EPISODE 2

หลังจากออกเดินทางแยกมาจากพ่อค้าได้สักระยะ นาอีสได้รู้เรื่องราวเมืองนี้เพิ่มขึ้นนิดหน่อยผ่านผู้คนที่เขาเจอและฝูงHollowที่บ้าคลั่ง หากแต่ที่นี่ใช่เมืองหรือไม่แต่มันคือป้อมปราการซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์ที่มีระฆัง Bell of Awakening

** ความเป็นมาของป้อมปราการ Undead Burg **

ก็คงต้องกล่าวย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยที่เทพเจ้า Gwyn ยังคงมีชีวิตอยู่กันเลยทีเดียว โดยเมืองนี้ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวและเกิดเหตุการณ์ที่สำคัญๆมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะการก่อกบฏของเหล่าสาวกแห่งเทพเจ้า Velka ที่ถูกเรียกขานว่ากบฏทมิฬ หรือจะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงการปิดกั้นตัวเองของเมืองหลวง Anor Londo ที่บีบให้ป้อมปราการ Undead Burg ต้องกลายเป็นชุมชนที่ปกครองและดูแลกันเอง

เมืองนี้มีกฏหมายที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งก็คือ ทุกคนจะได้รับอิสระในการนับถือเทพเจ้าต่างๆได้ตามที่ตนเองต้องการ เเถมภายหลังยังได้มีการหลอมรวมเทพเจ้า Velka ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนมากของประชาชนในเมืองนี้ เข้ากับความเชื่อของศาสนา Way of White ที่เป็นเหมือนกองทัพศาสนาของเหล่าเทพเจ้า โดยทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดทั้งศึกในบ้านหรือนอกบ้านโดยไม่จำเป็น แม้กระทั้งพวก Warrior of Sunlight ที่ปกติจะต้องหลบซ่อนอยู่ในเงามืดก็ยังได้รับอนุญาตให้ตั้งเทวรูปของ Nameless King ไว้ในที่สาธารณะและสามารถทำการเคารพบูชาได้อย่างเปิดเผย เเละในภายหลังได้มีมังกรเผ่าพันธุ์ Wyvern ตนหนึ่งบินลงมาจำศีลอยู่เหนือเทวรูปของ Nameless King อย่างสงบโดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุว่าทำไม…

ตอนนั้นถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของ Undead Burg เลยก็ว่าได้ จนก่อเกิดเป็นสันติภาพที่จะยั่งยืนยาวนานนับพันปี….จนกระทั้ง Curse of Undead ได้กลับมาเยี่ยมเยือนโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง เเละในเมื่อ The First Flame กำลังจะดับลงจึงทำให้พวก Undead จำนวนนับไม่ถ้วนพยายามเร่งที่จะทำตามคำทำนายให้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหล่าผู้คนมากมายจะต้องเดินทางผ่าน Undead Burg อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถ้าหากว่ามากันทีละคนสองคนมันก็คงไม่เป็นไรแต่ทว่าบางคนที่มีฐานะขึ้นมาหน่อยหรือมีบรรดาศักดิ์เป็นชนชั้นสูงก็จะนิยมจ้างนักรบหรือแม้แต่ยกกองทัพส่วนตัวเเห่เข้าเมืองมาด้วย ตัวอย่างเช่นเจ้าชาย Rendal ที่พี่แกเล่นยกกองทัพ Balder Knight ของตัวเองมาแบบเต็มยศ ทำให้ยิ่งนับวัน Undead Burg ก็เริ่มประสบปัญหาความแออัดและความหวาดระแวงจากคนเเปลกหน้า เเละถ้าหากจะห้ามไม่ยกกองทัพเข้ามาในเมืองเเล้วละก็ นั่นก็จะเป็นเหตุทำให้มีเรื่องผิดใจกันและอาจจะเลวร้ายจนถึงขั้นทำศึกชิงเมืองเลยก็เป็นได้

เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ทำนับวันความตึงเครียดก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อยๆ (นี่ขนาดยังไม่นับปัญหาของพวก Hollow ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ) ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาจึงทำให้เมืองนี้เป็นเหมือนกับภูเขาไฟเวลาที่รอวันปะทุขึ้นมาเมื่อไรก็ได้เเละจะนำ Undead Burg กลับเข้าสู่ความโกลาหลเป็นครั้งเเรกในรอบหลายพันปีนับตั้งแต่เหตุการณ์กบฏทมิฬ…แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าท่านผู้อ่านคิดว่านี่มันเลวร้ายสุดๆแล้วละก็…..ก็ขอบอกบอกเลยว่านี่ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหายนะเท่านั้น เพราะว่าอยู่ดีๆก็มีเหล่าอสูรแห่ง Izalith โผล่ขึ้นมาจากท่อระบายน้ำใต้ดินของเมือง พวกมันมองข้ามเหล่าประชาชนที่อ่อนแอซึ่งไม่มีทางสู้แต่กลับมุ่งเป้าไปยังพวก Undead ที่เดินทางมาเพื่อทำตามคำทำนายโดยเฉพาะ ทำให้ ณ เวลานั้นที่ใจกลางของเมืองซึ่งเคยเต็มไปด้วยเหล่าคนที่เดินพลุกพล่านได้แปลเปลี่ยนกลายเป็นเขตสงครามไปเป็นที่เรียบร้อย สงครามได้ทวีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนทำให้พวก Black Knight ที่ปกติจะคอยทำงานให้กับเทพเจ้าอย่างลับๆก็ยังต้องเปิดเผยตัวเองและเข้าร่วมทำสงครามกลางเมืองในครั้งนี้

การสู้รบใน Undead Burg ได้ทำให้เมืองถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ซึ่งส่วนแรกก็คือตัวเมืองด้านล่างที่ได้ถูกปกครองโดยอสูรแห่ง Izalith ไปเป็นที่เรียบร้อย เเละสภาพความเป็นอยู่ของคนที่นั่นก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นแย่สุดๆ เหล่า Undead มากมายต่างถูกทอดทิ้งให้อดอยากปากแห้งจนต้องรวมตัวพากันออกปล้นสะดม Soul กับ Humanity จากมนุษย์คนอื่นๆเพื่อความอยู่รอด จนที่แห่งนี้ได้กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไปแล้ว และอีกส่วนก็จะเป็นตัวเมืองด้านบนซึ่งได้เป็นที่ตั้งของโบสถ์ที่มี Bell of Awakening ตั้งอยู่นั่นเอง ซึ่งในเรื่องความเป็นอยู่ก็ถือได้ว่าดีกว่าตัวเมืองด้านล่างอยู่ไม่น้อย เพราะที่โบสถ์แห่งนี้ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็น Fire Keeper คอยทำหน้าที่ปลอบประโลมและเป็นจุดศูนย์รวมทางจิตใจให้แก่เหล่าผู้คนที่กำลังเสียขวัญ โดยที่นางไม่รู้เลยว่าตนเองได้กลายเป็นที่หมายปองของเหล่า Channeler ที่กำลังจับตามองอยู่ห่างๆ…. พวก Channeler นั้นก็คือพวกข้ารับใช้ของ Seath มังกรไร้เกล็ดซึ่งได้ถูกส่งออกมาผ่านช่องทางลับภายในเมืองหลวง Anor Londo เพื่อคอยทำตามภารกิจต่างๆที่ได้รับมอบหมายจาก Seath ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการลักพาตัวหญิงสาวเพื่อไปเป็นหนูทดลอง

พวก Channeler พยายามเสนอตนเองว่าจะมาช่วยแบ่งเบาภาระอันล้นมือของ Fire Keeper เพื่อที่จะคอยหาโอกาสลักพาตัวนางไป แต่อย่างที่ผมเคยกล่าวเอาไว้ว่า Undead Burg ได้กลายเป็นศูนย์รวมของเหล่าผู้คนร้อยพ่อพันแม่มากมายที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เเละหนึ่งในนั้นก็คือชายโรคจิตนามว่า Lautrec ซึ่งมีความหลงใหลในร่างกายของผู้หญิงที่สะสวยอย่างรุนแรง

( ภาพประกอบด้านขวา : Concept Art ของ Lautrec ชายใจโฉดผู้ชื่นชอบในการสังหารสาวงาม )

มันก็ได้ลงมือสังหาร Fire Keeper ผู้โชคร้ายอย่างโหดเหี้ยมเพื่อสนองความต้องการของตนเอง ทำให้เหล่าผู้คนในที่นั่นต่างตกใจและได้รุมสกรัมเจ้า Lautrec อย่างหนักแต่เนื่องจากเป็น Undead ที่ไม่มีวันตาย เหล่าผู้คนจึงทำการคุมขังมันเอาไว้ที่ด้านหลังของโบสถ์แทน

แต่อย่างไรก็ตามความเสียหายนั้นมันได้เกิดขึ้นไปแล้ว….ทุกๆคนในโบสถ์ต่างเฝ้ารอให้ Fire Keeper กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งอย่างใจจดใจจ่อ เเต่เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานนางก็ยังไม่กลับมาเกิดใหม่สักทีจนเหล่าผู้คนเริ่มสิ้นหวังจนเริ่มเสียสติเเละได้กลายเป็นความโกลาหลและเหตุจลาจลภายครั้งใหญ่ภายในตัวเมืองด้านบน จนเเม้เเต่เทวรูปของ Nameless King ที่อยู่ใกล้ๆก็โดนลูกหลงจนพังทลายไม่เหลือชิ้นดี และแทบจะทันทีที่เทวรูปถูกทำลายเจ้ามังกร Wyvern ก็ได้ตื่นขึ้นจากการจำศีลด้วยท่าทางที่เกรี้ยวกราดพร้อมกระพือปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและพ่นลูกไฟยักษ์ลงมาแพรดเผาทุกชีวิตใน Undead Burg จนตายเกลี้ยงและได้กลายเป็น Undead กันไปทั้งเมือง…และนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา Undead Burg ก็ได้กลายเป็นแค่จุดเข็คอินเเละสุสานเก่าๆซึ่งเป็นทางผ่านไปสู่ Bell of Awakening

** กลับมายังสถานการณ์ปัจจุบัน **

ในตอนนี้ นาอีส ของเราได้ฝ่าฟันอุปสรรคจนมาถึงยังทางเดินเข้าไปตัวเมืองด้านบน เขาได้พบกับ อสูร Taurus ที่คอยดักเล่นงานพวก Undead ที่เดินมายัง Undead Burg

( ภาพประกอบ : อสูร Taurus จะคอยดักเล่นงานพวก Undead ที่เดินมายัง Undead Burg )

อสูร Taurus วิ่งปรี่เข้ามาหานาอีส แต่ไม่คณามือเขาหรอก!!! ปีศาจกระจอกแบบนี้เขาชนะได้อยู่แล้ว นาอีสมั่นใจในศึกนี้ยังไงตนก็ชนะ เขาได้ชักดาบขึ้นมาพร้อมกำดาบแน่นหนาอย่างรวดเร็วไม่รีรอสิ่งใด เขาได้ม้วนตัวกลิ้งหลบใต้หว่างขาของอสูร Taurus และตีขามันเป็นของแถม นาอีกสังเกตหอคอยซึ่งน่าจะใช้ประโยชน์จากมันได้ เขาได้ใช้จังหวะที่อสูรกำลังเผลอ ปีนหอคอยพร้อมซุ่มรอจังหวะเพื่อทำบางอย่าง เมื่ออสูรได้รู้ตัวมันได้เดินเข้ามาใกล้หอ มันเตรียมตั้งท่ากระโดดเพื่อตามนาอีสขึ้นมาแต่ไม่ทันที่มันได้กระโดดขึ้นมา นาอีสรีบพุ่งตัวกระโดดลงมา หันปลายดาบลงเล็งเข้าที่กลางหัวมัน เขาได้เอาดาบพุ่งลงปักเข้าที่กลางหัวของมันและแทงซ้ำแล้วซ้ำอีกแทงไม่ยั้งก่อนที่เขาจะชักดาบออกและหล่นจากหัวของมัน อสูร Taurus เมื่อโดนโจมตีที่หัวทำให้ได้รับบาดเจ็บที่หัวจึงเกิดอาการมึนและตกลงสู่ข้างล่างของเมืองนี้

ในตอนนี้ นาอีส ของเราได้ฝ่าฟันอุปสรรคจนมาถึงยังสะพานยาวที่เป็นทางด้านหน้าของโบสถ์ แต่ทว่าก่อนที่เขาจะเดินทางต่อไป ก็ได้สังเกตเห็นชายคนหนึ่งที่กำลังจ้องมองดวงตะวันบนท้องฟ้าและเอาแต่ร้องพร่ำเพ้อราวกับเป็นคนบ้า ชายคนนั้นได้หันมาหานาอีส และเริ่มเอ่ยถามบางอย่างขึ้น

" เจ้า...เชื่อมั่นในพระอาทิตย์หรือไม่... พระอาทิตย์ที่อยู่ตรงหน้ามันจริงหรือหลอกกันแน่ เจ้าคงเป็น Undead ที่ไขว่คว้าตามคำทำนายสินะ "

( Concept Art ของ Solaire ชายผู้รักพระอาทิตย์ยิ่งชีพ )

นาอีสรู้สึกงงงวยกับคำถามของอีกฝ่ายที่ซับซ้อน เมื่อถามนามจึงได้รู้ว่านามของชายคนนี้ก็คือ Solaire โดยเขามาที่นี่ก็เพื่อทำตามคำทำนายของเทพเจ้า Gwyn เหมือนกับคนอื่นๆ เมื่อได้สนทนากันสักระยะหนึ่ง Solaire ก็เสนอตัวว่าจะคอยให้ความช่วยเหลือแก่ นาอีส อย่างเต็มที่เท่าที่เขาจะทำได้

นาอีสได้กล่าวลา Solaire จากนั้นก็บุกป่าฝ่าดงเหล่า Hollow จนสามารถเข้าไปในตัวโบสถ์จนได้ แต่ทว่าในขณะที่เขากำลังเดินขึ้นบันได ก็พลันได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของ Lautrec ที่ขอร้องให้ปล่อยมันออกไปแต่หารู้ไม่เขาคือฆาตกรโรคจิตที่ชื่นชอบการสั่งหารสตรียิ่งเป็นสตรีไม่มีทางสู้ด้วยละก็เขาจะทรมานให้สาแก่ใจและค่อยเชือดทิ้งอย่างไร้ปราณี ..…ซึ่งก็แน่นอนว่า นาอีสของเราก็ได้ช่วยมันออกมา เพราะตอนนั้นยังไม่ทราบถึงธาตุแท้จริงของเจ้าฆาตกรโรคจิตนี่

เมื่อช่วย Lautrec เสร็จพ่อพระของเราก็ได้ปีนบันไดขึ้นไปยังหลังคาเเละสามารถมองเห็น Bell of Awakening ได้อย่างชัดเจน แต่ก่อนที่เขาจะเดินต่อไปอยู่ๆรูปปั้นสัตว์ประหลาด Gargoyle ที่เป็นเป็นรูปปั้นตกแต่งตามหลังของโบสถ์ก็เริ่มขยับได้ราวกับมีชีวิต ซึ่งเดิมทีรูปปั้นพวกนี้มันก็ไม่ได้มีชีวิตแต่ด้วยการเล่นแร่แปลธาตุของเหล่านักปราชญ์ จึงสามารถคิดค้นวิธีในการนำวิญญาณของคน, สัตว์, ยักษ์, หรือแม่แต่เทพเจ้าเข้าไปสิงสู่อยู่ตามสิ่งของต่างๆเพื่อให้มันขยับและคอยทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย

นาอีสของเราสามารถต่อสู้กับสัตว์ประหลาด Gargoyle ได้อย่างสูสีจนกระทั้งเขาเริ่มสังเกตว่าจำนวนของมันเพิ่มมาเป็นสองตัวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เเละยังไม่ทันขาดคำ! เจ้าตัวที่สามก็บินาจู่โจมลงมาจากท้องฟ้าจนทำให้ นาอีสถึงแก่กรรมไปในที่สุด… เมื่อกลับมาเกิดใหม่ในสภาพเน่าอีกครั้ง นาอีสของเรานั้นก็รู้ดีว่าถ้าหากดันทุรังต่อไปเห็นทีก็คงจะตายเปล่าเสียเป็นแน่ เขาจึงได้ตัดสินใจกลับไปยกพรรคพวกอย่าง Solaire และ Lautrec ให้มาช่วยกันรวมพลังสามัคคี(หมาหมู่)

" ด้วยพลังมิตรภาพ จะไม่มีสิ่งใดต้านทานเราได้! "

ทั้งสามคนได้รวมพลังกลับไปตอกหน้าพวกGargoyle ( หมาหมู่ก็ต้องเจอหมาหมู่!!! ) จนสามารถเอาชนะและขึ้นไปสันระฆัง Bell of Awakening ได้สำเร็จ เสียงของมันได้ดังสนั่นกึกก้องไปทั่วดินแดน Lordran อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีกล้าที่สามารถทำตามคำทำนายได้สำเร็จเป็นคนแรกในรอบหลายปีแต่...การลั่นระฆัง Bell of Awakening เป็นเหมือนการบอกเหล่าทวยเทพว่ามีคนที่อาจจะเป็นผู้ถูกเลือกได้ปรากฏตัวขึ้นมาเเล้ว เเต่ในทางกลับกันมันก็เป็นการบอกผู้ที่ไม่หวังดีด้วยเช่นกัน เมื่อการต่อสู้จบลงและสั่นระฆังได้สำเร็จ Solaire และ Lautrec จึงได้ขอตัวแยกทางและหวังว่าจะได้พบกันอีกในระหว่างเดินทาง

หลังจากแยกย้ายกันไปในขณะที่ นาอีสของเรากำลังปีนบันไดกลับลงมายังข้างล่าง เขาก็ได้เผชิญหน้ากับชายแปลกประหลาดคนหนึ่งนามว่า Oswald ซึ่งเป็นหนึ่งในนักบวชของเทพเจ้า Velka ที่จะค่อยออกตระเวนทำพิถีไถ่บาปให้กับเหล่าผู้คนเพื่อแลก Soul เป็นค่าเหนื่อย (ไม่ฟรี)…หลายคนอาจจะสงสัยแล้วทำไมเราถึงต้องไถ่บาปด้วยละ คำตอบก็คือหากเรามีบาปติดตัว ไอ้พวกกลิ่นความชั่วร้ายทั้งหลายในร่างกายของเราก็จะลอยไปเตะจมูกของพวกหน่วยลับ Darkmoon Blade ซึ่งจะออกตามไล่ล่าฆ่าพวกเราไปเรื่อยๆจนกว่าจะสาสมกับความผิดที่เคยก่อไว้

( ภาพประกอบ : Oswald เป็นนักบวชของ Velka ไม่กี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ )

นาอีสสนทนากับ Oswald นิดหน่อยๆ ตามมารยาทของคนพบกันครั้งแรกแม้จะน่าแปลกใจที่เขามาตั้งแต่เมื่อไรก็เถอะ..

" เจ้าไม่ขาวสะอาดแต่ก็ไม่ดำจนเกินไป...เจ้าไม่ทีเหตุใดต้องชำระบาป...แต่หากเจ้าต้องการชำระบาปจริงๆข้าก็ทำได้ จงคุกเข่าอ้อนวอนต่อเทพVelka!! เทพVelkaที่เมตตาต่อมนุษย์อย่างพวกเรา!!! "

เมื่อลองคุยสักระยะเขากลับรู้สึกเหนื่อยใจแถมขนลุกยังไงไม่รู้เพราะช่างเป็นการคุยที่แปลกประหลาดและคุยไม่รู้เรื่องเท่าไรแม้จะได้ความนิดหน่อยแต่หากคุยต่อไปประสาทเขาเสียเป็นแน่แท้ นาอีสจึงได้รีบตัดจบบทสนทนาและเดินหนีออกทันทีทันใดด้วยความรวดเร็ว

หลังจากเดินหนี Oswald ที่คุยไม่รู้เรื่องเท่าไร นาอีสของเราที่พึ่งออกมาจากโบสถ์ได้ไม่นาน ก็บังเอิญไปได้ยินเสียงคล้ายกับเหล็กกำลังกระทบกันดังซ้ำไปซ้ำมาออกมาจากทางเดินแคบๆที่อยู่ติดกับโบสถ์ เเละด้วยความสงสัย( ขี้เสือก ) ของนาอีสจึงทำให้ นาอีสของเราต้องเดินออกไปตามหาที่มาของเสียงปริศนานั่น….

To be continued

เลือกตอน
เลือกตอน

อัพเดทถึงตอนที่ 6

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!