เสียงจักจั่นร้องระงมในบรรยากาศยามบ่ายของมหาวิทยาลัยศิลปะขนาดกลางแห่งหนึ่ง ตัวตึกเรียนเงียบสงบกว่าปกติ เพราะเป็นช่วงสอบกลางภาค นักศึกษาส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ในหอพักหรือไม่ก็พากันไปนั่งอ่านหนังสือตามห้องสมุดหรือคาเฟ่
ท่ามกลางแดดร้อนจัด “มินท์” นักศึกษาชั้นปีที่สอง คณะนิเทศศาสตร์ สวมเสื้อยืดสีอ่อนกับกางเกงขายาวเรียบ ๆ เดินหลบแสงแดดใต้เงาไม้ริมทางเท้าด้านข้างสนามหญ้า เขาก้มหน้าก้มตาอ่านสรุปบทเรียนจากโทรศัพท์มือถือในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งถือแก้วกาแฟเย็นที่เหลือแต่น้ำแข็ง
เขาเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีเพื่อนในคณะมากนัก และมักอยู่คนเดียวเสมอ อาจเป็นเพราะนิสัยขี้อายและไม่ค่อยกล้าเปิดใจให้ใครมากไปกว่าความจำเป็น ยิ่งในช่วงสอบ เขายิ่งแทบไม่พูดกับใครเลยนอกจากกับตัวเอง
มินท์หันซ้ายขวาเพื่อข้ามสนามลัดไปยังห้องสมุด ซึ่งอยู่ทางด้านตึกวิทยบริการ เส้นทางนี้มักไม่มีใครเดิน เพราะแดดแรงเกินกว่าจะทนได้ แต่เขาอยากประหยัดเวลา และแน่นอนว่า เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครเดินผ่านมาเช่นกัน
แต่เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่เดินสวนมาทางตรงข้ามกลับดังขึ้นจากสนามฝั่งตรงข้าม
ร่างสูงของชายคนหนึ่งสวมเสื้อโปโลสีกรมท่า กางเกงวอร์มสีเข้ม ท่าทางเหมือนเพิ่งกลับจากการฝึกซ้อมกีฬา เขาหอบกระเป๋ายิมและผ้าขนหนูพาดบ่า ผมสีดำสั้นเปียกชื้นจากเหงื่อ ใบหน้าคมสันของเขาดูจริงจังและสุขุมขณะเดินผ่านร่มไม้
และในจังหวะที่เขากำลังจะสวนกับมินท์ ก็เหมือนมีสายตาบางอย่างดึงดูดให้หันมาเจอกันพอดี
“มินท์ ใช่ไหม?” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
มินท์ชะงักเท้าทันที ดวงตาเบิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจที่ได้ยินชื่อตัวเองจากคนแปลกหน้า…หรืออาจจะไม่แปลกนัก ถ้าเขาจะยอมรับว่านี่คือคนที่เขาเคยเห็นจากสนามฟุตบอลอยู่บ่อยครั้ง
เขาพยักหน้าช้า ๆ “ครับ ใช่ครับ...”
“เราชื่อซัน รุ่นพี่ปีสี่ คณะเดียวกัน” อีกฝ่ายยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างเป็นมิตร
มินท์ไม่ตอบกลับทันที แต่ใจเขากลับเต้นรัวจนแทบจะกลบเสียงอื่น ๆ ไปหมด ทำไมถึงมีคนอย่างซันจำชื่อเขาได้?
“เราเคยเห็นนายตอนนั่งเรียนรายวิชาโทปีหนึ่ง จำได้ว่าอยู่แถวหลังสุดตลอด”
“อ๋อ…ครับ” มินท์ตอบเสียงเบา หัวใจยังไม่หายสั่น
“จะไปห้องสมุดเหรอ? ขอโทษทีที่ทักกะทันหัน”
“ครับ…กำลังจะไปอ่านหนังสือ”
“ดีเลย กำลังหาเพื่อนอ่านอยู่พอดี” ซันพูดติดตลก แต่น้ำเสียงนั้นกลับจริงจังพอจะทำให้มินท์รู้สึกประหลาดใจ
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เดินช้าลงเหมือนรอให้มินท์เดินไปพร้อมกัน
มินท์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขยับเท้าตามไปเงียบ ๆ ทั้งที่ในใจไม่เคยรู้จักซันมาก่อนเลยจริง ๆ ไม่เคยแม้แต่จะกล้าเข้าใกล้ หรือทักทาย เห็นเพียงในสนาม เห็นเพียงจากระยะไกล เหมือนคนละโลกที่ไม่น่าจะโคจรมาบรรจบกันได้
ซัน…ผู้ชายที่เป็นกัปตันทีมฟุตบอลมหา’ลัย ได้รับเลือกเป็นเดือนคณะปีสองจนถึงปีสี่ และมีชื่อเสียงในหมู่นักศึกษารุ่นน้องหญิงและชายไม่แพ้กัน
ส่วนเขา…มินท์ เด็กปีสองที่ไม่โดดเด่น ไม่เคยชนะการประกวดอะไร ไม่เคยมีคนจำชื่อ นอกจากอาจารย์ประจำวิชาที่ขานชื่อผิดเป็นประจำ
แต่วันนี้ ซันจำชื่อเขาได้…
...
เสียงฝีเท้าของคนทั้งสองดังแผ่วเบาใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ทอดเงาลงบนทางเดินหิน มีเพียงเสียงลมพัดผ่านใบไม้และเสียงนกร้องที่เป็นฉากหลังให้กับความเงียบงันระหว่างพวกเขา มินท์ยังคงไม่กล้ามองหน้าซันโดยตรง ในขณะที่ซันเดินอย่างสบาย ๆ เหมือนไม่รู้สึกถึงความประหม่าเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องสมุด ซันหยุดอยู่ตรงประตูห้องอ่านส่วนกลางก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่จริงใจ “ปกติอ่านตรงไหน?”
มินท์เงยหน้าขึ้นนิดหน่อย รู้สึกว่าตัวเองพูดเสียงเบากว่าปกติไปอีก “มุมขวา ริมกระจกครับ”
“โอเค งั้นนั่งด้วยได้ไหม?” ซันถามเหมือนมันเป็นเรื่องปกติทั่วไป ทั้งที่ในความรู้สึกของมินท์ มันแทบจะเหมือนเสียงฟ้าร้องในใจ
“…ครับ”
มินท์ตอบไปโดยไม่คิด และเขาก็พยายามบอกตัวเองว่าอย่าอ่านความหมายมากเกินไป มันก็แค่ที่นั่งในห้องสมุด แค่รุ่นพี่คนหนึ่งที่บังเอิญทักขึ้นมา ไม่ได้พิเศษอะไรเลย
แต่เมื่อทั้งสองคนนั่งลง ซันก็วางกระเป๋ากีฬาไว้ข้างตัว หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา มินท์เหลือบตามองปกหนังสือนั้น และพบว่าเป็นวิชาเดียวกับที่เขาอ่านอยู่
“พี่เรียนตัวนี้ด้วยเหรอครับ?” มินท์ถามอย่างประหลาดใจ
“อืม ตัวเลือก วิชาประวัติสื่อ ใช้ได้กับวิทยานิพนธ์พอดี เลยลงไว้ตั้งแต่เทอมก่อน” ซันตอบขณะเปิดหน้าหนังสือไปเรื่อย ๆ
มินท์พยักหน้าช้า ๆ แล้วหันกลับไปอ่านหนังสือของตัวเอง แต่แปลก…เขากลับอ่านไม่เข้าใจเลยแม้แต่คำเดียว
หัวใจเขาเต้นเร็วเกินไป ร้อนวูบวาบทั้งที่ห้องสมุดเปิดแอร์เย็นเฉียบ
ในหัวมีแต่คำถามซ้ำ ๆ — ทำไมซันถึงมาทักเขา? ทำไมถึงรู้จักชื่อเขา? ทำไมถึงเลือกจะมานั่งข้างกัน?
ซัน…ที่เป็นเหมือนคนดังของคณะ กลับเลือกมาคุยกับเด็กปีสองธรรมดา ๆ ที่ไม่มีใครจำชื่อได้…
...
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ มินท์เผลอมองหน้าซันตอนที่เขากำลังขมวดคิ้วกับโจทย์ในหนังสือ เขาไม่เคยเห็นแววตาแบบนั้นจากใคร — ตั้งใจและนิ่งขรึม แต่แฝงความอ่อนโยนไว้ลึก ๆ คล้ายกับคนที่ปิดตัวเองไว้นิด ๆ แต่ไม่ได้เย็นชา
และในวินาทีนั้นเอง ซันหันมาทางเขาโดยไม่ตั้งใจ ดวงตาคมสบกับสายตาเขาเข้าเต็ม ๆ
มินท์เบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน
“ง่วงเหรอ?” ซันถามเรียบ ๆ เหมือนไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายกำลังเขิน
“ปะ... เปล่าครับ” มินท์ส่ายหน้าไว ๆ
“เธอหน้าแดงนะ”
“อาจจะเพราะแอร์เย็นครับ” มินท์รีบแก้ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กม.ต้นที่เพิ่งเจอรุ่นพี่ที่แอบชอบ
ซันหัวเราะเบา ๆ เสียงทุ้มต่ำฟังแล้วชวนให้อุ่นไปทั้งอก มันไม่ใช่เสียงหัวเราะเยาะ แต่มันเป็นเสียงของคนที่…เอ็นดู
“งั้นถ้าง่วงก็บอกได้นะ ฉันมีนมจืดในกระเป๋า เธอดื่มนมได้ไหม?”
มินท์เบิกตากว้าง ก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ “ไม่คิดว่าจะมีพกนม…”
“ดื่มทุกวัน มันช่วยให้นอนง่ายขึ้น” ซันยักไหล่ “แล้วเธอล่ะ ชอบดื่มอะไร?”
“กาแฟเย็นครับ…แต่ตอนนี้เหลือแต่น้ำแข็งแล้ว” มินท์ยิ้มแห้ง ๆ
ซันมองแก้วในมือเขาแล้วก็ยิ้มเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ “ถ้าอยากดื่มใหม่ เดี๋ยวฉันเลี้ยง เอาไหม?”
“ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่ต้องลำบาก”
“แต่ฉันอยากเลี้ยง” ซันพูดตรง ๆ แบบไม่มีการหลบสายตา
“…”
มินท์รู้สึกเหมือนกำลังโดนลมร้อนพัดจากข้างใน ไม่ใช่ลมแดด แต่เป็นลมจากข้างในอก เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าตาแบบไหนตอนนี้ แต่รู้แค่ว่าหัวใจเต้นดังมากจนเหมือนอีกฝ่ายจะได้ยิน
“พี่ซัน…” เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายเบา ๆ
“หืม?”
“จำชื่อผมได้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ?”
คำถามนั้นเหมือนหยุดเวลาชั่วขณะ
ซันนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดช้า ๆ
“ตั้งแต่ตอนเธอเถียงกับอาจารย์เรื่องงานกลุ่มปีหนึ่ง…”
มินท์เบิกตากว้าง “เรื่องนั้นเหรอครับ…”
“อืม เธอพูดจาชัดมาก แล้วก็มีเหตุผล แถมยังกล้าบอกตรง ๆ ว่าโดนกลุ่มแกล้ง ฉันเลยจำได้”
“…”
“ตอนนั้นคิดเลยว่า เด็กคนนี้กล้ากว่าที่คิด”
คำพูดของซันอบอุ่นกว่าทุกอย่างที่มินท์เคยได้ยินมาในรั้วมหาลัยนี้ และไม่รู้ว่าทำไม แค่คำชมธรรมดาเพียงไม่กี่คำ กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดนิ่งไป
…
ช่วงเวลาในห้องสมุดผ่านไปอย่างเงียบสงบ หากนับเฉพาะเสียงภายนอกคงคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สำหรับมินท์แล้ว ทุกวินาทีเหมือนเสียงหัวใจที่เต้นดังราวกับกลองรัวในอก ทั้งเพราะความไม่เข้าใจ และเพราะความรู้สึกบางอย่างที่ค่อย ๆ เบ่งบานขึ้นทีละนิด
หลังจากวันนั้น ซันไม่ได้หายไปไหน เขามาปรากฏตัวที่ห้องสมุดแทบทุกวันในช่วงบ่าย และเขาก็มักจะเดินมานั่งข้างมินท์โดยไม่ต้องเอ่ยคำขอ
มินท์ไม่เคยถามว่าอีกฝ่ายตั้งใจมาหรือบังเอิญมาเจอ แต่เขารู้ดีว่าเรื่องแบบนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของโชคชะตา…มันคือความตั้งใจของใครคนหนึ่งที่อยากอยู่ใกล้
ซันชอบอ่านหนังสือเงียบ ๆ แต่บางวันก็มักจะเอานมกล่องกับขนมปังมาเผื่อเสมอ บางวันก็เล่าเรื่องทีมฟุตบอลที่เขาเป็นกัปตัน บางวันก็นั่งเงียบ ๆ แล้วปล่อยให้มินท์ทำงานของตัวเอง
และในทุกวันนั้น มินท์เริ่มเรียนรู้ที่จะวางการ์ดของตัวเองลงทีละนิดๆ
แม้เขาจะยังไม่รู้ว่าความสัมพันธ์นี้คืออะไร แต่เขารู้สึกปลอดภัย…อย่างประหลาด
มีอยู่วันหนึ่งในช่วงเย็น ขณะที่ฝนตกหนักและนักศึกษาส่วนใหญ่พากันกลับหอพัก มินท์ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะเดิมในห้องสมุด เขาไม่ได้นัดกับซัน แต่ซันก็ปรากฏตัวขึ้นตามเคย คราวนี้เปียกโชกจากสายฝน ผมสีดำแนบหน้าผากและเสื้อโปโลสีกรมเข้มเปียกเป็นดวง
“เธอยังไม่กลับเหรอ?” ซันถามพลางโยนผ้าขนหนูผืนเล็กให้เขา
“กำลังรอฝนหยุดครับ” มินท์รับผ้าไว้ด้วยความตกใจ ก่อนจะมองซันอย่างลำบากใจ “พี่นี่เปียกไปหมดเลย”
“ฝนดันเทลงมาพอดีตอนเดินออกจากคาเฟ่” ซันนั่งลง “เห็นห้องสมุดยังเปิดเลยแวะมา…เผื่อเธอยังอยู่”
คำว่า “เผื่อเธอยังอยู่” ทำให้มินท์หน้าแดงโดยอัตโนมัติ เขาหลบตา แล้วทำเป็นสนใจหน้าหนังสือ ทั้งที่ตัวหนังสือเบลอไปหมดแล้ว
“แล้วถ้าผมไม่อยู่ล่ะครับ?” เขาถามแบบกล้า ๆ กลัว ๆ
ซันนิ่งไปสักพัก ก่อนจะตอบอย่างเรียบง่าย
“ก็คงรออยู่ดี”
“…”
“ไม่ได้มาหาแค่หนังสือหรอกนะ” เขายิ้มบาง ๆ “ช่วงนี้การอ่านมันพิเศษขึ้นกว่าเดิม ก็เพราะเธออยู่ด้วยนั่นแหละ”
คำพูดธรรมดาแต่ตรงไปตรงมา ไม่มีคำหวาน ไม่มีการจีบ แต่กลับอบอุ่นเหมือนฝนที่หยดลงบนพื้นดินแห้งแล้งในใจมินท์
เขาหลบตาอีกครั้ง หัวใจเต้นแรงเกินกว่าจะควบคุม
“พี่ซันครับ…” เสียงเขาเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ทำไมถึงสนใจผม?”
ซันมองเขานิ่ง ๆ ก่อนจะวางมือบนโต๊ะ ค่อย ๆ เคาะนิ้วช้า ๆ แล้วพูดอย่างไม่ลังเล
“เพราะเธอไม่ได้พยายามให้ใครมาสนใจ”
“…”
“เธอเป็นตัวเอง เงียบ ขยัน ซื่อ ๆ มีความกล้าในบางมุม และไม่เสแสร้ง”
“…”
“ไม่รู้สิ…แค่รู้สึกว่า ถ้าไม่เข้ามาทักวันนั้น คงเสียดายไปตลอด”
มินท์ยิ้มจาง ๆ ดวงตาร้อนวูบอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไหลผ่านเข้าไปในใจอย่างแผ่วเบา แต่ลึกซึ้ง
บางที ความรักอาจไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความรู้สึกที่ “ไม่อยากพลาด” ใครสักคนไป
...
หลังจากวันฝนตกนั้น อะไรบางอย่างระหว่างพวกเขาก็เปลี่ยนไป
ไม่ใช่เพราะมีคำว่า “ชอบ” ถูกพูดออกมาตรง ๆ
ไม่ใช่เพราะมีการจับมือ กอด หรือสัมผัสใด ๆ ที่เกินเลย
แต่เป็นเพราะ “สายตา” และ “ความเงียบ” ของแต่ละคน เริ่มเต็มไปด้วยความหมายที่มากกว่าแค่คำว่า “รู้จัก”
ตั้งแต่นั้นมา ทุกช่วงบ่ายของฤดูร้อน มินท์กับซันจะมาเจอกันที่ห้องสมุดตามเดิม บางครั้งพวกเขาก็นั่งอ่านหนังสือ บางครั้งก็แค่ฟังเสียงฝนจากกระจกริมหน้าต่างโดยไม่พูดกันเลยสักคำ
แต่ความเงียบเหล่านั้น...กลับทำให้หัวใจพวกเขาใกล้กันยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ
หนึ่งเดือนผ่านไปโดยที่ไม่มีคำถามว่า “เราเป็นอะไรกัน”
ซันไม่เคยเร่งเร้า มินท์ไม่เคยร้องขอ
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างช้า ๆ เหมือนต้นไม้ที่ค่อย ๆ ผลิใบใหม่จากพื้นดินแห้ง
วันหนึ่งในบ่ายวันเสาร์ที่แสงแดดอ่อนลงกว่าปกติ มินท์กำลังนั่งจดเลคเชอร์เงียบ ๆ ที่มุมประจำ ขณะที่ซันเดินเข้ามาพร้อมแก้วกาแฟเย็นสองแก้วในมือ
“ของเธอหวานน้อย” ซันวางแก้วลงหน้ามินท์อย่างรู้ใจ
มินท์เงยหน้าขึ้น ยิ้มรับอย่างเก้อเขิน “ขอบคุณครับ”
เขาสังเกตได้ว่า ซันวันนี้แต่งตัวต่างจากปกติ — เสื้อยืดสีขาวพอดีตัว กับกางเกงยีนส์สีเข้ม เรียบง่ายแต่ดูดีอย่างบอกไม่ถูก กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ แบบที่ไม่เคยใช้มาก่อนลอยมาตามลม
ซันนั่งลงข้างเขา ไม่พูดอะไรสักพัก
มินท์หันไปสบตา ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“วันนี้ดูแต่งตัวดีเป็นพิเศษเลยครับ”
ซันหัวเราะในลำคอ “ก็อยากให้เธอจำได้ว่าวันนี้พิเศษ”
“พิเศษ?” มินท์ขมวดคิ้วงง
“ใช่ วันนี้คือวันสุดท้ายของฤดูร้อน”
“…”
“แล้วก็เป็นวันแรก…ที่ฉันจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอ”
หัวใจของมินท์เต้นเร็วอย่างห้ามไม่ได้ มือที่ถือปากกาสั่นเล็กน้อย
ซันหันมามองเขาเต็มตา ดวงตาคู่นั้นนิ่งและมั่นคง เหมือนทุกคำที่เขากำลังจะพูดผ่านการคิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“มินท์... ฉันไม่แน่ใจว่าเรากำลัง ‘คุยกัน’ หรือแค่ ‘รู้สึกดี’ ต่อกันเฉย ๆ แต่ที่รู้แน่ ๆ คือฉัน...อยากเจอเธอทุกวัน อยากรู้ว่าเธอเป็นยังไง อยากรู้ว่าเธอเหนื่อยไหม หิวไหม กินข้าวหรือยัง อ่านหนังสือได้ไหม...”
เสียงทุ้มนั้นไม่ดังมาก แต่ก็ชัดเจนพอจะสั่นสะเทือนในอกมินท์
“ฉันไม่ใช่คนพูดเพราะ ไม่ใช่คนโรแมนติก แต่ฉันอยากลองดู...กับเธอ”
“…”
“อยากเป็นใครสักคนที่เธอไว้ใจได้ ไม่ต้องรีบตอบฉันก็ได้ แค่อยากให้รู้ว่า ฉันตั้งใจ”
มินท์นิ่งงันอยู่พักหนึ่ง ความรู้สึกมากมายตีขึ้นมาราวกับน้ำทะลักจากเขื่อน ทั้งความตื้นตัน ความอบอุ่น และ...ความกลัว
เขาไม่เคยมีใครมาก่อน ไม่เคยแม้แต่คิดว่าใครจะ “มาชอบ” คนเงียบ ๆ แบบเขา
แต่ตอนนี้ คน ๆ นั้นนั่งอยู่ตรงหน้า มองเขาด้วยแววตาที่อ่อนโยน และยื่นมือมาให้เขาก้าวเข้าไปด้วยกัน
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ
“ผม...ไม่เก่งเรื่องความสัมพันธ์ ไม่รู้ว่าจะเป็นแฟนที่ดีไหม ไม่รู้ว่าจะทำให้พี่เบื่อไหม…”
“มินท์” ซันเรียกเบา ๆ
“…”
“ไม่ต้องเป็นแฟนที่ดี แค่เป็นเธอแบบทุกวันที่ฉันรู้จักมาก็พอแล้ว”
มินท์ยิ้ม เขารู้แล้วว่าคำตอบคืออะไร แม้ไม่ได้พูดคำว่า “ตกลง” ออกไป
แต่แววตาและรอยยิ้มของเขา ก็เพียงพอที่จะบอกทุกอย่าง
ฤดูร้อนวันนั้น ไม่ใช่แค่แสงแดดหรือเสียงฝน แต่เป็นฤดูที่ความรักของพวกเขาเริ่มต้น
และมันจะอยู่ในความทรงจำ...ตลอดไป
...
ฤดูฝนเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ เบ่งบาน
จากห้องสมุดที่เคยนั่งห่าง ๆ กลายเป็นโต๊ะที่มีแค่สองคน
จากบทสนทนาสั้น ๆ กลายเป็นบทสนทนาในแชททุกคืนก่อนนอน
จากคนที่เคยไม่กล้าสบตา กลายเป็นคนที่อีกฝ่ายเฝ้ารอจะได้พบในทุกวัน
มินท์กับซัน...ไม่ได้มีการประกาศความสัมพันธ์ ไม่มีการอัปสเตตัส ไม่มีการควงกันเดินในมหา’ลัยแบบคู่รักทั่วไป
แต่ทั้งสองคนรู้ดีว่าพวกเขาคือ “ของกันและกัน”
ซันยังคงเป็นรุ่นพี่ที่เงียบ สุขุม ไม่ชอบแสดงออก
มินท์ยังคงเป็นเด็กปีสองที่ขี้อาย และพูดน้อยเช่นเดิม
แต่เมื่ออยู่ด้วยกัน ทั้งคู่กลับรู้สึกว่าตัวเอง “เต็ม” อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
พวกเขาเริ่มใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น — อ่านหนังสือ, นั่งใต้ต้นไม้, ไปกินข้าวที่โรงอาหารเงียบ ๆ หรือแม้แต่เดินตากฝนด้วยกันจากห้องเรียนไปหอพัก เพราะซันไม่เคยพกร่ม และมินท์ก็ไม่เคยยอมให้เขาเปียกอยู่คนเดียว
ในคืนหนึ่งหลังสอบไฟนอลจบ ทั้งคู่ตัดสินใจออกไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำหลังมหาวิทยาลัย เป็นทางเดินลูกรังยาวที่เงียบสงบ มีเพียงแสงไฟสลัวและเสียงน้ำไหลเบา ๆ
มินท์เดินข้างซันเงียบ ๆ มือทั้งสองซุกกระเป๋าเสื้อคลุมเพราะลมค่ำคืนเย็นกว่าที่คิด
ซันเหลือบมองเขาแล้วถามเรียบ ๆ “หนาวเหรอ?”
มินท์ส่ายหน้าเบา ๆ แต่เขาก็สะดุ้งน้อย ๆ เมื่อมือของซันเอื้อมมาคลุมมือเขาไว้ในกระเป๋าเดียวกันโดยไม่พูดอะไรเพิ่ม
มินท์ไม่รู้จะตอบโต้ยังไง หัวใจเขาเต้นแรงจนน่าตกใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้แน่ ๆ คือมือของซัน...อบอุ่นมากพอจะลบทุกความกังวลของเขา
ทั้งสองคนเดินเงียบ ๆ อย่างนั้นเป็นเวลานาน
จนในที่สุด มินท์ก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ โดยที่ยังไม่มองหน้าอีกฝ่าย
“พี่ซัน...”
“หืม?”
“ขอบคุณที่ไม่เร่งรัดผมนะครับ”
“…”
“ผมไม่เคยมีใคร ไม่เคยคิดว่าจะมีด้วยซ้ำ มันเลยกลัวไปหมด… กลัวว่าจะทำให้พี่ผิดหวัง”
ซันหยุดเดิน เขาหันมาหามินท์อย่างช้า ๆ แล้วพูดเสียงแน่นแต่แผ่วเบา
“มินท์ เธอไม่ต้องเป็นใครเลย นอกจากตัวเอง”
“…”
“ฉันชอบเธอที่เป็นเธอ ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย นอกจากให้เธอเปิดใจให้ฉันแค่เล็กน้อย…เท่านั้นก็พอแล้ว”
คำพูดเรียบง่ายแต่มั่นคง ทำให้มินท์เงยหน้ามองเขาทั้งน้ำตาคลอ
“ผมก็ชอบพี่นะครับ…”
“…”
“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่ผมรู้สึกว่า…พี่เป็นที่เดียวที่ผมรู้สึกปลอดภัยที่สุด”
ซันยิ้มจาง ๆ แล้วเอื้อมมืออีกข้างมาลูบกลุ่มผมของเขาเบา ๆ ก่อนจะโน้มหน้าลงมาใกล้
ริมฝีปากของทั้งคู่แตะกันเพียงแผ่วเบา ใต้แสงไฟริมแม่น้ำที่กระพริบไหวในคืนที่ไร้ผู้คน
มันไม่ใช่จูบที่หวือหวา ไม่เร่าร้อน
แต่เป็นจูบที่มั่นคง — อบอุ่น — และจริงใจ
เหมือนการสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกัน แม้ไม่มีคำพูดใด ๆ เอื้อนเอ่ยออกมา
พวกเขานั่งลงใต้ต้นไม้เดิม ข้างสนามหญ้าที่เคยเจอกันครั้งแรก
“ฉันจะต้องไปฝึกงานที่ต่างจังหวัด…” ซันพูดเบา ๆ “บริษัทที่รับฉันอยู่ที่เชียงใหม่ เป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับโปรเจกต์ที่ฉันอยากทำ”
มินท์พยักหน้า หัวใจเหมือนถูกบีบช้า ๆ
“ดีแล้วครับ พี่สมควรได้รับมัน”
“แต่…ฉันกลัวว่าเราจะห่างกันไป”
“…”
“กลัวว่าจะไม่มีเวลาให้เธอเลยอีก”
“…”
“ฉันไม่อยากเสียเธอไปนะมินท์…”
คำสารภาพนั้นเปลือยเปล่า ซื่อสัตย์ และจริงใจ
แต่มันก็ทำให้มินท์เงียบไปพักใหญ่
เขารวบรวมลมหายใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ
“เราไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะเจอกันบ่อย…เราอยู่ด้วยกันเพราะเราเลือกจะอยู่”
ซันเงยมองเขาช้า ๆ
“ผมรู้ว่าพี่เหนื่อย ผมไม่เคยโกรธเลยสักครั้ง ผมก็แค่…คิดถึง แต่ผมเข้าใจนะ”
“…”
“ผมจะรอพี่ กลับมาเมื่อไหร่…เราค่อยเริ่มต้นอีกครั้งก็ได้”
น้ำตาซันไหลช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว
เขาดึงมินท์เข้ามากอดแน่น ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป
“ฉันจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด” เขากระซิบ “และจะกลับมาในฐานะคนที่พร้อมจะเดินไปกับเธอจริง ๆ”
มินท์ไม่ตอบ เขาแค่กอดกลับ และปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบ ๆ ท่ามกลางกลิ่นฝนและลมเย็นของเดือนตุลาคม
...
ช่วงเวลาแห่งการรอคอย…ไม่เคยง่ายสำหรับใคร
หลังจากวันที่ซันเดินทางไปฝึกงานที่เชียงใหม่ ชีวิตของมินท์ก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
ความเงียบที่แตกต่างจากเมื่อก่อน — ไม่ได้ว่างเปล่า แต่เต็มไปด้วยความคิดถึง
ทั้งสองคนยังคุยกันบ้างในบางวัน — บางทีเป็นการโทรคุยช่วงดึก บางทีก็แค่ทักว่า “ฝนตก” หรือ “คิดถึง”
ไม่มีคำหวาน ไม่มีภาพคู่ ไม่มีโพสต์ใด ๆ บนโซเชียล
แต่ในแต่ละวัน มินท์ก็ยังไปนั่งที่โต๊ะเดิมในห้องสมุดเสมอ แม้จะไม่มีใครนั่งข้างเขาแล้วก็ตาม
ฤดูหนาวมาเยือน
อากาศเย็นลง และความคิดถึงก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นตามลำดับ
มินท์ซื้อนมจืดมาตุนไว้ในตู้เย็น ทั้งที่ตัวเองไม่ดื่ม เพราะแค่อยากให้มันยังอยู่…เผื่อวันหนึ่งซันกลับมา
เขาไม่เคยถามซันว่าจะกลับมาเมื่อไหร่
ไม่ใช่เพราะไม่อยากรู้ แต่เพราะเขาเชื่อว่า “ถ้าใครสักคนตั้งใจจะกลับมา…เขาจะกลับมาเอง”
จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งของปลายเดือนกุมภาพันธ์ — วันธรรมดาแสนธรรมดาที่ไม่มีเรียน ไม่มีอะไรพิเศษ
มินท์ตื่นสายเล็กน้อย อาบน้ำ กินข้าว และออกไปห้องสมุดตามปกติ
แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปถึงโต๊ะเดิมริมกระจก…
หัวใจเขาแทบหยุดเต้น
เพราะที่ตรงนั้น มีใครบางคนนั่งรออยู่แล้ว พร้อมแก้วนมจืดวางไว้ข้างโต๊ะ
ซัน…ยิ้มให้เขา เหมือนทุกครั้งที่เคยเป็น
“กลับมาแล้วครับ” เสียงนั้นแผ่วเบา แต่มั่นคงพอจะหยุดโลกทั้งใบ
มินท์ยืนอยู่นิ่ง ๆ อยู่นาน ก่อนจะเดินเข้าไปช้า ๆ
เขานั่งลงตรงข้าม ไม่พูดอะไร
เพียงแค่ยื่นมือออกไป และซันก็จับมือเขาไว้แน่นทันที
ไม่มีคำถาม ไม่มีการทวงความรู้สึก
เพราะสิ่งที่ทั้งคู่มีให้กัน มันไม่เคยหายไป
...
หลังจากวันนั้น ทุกอย่างเหมือนกลับมาเข้าที่อีกครั้ง
แต่คราวนี้มันต่างออกไป — เพราะพวกเขาไม่ได้แค่ “ชอบ” กันอีกแล้ว
พวกเขา “เลือก” กัน
ซันยังคงมารับมินท์ไปกินข้าวเย็นบ้าง
มินท์ยังคงแวะมาห้องสมุดเหมือนเดิม
ทั้งคู่เริ่มวางแผนอนาคตร่วมกันแบบเงียบ ๆ
ไม่รีบร้อน ไม่เร่งให้เรียกชื่อความสัมพันธ์
พวกเขาแค่…อยู่ด้วยกัน
และเมื่อถึงวันรับปริญญาของซัน
ในภาพถ่ายมากมายที่เพื่อน ๆ แชร์กันในวันนั้น
มีอยู่รูปหนึ่ง — ที่คนถือกล้องเป็นมินท์
และในรูปนั้น ซันไม่ได้ยิ้มให้ใครอื่นเลย นอกจากเขา
…
ฤดูร้อนเวียนกลับมาอีกครั้ง
หนึ่งปีผ่านไปหลังจากวันแรกที่พวกเขาเจอกัน
มินท์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้เดิม มือข้างหนึ่งถือขวดน้ำ อีกข้างถือหนังสือ
เขาเหลือบมองนาฬิกา ก่อนจะยิ้มบาง ๆ
“สายอีกแล้ว…พี่ซัน”
แต่ไม่ถึงนาทีต่อมา เสียงฝีเท้าก็วิ่งเข้ามาใกล้
พร้อมเสียงทุ้มคุ้นเคยที่เอ่ยขึ้นจากด้านหลัง
“ขอโทษครับ รถติด”
มินท์หันกลับไปทันที — แล้วก็พบว่าซันยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมขนมปังในมือสองชิ้น และนมจืดหนึ่งกล่อง
“ให้คนขี้ลืม” ซันยิ้ม
มินท์หัวเราะออกมา ก่อนจะยื่นมือไปรับชิ้นขนมมาอย่างเงียบ ๆ
เขานั่งลงที่เดิม ซันนั่งข้างกัน มือของทั้งคู่แตะกันเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ประสานกันแน่น
แสงแดดอ่อน ๆ ของฤดูร้อนสาดลอดต้นไม้ลงมาเป็นลำ
ลมพัดกลีบดอกไม้ปลิวเบา ๆ บนสนามหญ้า
และหัวใจของทั้งคู่…ก็สงบลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
...
ฤดูร้อนของปีถัดมาเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการที่มินท์กำลังจะจบปีสาม
เวลาผ่านไปเหมือนภาพถ่ายที่ถูกเก็บไว้ในอัลบั้ม ละเอียด อ่อนโยน และเปี่ยมความหมาย
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซันไม่จำเป็นต้องเร่งรัด ไม่จำเป็นต้องประกาศต่อใคร ไม่จำเป็นต้องโพสต์แสดงออก
มันเติบโตขึ้นด้วยความมั่นคง คล้ายต้นไม้ที่เริ่มหยั่งรากลึกลงสู่ดินมากขึ้นทุกวัน
หลังจากฝึกงานและเริ่มทำงาน ซันกลับมาอยู่ในกรุงเทพฯ อย่างถาวร
เขาได้งานในบริษัทออกแบบซอฟต์แวร์แห่งหนึ่ง ซึ่งแม้จะเหนื่อย แต่ก็ทำให้เขากลับมาเจอมินท์ได้บ่อยขึ้น
ในวันธรรมดา พวกเขานัดกินข้าวเย็นหลังเลิกเรียนหรือเลิกงาน
ในวันหยุด พวกเขาอาจเดินทางไปร้านหนังสือเงียบ ๆ ซื้อกาแฟหวานน้อย แล้วนั่งอ่านหนังสือด้วยกันทั้งบ่าย
ไม่มีแผนชีวิตที่ใหญ่โต ไม่มีแหวน ไม่มีคำสัญญา
มีเพียงการ “อยู่” ของกันและกัน — และนั่นก็เพียงพอแล้ว
วันหนึ่ง มินท์ได้เปิดดูสมุดโน้ตเล่มเก่าที่เขาเคยจดสรุปไว้เมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขายังนั่งคนเดียวในห้องสมุด
กระดาษบางหน้าเริ่มซีด สีหมึกจางไปบ้าง แต่ตรงมุมขวาล่างกลับมีรอยปากกาลายมือคุ้นเคยที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อน
> "หวังว่าเธอจะไม่สังเกตว่าฉันแอบมองเธอเกือบทุกวันในห้องนี้" — ซัน
มินท์หัวเราะออกมาเบา ๆ น้ำตาซึมขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพิมพ์หาคนที่อยู่ปลายสายของความทรงจำนี้เสมอมา
> [ซัน]: หืม ไหน?
มินท์: "หวังว่าเธอจะไม่สังเกตว่าฉันแอบมองเธอเกือบทุกวันในห้องนี้"
มินท์: สรุปว่า พี่ตามจีบผมก่อนสินะ
[ซัน]: 55555 ยอมรับก็ได้
[ซัน]: แต่ตอนนี้ไม่ได้แอบมองแล้วนะ
[ซัน]: ตอนนี้มองอย่างเปิดเผย และจะมองแบบนี้ทุกวันไปเรื่อย ๆ
หัวใจมินท์อุ่นขึ้นทันที ทั้งจากคำพูดเรียบง่าย และจากสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด
วันต่อมา พวกเขานัดเจอกันที่ห้องสมุดเก่า
ตรงมุมริมกระจกที่มีแสงแดดลอดเข้ามาเฉียง ๆ
โต๊ะไม้เก่า ๆ ยังอยู่
เก้าอี้ยังเหมือนเดิม
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป...คือความทรงจำที่เต็มโต๊ะนี้ไปหมดแล้ว
“ยังอยากนั่งตรงนี้ไหม?” ซันถาม
“มากกว่าที่เคยอีกครับ” มินท์ตอบ
พวกเขานั่งลงเคียงข้างกัน หนังสือถูกเปิดออกเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงเพื่ออ่าน
แต่เพื่อจดจำ — ว่าจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ นั้นได้พาพวกเขามาถึงตรงนี้ได้อย่างไร
ระหว่างที่เงียบอยู่ ซันก็ล้วงบางอย่างออกจากกระเป๋า
มันคือสมุดบันทึกเล่มเล็ก สีฟ้าอ่อน มีปกแข็ง
เขาวางมันลงตรงหน้ามินท์ แล้วเลื่อนนิ้วให้อีกฝ่ายเปิดดู
มินท์เปิดไปหน้าแรก — และก็ต้องกลั้นหายใจ
> "ฤดูร้อนนั้น เราเจอกัน"
> บันทึกของคนคนหนึ่ง ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้รักใคร...จนกระทั่งเจอเธอ
> ตั้งแต่วันที่ฉันยืมปากกาไป จนถึงวันที่เรานั่งข้างกันโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก
> ฉันอยากให้ทุกวันหลังจากนี้ — คือบทต่อของบันทึกนี้
มินท์เงยหน้าขึ้น ซันยิ้มให้เขา แล้วเอื้อมมือมาจับมือเขาไว้แน่น
ไม่มีคำว่า “ขอคบ” หรือ “แต่งงาน”
ไม่มีแหวน ไม่มีดอกไม้
มีเพียงหัวใจของสองคน ที่เติบโตผ่านฤดูต่าง ๆ ด้วยกัน
และในตอนนี้…
ฤดูร้อนกลับมาอีกครั้ง
พร้อมกับความรักที่ยังอยู่เหมือนเดิม
เงียบ
อ่อนโยน
และมั่นคง
— จบ —