" ตั้งแต่เริ่มต้นจวบจนสิ้นสุดได้ถูกกำหนดไว้แล้ว "
ณ หมู่บ้านกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง
ท้องฟ้าสดใสพลันเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาทีละเล็กทีละน้อย จนกลายเป็นฝนห่าใหญ่ มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งฝ่าสายฝนมาอย่างรีบร้อน พอมาถึงที่สะพานหินเกิดลื่นล้มคลุกโคลนจนสภาพดูไม่ดีนักแต่ในมือยังคงกำถุงใบหนึ่งไว้แน่น เด็กชายนั้นวิ่งต่อไปโดยที่ไม่สนใจว่าตนมีสภาพเป็นเช่นไร ในที่สุดก็วิ่งมาถึงหน้าคฤหาสน์แห่งหนึ่ง เด็กชายยืนนิ่งอยู่สักพัก แล้วจึงตัดสินใจเคาะประตู
" ก๊อกก๊อกก๊อก "
ยังคงไร้เสียงตอบรับ เด็กชายแทบถอนใจคงคิดว่าไม่มีโอกาสแล้วหล่ะ
" ว่าไง มีอะไรหรอ " เสียงใสก้องกังวานดังออกมาจากหลังประตู
" ข้..ข้าอาหลง " เด็กชายตอบรับอย่างกล้าๆกลัวๆ
" อาหลงงั้นหรอ เข้ามาก่อนสิ " เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว ในใจของอาหลงแทบจะกระเด็นออกมา
.
.
.
" อาหลง ทำไมเจ้าถึงได้มอมแมมขนาดนี้นะ " เสียงหยอกล้อดังขึ้นมา อาหลงที่สติหลุดได้สติขึ้นทันที
" พอดีว่าข้ารีบก่อนไม่ทันระวังลื่นล้มบนสะพาน สภาพข้าคงดูไม่ได้เลยสิท่า " เสียงเง้างอนของอาหลงช่างน่าเอ็นดู หากใครมาได้ยินเข้าคงเอ็นดูปนขำกันไปตามๆกันอย่างแน่นอน
" เจ้ามาหาข้าทำไมหรอ " อาหงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย ฝนตกหนักขนาดนี้ทำไมอาหลงถึงยอมฝ่าสายฝนมาหาเขาถึงบ้าน
" ข้าเอาถั่วแดงมาให้ " อาหลงเงียบไปสักพักแล้วจึงพูดขึ้นต่อ
" ท่านต้มถั่วแดงได้อร่อยที่สุดในหมู่บ้าน ข้าอยากที่จะกินมาอีก ข้..ข้าก็เลยเอาถั่วแดงมาให้ท่าน " ใบหน้าของอาหลงขึ้นสีแดงระเรื่อ อาหงที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างหน้าเอ็นดู
" ได้เลยๆข้าจะต้มถั่วแดงที่อร่อยที่สุดให้เจ้าให้กิน " อาหงรับถั่วแดงมาจากมือของอาหลง แล้วเริ่มลงมือต้มถั่วแดงทันที
" ถั่วแดงต้มสุกแทนความคำนึงหา "
" เอ้า เสร็จแล้วกำลังร้อนๆอยู่เลย อาหลงมานี่สิข้าจะป้อนเจ้าเอง " อาหงกวักมือเรียก พร้อมกับตักถั่วแดงร้อนๆขึ้นมาแล้วเป่าเบาๆ
" ท่านป้อนมันเข้าปากข้า "
" ช่างร้อนระอุแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน "
" ติดตรึงในใจ "
" อร่อยมาก ข้าชอบถั่วแดงต้มสุดๆ " อากาศยามฝนตกหนาวเย็นเช่นนี้หากได้กินถั่วแดงต้มร้อนๆ คงจะอบอุ่นอยู่ไม่น้อยไม่เพียงแค่อบอุ่นกายท ยังอบอุ่นใจอีกด้วย
.
.
.
10 ปีผ่านไป
ตอนนี้อาหลงและอาหงได้เติบโตเป็นหนุ่มแล้ว ทั้งสองสนิทสนมกันมากเป็นสหายที่ดีต่อกันมาโดยตลอด
อาหงที่ในวัยเยาว์มีหน้าตาที่น่ารักน่าชังดั่งสตรีแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นบุรุษที่หล่อเหลา เป็นที่หมายปองแก่สตรีน้อยใหญ่ในหมู่บ้าน ส่วนอาหลงเป็นแค่บุรุษที่หน้าตาธรรมดาไม่โดดเด่นมากนัก ทั้งสองมักโดนคนในหมู่บ้านเปรียบเทียบอยู่เสมอ ดั่งอีกายืนเคียงหงส์
อาหงเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ในใจมาอย่างเนิ่นนาน ความรู้สึกที่มีต่ออาหลงนั้นมีมากมายเหลือเกิน เขาเฝ้ารอคอยโอกาสที่จะบอกให้อาหลงได้รับรู้
หากจะถามว่าอาหงนั้นมีใจให้อาหลงเมื่อใด ก็คงต้องย้อนไปในเหตุการณ์ยามวัยเยาว์ ตอนที่อาหลงวิ่งฝ่าฝนมาที่บ้านของต้นเพื่อเพื่อนำถั่วแดงมาให้เขาต้มด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ เมื่อเขาป้อนถั่วแดงต้มให้อาหลง สายตาที่เปล่งประกายพร้อมกับคำชมนั้น ทำให้ดวงใจของอาหงถูกครอบครองไปแล้ว
หลังจากนั้นอาหงและอาหลงก็ไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้น จนได้กลายเป็นสหายรู้ใจกันมาโดยตลอด
วันนี้อาหงกำลังแต่งฝึกบทกวีบทหนึ่ง หลังจากที่อ่านตำราคัดตัวอักษรมาทั้งวัน บิดาของเขารับราชการเป็นขุนนางอยู่ที่เมืองหลวงและต้องการให้เขาสอบจอหงวนเพื่อที่จะได้เป็นขุนนางตามที่บิดาคาดหวัง
เสียงวิ่งตึงตังดังมาแต่ไกล อาหลงวิ่งมาด้วยความรีบร้อน อาหงเมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วก็รีบบอกให้อาหลงนั่งลงพร้อมกับรินชาแล้วพัดวีให้คนที่วิ่งมาหมาดๆได้หายเหนื่อย
" วิ่งมาเร็วขนาดนี้ มีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรอ "
" อ...อาหง ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า "
เสียงของอาหลงสั่นเล็กน้อย ทำให้ใจของอาหงเริ่มกังวลมากขึ้น
" อาหง ข้...ข้ากำลังจะแต่งงาน "
ดวงใจของอาหงเจ็บปวดขึ้นมาทันที
" แต่งกับแม่น้อยบ้านใดกัน เจ้ากับนางไปรู้จักกันเมื่อตอนไหน ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย "
อาหงถามถึงด้วยความปวดใจ ดวงใจในตอนนี้ดั่งโดนมีดแทงลงนับพันเล่ม
" ไม่ใช่ว่าข้าอยากบิดบังเจ้านะ ท่านแม่ของข้านางอยากให้ข้าแต่งงานสักที่ เล..เลยหาแม่สื่อคนหนึ่งให้เสาะแม่นางคนหนึ่งให้ " อาหลงเงียบสักพักแล้วมองคนตรงหน้า
" เมื่อวานนี้แม่สื่อพาแม่นางคนหนึ่งมา ท่านแม่ข้าถูกใจนางมาก และนางเองก็เป็นสตรีที่ว่านอนสอนง่าย ท่านแม่จึงตอบตกลงที่จะสู่ขอนางทันที "
" ข้าเองก็มิได้ห้ามปราบแต่อย่างไร ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณแล้วท่านแม่ของข้าเองก็แก่ตัวลงมากแล้ว คงอยากให้ข้าได้มีภรรยากับเขาสักที "
เมื่ออาหลงพูดจบทั้งสองจึงตกอยู่ในความเงียบทันที อาหลงไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงอัดอึดที่จะพูดมันออกไป ในใจของเขาก็พลันเศร้าลงอย่างหาสาเหตุไม่ได้เช่นกัน
" ข้ายินดีด้วย เจ้าจะได้มีภรรยาสักที "
อาหงกล่าวอวยพรให้แก่อาหลง แม้ในใจจะสะอื้นไห้เพียงใดเขาก็ไม่อาจที่จะแสดงความรู้สึกนั้นออกไปได้
" ขอบคุณมากนะ " ถึงแม้จะได้ยินอาหงกล่าวเช่นนั้นแต่ในใจกลับไม่หายเศร้าลงสักนิด
" ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า " จู่ๆ อาหงก็เอ่ยขึ้น
" ข้าจะเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อที่จะไปสอบจอหงวนเป็นขุนนาง "
" เจ้าทำได้อย่างแน่นอน ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า "
อาหลงกล่าวด้วยความยินดี ยินดีที่สหายของตนจะไปหาความเจริญก้าวหน้าในชีวิต จะไม่ต้องมาใช้ชีวิตที่หาความเจริญไม่ได้ในหมู่บ้านแห่งนี้กับตน
" ข้าไปก่อนหล่ะ เจอกันวันแต่งงาน "
" ไว้เจอกัน "
" ลาก่อน " ทั้งสองกล่าวขึ้นพร้อมกัน
อาหลงเดินจากไปแล้วเหลือเพียงดวงใจที่บอบช้ำ
อาหงกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ทุกสิ่งอย่างพลั่งพลูออกมาอย่างห้ามมิได้
ทำไมกัน ทำไมอาหลงถึงเลือกแต่งงาน
ทำไมถึงเป็นแบบนี้กัน
ทำไมคนที่แต่งงานอาหลงถึงไม่ใช่เขา
วันนี้เป็นวันที่อาหงจะบอกความในใจกับอาหลง ผ่านบทกวีที่เขาแต่งขึ้นเพื่ออาหลง หากเขาได้บอกความในใจไปแล้ว ในวันที่เขาไปเมืองหลวงจะไม่ได้มีสิ่งใดติดค้างในใจ แต่มาวันนี้อาหลงกลับมาบอกเขาว่าจะแต่งงาน ทุกสิ่งที่เขาทำมากลับสลายลงทันที
" หลังจากท่อง "บทกวีคิดถึง" คราใด "
" นั่งสะอื้นไห้รำพันจุกในลำคอ "
หลังจากวันนั้นทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย เมื่อเจอกันก็เดินผ่านกันดั่งไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อน
" เฝ้ารอคอยทุกๆปี ต้นถั่วแดงถึงเวลาเก็บเกี่ยว "
" แต่สุดท้ายท่านก็ไม่กลับคืนมา "
เสียงโห่แสดงความยินดีดังก้องบนถนนตลอดทั้งสาย ผู้คนล้วนเปรมปรีดิ์ในงานมงคลนี้ เสียงกราบไหว้ฟ้าดินดังขึ้นมา ทั้งสองได้กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยาตามธรรมเนียม
อาหลงตอนนี้ได้แต่มองหาอาหงที่สัญญากับตนว่าจะมางานแต่งงานของตนอย่างแน่นอน ในมือกำผ้าเช็ดหน้าที่ตนได้ลงมือปักกับมือไว้ให้อาหลง เพื่อเป็นกำลังใจให้อาหลงสอบผ่านและถือว่าเป็นคำขอโทษในเรื่องนั้นด้วย
" อาหง ทางนี้ๆ "
" มาแล้วๆ วันนี้เจ้าดูดีมาก "
" อ๊ะ นี่ข้าให้เจ้า ไปก่อนนะโชคดีหล่ะ "
เมื่ออาหลงให้ผ้าเช็ดหน้าเสร็จแล้วก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในงานทันที
" ปลายนิ้วผู้ใดถูกแทงด้วยเข็มปักผ้า "
"รอยเลือดนั้นแทนถั่วแดงแห่งความคิดถึง "
อาหงได้เดินทางออกจากหมู่บ้านมาแล้ว แต่น้ำตายังคงไม่หยุดไหลดั่งวิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว แต่เขาต้องเข้มแข็งแม้ในใจจะแตกสลายเพียงใด หากเขาสอบติดจอหงวนแล้วจะต้องกลับมาบอกความในใจให้กับอาหลงให้ได้ แม้จะต้องถูกปฏิเสธก็ตาม แต่ก็ได้ปลดปล่อยมันออกไปถือว่าชีวิตนี้ได้ทำตามหัวใจตนแล้ว
อาหงก้มลงจูบผ้าเช็ดหน้าที่อาหลงให้มาอย่างอาวรณ์ สักวันหนึ่งเราคงได้เจอกันอีก
" ด้ายแดงขาดสะบั้น สิ้นสุดวาสนาต่อกัน "
.
.
.
.
6 ปีผ่านไป
อาหงในตอนนี้ได้สอบผ่านเป็นขุนนางแล้ว เขาแทบอยากจะกลับบ้านเกิดใจจะขาดแต่ก็กลับไม่ได้ งานในราชสำนักเยอะยิ่งนักแทบจะไม่มีเวลาให้เขาพักเลย เอกสารชุดนั้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังไม่ได้ตรวจสอบเลย มันหายไปไหนกันนะ
เขาค้นหาอย่างรีบร้อน เมื่อเจอเอกสารแล้วแต่สายตาดันเหลือบไปเห็นบทกวีที่เขาแต่งให้อาหลง เขาหยุดทุกอย่างแล้วเริ่มอ่านมันอีกคราในรอบหลายปี
" ความคิดถึงกลายเป็นแผลใหญ่ในใจ "
" ต้องใช้เวลารักษานานเท่าไหร่ "
" ใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงไม่เพียงพอ "
เมื่ออ่านจบแล้วน้ำตาก็ไหลรินอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว อาหงคิดว่าตัวเองตัดใจจากอาหลงได้แล้ว แต่ที่จริงตนไม่เคยคิดตัดใจจากอาหลงได้เลยต่างหาก ในใจยังคิดถึงคนคนนั้นอยูาตลอดเวลา
" ยังคงจมปลักอยู่กับอดีตที่เจ็บปวด "
.
.
.
.
30 ปีผ่านไป
สายฝนพร่ำๆสาดลงในหมู่บ้านเล็กๆกลางหุบเขา มีรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนผ่านมา มองดูภายนอกแล้วคนที่อยู่ข้างในนั้นต้องเป็นขุนนางใหญ่อย่างแน่นอน
เมื่อคนผู้นั้นลงจากรถม้าก็รีบวิ่งเข้าร้านน้ำชาแห่งหนึ่งเพื่อหลบฝน ร้านน้ำชานี่ช่างดูคุ้นเคยตานักเสมือนว่าเคยพบเจอที่ไหน
ไม่นานก็มีเสียงของเถ้าแก่ร้านดังขึ้นมา เรียกสติของขุนนางยศใหญ่นั้นกลับมา ดวงตาของทั้งเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ ไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่คุ้นเคย
" ไม่ทราบว่าเถ้าแก่มีถั่วแดงต้มขายหรือไม่ "
.
.
.
" ถั่วแดงงอกงาม ณ แดนใต้ "
" เฝ้ารอคอยกันและกันเสมอ "
" หวังว่าในวสันต์ฤดูจะได้เก็บเกี่ยว "
.
.
.
" ถั่วแดงจะเป็นตัวแทนแห่ง ' ความคิดถึง ' "
.
.
[ จบ ]
//ฝากติดตามผลงานกันด้วยนะคะ
หากใครต้องการฟังเพลงนี้ค้นในยูทูปได้เลยนะคะ
ไรท์ตีความต่างจากเพลงมานิดนึง เพื่อให้ได้อรรถรสอีกแบบหนึ่งค่ะ