ฤดูวสันต์ปีนั้น หิมะตกช้ากว่าทุกปี
ในหมู่บ้านซือหลัวกลางหุบเขา มีเรือนไม้หลังเล็กซ่อนตัวอยู่ข้างลำธาร สายลมอุ่นพัดผ่านต้นเหมยที่ผลิดอกแดงเข้ม ย้อมบรรยากาศให้สวยงามราวภาพวาด
ซือเหยียน วัยยี่สิบกว่า บัณฑิตหนุ่มในชุดผ้าฝ้ายเรียบง่าย กำลังชงชาดอกเหมยด้วยรอยยิ้มละมุน
ฝั่งตรงข้าม ไป๋อวี่ ชายหนุ่มใบหน้าเรียบนิ่ง นั่งอ่านคัมภีร์อยู่ใต้แสงเช้า
“เจ้าใส่น้ำตาลลงไปอีกแล้วใช่หรือไม่?” ไป๋อวี่เอ่ยเสียงนิ่ง แต่แฝงความเอ็นดู
“หึ แค่หยดเดียวเอง ข้ารู้ว่าเจ้าชอบหวาน” ซือเหยียนยักคิ้ว หัวเราะเบา ๆ
ไป๋อวี่วางคัมภีร์ลง เอื้อมมือจับข้อมืออีกฝ่าย “เจ้า... ขยันเกินไปแล้ว”
“เพราะข้าอยากให้เจ้ามีความสุขทุกวัน” ซือเหยียนตอบเรียบง่าย แต่แววตาเต็มไปด้วยความรัก
สองปีแล้ว... ที่พวกเขาหนีออกจากเมืองหลวง
สองปีแล้ว... ที่ได้อยู่เคียงกันในหุบเขานี้
ไม่มียศ ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีตราประทับ
มีเพียงหัวใจที่เต็มไปด้วยความรัก
ค่ำวันหนึ่ง มีบุรุษในชุดคลุมดำขี่ม้าเข้าหมู่บ้าน
นำสาส์นหลวงพร้อมผนึกด่วน
“บัณฑิตซือเหยียน ถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับศัตรู ส่งข่าวลับให้แคว้นฉี ราชโองการสั่งให้จับตัวและรอการประหาร”
หมู่บ้านตกอยู่ในความเงียบ
ซือเหยียนไม่ขัดขืน เขายิ้มจาง ๆ เพียงเอ่ยว่า
“ไม่ต้องบอกไป๋อวี่... อย่าให้เขามา”
แต่ไป๋อวี่ก็รู้จนได้
เขากลับมาจากป่าล่าสัตว์ เห็นเพียงกล่องชาของซือเหยียนที่วางทิ้งไว้ กับจดหมายสั้น ๆ ว่า
“หากเจ้ายังอยู่... ข้าจะไม่เสียใจ”
ไป๋อวี่ทิ้งทุกสิ่ง รีบเดินทางสู่เมืองหลวง
แต่เมื่อไปถึง ศาลหลวงได้ตัดสินโทษประหารไปแล้ว
ซือเหยียนถูกขังในคุกหลวง น้ำหนักลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่รอยยิ้มของเขายังไม่เปลี่ยน
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะมา...”
ไป๋อวี่คุกเข่าหน้ากรงเหล็ก ฝ่ามือจับมือเขาผ่านช่องกรง
“ข้าไม่เชื่อเลยว่าเจ้าจะทำ... ข้าจะถวายฎีกา ขอชีวิตเจ้า—!”
ซือเหยียนเพียงส่ายหน้า “ราชโองการออกแล้ว ต่อให้ฮ่องเต้รู้ความจริง ก็ไม่มีวันยกเลิก...”
ดวงตาทั้งสองสบกัน
นิ่งนาน... จนเหมือนโลกหยุดหมุน
“เจ้าต้องมีชีวิตต่อไป...” ซือเหยียนย้ำ
แต่ไป๋อวี่กลับพูดว่า
“หากไม่มีเจ้า ชีวิตของข้า... ก็ว่างเปล่า”
เช้าวันนั้น ท้องฟ้าสีเทาหม่น
ลานประหารแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มองด้วยหลากหลายสายตา
ซือเหยียนเดินขึ้นแท่นประหารอย่างสง่าผ่าเผย แม้จะสวมชุดนักโทษ แต่เขาไม่เคยก้มหัวให้โชคชะตา
มือทั้งสองถูกมัดไว้ด้านหลัง
ดอกเหมยดอกหนึ่งร่วงจากกิ่ง ตกลงข้างเท้าของเขา
เขาเงยหน้ารับลมวสันต์
แล้วหลับตา... อย่างสงบ
เพชฌฆาตยกดาบขึ้น
ทันใดนั้น!
เสียงตะโกนกึกก้อง—
“หยุด!”
ร่างในชุดขุนนางสีดำกระโจนขึ้นแท่น
เป็นไป๋อวี่... ที่ถอดผ้าคลุมเผยตราประทับองค์ชายรอง
ผู้คนตะลึงงัน
“ข้า—ไป๋อวี่ บุตรแห่งฮ่องเต้! ขอร่วมโทษกับคนผู้นี้!”
เขาดึงเชือกที่มัดซือเหยียนออก แล้วจับมือเขาแน่น
“เจ้าจะไม่จากข้าไปไหนคนเดียว...”
“บ้าเอ๊ย...” ซือเหยียนร้องทั้งน้ำตา
“เจ้าควรอยู่ต่อไป...”
“ไม่—หากไม่มีเจ้า ข้าก็ไม่เหลืออะไรให้มีชีวิตอยู่เพื่อมันอีก”
ดาบยกขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้... มีสองคนที่ยืนเคียงกัน
สองมือที่จับกันแน่น
สองดวงตาที่มองกันครั้งสุดท้าย
และหนึ่งความรัก... ที่ไม่มีใครพรากได้
ฟัน!
เสียงดาบตัดผ่านอากาศ
ร่างทั้งสองล้มลงข้างกัน—บนลานหิมะที่ขาวบริสุทธิ์
มือทั้งสอง... ยังประสานกันแน่น
แม้เลือดจะไหล แม้ลมหายใจจะสิ้น
แต่ความรักของพวกเขา
…งดงาม ยิ่งกว่าทุกสิ่งในใต้หล้า
แม้ร่างจะดับสูญใต้คมดาบ
แต่ใจข้ายังผูกพันกับเจ้าชั่วนิรันดร์
“即使身亡于刀锋之下,我心亦永系于你。”