกฤติมาได้แบบฉิวเฉียด เหล่าเทพเจ้าก็อวดอ้างความสำเร็จของ Gwyn และจัดพิธีศพอันยิ่งใหญ่ให้กับเขาด้วยการสร้างโลงศพเปล่าขนาดมหึมาเพื่อเป็นการแสดงถึงอำนาจบารมี จากนั้นยังได้ยกย่องให้ Gwyn กลายเป็น “ Lord of Cinder ” หรือจ้าวแห่งปฐมเพลิงคนแรกของโลก ภายในพิธีศพมีผู้คนจากทั่วทุกดินแดนแห่แหนกันมาเข้าร่วมพิธีอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แม้แต่ลูกอกตัญญูอย่างโอรสคนแรกก็ยังกลับมาร่วมพิธีศพเช่นกัน แต่พอ Gwynevere และ Gwyndolin พูดถึงเรื่องการสืบราชบัลลังก์เขาก็ได้เเต่อ้างว่ามีบางสิ่งที่สำคัญมากกว่าจะต้องไปทำเเละเเม้จะขอร้องมากเเค่ไหนแต่ดูเหมือนว่าเขาจะเอาแต่ปฏิเสธลูกเดียว จนสุดท้าย Gwyndolin ทนไม่ไหวจึงหยิบเอาคำสั่งไม้ตายที่ Gwyn เคยให้ไว้ออกมาข่มขู่ผู้เป็นพี่ชาย เเต่โอรสคนแรกกลับตอบว่าเรื่องพวกนี้ไม่เคยอยู่ในหัวเขาเลย ราชบัลลังก์มันก็เป็นแค่ภาพมายาและเป็นการเเสดงออกถึงความดื้อรั้นในการรักษาอำนาจ ตัวเขาจะไม่ยอมแบกรับคำโกหกของผู้เป็นพ่ออย่างเด็ดขาด!

ก่อนที่จะจากไปเขาก็ยังได้ทิ้งคำพูดสุดท้ายเพื่อเตือนสติน้องๆทั้งสองคน ว่าควรจะเลิกตามรอยโชคชะตาที่ผู้เป็นพ่อได้กำหนดเอาไว้ให้ จงอย่าได้เป็นเหมือนเขาที่เคยถูกฝังความคิดให้หลงเข่นฆ่าเหล่ามังกรนิรันดรแบบไม่มีเหตุผล เมื่อพูดจบเขาก็ได้เดินทางออกจากเมืองหลวง Anor Londo ทันทีและไม่เคยย้อนกลับมาเหยียบยังเมืองนี้อีกเลย คำพูดที่เขาทิ้งไว้ดูเหมือนจะไปสะกิดใจ Gwynevere ให้เริ่มฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แต่สำหรับ Gwyndolin มันก็คือการทรยศต่อผู้เป็นพ่อ...ทรยศต่อเผ่าพันธุ์ของตัวเอง Gwyndolin จึงได้ออกคำสั่งผ่านพี่สาวให้ขับไล่เเละลบจารึกการมีตัวตนอยู่ของโอรสคนเเรกออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ส่วนพวก Warrior of Sunlight ซึ่งบูชาและนับถือโอรสคนแรกก็ถูกบังคับให้ละทิ้งความเชื่อ ส่วนพวกสิ่งของต่างๆที่เป็นการแสดงถึงอัตลักษณ์ของโอรสคนแรกก็ล้วนแต่ถูกทำลายจนหมดสิ้น บีบให้เหล่าสาวกต้องแอบบูชาอยู่ในเงามืดและเปลี่ยนมาใช้คำว่า “ Nameless King ” หรือกษัตริย์ไร้นามเป็นข้อความลับเพื่อใช้กล่าวแทนชื่อของโอรสคนแรก...

To be continued

เลือกตอน
เลือกตอน

อัพเดทถึงตอนที่ 6

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!