ลิลิตนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น ร่างกายแข็งชาเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยสายตาสีเงินที่สะท้อนแสงดาวของชายหนุ่ม
แม้เขาจะบาดเจ็บและหมดแรง แต่แววตานั้นกลับทรงพลังจนหัวใจเธอเต้นถี่รัวไม่เป็นจังหวะ
“คุณ... เป็นใครกันแน่คะ” เธอถามเสียงสั่น
ชายหนุ่มไม่ตอบทันที เขาหอบหายใจถี่ ริมฝีปากซีดเผือดเหมือนกำลังจะหมดสติไปอีกครั้ง
ลิลิตสะดุ้ง รีบพยุงเขาขึ้นอย่างเงอะงะ แม้จะยากเพราะร่างเขาสูงใหญ่ แต่เธอก็พยายามลากพาร่างนั้นไปยังเพิงไม้เล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากบึง
ในแสงไฟสลัวจากตะเกียงเก่า ลิลิตเห็นบาดแผลที่แขนเขา—รอยไหม้ประหลาดเหมือนถูกเปลวเพลิงฟากฟ้ากัดกิน
เธอกัดริมฝีปากแน่น หยิบผ้าสะอาดกับน้ำมาช่วยเช็ดแผลให้
“อย่าขยับนะคะ... เดี๋ยวฉันจะทำแผลให้”
ชายหนุ่มหรี่ตาลง เฝ้ามองใบหน้าของเธออย่างพินิจ
จนกระทั่งเสียงแผ่วเบาดังลอดออกมาจากริมฝีปากเขา
“มนุษย์... ทำไมเจ้าถึงช่วยข้า ทั้งที่ไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร”
ลิลิตชะงัก แต่ก็ยิ้มบางๆ “เพราะคุณเจ็บ และคุณอยู่ตรงหน้าฉัน ถ้าฉันปล่อยให้คุณตาย ฉันคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองได้”
คำตอบนั้นทำให้ดวงตาสีเงินของเขาไหววูบ
คล้ายประกายแห่งความอบอุ่นที่ถูกเก็บซ่อนไว้เนิ่นนานได้ถูกปลดปล่อย
“ข้า... คิรัน” เขาเอ่ยในที่สุด “ผู้พิทักษ์แห่งดวงดาว”
ลิลิตตาเบิกกว้าง “ผู้พิทักษ์...?”
ก่อนที่เธอจะถามต่อ ร่างของคิรันก็โน้มเอียงมาทางเธออย่างอ่อนแรง
ใบหน้าของเขาใกล้จนลมหายใจอุ่นเป่ารดแก้มเธอ
หัวใจของลิลิตเต้นแรงจนเจ็บอก และในวินาทีนั้น...
เธอเห็นภาพเลือนรางซ้อนทับขึ้นตรงหน้า
เป็นภาพท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวนับล้าน เสียงสะท้อนดังก้องในหัวเหมือนบทเพลงแห่งจักรวาล
และเธอเห็น—ตัวเองยืนอยู่ข้างคิรัน ใต้ท้องฟ้าที่ไม่ใช่โลกใบนี้
ภาพหายวับไปในเสี้ยววินาที ลิลิตหอบหายใจ เธอแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
คิรันจับมือเธอไว้แน่น แม้ร่างกายยังสั่นระริกจากบาดแผล
“เจ้าคือ... ผู้เชื่อมโยงดวงดาว” เขาพึมพำเสียงแผ่ว “และนั่นทำให้ชะตาของเรา... พันผูกเข้าหากันแล้ว”