Lunar Oblivion
... ...
.......
.......
...บนผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ เหล่าสรรพสัตว์ดำเนินชีวิตอย่างมีจังหวะของตนเอง ฤดูกาลผลัดเปลี่ยนแต่ความเบิกบานไม่เคยจางหาย ที่นั่นมีเมืองหนึ่งนามว่า “เมืองแสงอาทิตย์” เมืองภายใต้การปกครองของกษัตริย์ผู้เฉลียวฉลาดและเปี่ยมเมตตา...
.......
... ครั้งยังทรงพระเยาว์ พระองค์คือดาบเล่มสุดท้ายของมนุษย์ ออกรบกับปีศาจจากทุกทิศและพาแสงสว่างกลับคืน ทว่าชัยชนะกลับแลกมาด้วยคำสาปที่ติดตามพระองค์มาตลอดทาง คำสาปนั้นค่อย ๆ กัดกินพระองค์ ทำให้พระวรกายโรยราก่อนวัย และแรงกำลังที่เคยพึ่งพาก็ถดถอยลงวันแล้ววันเล่า...
.......
... ผู้คนยังคงจดจำพระเกียรติยศของยุคแห่งวีรบุรุษ แต่เบื้องหลังบัลลังก์คือความเหนื่อยล้าอันเงียบงัน—กษัตริย์ผู้เคยเป็นโล่กำบังให้โลก ทั้งยังต้องเรียนรู้ที่จะยืนหยัดต่อไปด้วยสติปัญญา แทนกำลังแขนที่เคยเหวี่ยงดาบในสนามรบ...
.......
.......
...ในคืนหนึ่ง...
...ขณะพระองค์กับราชินีทรงอยู่เคียงกันด้วยความรักในห้องบรรทมความสงบของวังยังอ่อนโยนดังแสงจันทร์อยู่นั้นเอง...
.......
.......
...ลึกเข้าไปในผืนป่ารกทึบ ต้นไม้ใบหนาและหญ้าสูงท่วมหัวทับถมกันเป็นชั้นเงื้อมปิดฟ้า เหล่ากองทัพอสูรและปีศาจกำลังรวมตัว เคลื่อนไหวดุจคลื่นมืดมิด เตรียมบุกสู่ปราสาทแห่ง "เมืองแสงอาทิตย์"...
...ราชาปีศาจ อาบัดดอน ผงาดท่ามกลางกองไฟ พลางเปล่งสุรเสียงกึกก้อง...
..."เอาล่ะ พวกเจ้าจงฟังข้า! นานกว่าห้าศตวรรษ เราต้องหลบซ่อน ถูกจองจำในผืนป่า ไร้อิสรภาพ ไร้ศักดิ์ศรี ไร้ซึ่งความยิ่งใหญ่ ตั้งแต่กษัตริย์แห่งเมืองแสงอาทิตย์ก่อเกิดขึ้น พวกมันช่วงชิงทุกอย่างไปจากเรา รุ่นแล้วรุ่นเล่า เลือดพวกพ้องของพวกเราหลั่งลงดินไม่รู้จบ"...
...ปิศาจทุกตัวต่างเงียบงันเเละสงบไร้ซึ่งเสียงใดๆเเม้กระทั่งเสียงลมหายใจ...
..."แต่บัดนี้ โชคชะตาเปิดทางเเละมอบโอกาสให้กับพวกเรา—กษัตริย์ลูคัส ผู้ครองบัลลังก์ปัจจุบัน ถูกคำสาปริดรอนกำลัง ทำให้โรยราก่อนวัย อ่อนแอไร้พลังดังเดิมแล้ว...
...ถึงเวลาทวงคืนสิ่งที่เป็นของเรา!...
...จงชักดาบ จงกุมอาวุธ จงหยิบทุกสิ่งที่พร้อมทำลายศัตรู แล้วกู่ร้องให้สะท้านป่า—ออกไปคว้าชัยเหนือเหล่าพวกมัน!"...
...เมื่อสุรเสียงของอาบัดดอนจบลง เสียงคำรามรับของหมู่อสูรก็ถาโถมก้องสะท้อนผ่านเรือนยอดไม้ ราวพายุที่กำลังตั้งเค้าเหนือแผ่นดินเดียวกันนั้นเอง...
.......
.......
.......
...คืนนี้ ความมืดคลี่คลุม “เมืองแสงอาทิตย์” ขณะเดียวกันฝูงอสูรทะยานเข้ามากระหน่ำทำลาย—ปล้นชิง ทำร้าย และข่มเหงผู้คนอย่างอำมหิต เมืองทั้งเมืองสั่นสะเทือน และไม่นานคลื่นปีศาจก็กรูกันมาถึงเชิงกำแพงปราสาท...
...ปึง! ปึง! ปึง!...
...เสียงเคาะประตูห้องบรรทมดังสะท้อน...
..."แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์ราชา! แย่แล้ว!" เสียงทหารสั่นเร่งเร้า...
...กษัตริย์ลูคัสทรงสะดุ้งตื่น ก่อนเสด็จไปเปิดประตู...
..."มีเรื่องอะไรกันดึกป่านนี้"...
..."กองทัพปีศาจมาถึงหน้าปราสาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ!"...
...พระเนตรของพระองค์แข็งแน่ว ...
...“เตรียมกำลังพลให้พร้อม ข้าจะบัญชาการศึกด้วยตนเอง”...
...“รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”...
...พระองค์ทรงชะงัก “เดี๋ยวก่อน—ไปตามมิวันด้ามาพบข้า”...
...“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ!”...
.......
...เซียน่า เอ่ยเสียงหนักแน่น ...
...“ลูคัส ข้าคิดว่าข้าควรออกไปสู้เคียงข้างท่าน”...
...กษัตริย์ลูคัสส่ายพระพักตร์เบา ๆ “ไม่ เซียน่า เจ้ารู้ดีว่าข้าไม่แข็งแกร่งดังเดิม เจ้าควรไปยังที่ปลอดภัยก่อน”...
...“แต่ข้าอยากทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อท่าน” น้ำเสียงนางสั่นเล็กน้อย...
...พระองค์นิ่งไปอึดใจ...
...เซียน่ากุมมือพระองค์ “ข้าคือผู้ที่ท่านรัก คือภรรยา คือราชินีของท่าน และสำหรับข้า—ท่านคือผู้ที่ข้ารักยิ่งกว่าชีวิต เพราะฉะนั้น…”...
...“เพราะอย่างนั้น ข้าถึงอยากให้เจ้าปลอดภัย”...
... พระสุรเสียงอ่อนลง...
... “แต่ถ้าเจ้าประสงค์จะช่วย จงไปกับมิวันด้า ที่หอคอยเก่าทางทิศเหนือของปราสาท ที่นั่นมีแท่นศักดิ์สิทธิ์สำหรับอัญเชิญ 'ผู้กล้า' รายละเอียดให้มิวันด้าอธิบายแก่เจ้า”...
...“แต่ว่า—”...
...ลูคัสยิ้มน้อย ๆ...
... “ข้ารักเจ้านะ เซียน่า เจ้าคือผู้เดียวที่ข้ารักทั้งชีวิตนี้ วันนี้ข้าอาจไปไม่ถึงเจ้าหลังศึก แต่ขอให้เจ้าจำไว้—ต่อให้ความตายพรากเราจากกัน ความรักของข้าต่อเจ้าจะไม่เลือนราง”...
...พระองค์หยิบสร้อยออกมาสวมให้ราชินี “พกติดกายไว้ สร้อยเส้นนี้จะคุ้มครองเจ้าให้พ้นจากอันตรายทั้งปวง”...
.......
.......
...พระองค์ดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดแนบแน่น ราวกับรู้ว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นทรงประทับจุมพิตแผ่วเบาบนหน้าผากเธอ น้ำตาของเซียน่าเอ่อท้นไม่หยุด...
...เมื่อฝากถ้อยคำสุดท้ายแก่คนรัก กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ชักดาบคู่พระวรกาย ก้าวออกจากห้องบรรทมโดยมิได้หันกลับ—ทิ้งไว้เพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาของสตรีที่พระองค์รักยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด....
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments