อาชญากรก้องโลก
อาชญากรก้องโลก
ตอนที่0 เรื่องราวอันโหดร้าย
อ่า~
เสียงที่ฟังแล้วชวนขนหัวลุกของผมได้ดังออกมาในขณะที่กำลังอ้าแขนกว้างรับแรงลมที่มากระทบกาย เสื้อครุมสีดำโบกสะบัดพริ้วไหวอย่างเป็นธรรมชาติ เส้นผมสีขาวแซมดำกำลังส่ายไปมาตามสิ่งเร้า
ฟองอากาศภายในกระจกขนาดไม่ใหญ่มากที่เต็มไปด้วยน้ำที่ตอนนี้ผมได้แบกมันอยู่ข้างหลัง และภายในนั้นได้บรรจุไว้ซึ่งสมองของมนุษย์ กระจกที่โค้งเป็นรูปครึ่งแคปซูลตรงใต้ฐานของมันมีท้อที่ต่อไปยังท้ายทอยของผมซึ่งมันกำลังลำเรียงบ้างสิ่งที่น่าอัศจรรย์จนมนุษย์ทุกคนจะต้องถึงกับร้องว้าวเป็นแน่ถ้ารู้ว่ามันกำลังลำเลียงอะไรเข้าไปอยู่
"นี่นายคิดว่าว่าพวกเราจะยังถูกตามล้าอยู่อีกไหม"
"ฉันว่าต่อให้คนทั้งโลกออกตามล่าพวกเราอีกครั้งก็ไม่มีทางที่พวกมันจะจับพวกเราได้อีกแล้ว"
"นั่นสินะ ถ้ายังคงเหลือมนุษย์ชาติที่เป็นศัตรูของเราอยู่มันคงจะต้องตายในทันที"
"นายคิดว่ามันจะยังเหลืออีกงั้นเหรอ ไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้านี้รึไงกัน"
"ฉันก็ว่างั้น"
ผมแสยะยิ้มให้กับภาพตรงหน้าที่เป็นการหารล่มสลายของทุกๆสิ่ง ตึกรามบ้านช่องถล่มทลายลง เหล่ากลุ่มควันสีหม่นหมองต่างลอยฟุ้งขึ้นสู่ห้วงแห่งท้องนภา
ตู้ม!! ตู้ม!! ตู้ม!!
เสียงของขีปนาวุธดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย บ้างก็ปรากฏให้เห็นถึงภาพของกลุ้มควันที่เป็นรูปของเห็ดยักษ์มาจากใกลๆ
ส่วนตัวผมนั้นในตอนนี้กำลังเดินชมโลกาวินาศนี้อยู่บนภาคพื้นดินโดยไม่เกรงกลัวใดๆ และในจังหวะที่กำลังกระโดดข้ามจากตึกนึงไปสู่อีกตึกนึงนั้น ก็มีเศษเหล็กขนาดไม่ใหญ่มากหลากหลายท่อนพุ่งตรงมาทางผมและทิศทางอื่นๆ
ผมมองมันเห็นอย่างชัดเจนและสามารถหลบได้อย่างสบายๆแต่ผมก็เลือกที่จะรับมันเอาไว้ พลั๊ว!! มันพุ่งมาด้วยความเร็วสูงทะลวงผ่านใบหน้าผมออกไปซีกนึง กระโหลกศีรษะสมองและดวงตาเกือบครึ่งนึงของใบหน้าถูกแยกออกไปแล้ว
ผมหยุดสตั้นเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างเฉื่อยชาและจับจ้องออกไปรอบๆ
ผมเห็นเข้ากับผู้คนและผู้คนเหล่านั้นก็ถูกทับถมอยู่ในพื้นปูน
"ช่วยด้วย~"
เสียงที่แหบพร่าของเขาได้กระทบเข้ากับโสตประสาทของผมจนผมจะต้องหันกลับไปดู
ผมเดินลงไปในบริเวณนั้นและได้เอาซากตึกส่วนนั้นที่มีขนาดประมาณ4เมตรออกให้จนชายคนหนึ่งได้หลุดออกมาได้
"ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมาก"
เขาพยายามฝืนร่างกายของเขาที่เต็มไปด้วยแผลและลุกขึ้นมามองหน้าผมหลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็ย่ำแย่ลงในทันที ผมช่วยจับมือที่กำลังสั่นเทาอยู่นั้นให้ เพื่อช่วยพยุงตัวของเขาเอาไว้ ผมมองไปที่นัยน์ตาที่กำลังสั่นคลอนอยู่นั้นและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
"ไม่เป็นไรหลอกครับ"
ผมเอียงคอเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างเรียบง่ายจนเขายืนได้ในที่สุด ในขณะนั้นผมก็ลองมองออกไปที่คนอื่นๆที่กำลังหอบสังขารของตัวเองขึ้นมา และพวกเขาเหล่านั้นก็หน้าซีดลงในทันทีที่เห็นใบหน้าของผมที่กำลังยิ้มให้พวกเขา
"กะ..กะแกมันปีศาจ ไอ้สารเลวแกมันคือศัตรูของมนุษยชาติ ไปตายซะไอ้...
ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวจบร่างของเขาก็ขาดออกจากกันเป็นแนวเฉียงและมีของเหลวสีแดงพุ่งกระฉูดออกมาจากรอยตัดนั้น
ร่างของเขาตกลงสู่พื้นและแน่นิ่งไม่ขยัยใดๆอีก ส่วนคนอื่นๆที่เห็นบ้างก็ทรุดลงกับพื้นด้วยใบหน้าที่สิ้นหวังบ้างก็แสดงสีหน้าที่น่าเกลียดออกมาและรีบวิ่งหนีออกไป ส่วนเหล่าหญิงสาวหลายๆคนก็ต่างกรีดร้องออกมา
แต่คนพวกนั้นผมก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจเท่ากับแม่ลูกคู่หนึ่งที่กำลังนั่งกอดกันอยู่เบื้องหน้าของผม
"แม่คะ พวกเราจะรอดไปใช่ไหมคะ"
เด็กสาวตัวน้อยหน้าตาน่ารักกล่าวขึ้นในขณะที่แม่ของเธอกำลังโอบออดเธออยู่ด้วยร่างที่กำลังสั่นสะท้าน ผมเริ่มเดินตรงไปในทิศหน้านั้นด้วยใบหน้าที่เหลือแค่ครึ่งซีกพร้อมยิ้มให้กับเด็กคนนั้น
"ไม่ลูก ไม่ อย่าไปมองมันนะลูก"
เธอกล่าวด้วยเสียงสั่นๆและพยายามจะไม่เงยหน้ามามองผมจากนั้นหญิงสาวก็กอดรัดเธอแน่นขึ้นเรื่อยๆและพยายามกดหัวเธอเอาไว้
"ถึงเธอจะฆ่าฉันก็ไม่เป็นไรแต่เด็กคนนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย ตอนนี้เธอยังไร้เดียงสาอยู่ เพราะฉะนั้นอย่าฆ่าลูกฉันเลยนะอย่าเลยฉันขอล่ะ"
ผมกำลังฟังเสียงที่สะอื้นนั้นของเธอด้วยเป็นหน้าที่มีความเห็นใจปรากฏขึ้นมาและก็ได้ตอบออกไปว่า
"ไม่ ฉันจะฆ่าลูกของเธอและก็จะฆ่าเธอด้วย"
น้ำเสียงที่ราบเรียบได้เอ่ยออกมาราวกับว่าที่เป็นสถานการปกติของเขา
" งื้อ~ ไม่เอาแบบนั้น ไม่~!! "
ผมเข้าไปนั่งยองๆใกล้ๆเธอและสังเกตุสีหน้าของเธอที่กำลังล่ำให้อยู่อย่างใกล้ชิดและเข้าไปจับที่ใบหน้าอันนุ่มนวลนั้นของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน ตอนนี้ผมเริ่มเห็นใบหน้าของเด็กน้อยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ ดวงตาและคิ้วของเธอรวมถึงปากเริ่มเกิดอาการสั่นขึ้น จากนั้นผมก็ได้เห็นใบหน้าของเด็กคนนั้นอย่างเด่นชัดขึ้น
เลือดกระเด็นเข้ากระทบใบหน้าของเด็กน้อยผมเช็ดเลือดนั้นให้แต่จู่ๆน้ำตาของเธอก็ใหลออกมาจากเบ้า เด็กสาวไม่แม้จะสนในผมเลยด้วยซ้ำไป เธอมองไปยังบนพื้นเบื้องล่างที่มีใบหน้าของคุณแม่ที่เต็มไปด้วยน้ำตาและนัยน์ตาคู่นั้นก็ทำได้เพียงแต่แข็งค้างไม่ได้จับจ้องมาที่เธอเหมือนทุกที
"หนูน้อยแม่ของเธอตายแล้วหล่ะ พี่ชายเป็นคนฆ่าเอง"
คำพูดขวานผ่าซากของผมได้ถูกกล่าวออกไปอย่างไม่รู้สึกผิดใดๆ พร้อมลูบหัวของเด็กน้อยในขณะที่แขนของคุณแม่เริ่มคลายตัวลง
"พะ.พะ.พี่ชายเป็นปีศาจจริงๆงั้นเหรอคะ"
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั้นไหว ในขณะที่ผมได้อุ้มเธอขึ้นมาและกล่าวกลับไป
" จะว่ายังไงดีถ้าจะให้เรียกแบบนั้นมันก็ไม่ผิดหรอกนะ เดี่ยวพี่จะแสดงอะไรให้ดู"
ผมวางเธอไว้บนไหล่ และในวินาทีนั้นผมก็ได้ยินเสียงฟองอากาศดังมาจากทางด้านหลัง
"ไอ รักษาได้แล้วหล่ะ"
เมื่อสิ้นสุดเสียงของผม ระยางสีเลือดก็ทยอยออกมาจากบาดแผลขนาดใหญ่บนใบหน้านี้และทำการรวมตัวทับกันไปเรื่อยๆจนกระทั่งใบหน้าของผมกลับมาเป็นดังเดิม
" พี่ชายกำลังพูดอยู่กับใครงั้นเหรอคะ? "
เด็หญิงตัวน้อยมองมาทางผมด้วยความสงสัยในขณะที่ผมกำลังก้าวเดินตรงไปทางผู้คนที่อยู่ข้างหน้าที่กำลังวิ่งออกห่างจากตัวผม
"พี่คุยกับสมองAI ที่อยู่ข้างหลังหนูนะจ่ะ เธอมีชื่อว่าไอ พี่เป็นคนสร้างเธอขึ้นมาเอง สุดยอดใช่ไหมล่ะ แต่เดี่ยวเธอจะได้เห็นอะไรที่สุดยอดยิ่งกว่า"
ผมยิ้มและกล่าวอย่างอารมณ์ดี
เมื่อสิ้นสุดการสนทนา ผมก็ได้หายไปจากจุดเดิมและไปโผล่อยู่ที่ข้างหลังคนๆนึงและจับไหล่ของเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้วิ่งหนี จากนั้นใบหน้าที่สิ้นหวังของเขาก็ได้หันหลังกลับมา เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นใบหน้าพร้อมทั้งศีรษะก็ได้ตกไปสู่พื้นตามมาด้วยร่างอันไร้วิญญาณนั้น
ผมจัดการไปอีก4-5คนและผมก็ได้อุ้มเด็กสาวคนนั้นมาไว้ที่ข้างหน้าและจ้องมองใบหน้าของเธอที่กำลังอยู่ในภวังค์แห่งจิตที่โศกเศร้าและกำลังสิ้นหวังแบบสุดๆ
ผมก็ไม่รู้ว่าทำใมแต่ใบหน้าแบบนี้นี่แหละคือสิ่งที่สื่อได้ถึงความเป็นมนุษย์มากกว่าใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มอยู่อีก อ่า~ใช่ มันอาจจะเป็นเพราะว่ามนุษย์ไม่อาจเสแสร้งว่ากลัวได้ยังไงหล่ะ ถึงแม้ว่ามันจะแสร้งทำเป็นว่ากลัวได้แต่ยังไงซะมันก็ต่างกันอยู่ดีเว้นแต่จะแสดงถึงท่าทางที่ยิ้มแย้มเพราะมันทำเพียงแค่ยิ้มอย่างที่เป็นอยู่ก็พอจะกลบเกลื่อนสิ่งที่อยู่เบื้องหลังนั้นได้แล้วไม่จะเป็นความสิ้นหวัง ความกลัว ความเจ็บปวด ความแค้น หรทอแม้แต่ความผิด เพียงแค่ยิ้มเท่านั้นแหละลักษณะของใบหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีนี่แหละมนุษย์หล่ะ...
"ทำใมพี่ชายถึงได้ฆ่าคนพวกนั้นรวมถึงแม่ของหนูด้วยล่ะคะ"
เธอกุมมือของตัวเองที่กำลังสั่นเทาอยู่พร้อมถามออกมาด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว ผมมองเขาไปภายในดวงตาคู่นั้นและก็สังเกตุได้ถึงความแค้นที่มีอยู่แต่ความแค้นนั้น ที่ไม่ได้ปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของความเกลียดชังแต่อย่างใร มันกลับปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของความกลัวแทน
"ก็เพราะว่าพวกเขาเกรียดพี่ชายและก็แช่งพี่ชายให้ตายหน่ะสิ พี่ชายเลยจะต้องทำอย่างนั้น"
"งั้นหนูก็เกรียดพี่ชายด้วย พี่ชายฆ่าคนพวกนั้นแถมยังฆ่าแม่ของหนูอีก พี่ชายก็ฆ่าหนูด้วยอีกคนสิหนูจะได้ขึ้นไปอยู่กับคุณแม่"
เธอเค้นเสียงกล่าวในขณะที่น้ำตานั้นเริ่มหลั่งไหลออกมาหนักขึ้นเรื่อยๆ
"อย่าพูดแบบนั้นออกมาสิรู้ไหมว่าชีวิตหน่ะมันมีคุณค่ายิ่งกว่าที่หนูคิดอีกนะ พี่ไม่ฆ่าหนูหรอกนะ รู้ไหมเพราะอะไร เพราะหนูน่ารักยังไงหล่ะโอ๋~อย่างร้องนะโอ๋~"
ผมพยายามที่จะปลอบประโลมและเช็ดน้ำตาของเธอจนกระทั่งเธอหยุดร้อง แต่เสียงสะอื้นนั้นผมก็ได้ยินมันดังออกมาอยู่เป็นพักๆแต่ก็เห็นได้ชัดเลยว่ามันเริ่มสงบลงแล้ว
ผมลูบหัวและปลอบประโลมเธออีกครั้งจากนั้นก็ลูบลงมาจนถึงใบหน้าที่นุ่มนิ่มน่าหมั่นไส้นี้ที่กำลังแดงก่ำและก็หยิกมันเบาๆ ผมยิ้มให้กับหน้าตาที่แสนน่ารักของเธอ จากนั้นผมก็มองเข้าไปภายในดวงตาคู่นั้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้ผมกลับไม่พบกับความแค้นนั้นอีกแล้วผมพบแต่เพียงความไร้เดียงสาของเด็กน้อย และก็ลูบลงมาที่คอจากนั้นก็..
แคล๊ก!
เสียงกระดูกดังลั่นขึ้น ผมไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่แต่เขาก็ทำมันไปแล้วนัยน์ตากลมโตของเด็กน้อยขี้แยเมื่อตะกี้ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าอีกต่อไปแล้วร่างกายที่ผมจับอยู่นั้นก็แน่นิ่งแขนที่ไร้วิญญาณห้อยดิ่งลงโดยไร้การควบคุมที่เมื่อกี้กำลังเช็ดคราบน้ำตาอยู่ ใบหน้าของผมนั้นเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาและไม่รู้สึกผิดใดๆ
"คิลนี่นายไม่สงสารเด็กตัวน้อยๆบ้างเหรอเธอยังไร้เดียงสาอยู่เลยนะ"
"ยังไงซะมนุษย์ก็คือมนุษย์วันยังค่ำไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ยังไงมนุษย์ก็คือมนุษย์"
"ทำใมนายถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้กันหล่ะ เมื่อก่อนนายยังกลัวฉันอยู่เลยหนิหรือแม้แต่แค่เห็นเลือดก็ช็อกแทบแย่แล้ว"
"...."
เขาโยนร่างที่ไร้วิญญาณนั่นทิ้งอย่างไม่รู้สึกใดๆและสับเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆโดยการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่ตามองไม่ทัน ผมรู้ว่าเขาคิดยังไงแล้วตอนนี้เขาก็ยังคิดถึงสิ่งนั้นอยู่สิ่งที่เขาได้สูญเสียมันไปทั้งหมด และเขาก็แทบไม่ได้สนใจในผู้คนอีกแล้วในตอนนี้ซึ่งต่างจากผม
" ยังไงก็เถอะตอนนี้นายจะเอายังไงต่อหล่ะ ปธานาธิบดีของประเทศต่างๆนายก็ฆ่าไปหมดแล้ว องค์กรใต้ดินใหญ่ๆ หรืิอแม้แต่กองทัพทหารระดับสูงก็แทบจะไม่เหลือให้นายฆ่าเล่นอีก แล้วนายจะทำยังไงได้อีกหล่ะ หรือว่านายจะฆ่าตัวตายตามพวกนั้นไป"
" ฉันว่าต่อให้โลกจะระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆจนไม่เหลือพื้นที่ให้ฉันหายใจ ยังซะฉันก็ไม่วันคิดที่จะฆ่าตัวตายแน่ๆ"
พวกเราเดินทางมาถึงสถานที่ที่ผู้คนเรียกว่ากระทรวงกระลาโหมสหรัฐหรือเดอะเพนตากอน พวกเรามองไปยังรูปทรง5เหลี่ยมขนาดใหญ่นั้นที่แทบจะไม่เหลือเคร้าโครงเดิมอีกแล้ว พวกเรามองมันอย่างไม่รู้สึกใดๆและผ่านมันไป
" แล้วจะเอาไงหล่ะ"
" ฉันจะรอดูต่อไป รอดูว่ามนุษย์ที่เหลืออยู่แค่เพียง1พันล้านคนนี้ในอนาคตพวกเขาจะเป็นยังไงต่อและฉันก็จะยังไม่ลงมืออะไรสักช่วงเวลานึง และเมื่อเหล่ามนุษยชาติเขาสู่ความสงบสุขเมื่อนั้นฉันจะออกอาลวาดอีกครั้งและอีกครั้ง จนกว่าเหล่ามนุษย์จะก้าวเข้าสู่หนทางแห่งความปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่แบ่งแยกชนชั้นกัน ไม่ชวงชิงต่อกัน แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้หรอกใช่ไหม"
พวกเรามองไปที่ผู้คนนับพันที่กำลังอพยพกันอยู่และก็ผ่านไปโดยไม่มีใครสังเกตุ
" นายไม่คิดที่จะย้อนเวลากลับไปเมื่อตอนที่นายเริ่มต้นบ้างงั้นเหรอ"
" ตอนไหนหล่ะ"
" ตอนที่ฉันสอนให้นายฆ่าคนครั้งแรกไงหล่ะ "
"..ฉันคิดว่าไม่นะ"
" แต่.... "
" ไอเปิดประตู"
พวกเราได้เดินผ่านเข้าไปภายในห้องใต้ดินแห่งหนึ่งซึ่งประตูเมื่อตะกี้ที่พวกเราเดินผ่านมานั้นมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากๆและใกล้เคียงกับคำว่าอนาคตจนถึงที่สุด เพราะมันคือสิ่งที่คิลนั้นได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นด้านแรกในการเข้าไปในฐานลับของพวกเรา
" แต่อะไรหล่ะ"
" แต่ก็ไม่แน่ว่าหากเหล่าคนฝั่งนั้นได้เห็นข้อความนี่ล่ะก็อนาคตก็อาจจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงก็ได้"
พวกเราเดินมาจนถึงห้องๆหนึ่งที่เต็มไปด้วยหน้าจอโฮโลแกรมมากมายในนั้นที่ขึ้นอยู่ทุกๆทิศ และก็ข้อความข้างหน้าขนาดใหญ่ที่เขียนไว้ว่า
"ถ้าพวกคุณเข้าในถึงชีวิตพวกคุณก็คงไม่ตาย ถ้าพวกคุณแค่เข้าใจเด็กชายเพียงคนเดียวพวกคุณก็จะรอด"
" นายคิดว่าพวกนั้นจะเข้าใจไหม"
"ก็ไม่รู้เหมือนกัน"
....
และเรื่องราวทั้งหมดก็กลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง จุดเริ่มต้นของทุกอย่างที่มีเด็กหนุ่มอัจฉริยะเป็นตัวเอก แต่ความอัจฉริยะนั้นกลับดันมากับความต้องการอันเป็นส่วนลึกภายในจิตใจที่แท้จริงของเขาจากนั้นพวกเขาทั้งสองจะสร้างความวินาศให้แก่โลก
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 10
Comments