- ย้อนกลับไปเมื่อ 11 ปีที่แล้ว
- ตอนนั้นผมยังอายุเพียงแค่ 10 ขวบเท่านั้น
ผมเคยเป็นเด็กที่เรียนดีและร่างกายแข็งแรงมากๆมาก่อน
เคยเป็นทั้ง
นักกีฬาเทควันโดของจังหวัด นักแข่งวิ่ง
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีมากเลยของเด็กในช่วง 10 ปีที่เกิดมา
- จนกระทั่งช่วงกลางเทอมตอนป.4
ผมตื่นเช้ามาปวดหัวมากๆ ร่างกายไม่มีแรงเลย นอนร้องไห้จนพ่อกับแม่ให้ลาเรียนในวันนั้นแล้วพาไปตรวจที่โรงพยาบาล
หลังจากตรวจก็ไม่พบอะไร หมอเลยให้ยาแก้ปวดหัวมา
พอกลับมาบ้านก็ให้นอนพักตามปกติ
วันถัดมา ผมไปโรงเรียนได้ปกติจนถึงช่วง 10 โมง
ผมนั่งเรียนอยู่ดีๆก็มีอาการปวดหัวตาลายมาก
นั่งร้องไห้ระหว่างเรียน ทุกคนต่างเห็นผมมีอาการเพื่อนๆก็เป็นห่วงจะให้ไปห้องพยาบาล แต่ครูบอกให้รอจบคาบก่อนเดี๋ยวค่อยไปห้องพยาบาล พอจบคาบเพื่อนๆก็พาผมไปห้องพยาบาล โทรเรียกให้แม่มารับกลับเพราะผมอยู่ต่อไม่ไหว
สุดท้ายผมก็ไม่ได้เรียนอีกวัน
- ผมคิดว่าผมแค่ปวดหัวธรรมดาทั่วไปเท่านั้น จนวันต่อมา
ผมตื่นเช้ามาพร้อมกับเห็นหน้าพ่อกับแม่พยายามปลุกผมอย่างเอาเป็นเอาตาย มารู้ทีหลังว่าตัวเองนอนชัก
(ไม่ได้ชักแรง) และก็สลบไปปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่นตั้งแต่ 6 โมงถึง 8 โมงกว่าๆ หลังจากตื่นมาผมปวดหัวมากๆร่างกายไม่มีแรงเหมือนเดิมเลย แต่รอบนี้เหมือนจะขยับร่างกายไม่ค่อยได้ แต่เวลาผ่านไปสัก 3-4 ชั่วโมงผมก็เริ่มกลับมาขยับได้ปกติ
- ต่อมาแม่พาผมไปโรงพยาบาลที่กรุงเทพ พาไปตรวจละเอียดเลยว่าเป็นอะไรกันแน่ เจาะเลือด ตรวจร่างกาย ซีทีสแกนสมอง
ตรวจตา ตรวจไปทั่วอะ ก็ไม่เจออะไรผมงงมาก แล้วพ่อแม่ผมหมดไปกับค่าตรวจเยอะพอสมควร นั่นทำให้ผมรู้สึกแย่เพราะฐานะที่บ้านไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ แล้วมันไม่รู้วิธีรักษา นั่นมันน่ากลัวมากกับการทำกิจกรรมอะไรสักอย่างอยู่แล้วเกิดอาการชักหรือสลบลงไปโดยไม่ได้ตั้งตัว ในแต่ละวันที่ผมไปเรียนเคยเกิดอาการสลบลงไปนอนชักอยู่ 2-3 ครั้ง ผมเลยจำเป็นต้องออกจากการเล่นกีฬาเทควันโด และยอมดรอปเรียนแล้วมาเรียนเองในเน็ตที่บ้าน แล้วหาวิธีรักษาไปเรื่อยๆพร้อมกับคนที่บ้าน
- ในช่วงอายุ 10-13 ปี ผมได้ไปรักษาตัวทั้งแบบวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ จนอายุ 13 ปี ผมก็ยังมีสลบลงไปนอนชักอยู่แต่ก็ไม่เป็นบ่อยเท่าช่วงปีสองปีแรก รู้เลยว่าตัวเองน่าจะดีขึ้นแล้ว
- ตลอด 3 ปี ผมอยู่แต่บ้าน ได้เห็นเพื่อนๆแถวบ้านผมได้ไปเรียน ไปเล่นกัน ได้มีกิจกรรมนอกบ้านสนุกๆในช่วงวัยนั้น
ส่วนผมทำได้แต่เรียนเองในบ้าน (แต่ไม่ได้เรียนเข้าใจขนาดนั้น) ได้เล่นกับเพื่อนแค่ในบ้านตัวเองอยู่ในสายตาพ่อแม่
บอกตามตรงว่าผมเหงามากๆ อยากไปเรียน อยากไปเล่น
กับเพื่อนๆเหมือนคนอื่น อยากเล่นกีฬาอย่างแข่งขัน แต่ผมก็ได้แต่อยู่บ้านตลอด 3 ปี
- จนมาช่วงใกล้ๆอายุ 14 แม่ผมได้ลองพาผมไปสมัครเรียน กศน. เพราะเห็นว่าไม่ได้สลบลงไปชักนานแล้ว
กศน.นั้นจะเรียนอาทิตย์ละ 1 วัน เอาจริงก็ครึ่งวันนั่นละ แล้วก็ให้การบ้านหรืองานกลุ่มมาให้ทำ และต้องเก็บกิจกรรมให้ครบ 200 ชม.ก่อนจบปี
- ซึ่งผมก็เรียนได้ปกติเลย ไม่มีอาการสลบหรือชักอะไรเลยงงกันหมดทั้งบ้านรวมถึงผมด้วย
ผมเรียนหลักสูตรประถม 1 ปี
ผมเรียนหลักสูตรม.ต้น 1 ปีครึ่ง
ซึ่งผมเรียนตามทันเพื่อนๆในช่วงอายุเท่ากัน โชคดีมากๆ
ตอนผมเรียนหลักสูตรประถม ผมเริ่มต้นได้ไม่ดีเท่าไหร่
ด้วยความที่ผมเด็กที่สุดในนั้น ผมโดนคนในห้องที่เรียนด้วยบูลลี่ต่างๆ เช่น เด็กโข่ง เด็กขี้เกียจเรียนแล้วมาเรียนกศน. โดนใช้ให้ทำนู่นนี่แทนในช่วงกิจกรรมหรืองานกลุ่ม แถมเกรดตอนจบหลักสูตรประถมผมทำได้แค่ 2 กว่าๆ นั่นไม่ดีสำหรับผมเลย นับเป็นช่วงเวลาแย่ๆละกันนะครับ
พอมาตอนหลักสูตรม.ต้น ผมได้ย้ายวันเรียนมาเรียนอีกวัน
ผมได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ได้เป็นเพื่อนกับหลายๆคน ได้เรียน
ได้ทำกิจกรรมต่างๆแล้วเราสนุกไปพร้อมกับเพื่อนจริงๆ
(เพื่อนทุกคนอายุเยอะกว่าผมปีสองปีทุกคน)
และผมได้เพื่อนสนิทมากๆ ถึงทุกวันนี้มาคนนึงด้วย
เค้าเป็นเพื่อนที่ดีมากเลยสำหรับผม
แต่สิ่งที่เหมือนเดิมคือเกรดของผม เกรดผมยังได้แค่ 2 กว่าเหมือนเดิม น่าจะด้วยความที่ผมห่างจากการเรียนแบบปกติมานานด้วยละมั้ง
- เวลาได้ผ่านมาจนผมอายุ 16
ผมได้เข้ามาเรียนในระดับปวช. ตอนมาเรียนวันแรกนั้นแค่มาดูสถานที่ละบอกระบบต่างๆของที่นั่น ผมได้เจอเพื่อนเก่าตอนประถมคนนึงด้วย แต่เราไม่ได้สนิทอะไรสักเท่าไหร่
ผมได้เริ่มเรียนไปได้เทอมแรก ก็ได้เรียนได้ทำงานกลุ่มได้ทำกิจกีฬาต่างๆตามปกติ คุณครูและรุ่นพี่ได้เซอร์ไพร์HBDผมด้วย ได้ไปสมัครเรียนรด.แล้วผ่านอีกด้วย
โดยรวมถือว่าโอเคเลยในช่วงแรก
พอมาเทอม 2 ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด
คือผมมีแฟนตอนก่อนจะเข้ามาเรียนมาพักสักแล้ว เธออายุมากกว่าผม 3 ปี เธอทั้งสวย น่ารัก และใจดีกับผมมาก จนผมมารู้ความจริงว่าเธอ พึ่งรู้ว่าตนนั้นเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะ 3 เธอเคยมีอะไรแบบนั้นมาก่อน เธอได้เสียชีวิตหลังจากนั้นประมาณเดือนกว่าๆ พี่สาวเธอโทรมาพร้อมกับร้องไห้โฮบอกผมว่า เธอเสียแล้วนะ
ตอนนั้นผมกำลังเรียนอยู่ ผมได้ออกมารับโทรศัพท์หลังจากนั้นผมก็ไปแอบนั่งร้องไห้ในห้องน้ำจนหมดคาบนั้น แต่ก็มีเพื่อน 2 คนจับได้ว่าผมร้องไห้ ผมเลยบอกทุกอย่างไป หลังจากนั้นก็รู้กันทั้งห้องเลย บางคนก็ไม่เชื่อผมก็ทำได้แค่ชั่งมันใครจะรู้ดีเท่าตัวเราเอง จะไปสนใจคนอื่นทำไม
ช่วงเวลาในเทอมสองนั้นผมได้กลายเป็นคนเงียบๆไม่คุยกับใคร ไม่สุงสิงกับใครถ้าไม่จำเป็น ทำได้แค่เรียนและกลับบ้านจบๆไปในแต่ละวัน จนจบเทอมสองไป
พอมาขึ้นปวช.2 ด้วยความที่ตอนนั้นมีโควิดมันหนักกว่าเดิม
ผมได้เรียนออนไลน์อยู่บ้านทั้งสองเทอม (เรียนที่บ้านอีกแล้ว)
ไปแค่ตอนสอบกลางภาคกับปลายภาคเท่านั้น
และช่ววกลางเทอมผมได้ลองเปิดใจมีแฟนดู เธออายุ 22 ในขณะที่ผมแค่ 17 เท่านั้นเอง เธอมีความเป็นผู้ใหญ่ ทัศนคติดี หาเงินเก่ง ใส่ใจและรักผมมากๆ ผมก็รักเธอมากเช่นกัน
และมาถึงปวช.3 ปีสุดท้ายถือเป็นปีที่มีทั้งดีและแย่เช่นกัน
ปีนี้ได้มีการฝึกงานและทำเล่มจบเพิ่มเติมขึ้นมา
ในเทอมแรกผมเรียนไปนิดหน่อยและก็ได้ฝึกงานที่โรงเรียนเลย ผมได้ฝึกงานกับครู ได้ช่วยครูทำเอกสาร ได้ออกนอกโรงเรียนคอยเอาเอกสารไปให้คนนู้นคนนี้พร้อมครู ครูคนนี้เป็นคนเดียวที่ผมนับถือในโรงเรียนนั้นเลย แกใจดีกับผมมากในหลายๆเรื่อง
แต่มีเรื่องที่ทำให้ผมหมดแพชชั่นในชีวิตไปชั่วขณะหนึ่ง
นั่นคือ แฟนของผมเสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับระยะ 4
รู้ก่อนเสียได้ 3 เดือน ตอนแรกระยะ 3 จนลามมา 4
ก็ช่วยๆกันให้กำลังใจและให้หมอช่วยเท่าที่ช่วยได้
ในตอนนั้นผมได้แต่ภาวนาไม่ให้มันเกิดอะไรแบบนั้นอีก
เธอเป็นคนดีมากๆ แต่ด้วยความที่เธอเสพติดการดื่มไวน์วันละขวด 2 ขวด จนทำให้เธอเป็นแบบนั้น
ตอนผมรู้ผมร้องงงงแบบร้องต่อหน้าพ่อตัวเองที่ทราบเรื่องแฟนผมที่เสียไปในวันนั้น พ่อแม่ผมก็ทำได้แค่ปลอบให้ใช้ชีวิตต่อไป
ไม่นานเพื่อนคนนึงได้รู้เพราะผมขอลาหยุดฝึกงานไป 2 วันติด
ก็ได้เอาไปบอกทุกคนในปี 3 แน่นอนว่าบางคนก็ให้กำลังใจ บางคนก็ไม่เชื่อละอคติกับผมว่า แต่ผมไม่ได้ติดอะไรปล่อยเค้าไปเพราะเค้าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตผม
เราก็มีหน้าที่แค่ใช้ชีวิตต่อไปแค่นั้นพอ
หลังจากวันนั้นผมได้ไปหาจิตแพทต์ สรุปๆเลยคือผมเป็นซึมเศร้ามาตั้งแต่ปวช.1เทอม2 แต่พึ่งมารู้ตอนไปตรวจช่วงแฟนผมเสียได้ไม่นาน หลังจากนั้นผมก็ได้ทำการกินยารักษาตามหมอบอก ได้หากิจกรรมทำนอกบ้านไม่หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน(เพราะพ่อจะไล่ให้ไปหาไรทำข้างนอกตลอดจะได้ไม่นอนซึมอยู่บ้านในห้องมืดๆ55555) กิจกรรมของผมนั้นก็ เช่นพวก
การเต้น การออกกำลังกายอย่างเทควันโด หรือออกไปเที่ยว ไปคาเฟ่กับเพื่อนๆ และที่ชอบที่สุดเลยคือเล่นเกมกับเพื่อนๆมันทำให้ปล่อยความเป็นตัวเองออกมาที่สุดเลยอันนี้555
อะ พอจบจากการฝึกงานผมได้ไปเข้าค่ายรด. 5วัน4คืน
โดยรวมถือว่าสนุกดี(ถึงจะอั้นขี้ไป 4 คืนก็เถอะ55555)
กลับจากเข้าค่ายผมได้มาช่วยเรื่องการทำเล่มกับเพื่อนในกลุ่ม
ได้พรีเซ้นท์จบและถือว่าผมทำมันได้ดีในระดับนึงเลย(ภูมิใจ)
หลังจากนั้นไม่นานผมก็สอบปลายภาค โดยรวมผมทำมันได้ดีกว่าที่คาดไว้เยอะเลย จากเด็กกศน.ที่มีเกรดแค่ 2 จนมาถึงตอนจบปวช.3 ผมก็ทำเกรดโดยรวมได้เกือบ 4 เลย
และก็ผมจบจากชั้นปวช.ได้ถึงจะมีเรื่องไม่ดีเยอะก็เถอะฮ่าฮ่า
- ผมมีมหาลัยที่เล็งไว้คือมอกรุงเทพ ซึ่งบ้านผมได้จ่ายค่าเทอมเรียบร้อยแล้วแต่เกิดเหตุกลุ่มคนที่เคยบูลลี่ผมตอนกศน.ตอนนั้นมันเรียนคณะสาขาเดียวกับผมเป้ะๆเหมือนลอกการบ้านมาเลย ผมว่าผมผ่านมาแต่เรื่องแย่ๆผมอยากเจออะไรดีๆบ้าง ผมเลยบอกนี้ให้พ่อไป พ่อเลยทำเรื่องขอเงินคืนละเปลี่ยนไปมออื่นให้เนื่องด้วยสาเหตุอย่างที่ผมบอกพ่อ
ซึ่งทางมอก็เข้าใจก็ได้ทำเรื่องขอออกและคืนเงินให้
ผมได้ขอโทษคุณครูและพี่ที่ช่วยทำเรื่องได้ง่ายและเร็วในตอนนั้นทันทีที่ทำให้เสียเวลาพวกเค้านิดหน่อย ทางนั้นก็บอกไม่เป็นไรผมก็รู้สึกโล่งใจ
แต่มาหนักใจตอนหาใหม่ว่าจะไปมออะไรนี่ละ จนมาเห็นมอนึงที่ถูกและดี ถึงจะจบยากแต่ก็อยู่ที่วินัยด้วยแหละ
มอรามคำแหง น่าจะคุ้นหูหลายคนเลยกับคำขวัญ
“เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ F”
และผมก็ได้เลือกมอนี้นี่แหละ ไม่เวลาหามออื่นละเอามอนี้ละ
- เริ่มปี 1 กับมอที่เรารัก
มอนี้จะมีหลายวิชาเลยที่ให้เราได้ดูคลิปเรียน หรือก็คือเรียนอยู่บ้านนั่นเองอาจจะถูกใจหลายคนรวมถึงผมด้วย เพราะมอมันไกลจากผมพอสมควร เดินทางครั้งนึงก็หมดเป็นร้อยกว่า
และการที่ได้เรียนรู้เองมันกลายเป็นสไตล์ของผมไปแล้ว มันทั้งสงบ และมีสมาธิ ในการเรียนที่บ้าน หรือบางวิชาที่ไม่มีคลิปสอนจะไม่ไปเรียนที่มอก็ได้สำหรับคนที่ติดงาน เพราะมีกลุ่มไลน์ที่คอยช่วยบอกแนวทางการเรียนหรือแนวข้อสอบต่างๆตลอด ทุกคนน่ารักมากในไลน์คอยช่วยกันตลอดเพราะมอนี้สอบแบบ 100% ไม่มีคะแนนอะไรมาช่วยทั้งนั้น ใช้ความจำและความเข้าใจล้วนๆ
(เหมือนมาโฆษณามอตัวเองเลยเนอะ555)
ในช่วงปี 1 เทอมแรกนั้น ผมได้ลองไปเรียนที่มอครั้งแรกดู
จัดว่าคนเยอะอยู่ในวันแรก ผมได้เพื่อนสนิทมาจนถึงทุกวันนี้มาด้วยคนนึง ในเทอมแรกผมสอบได้ดูจึงรู้ว่า เกรดดีๆที่ผมเคยทำได้เมื่ออดีตมันเทียบไม่ติดกับมหาลัยเลย สอบที่รามเป็นอะไรที่ยากมากๆ ผมลงเรียนไป 7 ตัว ล่อ F ไปแล้ว 3 ตัว
มอนี้สามารถซ่อมได้ แต่ผ่านไหมอันนี้อีกเรื่องนึง
ตัดมาเทอมสอง ผมก็เรียนเองที่บ้านตามสไตล์ ว่าจะไปเที่ยวเล่นข้างนอกแต่เพื่อนสนิทผมติดทหาร เพื่อนอีกคนก็ติดแฟน เลยไม่มีใครไปไหนมาไหนกับผมเลยในตอนนั้น
แล้วมีมาวันนึงน้าของผมเปิดคาเฟ่ละจัดลิสเฟอร์นิเจอร์ที่ผมต้องไปหาที่อิเกียละถ่ายรายละเอียดส่งให้น้า แล้วผมไม่ค่อยชินกับการไปไหนคนเดียวเลยแถมเป็นที่ที่ไม่คุ้นด้วย แล้วด้วยความเหงาจัดเลยลองชวนเพื่อนผญคนที่เคยเรียนตอนปวช. ด้วยกันให้มาเป็นเพื่อน แล้วเธอก็ตอบตกลงแบบง่ายๆเลย
พอถึงวันเราก็ได้เจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน ได้เดินเลือกเฟอร์นิเจอร์ตามที่น้าบอกแบบไม่เหงา ได้คุยได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น เพราะเราไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ตอนเรียนด้วยกัน แล้วเหมือนเริ่มถูกคอกัน ขากลับผมเลยจ่ายค่ารถให้ไป แล้วเหมือนเธอจะไม่ยอมที่ผมจ่ายให้ไปแบบนั้น ผมเลยมีแผนในการกระชับความสัมพันธ์คือถ้าอยากจ่ายคืนก็หาวิธีเอาละกัน หลังจากนั้นเวลาผ่านไปเรื่อยๆเราก็ได้คุยแลกเปลี่ยนกันใน
แชทมาเรื่อยๆเป็นเดือนๆจนสนิทกันผมก็ไม่ให้เลขบัญชีเธอสักที555 เงินสดก็ไม่รับด้วย มีวันนึงที่ผมกำลังยุ่งมากๆกับงานคาเฟ่ของน้า แล้วนางทักมาขอเลขบัญชีพอดี แล้วผมดันให้ไป หลังจากนั้นก็หยุดคุยกันไปไม่กี่วัน ผมเลยลองถ่ายแมวอ้วนไปให้เธอดูเผื่อไดักลับมาคุยกันอีก และก็ใช่ เราได้กลับมาคุยกันได้ไปเที่ยวกันจนสนิทกันสุดๆเลย แต่ก็มีช่วงที่ให้เวลาส่วนตัวก็มีช่วงในการสอบปลายภาค อันนี้สำคัญ (อย่าติดสาวหรือผู้จนเมินการเรียนนะครับ^^)
ผมทำเกรดออกมาได้เหมือนเดิมคือ ผ่าน 4 ติด F 3 จะบ้าตาย
- มอเพื่อนญของผมนั้นเปิดเทอมก่อนผมเทอมนึง
ผมได้รู้ว่าเธอเรียนอ่อนวิชาอังกฤษมาก และเป็นคนที่ประหม่าหรือแพนิคมากๆตอนเรียนวิชานี้คนเดียวโดยไม่มีคนรู้จักเลยสักคน ผมเลยอยากช่วยไปนั่งเรียนด้วยข้างๆ
(แต่ไม่มีเจตนาจะฉวยโอกาสเรียนฟรีกับมอเค้านะครับ เอาจริงก็แค่นั่งคอยช่วยเพื่อนข้างๆเฉยๆ)
เราได้เจอกันอาทิตย์ละครั้งตลอดหลังจากผมขอไปนั่งช่วยข้างๆ เราได้ไปกินของกินอร่อยๆ ได้แวะเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ
จนมาวันนึงผมได้รู้ว่าผมได้ชอบเธอไปแล้ว ถึงจะมีความกลัวเล็กๆจากเมื่ออดีตนิดหน่อย แต่ผมก็ให้ใจไปหมดแล้วถอยหลังไม่ทันละ5555
- ก่อนผมอายุ 20 ได้ไม่กี่วัน ผมได้ไปเที่ยวและนอนโรงแรมแถวข้าวสาร 2 วัน 1 คืนพอดี ในช่วงเที่ยงคืนเธอได้สงสัยว่าผมชอบเธอรึเปล่า เธอเลยทักมาคุยและเธอก็เริ่มจีบผมจนถึงตี 4-5 แน่นอนผมเสียอาการแบบเต็มระบบ555 ไม่มีความเนียนอะไรทั้งสิ้น คุยไปคุยมาจนเราทั้งคู่ได้รู้ว่าชอบกัน ผมเลยตัดสินใจ ขอเป็นแฟนกับเธอ แล้วเราก็ได้เป็นแฟนกันในวันนั้นจนถึงทุกวันนี้เลยครับ
ผมได้เป็นแฟนกับเธอมาใกล้จะปีแล้ว เธอคือคนที่คอยเติมเต็มผมในทุกวันนี้เลยก็ว่าได้ แทบจะเป็นทุกอย่างในชีวิตผมแล้ว เพราะอะไร? ด้วยความที่พ่อแม่ผมไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่แล้ว อนาคตพ่อแม่ของผมจะแยกกันอยู่ถ้าผมมีงานที่มั่นคงกับแฟน ส่วนผมคงไปอยู่กับแฟน 2 คน
เธอเลยเป็นคนสุดท้ายที่ผมเหลืออยู่แล้วละครับ
ผมเลยรักเธอมากพอๆกับพ่อแม่ผมเลยครับ
และนี่ก็คงเป็นเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งที่เล่าย่อๆออกมาให้ทุกคนได้อ่านกัน อาจจะมีอะไรที่อ่านดูแล้วงงๆก็ขออภัยด้วยนะครับ
ท้ายที่สุดนี้ก็ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนมาทำให้เราสะดุดกับช่วงเวลานั้นๆนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ