กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว(เช้านี้องแหละ) ข้า/ฉัน นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ และ.......
"จิน"
ชายหนุ่มรูปงามวัย 24 ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นท่ากลางห้องที่เงียบงันโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
"ขอรับ นายท่าน"
หนุ่มน้อยวัย 16 ที่ยืนอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดเอ่ยขานรับ
"เจ้าไปหาชุดสตรีมาให้ข้า"
หนุ่มรูปงามผู้นั้นยังคงเอ่ยขึ้นด้วยสิหน้าเรียบเฉย
"ห๊ะ!!!"
หนุ่มน้อยหยุดชะงักเป็นเวลานานก่อนจะตั้งสติได้ องครักษ์ลับที่เฝ้าอยู่บนหลังคาเองก็เช่นกัน พวกเขาต่างคิดว่าตนนั้นได้ยินอะไรผิดไป
"ไปหาชุดสตรีมาให้ข้า"
ชายหนุ่มยงคงเอ่ยขึ้นด้ยความเรียบเฉย ราวกับคนที่จะใส่ชุดที่หามานั้นไม่ใช่ตน
"นายท่าน ท่านจะเอาไปให้ใครหรือขอรับ"
หนุ่มน้อยถามขึ้นด้วยความอยากรู้ แต่ไมทันให้อีกฝ่ายเริ่มเดาหน่งรูปงามก็เอ่ยตอบทันใด
"ข้าจะใส่เอง"
โคร่ม!!!! หนุ่มน้อยในห้องอ้าปากค้าง ถึงขั้นยืนไม่ไหวและล้มลงไปกับพื้น ส่วนคนที่อยู่ด้านบน.....
"พวกเจ้าลงมาทำอะไรกัน เพลอหลับเหรอ"
แต่ไม่รอให้ตอบชายหนุ่มรูปงามหมายเลข 2 ก็เดินเข้ามา
"โม่เฉินซี ทำไมองครักษ์ลับของเจ้าถึงทำงานไม่ได้เรื่องแบนี้ล่ะ กลางวันแสก ๆ ขณะทำงานก็ยังกล้าหลับอีก"
"อะ หยวน เจ้าลงไปทำอะไรที่พื้นน่ะ เจ็บขาเหรอ ทำไมไม่นั่งเก้าอี้ล่ะ"
หนุ่มรูปงามหมายเลข 2 ยังคงพูดเจ้ยแจ้วแบบไม่เปิดโอกาสให้ใครพูดแทรก
"คุณชายโอหยาง ท่านทำอะไรกับนายท่านของพวกเรากัน"
หยวนเอ่ยถาม
"หืม"
"เอามาหนึ่งชุดให้เขาด้วย เร็วหน่อย"
"ขอรับ"
ไม่รอคำตอบของคุณชายโอหยาง หยวนก็รีบไปทำตามคำของผู้เป็นนายทันที
ร้านหนังสือ ถนนซีซี เมืองหลวง
"ในที่สุด!!! 'จิ่วโยแห่งเมืองหลวงกับอ๋องหน้าโง่ เล่มที่12' ก็เป็นของข้า ครบ!!"
หญิงสาวนนางหนึ่งเดินออกมาจากร้านขายหนังสือในตรอกขนาดเล็ก
"ช่วยด้วย!!!"
ไม่ทันที่จะไปไหนก็ต้องมาเจอการลักพาตัวของ.....
อะเร๊ะ!!! ไม่ทันไรก็ถูกลักพาตัวอีกคนเสียแล้ว นี่มันอะไรกัน
"นี่โม่เฉินซี เจ้าต้องการจะทำอะไรกันแน่ ทำไมต้องแต่งหญิงด้วยล่ะเนี่ย แล้วทำไมข้าต้องแต่งหญิงกับเจ้าด้วยล่ะ"
โอหยางหยุนอีพูดประท้วง พรางเดินตามหลังโม่เฉินซีไปติด ๆ หากเกิดหลงกันขึ้นมาคงไม่ดีแน่
........
"อะไรกันแม่นางน้อยนี่เอง น่าตาดีใช้ได้เลยนี่ สนใจจะไปกันพวกข้าไหม"
แต่อยู่ ๆ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นเหตุใดจึงมีคนตาบอดไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นชายมาทักชายอกสามศอกว่าแม่นางน้อยกันนะ
และ.....เหตุใด...จึงถูกจับตัวมาด้วยกันนะ...ทั้งมัดมือมัดเท้าและปิดปาก อืม...น้ำลายฉัน!!! เปียกหมดเลยคายออกดีกว่า
ใช้ลิ้นดันผ้าออก ก้มลงและคายมันออก ทำไมถึงคายได้น่ะเหรอ? เพราะผ้ามันนิดเดียวยังไงล่ะ ??!! พวกโง่ ไม่รู้รึไงว่าผ้าแค่นี้มันอุดปากไม่ได้น่ะ มือก็มัดไว้ด้านหน้าไม่ใช่ด้านหลังโง่จริง...
??? ผ่านไปซักพักผู้คนในรถม้าต่างก็มองมาที่นางเป็นตาเดียว หญิงสาวลุกขึ้นและแก่มัดให้แก่ชายอกสามศอกในร่างหญิง
ร่างกายสูงโปร่งดูเป็นผู้ดีอย่างยิ่ง เขาคงไม่โง่แหกปากตะโกนหรอกใช่ไหม ในขณะที่แก้มัดนี้นางเองก็ทำได้เพียงคิดเช่นนี้ ใครให้นางเป็นสาวน้อยอ่อนแอกันเล่า คนพวกนั้นมีตั้งเยอะต้องฟาดตั้งหลายทีกว่าจะหมด มีหวังนางคงหมดแรงก่อนพอดี
นางเดินไปเอาไม้จากที่ไหนซักที่มายื่นให้เขาอย่างใสซื่อก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เดิมพรางเปิดหน้าต่างรถม้า
ย้อนกลับไปในตอนที่มีคนทักข้าและโอหยางหยุนอีว่าแม่นางน้อยไม่ทันไรเราก็สลบไป สติข้าเลือนลางยิ่งนักเห็นแต่เพียงพวกเขารีบไปอุ้มแม่นางน้อยอีกคนมา
ไม่รู้ว่ารถม้าโคลงเคลงเกินไปหรือเพราะยาสลบหมดฤทธิ์เสียแล้วข้าจึงได้สติขึ้นมา เห็นได้ชัดว่านี่คือในรถม้า
"เจ้าเข้าไปดูหน่อยว่าพวกมันตื่นหรือยัง"
เสียงชายฉกรรจ์วัยกลางคนดังขึ้น จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งตอบรับ แล้วเขาก็เดินขึ้นมาบนรถ ข้าเองก็ควรแกล้งหลับต่อ ต่อให้เชือกตะมัดไว้ด้านหน้าก็ตาม คงไม่ใช่เรื่องง่ายหากจะแกะมันออกเพราะเราต่างมีผ้าอุดปากเอาไว้
และในที่สุดเขาก็ออกไป เขารายงานเรื่องที่ยังไม่มีใครตื่นให้ชายวัยกลางคนผู้นั้นฟัง ข้าลืมตาขึ้นจากนั้นโอหยางหยุนอีก็ตื่นขึ้น เขายอกว่าเขาตื่นตอนที่มีคนขึ้นมาตรวจ และจากนั้นไม่นานนังหนูที่ถูกจับมาก่อนก็ตื่นจึ้น อาจเป็นเพราะนางยังเด็กจึงยังไม่ตื่น
จนแล้วจนรอด เราสามคนแกล้งหลับมาหลายรอบแล้วแต่หญิงสาวที่ถูกจับมาพร้อมกับข้าและโอหยางหยุนอีก็ยังไม่ตื่นซักที
"ลูกพี่อีกเดี๋ยวก็จะถึงจุดนัดพบแล้วขอรับ"
ในตอนนั้นข้าคิดว่าหากนางโดนขายไปก็คงยังไม่รู้ตัวแต่อย่างใด แต่ไม่นานนางก็ตื่นขึ้นมา นางสามารถปลดเชือกและคายผ้าได้เอง ข้าคิดว่านางจะโหวยเหวกโวยวายและหนีไป
หากแต่คิดไม่ถึงว่านางจะแก้มัดให้ข้าและหาไม้มาให้ข้าด้วย แล้ว....ข้าควรทำอย่างไร นางกลับไปนั่งที่เดิมและหลับต่อ ราวกับไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลย
เขาใช้ไม้ที่นางให้ตีคนข้างนอกจนสลบไปและทิ้งพวกเขาไว้กลางป่าเขาเช่นนั้น เขาบังคับรถม้าให้หันกลับ เมื่อถึงหมู่บ้านเขาและโอหยางหยุนอีสามารถไปได้โดยที่ปล่อยพวกนางเอาไว้ได้
ใช่! เป็นพวกนางไม่ใช่นางเพียงคนเดียว ในรถม้ายังมีสาวน้อยอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย นางอายุประมาณ 13-14 ปีได้ พวกเขาสามารถไปได้เลยเพราะทั้งเขาและโอหยางหยุนอีต่างมีเงินและวรยุทธ
หากแต่ไม่รู้หญิงสาวผู้นี้หลับไปอีกตั้งแต่เมื่อใด
"เป็นหญิงสาวที่หลับได้หลับดีจริง ๆ ไม่รู้บ้านไหนจะได้ไปกันนะ หากเป็นบ้านที่มั่งมีก็ยังดีไป หากแต่เป็นบ้านที่แล้นแค้นคงโดนด่าวันด่าคืนเป็นแน่"
โอหยางหยุนอีพูดลากยาวก่อนจะจบลงด้วยการทอดถอนใจและต่อด้วยว่า
"เห็นแก่นางหน้าตาดี เจ้าว่าข้ารับนางเป็นอนุดีหรือไม่"
โม่เฉินซีถอนหายใจพรางกรอกตาใส่โอหยางหยุนอี สาวน้อยที่นั่งข้าง ๆ โอหยางหยุนอีก็กระเทิบหนีออกมาเล็กน้อย
"ไม่ทราบว่าแม่นางน้อยมาจากที่ใด พวกจ้าจะไปส่ง"
โม่เฉินซีเอ่ยถาม สาวน้อยนางนั้นคิดซักพักว่าจะตอบไปดีหรือไม่ แต่สุดท้ายนางก็ตอบโม่เฉินซีกลับไป
"ข้าหนีออกจากบ้านมา พวกเขาจะขายข้า ข้าเลยหนีออกมา"
เพียงคำพูดประโยคเดียวทุกคนก็เข้าใจสถานการณ์
"เช่นนั้นเจ้าไปกับข้าดีหรือไม่ สถานะการณ์ข้าอาจไม่ดีนัก แต่จะไม่ให้เจ้าต้องอดเป็นแน่"
หญิงสาวเอ่ยถาม คนผู้นี้หลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ ๆ ก็เอ่ยปากขึ้นเช่นนี้ทำคนตกใจยิ่งนัก สาวน้อยผู้นั้นมองนางอย่างเคลือบแคลงใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามรายละเอียด
"ไปที่ใดรึ ไม่ใช่พระราชวังใช้หรือไม่ จ้าได้ยินมาว่าที่นั้นเข้าแล้วออกไม่ได้"
"ไม่หรอก ในอนาคตหากเจ้าอยากไปข้าก็จะไม่รั้ง"
"ชะ เช่นนั้นไป ไปที่ใดรึ"
"อืม....เขาว่าเป็นจวนอ๋องแต่ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าอ๋องไหน"
หญิงทั้งสองเอ่ยถามตอบกัน ส่วนโม่เฉินซีกับโอหยางหยุนอีก็หันมองหน้ากันอย่างเงียบเชียบ
หญิงสาวผู้นี้คงเป็นบุตรีแห่งจวนหลานชินอ๋องกระมัง โม่เฉินซีนั้นเป็นอ๋องก็จริงแต่เขาเป็นอ๋องต่างสกุล เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้รับพระราชทานให้แต่งงานกันคุณหนูจวนนั้นพอดี คงไม่ใช่นางหรอกกระมัง
"ได้ ข้าจะไปกับท่าน"
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเดินทางไปยังเมืองหลวงทันที่ หากแต่ไม่รู้พวกเขามาไกลแค่ไหนและที่นี่ที่ไหนพวกเขาจึงตัดสินใจลงจากเขาก่อนและแวะในมณฑลแห่งนี้ก่อน
หลังจากลงมาถึงมณฑลนางก็เอาแต่กินและกิน นางแบ่งให้สาวน้อยผู้นั้นถึงแม้นางจะปฏิเสธก็ตาม หากแต่เมื่อนางถามพวกข้าและเมื่อพวกข้าปฏิเสธตามมารยาทนางเอกก็ไม่ยืดเยื้อแต่อย่างไร เหตุใดนางจึงเป็นเช่นนี้เล่า
พวกนางเหลือบมองพวกเขาอย่างเอือมละอาในความเจ้ามารยาทของพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจใด ๆ การเดินทางไปยังเมืองหลวงผ่านไปอย่างราบรื่น ไม่พบเจออุปสรรคใด ๆ
ในทางกลับกัน ณ เมืองหลวง หลันหลิงอ๋องไม่ได้มาประชุมราชสำนักหลายคราติดต่อกัน ก่อให้เกิดคลื่นโหมโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยสักนิด
บ้างก็ว่าฮ่องเต้ส่งคนไปลอบสังหารหลันหลิงอ๋องสำเร็จแล้ว บ้างก็ว่าหลันหลิงอ๋องมัวเมาในสุรานารีไม่สนใจราษฎรเสียแล้ว ข่าวลือมากมายแพร่สะพัดออกไปราวกับน้ำหลาก
"ข้าจะสังหารเขาไปเพื่อสิ่ใดกัน คนไม่มีความปรารถนาอย่างเขาเนี่ยนะ หากข้าจะสังหารเขาคงทำไปตั้งแต่เขาเสียบิดามารดาไปแล้ว คงไม่ปล่อยมาจนถึงป่านนี้หรอก"
ฮ่องเต้ผู้รู้ว่าหลันหลิงอ๋องหายตัวไปเพราะเหตุใด ได้แต่ระบายความอัดอันในพระตำหนังอย่างเสียงดัง แต่ในไม่นานข่าวคราวของหลันหลิงอ๋องก็มาถึงยังเมืองหลวงอย่าโหมกระพือ
พวกเขาและพวกนางแยกกันก่อนถึงประตูเมือง หากวันนี้ที่หลันหลิงอ๋องผู้หายตัวไปนานกลับมาพร้อมกับสตรีล่ะก็ นางคงไม่เหลือชิ้นดีเป็นแน่
ไม่ช้าก็เร็วนางจะกลายเป็นพระชายาของเขาเขาไม่ต้องการสร้างความลำบากให้นางก่อนถึงคืนหอ ทันทีที่เดินเข้าเมืองหลวงมากฮ่องเต้ก็รีบเรียกเขาเข้าวังทันที
"ว่ามา ที่ผ่านมาเจ้าไปไหนมา"
ฮ่องเต้ตีหน้าขลึมมองโม่เฉินซีและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น ฮองเฮานั่งยิ้ม(หัวเราะ)อยู่ข้าง ๆ ฮ่องเต้โดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
"กระหม่อม.....ได้เจอคุณหนูหลานผู้นั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
โม่เฉินซีตอบฮ่องเต้ไปอย่างล่องลอยราวกับกำลังฝันอยู่อย่างไรอย่านั้น
"หืม? คุณหนูหลานใด คู่หนั้มเจ้าสี่หรือ"
ฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ โม่เฉินซีชงักค้างทันใด เมื่อกี้ฮ่องเต้เฒ่าผู้นนี้ว่ากระไรนะ คู่หมั้นของใครนะ เฉิงจื่อยวน? นางผู้นั้นไม่ใช่คู่หมั้นเขาหรือนี่
เมื่อคิดได้ดังนั้นโม่เฉินซีก็เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้อย่างงงงวย ราวกับจะถามว่า
แม่นางผู้นั้ที่ข้าพบไม่ใช่ว่าที่ภรรยาข้าหรอกหรือ แต่นางเป็นคุณหนูจวนหลานกั๋วอ๋องนะ เหตุใดจึงไม่ใช่นางกันเล่า ไม่ใช่ว่าบ้านนั้นมีลูกสาวแค่คนเดียวหรอกหรือ หากไม่ใช่ของข้าแล้วเหตุใดจึงเป็นของเจ้าเฉิงจื่อยวนนั้นเล่า
ความคิดมากมายถาโถมใส่เขาอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้าเขาเริ่มซีดขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อฮ่องเต้กล่าวว่า
"คู่หมั้นของเจ้าไม่เคยออกจากจวนหลานเลยนะ แล้วเจ้าไปพบผู้ใดเข้าเล่า หืม?"
เขาก็รู้สึกราวกับว่าในโลกใบนี้นั้นมีแต่เขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่แล้วอยู่ ๆ ก็มีคนสองคนเดินเข้ามาหาเขา เขาเงยหน้าขึ้นมองและ
"ท่านอา"
น้ำเสียงหวานใสของนางกำลังเรียกเขาอย่างคล่องปาก
"เฉินซี เฉินซี?"
ฮ่องเต้ที่เห็นสีหน้าเขาไม่สู้ดีก็อดที่จะเอ่ยเรียกเขาไม่ได้ โม่เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้อย่างหม่อลอย เหตุใดนางจึงไม่ใช่ของเขากันนะ
"เช่นนั้นกระหม่อมขอเปลี่ยนคู่หมั้นกับจื่อยวนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
เศษเสี่ยความหวังสุดท้ายได้พลักดันให้โม่เฉินซีขอเปลี่ยนคู่หมั้นกับเฉิงจื่อยวน ฮ่องเต้คิดคำนวนสักพักก่อนจะตอบตกลง
สามเดือนต่อมา
พิธีมงคลสองพิธีเริ่มต้นขึ้นพร้อมความวุ่นวายแต่เช้าตรู่ นางตื่นมาหาวแล้วหาวอีก เมื่อไม่นานมานี้ฮ่องเต้ได้มีราชองค์การให้นนางแลกเปลี่ยนคู่หมั้นกับหลานจื่อเว่ย อืม.....งั้นตอนนี้คู่หมั้นนางคือใครกันนะ
พิธีวิวาห์ของทั้งสองจัดขึ้นที่โถงจัดงานเลี้ยงของพระราชวัง นางและหลานจื่อเว่ยล้วนแต่ใช้พัดปิดหน้าเอาไว้ แต่ดูเหมือนมันจะไร้ประโยชน์ที่เดียว
เมื่อนางเดินเข้ามาเขารับรู้ได้ทันทีว่าหัวใจเขาเต้นรัวเพียงใด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนางจะกลายป็นภรรยาเพียงคนเดียวของเขา และเขาก็จะกลายเป็นสามีเพียงคนเดียวของนาง
มามาผู้ดูแลเดินนำทางนางไปยังทางซ้าย นางลืมตาโตขึ้นเพื่อมองเขา เมื่อเห็นใบหน้าเขาแล้วนางก็อดตะลึงไม่ได้
เหตุใดจึงไม่มีใครบอกนางกันเล่าว่า ว่าที่สามีของนางจะหน้าตาดีขนาดนี้ ใบหน้ารูปเมล็ดแตงโม คิ้วกระบี่ ริมฝีปากบาง นัยน์ตาดอกท้อมีเสน่ห์เป็นประกาย ยิ่งใส่ชุดสีแดงเช่นนี้ก็ยิ่งดูดีเข้าไปอีก
เมื่อเจ้าสาวของเขาเดินาถึงข้างกายเขาเขาก็เหลือบมองนางเล็กน้อย วันนี้นางดูต่างไปจาที่เขาเเคยพบเล็กน้อย แต่เขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเช่นกัน
ในพิธีไว้ฟ้าดินภรรยาของเขาเหลือบมองเขาเล็กน้อยอยู่หลายครา คราแรกเขาไม่กล้าสบตากับนาง เขาเขินอาย ไม่กล้าสบตานาง แต่บ่อยครั้งเข้าเขาเองก็เริ่มชินและมองนางกลับ
นาง..... ไม่เหมือนที่เขาพบเจอเลย ไม่มีแม้แต่ความคุ้นเคยในแววตานั้น เดิมทีนางควรมีแววตาที่เป็นประกายและแฝงแววเงียบสงบสิ เหตุใดวันนี้ในแววตานางจึงมีความเขินไอขึ้นมาได้กันนะ
เขาจองนางอยู่นานสองนานจนนางหันมาสบประสานสายตากับเขา เขาจึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาชะงักค้างไปนานนี้มันอะไรกัน? ไม่ใช่นางในตอนนั้น เช่นนั้น...
เขาเบนสายตาไปยังคู่บ่าวสาวอีกฝั่ง เขาเปิกตาโพรง เหตุใดจึงเป็นนางได้เล่า ไหนว่าเขาไม่เคยเจอนางเล่า ไหนว่านางไม่เคยออกจากจวนหลานกั๋วอ๋อง เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงไปเห็นนางที่บนรถม้านั้นได้เล่า
โอหยางหยุนอีที่มาร่วมงานในถานะแขกเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน ไหนว่าจะแต่งกับแม่นางผู้นั้นไงเล่า แล้วเหตุใดจึงแต่งกับหลานจื่อเว่ยได้เล่า
โอหยางหยุนอีมองไปทางโม่เฉินซี เขาส่ายหน้าเป็นการบอกว่า เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน โม่เฉิซีเบนสายตาไปมองทางฮ่องเต้ที่นั่งอย่าภูมิใจบนเก้าอี้บิดามารดา
เดิมทีฮ่องเต้เองก็อยากได้นางเป็นสะใภ้อยู่แล้ว แต่หน้าเสียดายโดยโม่หลางผู้เป็นพี่ชายบุญธรรมตัดหน้าไปก่อน ครั้งนี้เป็นอย่างไรเล่า ลูกชายของเขาเป็นคนขอเปลี่ยนเองนะ จะให้โทษผู้ใดได้เล่า
จวิ้นอ๋องอย่าองค์ชายสี่เองก็ได้เพียงกลั้นหัวเราะอยู่เต็มท้อง เสด็จพ่อของเขาต้องการที่จะเล่นและให้บทเรียนแก่เจ้าโม่เฉินซีนั้น เขาจทำอันใดได้เล่า
เฉิงจื่อยวนเบนสายตามามองนางก่อนจะตะลึงอยู่ในใจ นอกจากเจ้าโม่เฉินซีนั้นแล้วเขาเองก็พึ่งเคยเห็นคนงามเช่นนี้ครั้งแรกเลย
ใบหน้าเรียวเล็กหากแต่กลับไม่ใช่ใบหน้ารูปเมล็ดแตงโม คิ้วกระบี่เข้มพอดีเรียวงามไม่เล็กเกินหรือใหญ่เกิน จมูกก็อันเล็กน่ารัก แถมยังโดงนิด ๆ อีกด้วย
ริมฝีปากก็บางเล็กน่ารัก นัยน์ตาดอกท้อเป็นประกายแม้ตอนนี้จะกำลังแฝงแววเหนื่อยหนายก็ตาม นางเม้มปากบางเล็กน้อยและดูเหมือนนางจะขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
ดูน่าสงสารยิ่งนัก เขาชักไม่อยากยกนางกลับคืนไปแล้วสิ เฮ่อ.... หน่ายใจยิ่งนัก
วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่ทันสว่างดีก็มีคนจากจวนหลันหลิงอ๋องมาส่งข่าวใหญ่
"พระชายาหลานจื่อเว่ยได้ว่างยาปลุกกำหนัดแก่ท่านอ๋องของพวกเรา ท่านอ๋องไม่อยากทำให้พระยาชาลำบากจึงขอให้จวิ้นอ๋องช่วยรับพระชายาไว้"
หลังมื้ออาหารเขาได้พูดคุยเรื่องนี้กับนาง นางดูไม่ได้ตกใจหรืออย่างใดเลย นางเพียงกล่าวกับเขาว่า
"..............."
ใช่ นางไม่ได้กล่าวอันใดเลย เป็นพักใหญ่ นี่ทำให้เขาเริ่มไม่หมั้นใจเสียแล้ว หรือว่านางจะตกหลุนรักเจ้าโม่เฉินซีนั้นแล้วกันนะ
อย่าไรเสียทั้งเขาและนางก็เคยใช้เวลาร่วมกันเดือนกว่า จะไม่หวั่นไหวเลยคงจะเป็นไปไม่ได้
"เข้าวังกัน"
เฉิงจื่อยวนเงยหน้าขึ้นมามองนางทันใด นางจะเข้าวังไปทำอะไรกันนะ ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่านางจะเข้าวังไปทำอันใดแต่เขาก็ยังคงเข้าวังไปเป็นพื่อนนาง
และสิ่งที่เขากกังวลก็มาถึง ทั้งโม่เฉินซี หลานจื่อเว่ย ฮ่องเต้ ฮองเฮาทุกคนต่างอยู่กันครบ ณ ที่แห่งนี้ บรรยากาสแปลก ๆ เริ่มลอยขึ้นมาบนอากาศ
"ฝีมือพระองค์หรือเพคะ"
นางเป็นคนเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบนี้ ทุกสายตาเบนไปทางฮ่องเต้อย่าเคลือบแคลงใจ
"ไม่ใช่"
ฮ่องเต้เองก็ตอบออกมาอย่างหมั้นใจเช่นกัน
"อ๋อ"
"เช่นนั้นคงเป็นฝีมือยายแก่ที่กลัวโลกจะสงบสุขคนนั้นสินะ"
นางเอ่ยรับห้วน ๆ ก่อนจะ่อด้วยอีกประโยคที่เอ่ยถึงบุคคลที่สาม
ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องปล่อยนางไป เขาหวังว่าในอนาคตเขาและนางจะได้มีลูกสาวและลูกชายที่หน้าตาดีเหมือนนาง แน่นนอนว่าชั่วชีวิตนี้เขาเองฏ้จะไม่รับอนุหรือชายารองเช่นกัน
ความคิดของเขาปลิวว่อน แม้แต่กลับมาถึงจวนอย่างไรเขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ เมื่อใดกันที่จวิ้นอ๋องของพวกเขาเป็นคนที่หน้าเป็นห่วงขนาดนี้