NovelToon NovelToon

ฝ่าลิขิตพลิกชะตาโลก

การประกาศสงครามจากโลกปีศาจ

ตระกูลนาโอมิ หนึ่งในขุนนางแห่งราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์ มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์พลังธาตุวิญญาณซึ่งถูกส่งต่อผ่านสายเลือดบริสุทธิ์เพียงเท่านั้น ความสามารถพิเศษนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นเสาหลักในการปกป้องดินแดนจากภัยอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน

แต่แล้วในวันที่ 6 มิถุนายน ปี X656 ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงฉานสะท้อนเงาแห่งการสังหารหมู่ เสียงกรีดร้องของเหล่าสมาชิกตระกูลนาโอมิดังก้องไปทั่วคฤหาสน์ ราชาปีศาจในเงาดำมหึมาปรากฏตัวขึ้นพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

“จงจบสิ้นเสียเถอะ เจ้าเลือดสูงศักดิ์ทั้งหลาย” คำพูดของมันดังก้องก่อนที่พลังมรณะจะกวาดล้างทุกสิ่ง

และก่อนที่มันจะจากไป มันได้กล่าวคำทิ้งท้ายอันเย้ยหยัน“ฟังให้ดี พวกมนุษย์มิดการ์ด! ข้าคือราชาแห่งเฮลไฮม์ ผู้ที่จะยึดครองทุกสิ่งในอีกสิบปีข้างหน้า เตรียมตัวไว้ให้พร้อม! และจงทำให้ข้ารู้สึกสนุกกับการบดขยี้ความหวังของพวกเจ้า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

เหตุการณ์นั้นได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกผ่านการแทรกแซงสัญญาณโทรทัศน์ คลิปการทำลายล้างของราชาปีศาจถูกส่งไปยังหน้าจอของทุกคน เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังก้อง ทำให้ชาวเมืองหวาดกลัวกับพลังอันเกินต้านทานที่ได้เห็น

แต่ท่ามกลางความหวาดกลัว เสียงจากชายผู้หนึ่งดังก้องไปทั่วเมือง “อย่าได้หวาดกลัวไปเลย ทุกท่านทั้งหลาย” เสียงนั้นทำให้ชาวเมืองเริ่มใจชื้น

“เพราะอะไรที่ไม่ต้องหวาดกลัวน่ะเหรอ เพราะพวกเราจะปกป้องพวกท่านเอง”

ชาวเมืองพร้อมใจกันเปล่งเสียงว่า “สภาจงเจริญ สภาจงเจริญ!”

ในห้องประชุมแห่งสภาโลก เสียงของ แม็กทิว เมกต้าด ผู้รับผิดชอบหน่วยกระจายเสียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า

“นี่คงช่วยหยุดความโกลาหลได้สักพักล่ะนะ ดาบิส”

ดาบิส แม็กกาสเรส หนึ่งใน 12 ขุนพลสูงสุด พยักหน้า “ทำได้ดีมาก แม็กทิว ถ้านายไม่ทำแบบนี้ คนเบื้องบนคงปวดหัวน่าดู”

นิวอาร์สตรอง ไรมง สภาสูงสุดแห่งทิศเหนือขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่เราจะทำอย่างไรต่อไป? สู้กับพวกปีศาจงั้นเหรอ? ฉันไม่เอาด้วยหรอก เห็นพลังในคลิปนั้นแล้วหรือเปล่า”

โดสมาส ซาโดสมิ สภาสูงสุดแห่งทิศตะวันตกหันมาทาง นาโอมิ เกนตะ สภาสูงสุดแห่งทิศใต้ “แต่เราจะถอยไม่ได้ นายว่าไงล่ะ นาโอมิ?”

ดวงตาของ นาโอมิ เกนตะ เต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ข้าจะฆ่ามัน… เจ้าสัตว์นรกตัวนั้น! มันทำลายตระกูลอันสูงศักดิ์ของข้า!”

ทันใดนั้น เปลวไฟสีฟ้าก็ลุกไหม้ขึ้นรอบตัว นาโอมิ เกนตะ เขาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะทรุดลงกับพื้น ทุกคนในห้องประชุมต่างตกตะลึง แม้แต่เขตแดนป้องกันเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่อาจหยุดยั้งได้

ต่อหน้าพวกเขา เงามืดเริ่มก่อตัวขึ้น รูปร่างคล้ายมนุษย์ปรากฏขึ้นมาช้าๆ ฟันของมันแหลมคม หูยาว และแต่งกายราวกับตัวตลก มันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยทักทาย

“สายัณห์สวัสดิ์ เหล่าสภาทั้งหลาย กระผม เมนฟิ เฟอร์เรส รองแม่ทัพแห่งเฮลไฮม์”

“แกกล้าบุกรุกพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้ยังไง!” หนึ่งในสมาชิกสภาตะโกนด้วยความโกรธ

ทหารในสภาเริ่ม ล้อมรอบตัวของเมนฟิเพื่อปกป้องเหล่าสภา

เมนฟิยิ้มกว้าง ก่อนจะดีดนิ้วเสียงดัง เป๊าะ! ทหารรักษาการรอบตัวมันล้มลงกับพื้นพร้อมกัน

“ใจเย็นๆ สิครับ คุณทหารพวกนี้แค่สลบไปเฉยๆ ไม่มีอะไรต้องห่วง” มันหัวเราะเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“แกต้องการอะไร เมนฟิ?” สภาทิศเหนือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“กระผมไม่ได้มาทำร้ายพวกคุณหรอกครับ… ผมมา ช่วย คุณต่างหาก”

6 ปีผ่านไป… เหลือเวลาอีกเพียง 4 ปี ก่อนที่กองทัพปีศาจจะบุก โลกยังคงตั้งคำถามถึงคำพูดของ เมนฟิ เฟอร์เรส ว่าเขามาเพื่อช่วย หรือเพื่อทำลายทุกสิ่งกันแน่?

ที่สวนสาธารณะอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งในชุดสูทสะอาดตายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักเลงที่ล้อมรอบเขาไว้ พวกมันจ้องเขาเหมือนหมาป่าที่เจอเหยื่อ

“เฮ้ย! แกน่ะ ดูมีตังค์นี่หว่า ของยืมหน่อยดิ” นักเลงคนหนึ่งพูดพร้อมกับหัวเราะเยาะ

ชายในชุดสูทเงยหน้าขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ “ไม่มีหรอก ต่อให้พวกนายค้น มันก็ไม่มี”

นักเลงอีกคนหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “แล้วจะใส่ชุดสูทมาทำซากอะไรวะ!” ทันทีที่พูดจบ มันก็ซัดหน้าชายคนนั้นจนกระเด็นไปหนึ่งก้าว

แรงหมัดทำให้ชายคนนั้นเสียหลักจนกระดาษแผ่นหนึ่งปลิวออกมาจากกระเป๋า นักเลงอีกคนหยิบมันขึ้นมาเปิดดู

“อ้อ แบบนี้นี่เอง มาหางานทำ ถึงว่าล่ะทำไมแต่งตัวแบบนี้”

ชายคนนั้นกัดฟัน พยายามจะลุกขึ้นยืน “คืนมันมา…”

ตึก! ไม้เบสบอลอันหนึ่งฟาดลงมาที่ศีรษะของชายคนนั้นจนเขาล้มลงไปแน่นิ่ง เลือดสีแดงเริ่มซึมออกมาจากศีรษะ

“พวกแกเล่นแรงเกินไปแล้ว” เสียงเรียบเยือกเย็นของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากกลุ่มนักเลง พวกมันหยุดชะงัก หันไปมองชายในชุดดำที่ยืนอยู่ห่างๆ

“หา! เอ็งเป็นใครวะ มาพูดแบบนี้ก็สวยสิ!” นักเลงคนหนึ่งตะโกน

ชายในชุดดำเดินเข้าไปหาอย่างไม่รีบร้อน แววตานิ่งเฉยเหมือนไม่สนใจคำพูดนั้น “พวกหมาหมู่แบบแกนี่มันน่าสมเพช แค่คนเดียวถึงกับต้องรุมกันเลยเหรอ”

“พูดแบบนี้ก็อยากเจ็บตัวล่ะสิ!” นักเลงอีกคนเตรียมจะพุ่งเข้าหา แต่กลับถูก “มายูน” ห้ามไว้ด้วยการแตะไหล่เบาๆ

“ใจเย็นๆ นายไม่เห็นตราบนเสื้อคลุมมันเหรอ?” นักเลงคนหนึ่งกระซิบ “มันเป็นเด็กจากสำนักอีกกา…”

นักเลงอีกคนกลืนน้ำลาย แต่ยังพยายามรักษาหน้าตา “แล้วไงวะ สำนักอีกกาก็แค่ชื่อเก่าๆ ถ้าอยากมีเรื่อง ก็เข้ามาเลยสิ!”

“หยุด” มายูนยกมือขึ้น แววตาของเขามองไปยังชายในชุดดำอย่างระแวดระวัง “พวกเราไม่มีเวลามาทะเลาะกับมัน ไปกันเถอะ เรามีเรื่องสำคัญกว่า”

“จำไว้นะ เจ้าหนุ่ม สำนักอีกกาอาจจะไม่ใช่ปัญหาในวันนี้… แต่วันหนึ่ง พวกแกจะต้องเลือกข้าง” มายูนหันหลังเดินจากไป ทิ้งคำพูดที่ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้น

10 นาทีผ่านไป…

เสียงใบไม้ไหวเบาๆ กับแสงแดดที่ลอดผ่านกิ่งไม้ปลุกชายในชุดสูทให้ลืมตาขึ้นช้าๆ เขารู้สึกปวดหัวและมึนงง แต่ยังพอจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้

“ไง ฟื้นแล้วเหรอ”

ชายคนหนึ่งในชุดดำยืนอยู่ไม่ไกล เขาถือกระดาษใบหนึ่งไว้ในมือ พร้อมกับมองมาที่ชายในชุดสูทด้วยสายตาเรียบเฉย

“นี่คุณช่วยผมไว้เหรอ?” ชายในชุดสูทพยายามลุกขึ้นนั่ง มือจับศีรษะที่ยังปวดตุบๆ

ชายในชุดดำยักไหล่ “จะเรียกว่าช่วยก็ได้มั้ง… แต่ถ้าแก๊งนั่นกลับมาอีก นายคงต้องหาทางเอาตัวรอดเองล่ะ”

เขายื่นกระดาษใบหนึ่งมาให้ “นี่ ของนายใช่ไหม? หวังว่าสถานที่ในนี้จะรับนายเข้าทำงานได้นะ”

ชายในชุดสูทรับกระดาษมาด้วยมือสั่นๆ มันคือใบสมัครงานที่เขาเก็บรวบรวมความกล้ามานานกว่าจะส่งได้ แต่กลับต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้

“ขอบคุณครับ… ผม…ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี คุณชื่ออะไรเหรอ?”

ชายในชุดดำหยุดเดินไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองด้วยแววตานิ่งเฉยที่แฝงไปด้วยความลึกลับ

“ชื่อเหรอ… นิชิคาตะ ยูเรนัส แต่เรียกสั้นๆ ว่า ยูเร ก็ได้”

ชายในชุดสูทมองเขาอย่างลังเล “ยูเร… งั้นเหรอ?”

ยูเรยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มที่ดูเหมือนจะมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ “ใช่… แล้วนายล่ะ?”

“ผม…อิโนอุเอะ ชินยะครับ”

ยูเรพยักหน้าเบาๆ “จำไว้ ชินยะ ถ้าหากนายจะอยู่รอดในเมืองนี้ นายต้องแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ไม่งั้นจะจบลงเหมือนวันนี้”

คำพูดของยูเรทิ้งความเงียบไว้ในอากาศ ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินจากไป ทิ้งชินยะให้นั่งครุ่นคิดกับคำพูดนั้น

“ดะ…เดี๋ยวก่อน!” ชินยะเรียก แต่ยูเรไม่ได้หยุดเดิน

“โชคดีนะ ชินยะ หวังว่าครั้งหน้าเราจะเจอกันอีก… ในสถานการณ์ที่ต่างออกไป” ยูเรโบกมือลาโดยไม่หันกลับมา ก่อนที่ร่างของเขาจะหายลับไปในเงาไม้

ชินยะยังคงมองตามแผ่นหลังของยูเรด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งความซาบซึ้ง ความสงสัย และคำถามมากมายที่เขาอยากถาม

“คนแบบนั้น… ทำไมถึงช่วยฉัน?”

ณ สำนักอีกา…

แม้สำนักจะตั้งอยู่ในพื้นที่เงียบสงบและดูเก่าโทรมภายนอก แต่เมื่อก้าวเข้ามาด้านใน ทุกอย่างกลับดูใหม่เอี่ยมอ่องราวกับเพิ่งสร้างเสร็จ พื้นไม้สะท้อนแสง วอลเปเปอร์สีเข้มประดับลวดลายละเอียด และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเครื่องหอมลอยคลุ้งไปทั่ว

ยูเรนัสกำลังย่องเบาๆ ผ่านโถงทางเดินหลัก ดวงตาของเขามองซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็น แต่ก่อนที่เขาจะก้าวถึงบันได…

“เจ้ายูเรนัส!!!”

เสียงตะโกนดังลั่นมาพร้อมกับพัดกระดาษขนาดใหญ่ที่ฟาดลงกลางศีรษะของเขา

“โอ๊ย! ทำบ้าอะไรของตาแก่เนี่ย! มันเจ็บนะโว้ย!” ยูเรตะโกนพร้อมกับลูบหัวที่ปวดตุบๆ

ชายชราร่างเล็กในชุดคลุมโบราณยืนจ้องเขาด้วยสายตาดุดัน นี่คือ นิชิคาตะ ฟูชิโมโต้ เจ้าอาวาสของสำนักอีกา

“แกต่างหากล่ะ ทำบ้าอะไร! แอบหนีออกไปข้างนอกอีกแล้วใช่ไหม?! สำนักนี้ไม่ใช่ที่พักแรมที่แกจะไปๆ มาๆ ตามใจชอบ!” ฟูชิโมโต้ฟาดพัดใส่ยูเรอีกครั้ง

“โอ๊ย! ใจเย็นๆ หน่อยสิ! ตาแก่ มันเจ็บนะเว้ย!” ยูเรโต้กลับพร้อมกับคว้าพัดของฟูชิโมโต้มา ฟาดคืนไปเบาๆ

“เอาอีกแล้ว… ซัดกันอีกแล้ว” เสียงบ่นเบาๆ ดังขึ้นจากมุมห้อง

ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงในชุดคลุมสีดำปรากฏตัวพร้อมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นี่คือ นิชิคาตะ มายูริ ลูกศิษย์ฝีมือดีของสำนัก

“พวกคุณสองคนจะทะเลาะกันอีกแล้วเหรอครับ? ทั้งที่ผมเพิ่งทำความสะอาดโถงนี้เมื่อเช้าเองนะ…” มายูริพูดพร้อมกับร่ายเวทมนตร์บางอย่าง มือของเขาวาดวงแหวนเวทมนตร์สีฟ้าในอากาศ

ทันใดนั้น ยูเรและฟูชิโมโต้ก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ทั้งสองคนดิ้นไปมา แต่ก็ไม่อาจหลุดจากการควบคุมของมายูริได้

“มายูริ! ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ!” ฟูชิโมโต้ตะโกนด้วยความโมโห

“ถ้าคุณสองคนยังทะเลาะกันแบบนี้ ที่ผมทำไปก็ไม่มีความหมายเลยสิครับ” มายูริพูดเสียงเรียบ พร้อมกับทำท่าจะเพิ่มความสูงของทั้งสองคน

“เอาล่ะ! ฉันหยุดแล้ว! หยุดแล้ว!” ยูเรร้องบอก “ตาแก่ ฉันขอโทษ! พอใจยังไงล่ะ!”

ฟูชิโมโต้ขมวดคิ้ว แต่ยอมพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ “ก็ได้ ฉันก็จะหยุด… ปล่อยเราลงได้แล้ว เจ้าเด็กนั่น!”

มายูริหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลดระดับทั้งสองลงช้าๆ

“นี่ก็แค่วันธรรมดาอีกวันในสำนักอีกาสินะ…” ยูเรบ่นพลางปัดฝุ่นบนเสื้อคลุม

“ธรรมดาบ้านแกสิ! ถ้าแกทำตัวเรียบร้อยกว่านี้ สำนักคงไม่วุ่นวายแบบนี้!” ฟูชิโมโต้สวนกลับทันที

มายูริมองสองคนนี้ด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ “ให้ตายสิ… ผมควรไปทำความสะอาดตรงไหนต่อดีนะ”

บรรยากาศที่ควรจะสงบกลับเต็มไปด้วยเสียงทะเลาะและโหวกเหวกดังไปทั่วโถงหลัก

“หนวกหูเสียจริง เจ้าพวกบ้า! คนจะหลับจะนอน!” เสียงหงุดหงิดดังขึ้นจากอีกฟาก พร้อมรองเท้าไม้คู่หนึ่งที่พุ่งตรงเข้าใส่หน้า ยูเร อย่างแม่นยำ

“โอ๊ย! ใครปามาเนี่ย!” ยูเรร้องพลางจับจมูก

จากมุมห้อง นิชิคาตะ นัสสึมิ ลูกศิษย์สาวอีกคนของสำนัก เดินออกมาด้วยสีหน้ารำคาญ “ก็ฉันไงล่ะ นายจะเสียงดังอะไรกันนักหนา?”

“โอ้! นัสสึมิ! ช่วยเจ้าอาจารย์ด้วย!” เจ้าอาวาส ฟูชิโมโต้ตะโกนขอความช่วยเหลือ

นัสสึมิยืนกอดอกก่อนจะมองไปที่ฟูชิโมโต้ “คุณเองก็หนวกหูเหมือนกันค่ะ ช่วยทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่หน่อยจะได้ไหม?”

นิชิคาตะ นัสสึมิ สกิล: สามารถควบคุมสิ่งของที่ปาได้อย่างอิสระ แต่จะเสียการควบคุมทันทีเมื่อโดนเป้าหมาย (B)

“นี่ๆ อย่าปารองเท้าแบบนี้สิ!” มายูริ เดินมาพลางใช้เวทมนตร์ลอยรองเท้าออกไปวางที่เดิม “ตรงนั้นฉันเพิ่งกวาดเสร็จเลยนะ”

“แล้วมันจะทำไม เจ้าแว่นสี่ตา!” นัสสึมิหันไปหาเขา “อยากมีเรื่องหรือไง?”

“ก็สวยสิ จะได้ตัดสินจากครั้งก่อนให้จบๆ!” มายูริพูดพร้อมกับดันแว่นตาของตัวเอง

ทั้งสองเตรียมจะเข้าปะทะกัน ขณะที่ยูเรยืนข้างๆ พร้อมจะสู้กับใครก็ตามที่มาหาเรื่องเขา

แต่ก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้น เสียงหนักๆ ของรองเท้ากระทบพื้นดัง ตึก! พร้อมกับเสียงพื้นไม้ที่แตกหัก

“ไอ้พวกศิษย์บ้า! คิดจะพังสำนักกันหรือยังไง?!”

ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ทุกย่างก้าวของเขาดูทรงพลังจนพื้นไม้ดูเหมือนจะรับน้ำหนักไม่ไหว

“ขอประทานโทษค่ะ ท่านเจ้าสำนัก…” นัสสึมิรีบลดน้ำเสียงลงทันที

เจ้าสำนักอีกาสกิล:????????? (?????)

เจ้าสำนักยืนจ้องมองทั้งสามคนที่ตอนนี้เหมือนเด็กๆ กำลังโดนผู้ใหญ่ดุ เขาถอนหายใจยาวก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เจ้านี่หนีการฝึกวิชาอีกแล้วใช่ไหม?”

ยูเรชี้มาที่ตัวเอง “ผมเหรอ? ก็ใช่น่ะสิ! มันยุ่งยากจะตาย จะให้ทำยังไงล่ะ!”

เจ้าสำนักมองเขาด้วยสายตาอ่อนล้า “ช่างเถอะ… แต่ช่วยทำตัวดีๆ สักวันได้ไหม วันนี้เป็นวันสำคัญ”

“วันสำคัญ? วันอะไรครับ?” มายูริถามพลางมองหน้าเจ้าสำนัก

“วันเปิดสำนักวันแรก” เจ้าสำนักตอบ

ทั้งสามคนหยุดเงียบ ก่อนที่ยูเรจะพูดขึ้น “อ้อ แบบนี้นี่เอง… วันสำคัญสินะ งั้นผมจะยอมญาติดีกับพวกนี้สักวันก็แล้วกัน”

“หนึ่งวัน?” เจ้าสำนักเลิกคิ้ว “ขอทุกวันเลยไม่ได้เหรอ?”

ยูเรยักไหล่ “ก็ไม่แน่ใจนะท่าน…”

เจ้าสำนักถอนหายใจ “ให้ตายสิ พวกเจ้าเนี่ยน่าปวดหัวเสียจริง”

ในขณะที่มายูริกำลังมองพื้นไม้ที่แตกหัก น้ำตาก็เริ่มไหลออกมาเบาๆ “พื้น…ที่กวาดเสร็จไปเมื่อเช้า…”

นัสสึมิหันไปมองเขาก่อนจะหัวเราะ “ก็แค่มากวาดใหม่สิ!”

“ลองมากวาดมาเองไหมครับ!!! ” มารูริตอบกลับด้วยน้ำเสียงประชด

สำนักอีกสนั่นแข็งแกร่ง

เสียงตอกตะปูดังก้องไปทั่วโถงทางเดินที่เสียหาย ตึก… ตึก… ตอก!

มายูรินั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นไม้ ก้มหน้าก้มตาซ่อมโถงที่พังด้วยค้อนและตะปูที่ดูเหมือนไม่เข้ากับตัวเขาเลยแม้แต่น้อย

“โถ่ว… เจ้าสำนักเดินเบาๆ หน่อยไม่ได้หรือไงกัน” เขาบ่นออกมาเบาๆ ขณะตอกตะปูตัวต่อไป “แล้วทำไมผมต้องมานั่งซ่อมด้วยเนี่ย? ไม่ใช่ช่างไม้สักหน่อย!”

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง นัสสึมิ ยืนพิงผนังพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ทำไปเถอะน่า เจ้าแว่นสี่ตา” เธอแกล้งพูดพลางมองมายูริที่เหงื่อแตก

มายูริหันมาขมวดคิ้วใส่เธอ “จะช่วยหน่อยไม่ได้หรือไงกัน? เธอน่ะ!”

นัสสึมิเขยิบเข้าไปใกล้เล็กน้อยก่อนจะทำหน้าตาทะเล้น “เอ๋\~ จะให้ผู้หญิงอย่างฉันช่วยงานหนักๆ แบบนี้เหรอ? จะดีเหรอ\~?” เธอจงใจพูดเสียงอ่อนเสียงหวานพร้อมขยิบตาให้อย่างจงใจ

มายูริกลอกตา ถอนหายใจยาว “ไม่ต้องมาสำอ๋อยเลย! ถ้าไม่ช่วยก็ไปซะ จะได้ไม่เกะกะสายตา!”

นัสสึมิหัวเราะคิกคักก่อนจะยกมือขึ้นในท่าปล่อยวาง “โอเคๆ ถ้านายพูดดีๆ กับฉันสักนิดก็คงช่วยไปแล้ว… แต่ในเมื่อไม่พูด ก็… ไปล่ะ!”

เธอหมุนตัวเดินออกจากโถงทางเดินอย่างสบายใจ

มายูริมองตามเธอพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง “หึ… คนโกหกตลอดปีอย่างเธอน่ะจะช่วย? ฝันไปเถอะ!”

เขาหันกลับมาลงมือซ่อมแซมต่อ เหงื่อเริ่มไหลซึมตามไรผม แต่มือของเขายังคงขยับไม่หยุด

เวลาผ่านไปช้าๆ แต่ในที่สุด มายูริก็ยืนขึ้นและปัดฝุ่นบนมือของตัวเอง “เสร็จสักที… เฮ้อ…”

เขามองผลงานด้วยความภูมิใจเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเอง…

เสียงหัวเราะเบาๆ ของนัสสึมิดังมาจากอีกมุมหนึ่ง “เอ้อ… ทำเสร็จเร็วดีนี่นา เจ้าแว่นสี่ตา”

“เธอยังไม่ไปอีกเหรอ!?” มายูริหันขวับมาพร้อมกับทำหน้าเหนื่อยใจ

“ก็แค่อยากดูนายซ่อมให้เสร็จน่ะสิ” นัสสึมิกอดอกพร้อมยิ้มกว้าง “ถือเป็นการช่วยทางจิตใจแล้วกันนะ!”

“ให้ตายสิ… แบบนี้สู้ไม่ช่วยเลยยังจะดีกว่า!” มายูริพึมพำพลางเก็บเครื่องมือของเขา

ณ ด้านหน้าประตูไม้เก่าแก่ของ สำนักอีกา…

เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ เขาเดินวนไปมาหลายรอบ ราวกับกำลังลังเลอะไรบางอย่าง ใบหน้าของเขาดูซีดเล็กน้อย ขณะที่เขาถอนหายใจออกมาดังๆ

“ถ้าจะเข้ามาสมัคร ก็เข้าไปสิ มายืนขวางประตูอยู่แบบนี้น่ารำคาญ”

เสียงเรียบเย็นดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งจนแทบกระโดดหันกลับไปมองอย่างตกใจ

ชายคนหนึ่งยืนกอดอกอยู่ ใบหน้าเรียบนิ่งของเขาไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ นี่คือ นิชิคาตะ มายูริ ลูกศิษย์คนสำคัญของสำนักอีกา

“อ่ะๆ คะ-คือว่า… คุณเป็นศิษย์ของที่นี่ใช่ไหมครับ?” เด็กหนุ่มพูดเสียงสั่นจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง

“ใช่แล้ว” มายูริตอบพลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา “แต่ก่อนอื่นช่วยหลบไปหน่อย ระวังหัวด้วยล่ะ”

“ขอโทษครับ! ผมจะหลบเดี๋ยวนี้เลย!” เด็กหนุ่มรีบถอยไปยืนข้างประตูอย่างลนลาน

มายูริถอนหายใจ “ถ้าแค่นี้ก็กลัวแล้ว นายไม่ต้องเข้ามาสำนักนี้หรอก ที่นี่มีแต่ปัญหา คนอ่อนแอไม่สมควรมาเหยียบพื้นที่ของสำนักอีกา”

ทันใดนั้น บรรยากาศรอบตัวเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไป มายูริเริ่มแผ่รังสีอันกดดันออกมา หนักอึ้งจนเหมือนมีหินขนาดใหญ่กดทับอยู่

เด็กหนุ่มกัดฟัน สั่นเล็กน้อยแต่กลับยืนนิ่งไม่ล้ม

“เอ๋\~! ทนได้งั้นเหรอ?” เสียงสดใสดังขึ้นจากข้างหลัง เด็กหนุ่มหันไปมองและพบ นิชิคาตะ นัสสึมิ เดินออกมาจากเงามุมหนึ่ง

“ปกติคนส่วนใหญ่ที่โดนแรงกดดันนี้ ต้องคุกเข่าไปแล้วสิ แปลกแฮะ” นัสสึมิยิ้มพลางมองเด็กหนุ่มด้วยความสนใจ

มายูริมองนัสสึมิด้วยหางตา “เมื่อกี้อาจปล่อยเบาไป ขอลองอีกที”

เขากำลังจะเพิ่มระดับแรงกดดันอีกครั้ง แต่…

“พอแค่นั้นแหละ มายูริ” เสียงเรียบแต่น่าเกรงขามดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของ เจ้าอาวาสฟูชิโมโต้

มายูริหันมามอง “อาจารย์ ออกมาห้ามทำไมครับ? แค่ทนแรงกดดันปกติของผมได้ หมอนี่ก็ไม่ธรรมดาแล้วนะ”

นัสสึมิพยักหน้า “ฉันเห็นด้วยค่ะ ไม่ต้องทดสอบอะไรอีกแล้ว”

ฟูชิโมโต้ส่ายหน้า “พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องนี้ เจ้าหนู เข้ามาข้างในได้”

เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยเสียงสั่นๆ “ค-ครับ!”

แต่ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าไป เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นจากอีกฟากถนน

“อ้าวๆ มีคนมาสมัครแค่คนเดียวเองเหรอ? น่าสงสารกันจังนะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”

อาซาชิ กันโซ ผู้จัดการสำนักหงส์ฟ้าเดินออกมาพร้อมกับลูกศิษย์ของเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน

“นี่เจ้าหนู มาด้านนี้ดีกว่า อย่าไปสำนักกระจ๊อกๆ แบบนั้นเลย” เขาชี้ไปที่เด็กหนุ่ม

มายูริหันไปจ้องกันโซด้วยสายตาเย็นเยียบ “จะว่าด่าฉันยังไงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามาดูถูกสำนักนี่ ฉันจะไม่ทน!”

กันโซหัวเราะเสียงดัง “โอ้\~ หัวรุนแรงไม่เปลี่ยนเลยนะ สมแล้วที่เป็นสำนักกากๆ ฮ่าฮ่าฮ่า!”

นัสสึมิรีบคว้าแขนมายูริ “อย่าไปฟังมัน มันแค่ยั่วโมโหนายอยู่”

มายูริกัดฟันกรอด “ฉันจะไม่หลงกลหรอก!”

กันโซยักไหล่ “อ้าว แย่จัง นึกว่าจะติดกับซะอีก เอาเถอะ เจ้าหนู” เขาหันไปหาเด็กหนุ่ม “อย่าเสียเวลา ไปที่สำนักของเราเถอะ รับรองว่านายจะได้ฝึกกับคนที่แข็งแกร่งจริงๆ”

เด็กหนุ่มมองไปที่กันโซ ก่อนจะหันกลับมามองเจ้าอาวาสฟูชิโมโต้

เจ้าอาวาสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นคง “อย่าสนใจคำพูดนั้น สำนักอีกาอาจไม่ได้ใหญ่โต แต่พวกเราฝึกฝนคนให้แข็งแกร่ง หากนายมั่นใจในตัวเอง ก้าวเข้ามาได้เลย”

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึก ก่อนจะพยักหน้า “ครับ! ผมเลือกสำนักอีกา!”

ในโถงฝึกของสำนักอีกา บรรยากาศตึงเครียดเมื่อ เจ้าอาวาสฟูชิโมโต้ เอ่ยถามเด็กหนุ่มหน้าใหม่

“เจ้าชื่ออะไร เด็กใหม่”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนตอบด้วยเสียงสั่น “ซากิยะ อันเร…”

เจ้าอาวาสพยักหน้าเล็กน้อย “แล้วสกิลของเจ้าล่ะ แสดงมาให้เห็นสิ”

เมื่อได้ยินคำว่า สกิล ใบหน้าของอันเรซีดลงอีก ตัวของเขาสั่นอย่างเห็นได้ชัด

“คือว่า… ไม่แสดงได้ไหมครับ” อันเรพูดพลางหลุบตาลง ราวกับกลัวอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพลังของตัวเอง

เจ้าอาวาสมองเขาด้วยสายตาเข้าใจและใจเย็น “แสดงออกมาเถอะ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” จากนั้นจึงหันไปทาง มายูริ ที่ยืนอยู่ไม่ไกล “มายูริ เป็นคู่มือให้เขาที”

มายูริถอนหายใจเล็กน้อย แต่พยักหน้ารับ “ได้ครับ เจ้าอาวาส”

อันเรมองมายูริด้วยสายตาลังเล แต่ในที่สุดก็สูดหายใจลึกและพยักหน้า “งั้น… พยายามหยุดผมให้ได้นะครับ ศิษย์พี่”

เมื่อสิ้นเสียงพูด บรรยากาศรอบตัวอันเรเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงสดเหมือนเลือด ลวดลายสีดำเริ่มกระจายไปทั่วร่างกายราวกับเถาวัลย์มืดที่เกาะเกี่ยวผิวหนัง

จากนั้น… พรึบ!

อันเรพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่แทบมองไม่เห็น

ในพริบตา เขาก็มายืนประชิดตัวมายูริ พร้อมกับมีดสั้นแปลกประหลาดที่จ่ออยู่ที่คอของอีกฝ่าย

“เร็ว…” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเงามุมห้อง นัสสึมิ โผล่ออกมาพร้อมมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ “เอ๋! ปกติพวกหน้าใหม่ไม่มีใครเร็วขนาดนี้นี่นา!”

แต่ก่อนที่มีดจะทำอันตรายใดๆ ได้ มายูริก็ดันอันเรกระเด็นออกไปด้วยแรงของเขา

“เกือบไปแล้ว…” มายูริพูดพร้อมกับขยับคอเบาๆ “เจ้าหนูนี่มันอันตรายจริงๆ”

แต่ทว่า… ดวงตาของอันเรกลับยังคงเป็นสีแดงสด ร่างกายของเขาเริ่มสั่น ก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมา “แก๊… ย๊ากกก!”

การโจมตีของเขากลับกลายเป็นมั่วซั่ว ไม่มีทิศทาง ราวกับขาดสติ

มายูริมองดูด้วยความระมัดระวัง “แบบนี้ไม่ได้การ…”

เขาเรียกหอกที่ส่องประกายแสงจางๆ ออกมา “ศาสตร์ปรามารจงแตกสลาย… หอกแห่งแม่ทัพ!”

นิชิคาตะ มายูริ

สกิล:

• ทำให้วัตถุและสิ่งชีวิตลอยขึ้น (C+)

• หอกแห่งแม่ทัพ (A+) [อาคารุ เมเอดิส]

เขาใช้หอกพุ่งแทงออกไปหลายครั้ง รวดเร็วราวกับสายฝน แต่ทุกครั้งที่หอกพุ่งเข้าใส่อันเร เขากลับสามารถปัดป้องได้ทั้งหมด

“เจ้านี่… ไม่ธรรมดาจริงๆ” มายูริพึมพำขณะมองอันเรที่เดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ

“เจ้าหนู แข็งแกร่งใช้ได้เลยนี่นา” มายูริพูดพร้อมแสยะยิ้มเล็กน้อย “แต่ว่า… มายืนอยู่ในระยะประชิดแบบนี้ มันจะดีเหรอ?”

ตึก!

ทันใดนั้น มายูริก็แผ่แรงกดดันออกมาอย่างรุนแรงกว่าเดิม

แรงกดดันมหาศาลราวกับภูเขาทั้งลูกถาโถมเข้าใส่อันเร เด็กหนุ่มที่เคยทนต่อแรงกดดันครั้งก่อนกลับทรุดลงกับพื้น ก่อนจะหมดสติไป

“จบแล้วครับ เจ้าสำนัก…” มายูริพูดพร้อมกับทรุดตัวลงเล็กน้อย เหงื่อเริ่มไหลซึมตามไรผม “ผม… ไปพักได้หรือยัง?”

เจ้าอาวาสยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้า “ไปพักเถอะ นายทำดีมากแล้ว”

ศิษย์คนอื่นๆ รีบเข้ามาพยุงตัวอันเรที่หมดสติออกไปพักผ่อนที่ห้อง

ในขณะนั้น นัสสึมิ เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “พยายามได้ดีนี่ เจ้าแว่นสี่ตา”

มายูริมองเธอด้วยสายตาเหนื่อยล้า “อ่า… พยายามแล้ว…” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่มีแรง ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง

“เป็นอะไรของนาย แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วเหรอ?” นัสสึมิพูดพลางหัวเราะ “เอ้อ\~ ไปพักเถอะ เดี๋ยวเหนื่อยตาย”

เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม…

ภายในห้องพักเงียบสงัด ซากิยะ อันเร ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกหนักอึ้งทั้งร่างกายและจิตใจ เขามองเพดานห้องก่อนจะถอนหายใจยาว

“ทำไม… ทำไมฉันถึงได้อ่อนแอขนาดนี้…” เขาพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงสั่น น้ำตาค่อยๆ ไหลลงข้างแก้มโดยไม่รู้ตัว ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ยังคงหลอกหลอนในหัวของเขา

“ทั้งๆ ที่พยายามแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงพ่ายแพ้…”

ขณะที่เขากำลังจมอยู่ในความคิดประตูห้องก็ถูกเปิดออกเบาๆ หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมถือถาดในมือ

“ฉันเอาชุดกับยามาให้ค่ะ ยินดีที่สอบผ่านด้วยนะคะ”

เสียงของเธออ่อนโยน และเธอค่อยๆ คุกเข่าลงก่อนวางสิ่งของในถาดทีละอย่าง

อันเรยังคงมึนงงเล็กน้อย “เมื่อกี้… เธอว่าอะไรนะ?”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มบางๆ “ยินดีต้อนรับสู่สำนักอีกานะคะ คุณสอบผ่านแล้วค่ะ”

เธอยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป ทิ้งให้อันเรนั่งนิ่งอยู่กับความสับสน

“สอบผ่าน… ทั้งๆ ที่ฉันแพ้แท้ๆ ทำไมถึงสอบผ่าน…” เขาคิดอย่างสับสน ก่อนจะรีบลุกขึ้นและวิ่งออกจากห้อง

อันเรเดินตามทางพลางมองไปรอบๆ ด้วยความมึนงง แต่เขากลับหลงทางและมาถึงลานสวนหย่อมขนาดใหญ่

ที่กลางลาน เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังฝึกฝนอะไรบางอย่าง เธอถือธนูในมือและยืนอยู่ในท่วงท่าที่สง่างาม

“เอ่อ… คือว่า…” อันเรเอ่ยขึ้น แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ เสียงเข้มก็ดังขึ้นจากด้านข้าง

“เงียบหน่อย! เธอต้องใช้สมาธิ!”

ชายคนหนึ่งถือกระบองสามท่อนเดินเข้ามาชี้หน้าเขา ก่อนจะส่งสัญญาณมือให้เงียบ

อันเรจึงเงียบเสียงและมองไปที่หญิงสาวกลางลานที่กำลังสูดลมหายใจเข้าลึก

รอบตัวของเธอมีลูกโป่งหลากสีลอยอยู่เต็มลาน จากนั้นเธอหยิบธนูขึ้นและยิงออกไปอย่างรวดเร็ว ลูกโป่งทั้งหมดถูกยิงแตกภายในเวลาไม่กี่วินาที

เสียงปรบมือดังขึ้นจากคนที่ยืนดูรอบลาน

“เมื่อกี้นายจะทำอะไร? มาก่อกวนท่านโคมิอย่างนั้นเหรอ?” ชายถือกระบองถามด้วยน้ำเสียงดุดัน ก่อนจะยกกระบองขึ้นเตรียมฟาดใส่อันเร

แต่กระบองของเขากลับถูกหยุดไว้กลางอากาศ

“ฮันโซ เจ้านี่เป็นเด็กใหม่ อย่าก่อเรื่องจะได้ไหม?” มายูริ เดินเข้ามาพร้อมกับมองชายถือกระบองด้วยสายตาเรียบนิ่ง

ฮันโซหันมามองมายูริ “เด็กใหม่ที่ว่านี่เหรอ? พลังวิญญาณก็อ่อนแอ รับเข้ามาได้ยังไง?”

มายูริยิ้มเย็น “เขาถูกยอมรับแล้ว เข้าใจไหม? เพราะงั้นเขาไม่ใช่คนนอก”

ฮันโซชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะปิดการใช้งานสกิลของตัวเอง

นิชิคาตะ ฮันโซ สกิล: กระบ่องสามท่อน (C-)

“ตามมาสิ เจ้าหนู นายคงจะไปหาเจ้าสำนักใช่ไหม?” มายูริหันมาทางอันเร

“คะ-ครับ” อันเรตอบพร้อมกับรีบเดินตาม

มายูริเดินนำทางพลางพูด “ฟังนะ ที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น เรามีกฎของเราเอง พื้นที่แต่ละจุดมีหน้าที่ชัดเจน ถ้าทำผิด นายจะโดนลงโทษ จำไว้ว่านี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนอ่อนแอ”

“แต่ทำไมถึงต้องใช้นามสกุลของสำนักด้วยล่ะครับ?” อันเรถามด้วยความสงสัย

มายูริหันมามอง “ไม่รู้สิ… ไอ้ฉันไม่ได้อยู่มาตั้งแต่รุ่นแรก ส่วนใหญ่พวกรุ่นพี่เขาไปบำเพ็ญเพียรกันหมด”

“แล้วศิษย์พี่ไม่ไปเหรอ?”

“ยังหรอก…” มายูริพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ฉันยังเรียนรู้ศาสตร์ของที่นี่ไม่หมด เลยยังไปไม่ได้”

ในที่สุด ทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าห้องของเจ้าสำนัก

“ถึงแล้วล่ะ” มายูริบอกก่อนจะตบบ่าอันเรเบาๆ “โชคดีนะเจ้าหนู”

“ขอบคุณที่มาส่งนะครับ ศิษย์พี่” อันเรพูดพร้อมกับก้มหัวให้ ก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วเคาะประตู

นิชิคาตะ มายูริ ยืนพิงกรอบประตูพลางมองออกไปที่ถนนเบื้องหน้า ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังภาพของผู้คนจำนวนมากที่กำลังต่อแถวอยู่ด้านหน้าสำนักหงส์ฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้าม

เขาถอนหายใจยาว “เฮ้อ… คิดถึงเมื่อก่อนจริงๆ …”

เบื้องหลังของเขา นิชิคาตะ อามิ ศิษย์อีกคนของสำนักอีกา นั่งอยู่บนขั้นบันได หันหน้ามองไปทางเดียวกับมายูริ เธอเอามือเท้าคาง พลางพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“อืม… นั่นสิ สมัยก่อนคนมาต่อแถวหน้าสำนักของเราจนแทบรับมือไม่ทัน…”

มายูริพยักหน้า “ใช่… ตอนนั้นทุกอย่างดูคึกคัก คนมากมายอยากเข้ามาเรียนที่นี่ เพราะเห็นความแข็งแกร่งของเรา แต่ตอนนี้…”

ทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่อามิจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ตั้งแต่สำนักบ้านั่นมา ทางเราก็มีคนลดลงเรื่อยๆ … ชิ! ยิ่งพูดยิ่งน่าโมโห ทำไมพวกสภาถึงไม่ทำอะไรเลย ทั้งๆ ที่เราแจ้งเรื่องนี้ไปแล้ว!”

เธอทุบพื้นเบาๆ ด้วยกำปั้น เสียงดัง ตึก!

มายูริหันมามองอามิด้วยสายตานิ่งๆ แต่แฝงไปด้วยความเข้าใจ “ฉันเองก็โกรธเหมือนกัน… แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”

เขามองไปที่แถวของสำนักหงส์ฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะพูดเบาๆ ราวกับบอกตัวเอง “ได้แต่หวังว่ารุ่นพี่ที่ออกไปบำเพ็ญเพียร จะกลับมาเร็วๆ … และปลอดภัย…”

อามิพยักหน้า ดวงตาของเธอมีแววเศร้าปนความกังวล “อืม… ตอนที่พวกเขาอยู่ ทุกอย่างก็ดูดีกว่านี้เยอะ เราเคยเป็นสำนักที่มีแต่คนเกรงขาม… แต่ตอนนี้…”

มายูริยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปทางอามิและยิ้มบางๆ “ไม่ต้องกังวลหรอก อามิ ถึงเราจะมีคนน้อย แต่เรายังมีศิษย์ที่แข็งแกร่ง ฉันเชื่อว่าวันหนึ่ง สำนักอีกาจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง”

อามิถอนหายใจ “ก็ได้แต่หวังแบบนั้น…”

หุบเขาแห่งหนึ่ง....

สายฝนกระหน่ำลงมาราวกับจะฉีกทุกสิ่งให้แหลกสลาย เสียงลมพัดหอนก้องไปทั่ว พร้อมกับเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างไม่ปรานี

เปรี้ยง!

สายฟ้าสว่างวาบในความมืดของค่ำคืน เผยให้เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในถ้ำแคบๆ บริเวณเชิงเขา

ภายในถ้ำ ร่างของพวกเขาเปียกชุ่มจากฝนที่สาดเข้ามา น้ำหยดจากเสื้อผ้าและผมลงพื้นเป็นแอ่งเล็กๆ เปลวไฟจากกองไฟเล็กๆ ที่พวกเขาก่อไว้กำลังสั่นไหวราวกับจะดับลงได้ทุกเมื่อ

ชายคนหนึ่งในกลุ่มเงยหน้าขึ้น มองออกไปยังปากถ้ำที่ลมและฝนยังคงถาโถมอย่างไม่หยุดยั้ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลและความเหนื่อยล้า

“นี่ก็หลายชั่วโมงแล้ว… ฝนไม่มีทีท่าจะหยุดเลย” เขาพึมพำเบาๆ พลางหันกลับมามองกลุ่มของตน

“นั่งพักไปก่อน” หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น น้ำเสียงของเธอหนักแน่น แต่แฝงไปด้วยความกังวล “พวกเราต้องรอให้พายุนี้สงบลงก่อน ถึงจะไปต่อได้”

ชายอีกคนที่นั่งอยู่ด้านในสุดของถ้ำกำมือแน่น “แต่เรารอไม่ได้ ถ้าพวกมันตามมา เราจะไม่มีทางหนี!”

หญิงคนเดิมหันมามองเขาด้วยสายตาคมกริบ “ถ้าออกไปตอนนี้ มีแต่จะตาย… หรือนายอยากลองไปเผชิญหน้ากับพายุข้างนอก?”

เสียงของเธอทำให้ทุกคนในถ้ำเงียบลงอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมและสายฝนที่ยังคงโหมกระหน่ำ

ชายหนุ่มอีกคนที่ดูอ่อนวัยกว่าคนอื่นกำลังตัวสั่นอยู่ข้างกองไฟ เขากอดเข่าและมองเปลวไฟที่กำลังดิ้นรนสู้กับแรงลม

“แล้วเราจะรอดไปได้จริงๆ ไหม…” เขาพึมพำเบาๆ จนแทบไม่มีใครได้ยิน

หญิงคนเดิมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามปลอบประโลม “พวกเราจะรอด… เราต้องรอด”

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ทุกคนในถ้ำสะดุ้ง แต่พวกเขายังคงต้องนั่งรอ รอจนพายุนี้สงบลง เพื่อที่จะออกเดินทางต่อไป

รายชื่อตัวละครในสำนักอีกา

นิชิคาตะ มายูริ (รุ่น 3)

• ตำแหน่ง: ศิษย์รุ่นที่ 3

• สกิล:

• ทำให้วัตถุและสิ่งมีชีวิตลอยขึ้น (C+)

• หอกแห่งแม่ทัพ [อาคารุ เมเอดิส] (A+)

• บุคลิก: เงียบขรึม ฉลาด มีไหวพริบในการต่อสู้ มักทำตัวเป็นคนที่เหมือนไม่สนใจสิ่งรอบตัว แต่จริงๆ แล้วเป็นห่วงสำนักและเพื่อนมาก

• บทบาท: รุ่นพี่ผู้รับผิดชอบการดูแลศิษย์รุ่นใหม่ และเป็นตัวแทนในการปะทะกับศิษย์จากสำนักอื่น

นิชิคาตะ โคมิ (รุ่น 2)

• ตำแหน่ง: ศิษย์รุ่นที่ 2

• สกิล: (ยังไม่ระบุในเรื่อง)

• บุคลิก: มีความสง่างามและสุขุม เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งที่ผสมผสานกับความอ่อนโยน

• บทบาท: ผู้ฝึกฝนและพัฒนาเทคนิคของสำนัก เป็นแบบอย่างให้ศิษย์รุ่นหลัง

นิชิคาตะ????? (คนที่เอายามาให้)

• ตำแหน่ง: ศิษย์รุ่นที่ไม่ระบุแน่ชัด อาจเป็นรุ่น 3

• สกิล: (ยังไม่ระบุในเรื่อง)

• บุคลิก: อ่อนโยนและใจดี มักดูแลศิษย์คนอื่นๆ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเข้ามาในสำนัก

• บทบาท: สนับสนุนและให้กำลังใจศิษย์คนอื่น เป็นตัวแทนของความอบอุ่นในสำนัก

นิชิคาตะ อามิ (รุ่น 3)

• ตำแหน่ง: ศิษย์รุ่นที่ 3

• สกิล: (ยังไม่ระบุในเรื่อง)

• บุคลิก: มุ่งมั่น ขยัน และภักดีต่อสำนัก เป็นคนพูดตรง บางครั้งแสดงความหงุดหงิดอย่างชัดเจน แต่มีจิตใจดี

• บทบาท: ทำหน้าที่ช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในสำนัก และคอยเป็นกำลังใจให้เพื่อนศิษย์

นิชิคาตะ นัสสึมิ (รุ่น 3)

• ตำแหน่ง: ศิษย์รุ่นที่ 3

• สกิล: ควบคุมสิ่งของที่ปาได้อย่างอิสระ แต่จะเสียการควบคุมเมื่อโดนเป้าหมาย (B)

• บุคลิก: ร่าเริง เจ้าเล่ห์ ชอบแหย่คนอื่นแต่ไม่เคยมีเจตนาร้าย ชอบสร้างบรรยากาศให้สนุกสนานในสำนัก

• บทบาท: เป็นตัวละครที่เพิ่มความสดใสในกลุ่ม และคอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีม

นิชิคาตะ ยูเรนัส (รุ่น 3)

• ตำแหน่ง: ศิษย์รุ่นที่ 3

• สกิล: (ยังไม่ระบุในเรื่อง)

• บุคลิก: ชอบทำตัวลึกลับ บางครั้งแสดงออกเหมือนไม่สนใจสิ่งใด แต่มีความสามารถในการประเมินสถานการณ์ที่ยอดเยี่ยม

• บทบาท: เป็นตัวแทนของศิษย์ที่มีศักยภาพสูง แต่ชอบทำอะไรนอกกรอบ

นิชิคาตะ ฮันโซ (รุ่น 3)

• ตำแหน่ง: ศิษย์รุ่นที่ 3

• สกิล: กระบองสามท่อน (C-)

• บุคลิก: โผงผาง ตรงไปตรงมา บางครั้งใช้อารมณ์นำเหตุผล แต่มีความภักดีต่อสำนักและเพื่อนสูง

• บทบาท: เป็นตัวละครที่มักสร้างความขัดแย้งเล็กๆ ในกลุ่ม แต่ก็เป็นคนที่พร้อมปกป้องสำนักเสมอ

นิชิคาตะ ฟูชิโมโต้ (เจ้าอาวาส)

• ตำแหน่ง: อาจารย์ใหญ่ของสำนัก

• สกิล: (ยังไม่ระบุในเรื่อง แต่ควรเป็นระดับที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนัก)

• บุคลิก: สุขุม รอบคอบ และเป็นผู้นำที่ได้รับความเคารพอย่างสูง มีประสบการณ์และปัญญาในการจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ

• บทบาท: เป็นศูนย์รวมจิตใจของสำนัก และคอยชี้แนะศิษย์ในทุกๆ ด้าน

นิชิคาตะ อันเร (รุ่น 4)

• ตำแหน่ง: ศิษย์รุ่นที่ 4 (ซากิยะ อันเร เปลี่ยนชื่อหลังเข้าร่วมสำนัก)

• สกิล: พลังที่ยังไม่เปิดเผยเต็มที่ (เกี่ยวกับดวงตาสีแดงและลวดลายสีดำที่ปรากฏบนร่างกาย)

• บุคลิก: ขี้อายและไม่มั่นใจในตัวเอง แต่มีความพยายามและศักยภาพแฝงที่น่าทึ่ง

• บทบาท: ตัวแทนของศิษย์ใหม่ที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง และเป็นความหวังใหม่ของสำนัก

เจ้าสำนัก?????

• ตำแหน่ง: ผู้ดูแลสำนักในยุคปัจจุบัน (อาจเป็นระดับสูงกว่าฟูชิโมโต้)

• สกิล: (ยังไม่ระบุในเรื่อง)

• บุคลิก: ลึกลับและทรงพลัง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของทุกการตัดสินใจในสำนัก

• บทบาท: เป็นตัวละครที่สร้างแรงบันดาลใจและความหวังให้กับศิษย์

รุ่นพี่คนอื่นๆ ที่ออกไปบำเพ็ญเพียร

• ตำแหน่ง: ศิษย์รุ่นก่อนหน้า

• บทบาท: ตัวแทนของศิษย์ผู้แข็งแกร่งในอดีตที่ออกไปฝึกฝนเพิ่มเติม และอาจกลับมาพร้อมความช่วยเหลือในอนาคต

ศาสตร์ปราบมาร

ซากิยะ อันเร เดินเข้ามาภายในห้องที่เต็มไปด้วยความมืดมิด ไม่มีแสงใดเล็ดลอดเข้ามาแม้แต่น้อย บรรยากาศในห้องเงียบจนได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของเขาก้องสะท้อนไปทั่ว

ทันทีที่เขาก้าวเข้ามา ประตูไม้ด้านหลังก็ปิดลงดัง ปัง!

“ใครน่ะ!” อันเรหันขวับไปทางประตู แต่เขาไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด

เสียงแหบต่ำดังขึ้นจากมุมห้อง “กำลังรอเจ้าอยู่เลย… อันเร”

หลังสิ้นเสียง เทียนในห้องก็ค่อยๆ สว่างขึ้น เผยให้เห็นชายชราในชุดคลุมสีดำ เขาคือ นิชิคาตะ ฟูชิโมโต้ เจ้าอาวาสของสำนักอีกา

ฟูชิโมโต้นั่งอยู่ที่กลางห้อง มือของเขากำลังเช็ดดาบเล่มหนึ่งอย่างเบามือ ใบดาบเก่าๆ ขึ้นสนิมเต็มไปด้วยรอยแผลจากการต่อสู้ ดวงตาของเจ้าอาวาสจ้องดาบเล่มนั้นราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่า

อันเรกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง ก่อนที่เขาจะรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง

ภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ รอยขีดข่วนจากคมดาบนับพันและร่องรอยลูกศรปักคาอยู่ตามกำแพง ผนังทุกด้านบอกเล่าเรื่องราวของการต่อสู้ที่เคยเกิดขึ้นในห้องนี้

“นี่มัน… อะไรกันครับ? ทำไม… ทำไมถึงน่ากลัวแบบนี้?” อันเรพูดด้วยเสียงสั่น

ฟูชิโมโต้ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะวางดาบลงกับโต๊ะ “อย่าได้ใส่ใจ และอย่าได้หวาดกลัวไป เจ้าหนู”

เจ้าอาวาสลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ ทำให้อันเรต้องถอยหลังไปโดยอัตโนมัติ เขารู้สึกถึงบรรยากาศที่กดดัน แม้ชายชราตรงหน้าจะไม่ได้แผ่พลังใดๆ ออกมา

“แต่… ท่านครับ ห้องนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” อันเรถามด้วยความหวาดกลัวและสงสัย

ฟูชิโมโต้ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “หากเจ้าอยากรู้นักล่ะก็… จงเอาชนะข้าให้ได้ก่อน แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”

“มะ…ไม่ล่ะครับ!” อันเรรีบปฏิเสธ “ผมไม่อยากรู้แล้ว… แต่ที่ผมอยากรู้คือ ทำไมท่านถึงให้ผมผ่านการทดสอบ ทั้งๆ ที่ผมแพ้…”

เจ้าอาวาสมองอันเรด้วยสายตาที่นิ่งสงบ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเมตตา

“ชัยชนะไม่ได้เป็นตัวตัดสินไปเสียทุกอย่าง เจ้าหนู” ฟูชิโมโต้เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ “ไม่ว่าจะแพ้สักกี่ครั้ง พวกเราก็เลือกรับศิษย์ที่มี จิตใจที่ไม่ยอมแพ้”

“จิตใจที่ไม่ยอมแพ้?” อันเรทวนคำพูดนั้น

“ใช่…” เจ้าอาวาสพยักหน้า “แม้เจ้าจะหมดสติไป แต่ร่างกายของเจ้าก็ยังตอบสนองต่อการต่อสู้ นั่นคือจิตใจที่ยังไม่ยอมแพ้ แม้ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง”

อันเรนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย “งั้น… ทำไมศิษย์พี่มายูริถึงแข็งแกร่งขนาดนั้นล่ะครับ? ทั้งแรงกดดันและอาวุธพวกนั้น มันดู… เหนือกว่าผมมาก”

ฟูชิโมโต้หัวเราะเบาๆ “นั่นเพราะมายูริฝึกฝนหนักกว่าคนอื่นๆ เขาทุ่มเทเวลาทั้งหมดของเขาเพื่อพัฒนาตัวเอง แม้ว่าเขาจะทำตัวเหมือนคนอ่อนแอ…”

“แกล้งทำเหรอครับ?” อันเรถามด้วยความประหลาดใจ “แต่ทำไมเขาต้องทำแบบนั้น?”

ฟูชิโมโต้ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้… เขาน่าจะมีเหตุผลส่วนตัวของเขาเอง เจ้าอย่าไปใส่ใจมากนัก”

เขาหันมาทางอันเรอีกครั้ง “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้จะเริ่มการเรียนของพวกเจ้าแล้ว”

อันเรพยักหน้า “ขอรับ…” แต่เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถามขึ้น “เดี๋ยวนะครับ พวกเรา หมายความว่ายังไง?”

เจ้าอาวาสยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลึกลับ “ช่างเถอะ… พรุ่งนี้เจ้าจะได้รู้เอง”

อันเรมองเจ้าอาวาสด้วยความสงสัย แต่ในที่สุดก็โค้งให้แล้วเดินออกจากห้องไป

ณ ถนนสายหนึ่งในยามค่ำคืน…

สายลมเย็นพัดผ่านถนนร้าง ผู้คนที่เคยเดินขวักไขว่หายไปหมด มีเพียงชายชราในชุดคลุมยาวที่ยืนถือไม้เท้าอยู่กลางถนน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยย่นที่แสดงถึงอายุและประสบการณ์

ตรงหน้าของเขา… แม้ไม่มีใครมองเห็น แต่ในสายตาของเขากลับเห็นบางสิ่งที่น่ากลัว

ปีศาจสองหน้า สูงกว่ามนุษย์ถึงสองเท่า มันแสยะยิ้มกว้างพร้อมเสียงหัวเราะที่น่าขนลุก

“หึ มนุษย์อย่างเจ้านี่ช่างน่าประทับใจเสียจริง ที่สามารถหลบการโจมตีของข้าได้…”

ชายชรากระชับไม้เท้าในมือ “ในจิตใจของเจ้ามีความชั่วแฝงอยู่… เจ้าปีศาจ”

ปีศาจชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆๆ บทพูดแบบนี้… เจ้าเป็นเอ็กซอร์ซิสต์งั้นเหรอ?”

ชายชราไม่ได้ตอบ แต่ค่อยๆ ยกไม้เท้าขึ้น พร้อมกล่าวคำภาวนา “พระบิดา โปรดมอบพลังแก่ข้าพระเจ้า และเป็นโล่ให้แก่มวลมนุษย์…”

ดวงตาของปีศาจเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ มันคำรามเสียงดังจนพื้นถนนสั่นสะเทือน “เจ้าพวกเอ็กซอร์ซิสต์! ข้าจะฉีกปากเจ้าให้ร่ายคำสาปไม่ออก!”

มันพุ่งเข้าหาชายชราด้วยความเร็ว แต่ชายชราหลบการโจมตีนั้นได้อย่างเฉียดฉิว

“ข้าขออวยพร… ให้ปีศาจที่อยู่ต่อหน้าข้า จงแตกสลายไปเสีย!”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ไอ้เจ้าเอ็กซอร์ซิสต์เฮงซวย!”

ชายชราไม่ได้สนใจคำพูดของมัน เขายื่นมือไปแตะที่ใบหน้าของปีศาจพร้อมเอ่ยคำสุดท้าย “สายไปแล้ว เจ้าปีศาจ… จงกลับไปยังที่ของเจ้าเสียเถอะ”

ทันใดนั้น ร่างกายของปีศาจเริ่มสลายไปทีละน้อย จนในที่สุดมันกลับคืนร่างเป็นเด็กชายตัวเล็กที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น

ชายชราหยิบผ้าคลุมออกมาคลุมตัวเด็กชาย ก่อนจะหันไปหาพ่อแม่ของเด็กที่ยืนอยู่ไม่ไกล

“เอานี่… ลูกของพวกเจ้า และอย่าได้มีจิตใจที่อ่อนแออีกต่อไป เพราะปีศาจมักชอบสิงผู้ที่จิตใจอ่อนแอ”

พ่อของเด็กชายก้มหัวให้ชายชรา “ขอบพระคุณครับ คุณยามาโตะ ที่ช่วยลูกของพวกเรา…”

ชายชราซึ่งชื่อ ยามาโตะ ยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรๆ … เบลัส” เขาหันไปหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลัง “เก็บชิ้นส่วนของปีศาจเมื่อครู่นี้ได้ไหม?”

ชายหนุ่มที่ชื่อ เบลัส พยักหน้า “ได้ครับ อาจารย์”

ยามาโตะหยิบใบโคลเวอร์สี่แฉกออกมายื่นให้พ่อแม่ของเด็กชาย “นี่… มันจะช่วยปกป้องพวกเจ้า ไม่ให้ปีศาจเข้ามาใกล้อีก”

“ขอบพระคุณครับ…” พ่อแม่ของเด็กก้มศีรษะให้ ก่อนจะอุ้มลูกและเดินจากไป

ยามาโตะหันไปหาเบลัส “ไปกันเถอะ ป่านนี้พวกเขาที่สำนักคงรอเราอยู่”

แต่ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะออกเดิน เสียงปรบมือช้าๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง

ทั้งสองหยุดชะงักก่อนจะหันไปมอง

ที่มุมมืดของถนน เงาดำรูปร่างคล้ายมนุษย์ปรากฏขึ้น มันค่อยๆ ก้าวออกมาช้าๆ พร้อมเสียงหัวเราะต่ำ

“โอ้… ยามาโตะ ข้าต้องชมเจ้านะที่สามารถจัดการปีศาจระดับต่ำได้อย่างง่ายดาย”

ดวงตาของยามาโตะหรี่ลง “…เมริโอดาบิส หนึ่งในนักรบแห่งตำนานของเฮลไฮม์…”

ปีศาจเงาแสยะยิ้ม “ไหนว่าอีก 10 ปีไง… แต่ตอนนี้ยังเหลืออีกตั้ง 4 ปี ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”

เมริโอดาบิสหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องกังวล… ข้ารักษาสัญญาอยู่แล้ว แค่แวะมาเก็บกวาดพวกที่แอบเข้ามาในมิดการ์ด แต่ดูเหมือนว่าไม่ต้องแล้ว พวกเจ้าจัดการพวกมันได้ดีทีเดียว”

ร่างของเมริโอดาบิสค่อยๆ สลายไปในอากาศ ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่ก้องสะท้อนในหัวของยามาโตะ

เบลัสหันมาถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “อาจารย์… เมื่อกี้มันอะไรกัน? ทำไมนักรบในตำนานของเฮลไฮม์ถึงมาปรากฏตัวแบบนี้?”

ยามาโตะนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นายกลับสำนักไปก่อนเถอะ เบลัส… ข้าต้องแจ้งเรื่องนี้ให้สภาทราบ”

เบลัสพยักหน้า แม้จะยังสงสัยอยู่ “ครับ อาจารย์…”

เช้าวันต่อมา…

หน้าสำนักหงส์ฟ้าแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มาต่อแถวรอสมัครเข้าเป็นศิษย์ แถวในวันนี้ยาวกว่าปกติจนล้นออกมาถึงถนนสายหลัก บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักและเสียงพูดคุยจอแจ

ในขณะเดียวกัน…

ที่หน้าสำนักอีกา บรรยากาศกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ประตูไม้เก่าๆ ถูกปิดเงียบไม่มีใครเข้าออก มีเพียงเสียงนกร้องและลมพัดแผ่วเบา

ชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสำนักอีกา เขามองไปทางแถวของสำนักหงส์ฟ้าด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“อะไรกันเนี่ย… ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้?” เขาพึมพำกับตัวเอง “เห็นคนมาต่อแถวเยอะๆ ก็นึกว่าจะวุ่นวายเสียอีก ไหงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ?”

ทันใดนั้น…

ปัง!

เสียงประตูไม้ของสำนักอีกาดังสนั่นเมื่อถูกถีบเปิดออก

“กลับมาแล้วเฟ้ย!” เสียงตะโกนดังลั่น

มายูริที่กำลังกวาดพื้นอยู่นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้ามองอย่างเหนื่อยใจ “อย่าถีบประตูแบบนั้นได้ไหมครับ รุ่นพี่… ผมเพิ่งกวาดตรงนั้นเสร็จไปเองนะ”

ชายที่เพิ่งกลับมาเดินเข้ามาในสำนักด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมคนถึงไปต่อแถวที่สำนักนั่นกันหมด? หา! มายูริ!”

มายูริถอนหายใจและวางไม้กวาดลง “ตั้งแต่รุ่นพี่กับอาจารย์ไปทำภารกิจ พวกเขาก็เปิดสำนักนั่นทันทีเลยล่ะครับ”

“แล้วทำไมแกไม่ไปสั่งปิดซะล่ะ!” ชายคนนั้นตะโกนพลางจ้องมายูริ

“ไม่เอาด้วยหรอกครับ…” มายูริตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ “พวกเขามีใบรับรองแล้ว จะสั่งปิดก็ไม่ได้ จนกว่าจะตัดสินกัน”

“ตัดสิน? ตัดสินอะไรของแก!” ชายคนนั้นคว้าคอเสื้อมายูริแล้วดึงเข้ามาใกล้

มายูริยังคงนิ่ง “การประลองตัวต่อตัวครับ ใครชนะเจ็ดครั้งก่อนจะมีสิทธิ์ปิดสำนักของคนที่แพ้ได้ ซึ่งพวกรุ่นพี่เป็นตัวแทนในการประลอง”

ชายคนนั้นปล่อยคอเสื้อมายูริและถอยออกไปเล็กน้อย “แล้วการประลองนั่น… เริ่มวันไหน?”

“ก็อีกสามวันครับ” มายูริตอบพลางปัดฝุ่นบนคอเสื้อของตัวเอง “ถ้าพวกรุ่นพี่ที่ขึ้นเขาไปยังไม่กลับมาอีก พวกเราที่เหลือก็คงต้องลงไปสู้แทน”

ชายคนนั้นขมวดคิ้วแน่น “สามวันเหรอ… ให้ตายสิ ต้องรออีกแล้วเหรอ?”

เขาหันไปมองมายูริก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไปเรียกทุกคนมารวมตัว เราต้องเลือกคนที่จะไปสู้”

“ได้ครับ…” มายูริตอบก่อนจะยื่นไม้กวาดให้ “แต่ช่วยกวาดพื้นแทนทีนะครับ ผมจะได้ไปเรียกให้”

ชายคนนั้นตบไม้กวาดออกจากมือมายูริ “หยุดเลยเจ้าแว่น! จะให้รุ่นพี่กวาดพื้นงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!”

เขาหันหลังเดินไปยังโถงทางเดิน แต่ไม่วายหันมาพูดเสริม “ไปเรียกเองก็ได้!”

มายูริยิ้มบางๆ พลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยาะ “ระวังหลงทางด้วยนะครับรุ่นพี่!”ในสถานที่ใหม่แบบนี้ หลงง่ายจะตายไป”

ชายคนนั้นสะบัดมือ “เฮอะ! ใครจะไปหลงในที่แบบนี้กัน!”

ไม่กี่นาทีต่อมา…

ปึง!

เสียงประตูไม้ของสำนักอีกาดังขึ้นอีกครั้ง ชายคนเดิมเดินกลับมาพร้อมสีหน้าหงุดหงิดกว่าเดิม

มายูริที่ยังคงกวาดพื้นอยู่ตรงเดิม หันไปมองก่อนจะยิ้มมุมปาก “อ้าว\~ รุ่นพี่ ทำไมกลับมาเร็วจังครับ?”

ชายคนนั้นหันมามองมายูริด้วยสีหน้าที่เหมือนจะพยายามรักษาฟอร์ม “เอ่อ… ก็แค่… กลับมาดูให้แน่ใจว่านายยังทำงานอยู่หรือเปล่าแค่นั้นแหละ!”

มายูริกลั้นหัวเราะ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ “หลงทางสินะครับ”

“ใครหลงทาง!?” ชายคนนั้นตะโกนพลางชี้หน้ามายูริ “แค่… แค่เดินกลับมาดู! เข้าใจไหม!”

มายูริถอนหายใจ ก่อนจะวางไม้กวาดลงแล้วก้มตัวเก็บกระดาษแผ่นหนึ่งจากพื้น “นี่ครับ แผนผังสำนัก เผื่อรุ่นพี่จะต้องใช้”

ชายคนนั้นชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะคว้าแผนผังจากมือมายูริอย่างรวดเร็ว “ใครจะต้องใช้กัน! แค่เอาไว้ดูเผื่อคนอื่นหลงต่างหาก!”

“แน่นอนครับ\~” มายูริตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยความล้อเลียน

ชายคนนั้นกระแอมเบาๆ พยายามเปลี่ยนเรื่อง “เอาล่ะ! คราวนี้ฉันไปละ! จะไปเรียกทุกคนมารวมตัว!”

เขาหันหลังเดินออกไป แต่ยังไม่ทันพ้นประตู มายูริก็พูดขึ้นไล่หลัง “อย่าลืมนะครับ รุ่นพี่ เลี้ยวซ้ายตรงโถงใหญ่ ไม่งั้นเดี๋ยวจะกลับมาทางเดิมอีก”

ชายคนนั้นชะงักเท้าเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดมือโดยไม่หันกลับมา “ใครจะหลงทางอีกล่ะ! คราวนี้ไม่พลาดแน่!”

มายูริมองตามแผ่นหลังของเขาก่อนจะหัวเราะเบาๆ พลางหยิบไม้กวาดขึ้นมาทำความสะอาดต่อ “เฮ้อ\~ รุ่นพี่ก็ยังคงเหมือนเดิม…”

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!