ดับแค้นวันสิ้นโลก
ดับแค้นวันสิ้นโลก ตอนที่1 ยังไม่ตาย
ปีค.ศ.2030
ณ ประเทศญี่ปุ่น เมืองโตเกียว กลางย่านชิบูย่า
ท้องฟ้าที่ดูสดใสและไร้มลพิษจากการหายไปของมนุษย์ เมฆาเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติอย่างชัดเจนแม้ไร้หมู่นก กลับดูหมองหม่นเมื่อมองมันสลับกับเบื้องล้าง
กลิ่นอันสุดแสนจะน่าอ้วกของซากศพและหนองเลือด ลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วทุกที่ ซากศพของเหล่าคนตาย นอนแน่นิ่งอยู่บนท้องถนนอย่างสะเปะสะปะทั่วทั้งเมือง
ถนนที่แตกระแหงจนไม่เหลือเคราโครงเดิม พื้นถนนบางส่วนที่ยกตัวขึ้น บางส่วนที่ยุบตัวลง ตึกร้างที่ขาดแคลนคนดูแลมาเนิ่นนาน กระจกหน้าต่างแตกกระจายออกเป็นช่องว่างแทบทุกเรือน ที่นี่ไรัซึ่งผู้คนสันจรไม่เหมือนกับในอดีตที่มีกันพรุ่งพรั่งเต็มไปหมด
แต่ตอนนี้ที่นี่มันกลับเต็มไปด้วยฝูงผีดิบบ้าเลือดที่มีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว บางส่วนของร่างกายฉีกขาดบางส่วนก็มีกระดูกโผล่ออกมาให้เห็น หลายตัวก็ถึงกับกลายพันธุ์มีดวงตาแขนขาหรืออวัยวะผิดแปรกงอกออกใหม่ ถึงพวกมันบางตัวจะดูอ่อนจากท่าทางการเดินแต่พละกำลังของพวกมันก็เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาอยู่มาก หากไม่ใช้อาวุธหรือพลัง โจมตีไปที่สมองของพวกมันแล้วล่ะก็ มนุษย์ธรรมดาคงจะไม่สามารถจัดการมันได้โดยง่ายแน่
ตอนนี้พวกมันมีกันนับพันตัวทั่วเมือง และที่สำคัญคือพวกมันนับพันตัวนั้นกำลังพุ่งเป้าไปที่เขา!! มนุษย์เพียงคนเดียวที่อยู่ท่ามกลางฝูงซอมบี้เหล่านั้น
ชายหนุ่มวัยกลางคน รูปร่างสูงกำยำ ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ปูดโบนออกมาอย่างสวยงามจากเนื้อผ้า มีบาดแผลทั่วร่าง แสดงให้เห็นถึงการผ่านมาของการฝึกฝนที่หนักหน่วงหรือการต่อสู้อย่างโชกโชน เขาใส่เสื้อแขนกุดรัดรูปกับกางเกงขายาวสีดำพร้อมกับรองเท้าแบบนายพรานไว้สำหรับเดินป่าโดยเฉพาะ
แม้ฝูงซอมบี้นับไม่ถ้วนกำลังกรูกันเข้ามาหวังเปิดกระโหลกกินสมองเขา แต่เขาก็ยังคงยืนผูกผมอยู่กลางถนนอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ
'ฉันคงเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวแล้วหล่ะในเมืองแห่งนี้ เผลอๆอาจจะเหลือแค่คนเดียวก็ได้ในโลกที่แสนบัดซบนี่'
เขาคิดขึ้นในหัวอย่างเศร้าหมองราวกับว่าตัวตนของเขานั้นได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวมาเนิ่นนาน พร้อมดึงเชือกที่มัดผมจนแน่น ผมสีดำที่พาดยาวไปจนสุดหลังโบกสบัดอย่างพลิ้วไหวแม้ไร้แรงลม แสดงให้เห็นถึงอำนาจลี้ลับบางอย่างที่แผ่ออกจากตัวของเขา
ดวงตาที่บอดสนิทของเขาถูกปิดไว้ด้วยผ้าผันแผลสีขาว ใบหน้าของเขาเปื้อนเลือด ในมือกระชับดาบที่มีรูปร่างแปรกประหลาดนั้นไว้แน่น เส้นเลือดบูดขึ้นตามแขนและมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลนานา
ใบหน้าที่ฉีกยิ้มกว้างอย่างขมขื่นราวกับว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้ทำแบบนี้ ความรู้สึกที่ซับซ้อนและเรื่องราวความทรงจำต่างๆก็เริ่มผุดขึ้นในหัว
เรื่องราวของครอบครัว เพื่อน ผู้รอดชีวิต การสูญเสีย และคนรัก เหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่เขาเริ่มจำความได้ ปรากฏขึ้นในหัวของเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
'ตอนนี้ฉันมีพลังอยู่แค่5% มันคงจะทำให้ฉันฆ่าไอ้เวรพวกนี้ได้สักพันตัวก่อนตาย'
เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือดิจิตอลที่ไม่ได้ขึ้นเวลากับเขา แต่มันกลับขึ้นเป็นตัวเลข5%แทน
'ถ้าฉันยังมีพลังอยู่สัก70%เหมือนเมื่อตอนนั้นล่ะก็ แค่ซอมบี้ไม่กี่พันตัวคงไม่คนามือฉันหรอก'
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ด้วยดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ของเขา พร้อมด้วยท่าทางที่สงบนิ่งดูสุขุมและเลือดเย็น
ด้วยประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิตถึงแม้ที่นี่จะมีซอมบี้เป็นพันก็ไม่อาจทำให้เขาหวาดหวั่นได้เลยแม้แต่น้อย มันแสดงให้เห็นอีกว่าเขาผ่านอะไรมามากมายแล้วก่อนเขาจะมาถึงจุดนี้ ซึ่งอาจจะมีความสิ้นหวังอันเป็นที่สุดก็เป็นได้
'แต่ว่าตอนนี้ก็คงได้เวลาแล้ว เวลาที่ฉันจะไปพบเธอในโลกหลังความตาย'
เขาปลดปล่อยพลังออกมาถึงขีดสุดมันกระจายไปทั่วทั้งดาบและแขนทั้งสองข้างของเขา แรงกดขี่ของพลังที่เข้มข้นพุ่งพรวดขึ้นเรื่อยๆจากสีฟ้าอ่อนก็แปลเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ส่วนที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังดูราวกับว่าเป็นอำนาจที่เหนือธรรมชาติสุดแสนจะยิ่งใหญ่ดุจแสงแห่งไฟนรกสีแดงฉานที่มิอาจดับได้แม้โดนน้ำ
"เอาหล่ะ!! ทำให้ฉันสนุกไปจนตายหน่อยเถอะ ไอ้พวกเวรตะไร ก่อนที่ฉันจะไปเจอกับเธอ"
เสียงของเขาดังลั่นขึ้นท่ามกลางเสียงแฮ่ๆของฝูงซอมบี้ เสียงที่ฟังแล้วก็รู้สึกถึงความสิ้นหวังเสียงที่ทำให้คิดได้ถึงเรื่องราวแห่งความสุขมากมายที่มิอาจเป็นไปได้อีกแล้ว
ทั่วทุกทิศรอบกายของชายหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่ที่ดูน่าเวทนา มีเหล่าสัตว์ประหลาดน่าเกลียดกำลังกระโจนเข้าใส่ด้วยความหิวกระหายราวกับว่าอดอยากมาเป็นแรมปี
ด้วยสัญชาตญาณอันว่องไวดุจสััตว์ป่า เขากวัดแกว่งดาบออกไปในทุกๆทิศทางอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเส้นแสงสีแดงส่องสว่างวาบออกมาในทุกๆครั้งที่เขาเหวี่ยงแขน
เลือดที่พุ่งกระฉูด หัวของซอมบี้ที่ขาดกระเด็นขึ้นฟ้า และคลืนดาบที่ตัดผ่านอากาศจนเกิดเป็นเสียงกรีดร้อง กลิ่นคาวของเลือดกระเด็นใส่จมูกของชายหนุ่มผู้คุ้นเคยเป็นอย่างดีกับกลิ่นนี้
อวัยวะภายในต่างๆไม่ว่าจะเป็น ลำใส้ ปอด สมอง หัวใจ พร้อมทั้งไขมันกระดูกและเศษชิ้นส่วนของเนื้อหนัง ต่างกระเด็นกระดอนไปทั่วทั้งบริเวณ ของเหลวในกายซึ่งไม่ว่าจะเป็นสีฟ้า สีม่วง สีดำและสีแดงอันเป็นเลือดของพวกมันพุ่งกระฉูดลอยขึ้นฟ้าและตกลงมาราวกับสายฝนพร้อมทั้งกลิ่นของสารเคมี บ้างก็สิ่งปฏิกูล ที่ปนเปื้อนอยู่อยู่กับอากาศให้ความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียนเป็นที่สุด
ไร้ซึ่งเสียงกรีดร้อง ไร้ซึ่งคำโอดครวญนี่แหละคือสัตว์ประหลาดที่กัดกินมนุษยชาติ
ดาบเหล็กอันแข็งกล้าทำการพุ่งผ่านเนื้อหนังมังสาของพวกมันอย่างพริ้วไหวและง่ายดายราวกับตัดเต้าหู้ แต่ผู้ที่บังคับทิศทางของใบดาบกลับเริ่มเหงื่อตกและเหนื่อยล้าลงเรื่อยๆ
ถึงแม้เพียงแค่1การฟาดฟันของเขาก็ทำให้สัตว์ประหลาดดับดิ้นไปแล้วนับสิบ แต่นี่เขาเล่นกวัดแกว่งดาบไม่หยั่ง จนซากศพของซอมบี้ในตอนนี้มันพุ่งขึ้นเกินพันเข้าไปแล้ว แต่พวกมันก็ไม่มีท่าทีว่าจะลดน้อยถอยลงเลยด้วยซ้ำ กลับกันมันยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นไปอีก
ตัวเลขเปอร์เซ็นต์บนข้อมือดิจิตอลเริ่มลดลงเรื่อยๆแล้วตามพลังที่ถดถอย
การต่อสู้เป็นไปอย่างรวดเร็วไม่นานนักเขาก็ล้มลงไปนอนกองอยู่กับซากศพที่โดนเขาฆ่า
พวกซอมบี้ที่เห็นทีว่ามนุษย์นั่นมันได้ล้มลงไปแล้ว ก็พร้อมเพรียงกันเข้าห้อมล้อมในทันใด และทำการฉีกกระชากร่างของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี
"เราจะได้เจอกันแล้วนะ"
เสียงที่สิ้นหวังแต่กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนได้ดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมด้วยนัยน์ตาที่หม่นหมองเป็นที่สุดนั้นที่ดับลงเช่นกัน
ในจังหวะสุดท้ายของชีวิตนั้น เขาได้ยื่นมือขึ้นไปราวกับว่าจะคว้าจับใบหน้าหญิงสาวผู้เป็นที่รักของเขาไว้
"เมย์"
้เมื่อสิ้นสุดเสียงที่แหบพร่านั่น ร่างของเขาก็แน่นิ่งไม่ไหวติง ลมหายใจสุดท้ายได้สิ้นลงและตามมาด้วยเสียงของเหล่าซอมบี้ที่เทะและกัดกินศพของเขาจนหมดสิ้น..
.....
ในยามรุ่งเช้าของวันหนึ่ง
"เมย์!!"
เด็กหนุ่มตื่นขึ้นอย่างฉับพลันพร้อมละเมอตะโกนสุดเสียง
"นี่ฉันยังไม่ตายงั้นเหรอ"
ตอนที่2 ไม่รอช้า
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 15
Comments