🧛
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมา 3 วัน
ต้องรักค่อยๆปรับตัวกับชีวิตในคฤหาสน์แวมไพร์ได้บ้างแล้ว—อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้ว่าเสียงฝีเท้าตอนกลางคืนที่ดังแผ่วราวกับลมพัดนั้นคือเอเดียนเดินตรวจความเรียบร้อย ไม่ใช่ผีอย่างที่ตัวเองเคยคิดในคืนแรก
ยามเช้าของคฤหาสน์หลังใหญ่ยังคงเงียบสงบเช่นเดิม แสงอ่อนพาดผ่านหน้าต่างสูง ส่งประกายทาบลงบนพื้นหินอ่อนจนเหมือนละอองแสงสีเงินสั่นไหวไปทั่วห้องโถง ทุกอย่างดูเหนือจริงเกินไป มนุษย์ธรรมดาอย่างเขาแทบไม่ชินเสียที
วันนี้ต้องรักเลือกเดินเล่นออกมานอกคฤหาสน์
อากาศด้านนอกเย็นกำลังดี ไม่หนาวจนกัดผิว แต่ก็ไม่อบอุ่นอย่างอุ่นแดดในโลกมนุษย์ เสียงนกร้องแผ่วๆติดอยู่ตามกิ่งไม้ใหญ่ เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอย่างรู้สึกสบายใจ
ระหว่างเดินเล่นไปเรื่อยๆก็พบว่ามีทางเดินเล็กๆที่ถูกโอบล้อมด้วยกำแพงพุ่มไม้สีเข้ม ไม่นานนักเขาก็เดินลึกเข้าไปจนเห็นภาพที่ทำให้ต้องถึงกับหยุดก้าว
ตรงหน้า…
คือสวนหนึ่งที่เต็มไปด้วย ดอกกุหลาบสีน้ำเงิน
กว้างใหญ่ราวกับผืนผ้าสีฟ้าครามสดใสที่ถูกคลี่ปูอยู่บนพื้นดิน
ต้องรักเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
เขาไม่เคยเห็นดอกกุหลาบสีนี้มาก่อนมากมายขนาดนี้ ที่เมืองของเขา…ดอกไม้สีแบบนี้ไม่มีอยู่จริง
กลีบกุหลาบแต่ละดอกสะท้อนแสงแดดเป็นประกายเหมือนถูกเคลือบไว้ด้วยหยดน้ำแข็งบางๆ ลมพัดเบาๆจนได้กลิ่นหอมบางๆลอยเข้าจมูก—กลิ่นไม่เหมือนกุหลาบบนโลกมนุษย์ เป็นกลิ่นเย็นสดชื่น คล้ายกลิ่นคืนเดือนหงายบนยอดเขา
ต้องรักก้าวเข้าไปช้าๆโดยไม่รู้ตัว
พลางนึกขึ้นในใจว่า…
ถ้าขอเก็บไปใส่แจกันสักดอก ลูคัสจะว่าเขาไหมนะ…?
เขาเอื้อมมือไปยังดอกกุหลาบดอกหนึ่ง
ปลายนิ้วแทบจะสัมผัสกลีบอยู่แล้ว
ทว่า—
“เจ้าคิดจะทำอะไรกับดอกไม้ของข้ามิทราบ อย่าคิดที่จะแตะต้องมัน ถ้าข้าไม่ได้อนุญาต”
เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง
ทุ้มต่ำ เย็นเยียบจนสั่นสะท้านเข้าไปถึงกระดูกสันหลัง
ต้องรักสะดุ้ง เผลอชักมือลงแทบจะทันที
เขาหันกลับ—และก็พบกับแวมไพร์ตนหนึ่งที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
ชายผู้นั้นผมยาวสีเงินอมฟ้าที่สะท้อนแสงแดดเป็นประกาย รูปร่างสูงสง่า ใบหน้าเฉียบเย็นราวกับแกะสลักจากน้ำแข็ง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเหมือนสีของกุหลาบในสวนนี้
ฟาเรน
แค่ยืนเฉยๆก็ให้ความรู้สึกอันตรายจนตัวชา
ต้องรักกลืนน้ำลายก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมแค่เห็นว่ามันสวยดีก็เท่านั้น…”
ฟาเรนจ้องเขาเขม็ง
“เจ้าเป็นใคร ไม่เคยเห็นหน้าเลย”
“คะ…คือว่าผม—”
แต่ยังไม่ทันที่ต้องรักจะพูดจบ
ร่างสูงก็พุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วแบบที่ไม่ทันมองทัน
โลกหมุนพรึบเพียงชั่วพริบตาเดียว ร่างเขาก็ถูกกดลงนอนกับพื้นหญ้านุ่มๆ
แรงของแวมไพร์—หนักจนแทบหายใจไม่ออก
ต้องรักตกใจสุดขีด
“ดะ…เดี๋ยวก่อน! คุณจะทำอะไร…!”
ฟาเรนโน้มหน้าลงใกล้จนปลายผมแตะข้างแก้มเขา
ลมหายใจเย็นเฉียบปะทะต้นคอ
“กลิ่นมนุษย์โชยออกมาจากตัวเจ้าหึ่งเลย”
น้ำเสียงเย็นดั่งน้ำแข็งละลาย
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง… แต่เจ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่มีแต่แวมไพร์ที่พร้อมจะสูบเลือดมนุษย์อย่างเจ้า”
ต้องรักตัวสั่น
“ระ…รู้ครับ…”
“รู้แล้วทำไมยังเข้ามา?”
“กะ…ก็แบบ… เรื่องมันยาวน่ะครับ นี่คุณปล่อยผมก่อนได้ไหม…”
ฟาเรนเลิกคิ้วราวกับกำลังสนุก
“แล้วมันจะมีแวมไพร์ตนไหนที่ปล่อยอาหารให้หลุดไปบ้างล่ะ?”
ต้องรักกัดริมฝีปาก
“ผมไม่ใช่อาหารของคุณซะหน่อยนะ!”
ฟาเรนแสยะยิ้ม
ริมฝีปากบางโค้งขึ้นอย่างคุกคาม ก่อนจะก้มลง
ฟันเขี้ยวแวมไพร์เฉียดผิวนุ่มตรงลำคอ…
“มะ…ไม่นะ!!!—”
แต่ยังไม่ทันที่เขี้ยวจะจมลงบนผิวของต้องรัก—
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ฟาเรน! ใครให้ความกล้ากับเจ้ามาแตะต้องของของข้ามิทราบ”
เสียงลูคัสดังก้องกังวานไปทั่วสวน
ตามมาด้วยกำปั้นหนักหน่วงกระแทกเข้าที่สีข้างของฟาเรนดัง ปึ่ก!!
ฟาเรนเซไปด้านข้าง
“โอ๊ย!!! เจ็บนะเว้ย—!”
ยังไม่ทันเถียง
อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเข้มๆ
คิรัน—แวมไพร์หนุ่มผมดำสนิท ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาสีทอง—พุ่งเข้ามา
“พอเลยฟา! เจ้ากำลังทำอะไรมิทราบ!”
เขาคว้าไหล่ฟาเรนแล้วดึงออกจากตัวต้องรักด้วยแรงไม่เบา
ต้องรักที่พ้นจากแรงกดรีบลุกขึ้นอย่างโซซัดโซเซ
แล้ววิ่งไปหาลูคัสทันที ราวกับสัญชาตญาณพาให้กลับไปหาที่ปลอดภัยที่สุด
ลูคัสยื่นแขนโอบเอวเขาไว้ทันที
น้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนลงผิดหูจากเมื่อครู่ที่กร้าวเกรี้ยว
“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกลัว… ข้าขอโทษที่ปล่อยเจ้าออกมาเดินคนเดียว”
ต้องรักรีบซุกหน้าเข้ากับอกของลูคัสทั้งที่ตัวสั่น
เขาแทบไม่รู้ว่าตัวเองเริ่มน้ำตาคลอเมื่อไหร่
กลิ่นกุหลาบสีน้ำเงินยังลอยอ่อนๆอยู่ในอากาศ
แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำให้หัวใจเต้นแรง…
ไม่ใช่ความกลัวอีกแล้ว
แต่เป็นอ้อมแขนและเสียงอบอุ่นของแวมไพร์ที่ยืนปกป้องเขาอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว
🧛