ฝ่าลิขิตพลิกชะตาโลก

ฝ่าลิขิตพลิกชะตาโลก

การประกาศสงครามจากโลกปีศาจ

ตระกูลนาโอมิ หนึ่งในขุนนางแห่งราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์ มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์พลังธาตุวิญญาณซึ่งถูกส่งต่อผ่านสายเลือดบริสุทธิ์เพียงเท่านั้น ความสามารถพิเศษนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นเสาหลักในการปกป้องดินแดนจากภัยอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน

แต่แล้วในวันที่ 6 มิถุนายน ปี X656 ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงฉานสะท้อนเงาแห่งการสังหารหมู่ เสียงกรีดร้องของเหล่าสมาชิกตระกูลนาโอมิดังก้องไปทั่วคฤหาสน์ ราชาปีศาจในเงาดำมหึมาปรากฏตัวขึ้นพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

“จงจบสิ้นเสียเถอะ เจ้าเลือดสูงศักดิ์ทั้งหลาย” คำพูดของมันดังก้องก่อนที่พลังมรณะจะกวาดล้างทุกสิ่ง

และก่อนที่มันจะจากไป มันได้กล่าวคำทิ้งท้ายอันเย้ยหยัน“ฟังให้ดี พวกมนุษย์มิดการ์ด! ข้าคือราชาแห่งเฮลไฮม์ ผู้ที่จะยึดครองทุกสิ่งในอีกสิบปีข้างหน้า เตรียมตัวไว้ให้พร้อม! และจงทำให้ข้ารู้สึกสนุกกับการบดขยี้ความหวังของพวกเจ้า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

เหตุการณ์นั้นได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกผ่านการแทรกแซงสัญญาณโทรทัศน์ คลิปการทำลายล้างของราชาปีศาจถูกส่งไปยังหน้าจอของทุกคน เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังก้อง ทำให้ชาวเมืองหวาดกลัวกับพลังอันเกินต้านทานที่ได้เห็น

แต่ท่ามกลางความหวาดกลัว เสียงจากชายผู้หนึ่งดังก้องไปทั่วเมือง “อย่าได้หวาดกลัวไปเลย ทุกท่านทั้งหลาย” เสียงนั้นทำให้ชาวเมืองเริ่มใจชื้น

“เพราะอะไรที่ไม่ต้องหวาดกลัวน่ะเหรอ เพราะพวกเราจะปกป้องพวกท่านเอง”

ชาวเมืองพร้อมใจกันเปล่งเสียงว่า “สภาจงเจริญ สภาจงเจริญ!”

ในห้องประชุมแห่งสภาโลก เสียงของ แม็กทิว เมกต้าด ผู้รับผิดชอบหน่วยกระจายเสียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า

“นี่คงช่วยหยุดความโกลาหลได้สักพักล่ะนะ ดาบิส”

ดาบิส แม็กกาสเรส หนึ่งใน 12 ขุนพลสูงสุด พยักหน้า “ทำได้ดีมาก แม็กทิว ถ้านายไม่ทำแบบนี้ คนเบื้องบนคงปวดหัวน่าดู”

นิวอาร์สตรอง ไรมง สภาสูงสุดแห่งทิศเหนือขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่เราจะทำอย่างไรต่อไป? สู้กับพวกปีศาจงั้นเหรอ? ฉันไม่เอาด้วยหรอก เห็นพลังในคลิปนั้นแล้วหรือเปล่า”

โดสมาส ซาโดสมิ สภาสูงสุดแห่งทิศตะวันตกหันมาทาง นาโอมิ เกนตะ สภาสูงสุดแห่งทิศใต้ “แต่เราจะถอยไม่ได้ นายว่าไงล่ะ นาโอมิ?”

ดวงตาของ นาโอมิ เกนตะ เต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ข้าจะฆ่ามัน… เจ้าสัตว์นรกตัวนั้น! มันทำลายตระกูลอันสูงศักดิ์ของข้า!”

ทันใดนั้น เปลวไฟสีฟ้าก็ลุกไหม้ขึ้นรอบตัว นาโอมิ เกนตะ เขาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะทรุดลงกับพื้น ทุกคนในห้องประชุมต่างตกตะลึง แม้แต่เขตแดนป้องกันเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่อาจหยุดยั้งได้

ต่อหน้าพวกเขา เงามืดเริ่มก่อตัวขึ้น รูปร่างคล้ายมนุษย์ปรากฏขึ้นมาช้าๆ ฟันของมันแหลมคม หูยาว และแต่งกายราวกับตัวตลก มันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยทักทาย

“สายัณห์สวัสดิ์ เหล่าสภาทั้งหลาย กระผม เมนฟิ เฟอร์เรส รองแม่ทัพแห่งเฮลไฮม์”

“แกกล้าบุกรุกพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้ยังไง!” หนึ่งในสมาชิกสภาตะโกนด้วยความโกรธ

ทหารในสภาเริ่ม ล้อมรอบตัวของเมนฟิเพื่อปกป้องเหล่าสภา

เมนฟิยิ้มกว้าง ก่อนจะดีดนิ้วเสียงดัง เป๊าะ! ทหารรักษาการรอบตัวมันล้มลงกับพื้นพร้อมกัน

“ใจเย็นๆ สิครับ คุณทหารพวกนี้แค่สลบไปเฉยๆ ไม่มีอะไรต้องห่วง” มันหัวเราะเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“แกต้องการอะไร เมนฟิ?” สภาทิศเหนือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“กระผมไม่ได้มาทำร้ายพวกคุณหรอกครับ… ผมมา ช่วย คุณต่างหาก”

6 ปีผ่านไป… เหลือเวลาอีกเพียง 4 ปี ก่อนที่กองทัพปีศาจจะบุก โลกยังคงตั้งคำถามถึงคำพูดของ เมนฟิ เฟอร์เรส ว่าเขามาเพื่อช่วย หรือเพื่อทำลายทุกสิ่งกันแน่?

ที่สวนสาธารณะอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งในชุดสูทสะอาดตายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักเลงที่ล้อมรอบเขาไว้ พวกมันจ้องเขาเหมือนหมาป่าที่เจอเหยื่อ

“เฮ้ย! แกน่ะ ดูมีตังค์นี่หว่า ของยืมหน่อยดิ” นักเลงคนหนึ่งพูดพร้อมกับหัวเราะเยาะ

ชายในชุดสูทเงยหน้าขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ “ไม่มีหรอก ต่อให้พวกนายค้น มันก็ไม่มี”

นักเลงอีกคนหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “แล้วจะใส่ชุดสูทมาทำซากอะไรวะ!” ทันทีที่พูดจบ มันก็ซัดหน้าชายคนนั้นจนกระเด็นไปหนึ่งก้าว

แรงหมัดทำให้ชายคนนั้นเสียหลักจนกระดาษแผ่นหนึ่งปลิวออกมาจากกระเป๋า นักเลงอีกคนหยิบมันขึ้นมาเปิดดู

“อ้อ แบบนี้นี่เอง มาหางานทำ ถึงว่าล่ะทำไมแต่งตัวแบบนี้”

ชายคนนั้นกัดฟัน พยายามจะลุกขึ้นยืน “คืนมันมา…”

ตึก! ไม้เบสบอลอันหนึ่งฟาดลงมาที่ศีรษะของชายคนนั้นจนเขาล้มลงไปแน่นิ่ง เลือดสีแดงเริ่มซึมออกมาจากศีรษะ

“พวกแกเล่นแรงเกินไปแล้ว” เสียงเรียบเยือกเย็นของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากกลุ่มนักเลง พวกมันหยุดชะงัก หันไปมองชายในชุดดำที่ยืนอยู่ห่างๆ

“หา! เอ็งเป็นใครวะ มาพูดแบบนี้ก็สวยสิ!” นักเลงคนหนึ่งตะโกน

ชายในชุดดำเดินเข้าไปหาอย่างไม่รีบร้อน แววตานิ่งเฉยเหมือนไม่สนใจคำพูดนั้น “พวกหมาหมู่แบบแกนี่มันน่าสมเพช แค่คนเดียวถึงกับต้องรุมกันเลยเหรอ”

“พูดแบบนี้ก็อยากเจ็บตัวล่ะสิ!” นักเลงอีกคนเตรียมจะพุ่งเข้าหา แต่กลับถูก “มายูน” ห้ามไว้ด้วยการแตะไหล่เบาๆ

“ใจเย็นๆ นายไม่เห็นตราบนเสื้อคลุมมันเหรอ?” นักเลงคนหนึ่งกระซิบ “มันเป็นเด็กจากสำนักอีกกา…”

นักเลงอีกคนกลืนน้ำลาย แต่ยังพยายามรักษาหน้าตา “แล้วไงวะ สำนักอีกกาก็แค่ชื่อเก่าๆ ถ้าอยากมีเรื่อง ก็เข้ามาเลยสิ!”

“หยุด” มายูนยกมือขึ้น แววตาของเขามองไปยังชายในชุดดำอย่างระแวดระวัง “พวกเราไม่มีเวลามาทะเลาะกับมัน ไปกันเถอะ เรามีเรื่องสำคัญกว่า”

“จำไว้นะ เจ้าหนุ่ม สำนักอีกกาอาจจะไม่ใช่ปัญหาในวันนี้… แต่วันหนึ่ง พวกแกจะต้องเลือกข้าง” มายูนหันหลังเดินจากไป ทิ้งคำพูดที่ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้น

10 นาทีผ่านไป…

เสียงใบไม้ไหวเบาๆ กับแสงแดดที่ลอดผ่านกิ่งไม้ปลุกชายในชุดสูทให้ลืมตาขึ้นช้าๆ เขารู้สึกปวดหัวและมึนงง แต่ยังพอจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้

“ไง ฟื้นแล้วเหรอ”

ชายคนหนึ่งในชุดดำยืนอยู่ไม่ไกล เขาถือกระดาษใบหนึ่งไว้ในมือ พร้อมกับมองมาที่ชายในชุดสูทด้วยสายตาเรียบเฉย

“นี่คุณช่วยผมไว้เหรอ?” ชายในชุดสูทพยายามลุกขึ้นนั่ง มือจับศีรษะที่ยังปวดตุบๆ

ชายในชุดดำยักไหล่ “จะเรียกว่าช่วยก็ได้มั้ง… แต่ถ้าแก๊งนั่นกลับมาอีก นายคงต้องหาทางเอาตัวรอดเองล่ะ”

เขายื่นกระดาษใบหนึ่งมาให้ “นี่ ของนายใช่ไหม? หวังว่าสถานที่ในนี้จะรับนายเข้าทำงานได้นะ”

ชายในชุดสูทรับกระดาษมาด้วยมือสั่นๆ มันคือใบสมัครงานที่เขาเก็บรวบรวมความกล้ามานานกว่าจะส่งได้ แต่กลับต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้

“ขอบคุณครับ… ผม…ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี คุณชื่ออะไรเหรอ?”

ชายในชุดดำหยุดเดินไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองด้วยแววตานิ่งเฉยที่แฝงไปด้วยความลึกลับ

“ชื่อเหรอ… นิชิคาตะ ยูเรนัส แต่เรียกสั้นๆ ว่า ยูเร ก็ได้”

ชายในชุดสูทมองเขาอย่างลังเล “ยูเร… งั้นเหรอ?”

ยูเรยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มที่ดูเหมือนจะมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ “ใช่… แล้วนายล่ะ?”

“ผม…อิโนอุเอะ ชินยะครับ”

ยูเรพยักหน้าเบาๆ “จำไว้ ชินยะ ถ้าหากนายจะอยู่รอดในเมืองนี้ นายต้องแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ไม่งั้นจะจบลงเหมือนวันนี้”

คำพูดของยูเรทิ้งความเงียบไว้ในอากาศ ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินจากไป ทิ้งชินยะให้นั่งครุ่นคิดกับคำพูดนั้น

“ดะ…เดี๋ยวก่อน!” ชินยะเรียก แต่ยูเรไม่ได้หยุดเดิน

“โชคดีนะ ชินยะ หวังว่าครั้งหน้าเราจะเจอกันอีก… ในสถานการณ์ที่ต่างออกไป” ยูเรโบกมือลาโดยไม่หันกลับมา ก่อนที่ร่างของเขาจะหายลับไปในเงาไม้

ชินยะยังคงมองตามแผ่นหลังของยูเรด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งความซาบซึ้ง ความสงสัย และคำถามมากมายที่เขาอยากถาม

“คนแบบนั้น… ทำไมถึงช่วยฉัน?”

ณ สำนักอีกา…

แม้สำนักจะตั้งอยู่ในพื้นที่เงียบสงบและดูเก่าโทรมภายนอก แต่เมื่อก้าวเข้ามาด้านใน ทุกอย่างกลับดูใหม่เอี่ยมอ่องราวกับเพิ่งสร้างเสร็จ พื้นไม้สะท้อนแสง วอลเปเปอร์สีเข้มประดับลวดลายละเอียด และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเครื่องหอมลอยคลุ้งไปทั่ว

ยูเรนัสกำลังย่องเบาๆ ผ่านโถงทางเดินหลัก ดวงตาของเขามองซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็น แต่ก่อนที่เขาจะก้าวถึงบันได…

“เจ้ายูเรนัส!!!”

เสียงตะโกนดังลั่นมาพร้อมกับพัดกระดาษขนาดใหญ่ที่ฟาดลงกลางศีรษะของเขา

“โอ๊ย! ทำบ้าอะไรของตาแก่เนี่ย! มันเจ็บนะโว้ย!” ยูเรตะโกนพร้อมกับลูบหัวที่ปวดตุบๆ

ชายชราร่างเล็กในชุดคลุมโบราณยืนจ้องเขาด้วยสายตาดุดัน นี่คือ นิชิคาตะ ฟูชิโมโต้ เจ้าอาวาสของสำนักอีกา

“แกต่างหากล่ะ ทำบ้าอะไร! แอบหนีออกไปข้างนอกอีกแล้วใช่ไหม?! สำนักนี้ไม่ใช่ที่พักแรมที่แกจะไปๆ มาๆ ตามใจชอบ!” ฟูชิโมโต้ฟาดพัดใส่ยูเรอีกครั้ง

“โอ๊ย! ใจเย็นๆ หน่อยสิ! ตาแก่ มันเจ็บนะเว้ย!” ยูเรโต้กลับพร้อมกับคว้าพัดของฟูชิโมโต้มา ฟาดคืนไปเบาๆ

“เอาอีกแล้ว… ซัดกันอีกแล้ว” เสียงบ่นเบาๆ ดังขึ้นจากมุมห้อง

ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงในชุดคลุมสีดำปรากฏตัวพร้อมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นี่คือ นิชิคาตะ มายูริ ลูกศิษย์ฝีมือดีของสำนัก

“พวกคุณสองคนจะทะเลาะกันอีกแล้วเหรอครับ? ทั้งที่ผมเพิ่งทำความสะอาดโถงนี้เมื่อเช้าเองนะ…” มายูริพูดพร้อมกับร่ายเวทมนตร์บางอย่าง มือของเขาวาดวงแหวนเวทมนตร์สีฟ้าในอากาศ

ทันใดนั้น ยูเรและฟูชิโมโต้ก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ทั้งสองคนดิ้นไปมา แต่ก็ไม่อาจหลุดจากการควบคุมของมายูริได้

“มายูริ! ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ!” ฟูชิโมโต้ตะโกนด้วยความโมโห

“ถ้าคุณสองคนยังทะเลาะกันแบบนี้ ที่ผมทำไปก็ไม่มีความหมายเลยสิครับ” มายูริพูดเสียงเรียบ พร้อมกับทำท่าจะเพิ่มความสูงของทั้งสองคน

“เอาล่ะ! ฉันหยุดแล้ว! หยุดแล้ว!” ยูเรร้องบอก “ตาแก่ ฉันขอโทษ! พอใจยังไงล่ะ!”

ฟูชิโมโต้ขมวดคิ้ว แต่ยอมพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ “ก็ได้ ฉันก็จะหยุด… ปล่อยเราลงได้แล้ว เจ้าเด็กนั่น!”

มายูริหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลดระดับทั้งสองลงช้าๆ

“นี่ก็แค่วันธรรมดาอีกวันในสำนักอีกาสินะ…” ยูเรบ่นพลางปัดฝุ่นบนเสื้อคลุม

“ธรรมดาบ้านแกสิ! ถ้าแกทำตัวเรียบร้อยกว่านี้ สำนักคงไม่วุ่นวายแบบนี้!” ฟูชิโมโต้สวนกลับทันที

มายูริมองสองคนนี้ด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ “ให้ตายสิ… ผมควรไปทำความสะอาดตรงไหนต่อดีนะ”

บรรยากาศที่ควรจะสงบกลับเต็มไปด้วยเสียงทะเลาะและโหวกเหวกดังไปทั่วโถงหลัก

“หนวกหูเสียจริง เจ้าพวกบ้า! คนจะหลับจะนอน!” เสียงหงุดหงิดดังขึ้นจากอีกฟาก พร้อมรองเท้าไม้คู่หนึ่งที่พุ่งตรงเข้าใส่หน้า ยูเร อย่างแม่นยำ

“โอ๊ย! ใครปามาเนี่ย!” ยูเรร้องพลางจับจมูก

จากมุมห้อง นิชิคาตะ นัสสึมิ ลูกศิษย์สาวอีกคนของสำนัก เดินออกมาด้วยสีหน้ารำคาญ “ก็ฉันไงล่ะ นายจะเสียงดังอะไรกันนักหนา?”

“โอ้! นัสสึมิ! ช่วยเจ้าอาจารย์ด้วย!” เจ้าอาวาส ฟูชิโมโต้ตะโกนขอความช่วยเหลือ

นัสสึมิยืนกอดอกก่อนจะมองไปที่ฟูชิโมโต้ “คุณเองก็หนวกหูเหมือนกันค่ะ ช่วยทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่หน่อยจะได้ไหม?”

นิชิคาตะ นัสสึมิ สกิล: สามารถควบคุมสิ่งของที่ปาได้อย่างอิสระ แต่จะเสียการควบคุมทันทีเมื่อโดนเป้าหมาย (B)

“นี่ๆ อย่าปารองเท้าแบบนี้สิ!” มายูริ เดินมาพลางใช้เวทมนตร์ลอยรองเท้าออกไปวางที่เดิม “ตรงนั้นฉันเพิ่งกวาดเสร็จเลยนะ”

“แล้วมันจะทำไม เจ้าแว่นสี่ตา!” นัสสึมิหันไปหาเขา “อยากมีเรื่องหรือไง?”

“ก็สวยสิ จะได้ตัดสินจากครั้งก่อนให้จบๆ!” มายูริพูดพร้อมกับดันแว่นตาของตัวเอง

ทั้งสองเตรียมจะเข้าปะทะกัน ขณะที่ยูเรยืนข้างๆ พร้อมจะสู้กับใครก็ตามที่มาหาเรื่องเขา

แต่ก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้น เสียงหนักๆ ของรองเท้ากระทบพื้นดัง ตึก! พร้อมกับเสียงพื้นไม้ที่แตกหัก

“ไอ้พวกศิษย์บ้า! คิดจะพังสำนักกันหรือยังไง?!”

ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ทุกย่างก้าวของเขาดูทรงพลังจนพื้นไม้ดูเหมือนจะรับน้ำหนักไม่ไหว

“ขอประทานโทษค่ะ ท่านเจ้าสำนัก…” นัสสึมิรีบลดน้ำเสียงลงทันที

เจ้าสำนักอีกาสกิล:????????? (?????)

เจ้าสำนักยืนจ้องมองทั้งสามคนที่ตอนนี้เหมือนเด็กๆ กำลังโดนผู้ใหญ่ดุ เขาถอนหายใจยาวก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เจ้านี่หนีการฝึกวิชาอีกแล้วใช่ไหม?”

ยูเรชี้มาที่ตัวเอง “ผมเหรอ? ก็ใช่น่ะสิ! มันยุ่งยากจะตาย จะให้ทำยังไงล่ะ!”

เจ้าสำนักมองเขาด้วยสายตาอ่อนล้า “ช่างเถอะ… แต่ช่วยทำตัวดีๆ สักวันได้ไหม วันนี้เป็นวันสำคัญ”

“วันสำคัญ? วันอะไรครับ?” มายูริถามพลางมองหน้าเจ้าสำนัก

“วันเปิดสำนักวันแรก” เจ้าสำนักตอบ

ทั้งสามคนหยุดเงียบ ก่อนที่ยูเรจะพูดขึ้น “อ้อ แบบนี้นี่เอง… วันสำคัญสินะ งั้นผมจะยอมญาติดีกับพวกนี้สักวันก็แล้วกัน”

“หนึ่งวัน?” เจ้าสำนักเลิกคิ้ว “ขอทุกวันเลยไม่ได้เหรอ?”

ยูเรยักไหล่ “ก็ไม่แน่ใจนะท่าน…”

เจ้าสำนักถอนหายใจ “ให้ตายสิ พวกเจ้าเนี่ยน่าปวดหัวเสียจริง”

ในขณะที่มายูริกำลังมองพื้นไม้ที่แตกหัก น้ำตาก็เริ่มไหลออกมาเบาๆ “พื้น…ที่กวาดเสร็จไปเมื่อเช้า…”

นัสสึมิหันไปมองเขาก่อนจะหัวเราะ “ก็แค่มากวาดใหม่สิ!”

“ลองมากวาดมาเองไหมครับ!!! ” มารูริตอบกลับด้วยน้ำเสียงประชด

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!