บทที่ 3

ยามเช้ามาถึง

ร่างบางที่นอนหลับสนิทลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ เขาทอดสายตามองหาคนที่นอนข้างกายเขาแต่กับพบว่าคนผู้นั้นไม่อยู่เสียแล้ว

อีกแล้วหรือ....คราวนี้ก็คงจะ...

'แกร๊ก แอ๊ด....'

จู่ๆก็มีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา ทำให้คนที่นั่งอยู่บนเตียงรีบหันมาเพราะความดีใจว่าเป็นคนที่นอนข้างตนเข้ามา แต่พอเห็นก็ต้องทำให้ผิดหวังเพราะว่าไม่ใช่เขาแต่เป็นใครบางคน

เป็นบุรุษ ที่มีใบหน้าหล่อเหลาและไม่ว่าเมียงมองทางใด ล้วนเปี่ยมด้วยสง่าราศี ดูๆแล้วอายุน่าจะราวๆยี่สิบต้นๆเท่าๆกับตัวเขา

คนผู้นั้นเดินเขามาพร้อมกับกล่าวแนะนำตัวเองอย่างสุขภาพและเคารพต่อของตรงหน้า "กระหม่อมมีนามว่า'หวงฝู่ยี่' เป็นองครักษ์ประจำกายขององค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะกระหม่อมได้รับคำจากองค์ชายใหญามาว่าให้กระหม่อมมาค่อยรับใช้ข้างกายพระชายาเฟิ่งพ่ะย่ะค่ะ..."

หลิวเฟิ่งลู่ทอดสายตามองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเก็บสายตามาแต่เมื่อนึกถึงคนใช้เขาก็นึกถึงมี่ฮวาสาวใช้ประจำกายของเขาที่เขาพามาด้วยแต่ยังไม่ทันจะถามคนที่นึกถึงก็เข้ามาพร้อมกับถือถ้วยอะไรบางอย่างมา

"พระชายาเฟิ่งทรงตื่นแล้วหรือเพคะหม่อมฉันได้เตรียมยาสำหรับบำรุงร่างกายมาให้พระชายาเฟิ่งแล้วนะเพคะ"

หลิวเฟิ่งลู่ที่นั่งอยู่บนเตียงก็ยิ้มให้และพยักหัวเบาๆเป็นเชิญเข้าใจอีกฝ่ายก่อนที่จะยื่นมือไปรับถ้วยยายนั้นขึ้นมาดื่ม

หลังจากดื่มเสร็จก็ให้มี่ฮวาเอาไปเก็บหลังจากที่เหลือแค่สองคน หลิวเฟิ่งลู่จึงเงยหน้าขึ้นถามอีกฝ่าย "องค์ชายใหญ่ เขาไปไหนเสียแล้วล่ะ..."

"องค์ชายใหญ่ถูกเรียกตัวไปที่วังหลวงเพื่อสนทนาเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองพ่ะย่ะค่ะ"

"อย่างงั้นรึ...."

แย่ล่ะสิฉากแนวนี้ตัวนำคือนายเอก....ตอนนี้ก็คืนที่สองแล้วหลังจากเข้าหอของพวกเราเหลืออีกแค่วันเดียวก็ถึงวันแต่งงานของนายเอกแย่งบทกับพระเอกเสียแล้ว....หลังจากพ้นคืนนั้นก็....เจอกับตัวร้ายเสียแล้วทำอย่างไรดีล่ะถึงจะเข้าไปห้ามไม่ให้พวกเขาต้องเจอกันนะ......

แต่ว่า...ชะตามันก็ลิขิตไว้ให้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้...ตอนนี้สิ่งที่ข้าควรทำก็คือแข็งแกร่งขึ้นเท่านั่นเพื่อที่จะได้ปกป้องอีกฝ่ายเป็นโล่ให้กับอีกฝ่าย

"ฝู่ยี่...."หลิวเฟิ่งลู่รีบหันหน้าไปหาคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆตน

"พระชายามีอะไรให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ"หวงฝู่ยี่คุกเข่าลงตรงหน้าทันที

"ที่นี่มีลานเอ่อหมายถึงที่ฝึกกระบี่หรืออาวุธอะไรแบบนี้น่ะ "หลิวเฟิ่งลู่พยายามที่จะอธิบายกับอีกฝ่าย

"ลานฝึกหรือ ที่จวนขององค์ชายใหญ่ต้องมีอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะเพราะองค์ชายใหญ่ทรงโปรดการฝึกกระบี่เป็นอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ"หวงฝู่ยี่ตอบไปโดยไม่ลังเล

"ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยพาข้าไปที่นั้นได้หรือไม่ข้าอยากฝึกกระบี่!"หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินแบบนั้นก็รีบพูดกลับอีกฝ่ายให้พาตนไปทันมี

หวงฝู่ยี่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาเพราะปกติแล้วเท่าที่ได้ยินมาอีกฝ่ายนั้นไม่ได้สนใจเรื่องเช่นนี้เลยไม่สิถึงสนก็ไม่มีใครช่วยสอน

.

.

.

.

.

เวลานี้หลิวเฟิ่งลู่ที่เตรียมตัวเรื่องส่วนตัวเสร็จก็เดินมาตามทางที่หวงฝู่ยี่เดิมนำให้ ตอนนี้เขาแต่งตัวด้วยชุดธรรมสีครามแต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถที่จะปกปิดความงามของอีกฝ่ายได้

เขาทอดสายตามองจวนของหลิ่งเฟยหลงอย่างสนอกสนใจเป็นอย่างมาก เพราะพื้นที่โดยร่วมแล้วถูกตกแต่งไปด้วยต้นไม้แปลกใหม่ที่งดงามมากมายและดอกไม้ต่างๆแถมยังกว้างใหญ่เป็นอย่างมากมีห้องหลายห้องอยู่พอสมควร

เมื่อมาถึงที่หมายหลิวเฟิ่งลู่มองลานกว้างใหญ่ตรงหน้า รอบลานเรียงรายไปด้วยชั้นศาสตราวุธ และมีหุ้นไม้ที่ไว้ใช้ฝึกและอะไรอีกหลายๆอย่างที่ไว้ใช้ฝึก

หลิวเฟิ่งลู่เห็นก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีและเดินดูรอบๆทั่วลานกว้างอย่างสนอกสนใจเป็นอย่างมากซะจนทำให้มี่ฮวาที่ตามหลังมารู้สึกว่านายของตนเปลี่ยนไปมาก

เพราะว่านายของตนปกติเป็นคนกลัวของมีคมเป็นอย่างมาก และเป็นคนที่ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้อาวุธเลยแม้แต่น้อยแต่ว่าตั้งแต่เข้าวังมานายของตนก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนไปเลย

หลังจากที่สำรวจดูอาวุธอยู่นานเขาก็หยิบดาบขึ้นมาเล่มหนึ่งแต่ก็วางลงกลับที่เดิมทันที เขามองดาบที่เก็บที่เดิมอย่างเรียบเฉย

ว่าแล้วเชียว...มือนี่มันเล็กเกินไปไม่สิอ่อนแอเกินไปที่จะจับดาบแบบนี้......

แล้วแบบนี้ความหวังที่จะทำ....ข้าควรทำอย่างไรดี...

แต่เมื่อวางลงเขาก็ไปเห็นไม้พลองยาวจึงหยิบขึ้นมาแกว่งไปมาก่อนที่จะลงไปร่ายรำกระบวนท่าพื้นฐานของการฝึกกลางลาน

หวงฝู่ยี่ที่ยืนดูอยู่ก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นมีท่าพื้นฐานของเส้าหลินอยู่ที่ผู้ใดก็ตามที่ฝึกฝนมาย่อมสามารทำได้

แต่ทว่าเหตุใดคนตรงหน้าถึงมีทั้งๆที่เป็นคนไร้วรยุทธ์ แต่เหตุพอมองดูแล้วรู้สึกได้ถึงว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่ได้ยินมาแน่

ทั้งท่วงท่าการจับไม้พลองและจังหวะการกวัดแกว่ง และการขยับจังหวะนั้นช่างสง่างามและดูน่าเกรงขามมากอย่างกับว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนที่เล่าลือกันมา

หลิวเฟิ่งลู่กวัดแกว่งไม้พลองไปมาในใจก็เอาแต่คิดว่าถ้าฝึกแบบนี้ทุกวันละก็ต้องสามารถจับดาบกระบี่ได้ถนัดมากขึ้นและไม่อ่อนแรงได้อีกเขาจะไม่ทำตัวให้ไร้ประโยชน์เด็ดขาดในเมื่อพระเจ้าส่งเขามาให้มาแก้ไขเรื่องราวในนิยายเรื่องนี้เขาก็จะทำเพื่อตัวเขาและหลิ่งเฟยหลงด้วย

-----------------------●●------------------------

ณ เวลานั้นในวังหลวงหงเจินตี้องค์จักรพรรดิกำลังนั่งมองแผ่นที่ขนาดใหญ่ของแคว้งพร้อมกับบุตรชายของตนนั้นก็คือหลิ่งเฟยหลง

"เสด็จพ่อต้องการที่จะให้ลูกไปจัดการกับเผ่าวิหคใต้ใช่หรือไม่?"หลิ่งเฟยหลงที่ยืนมองแผ่นที่ตรงหน้าอย่างเฉยเมย

องค์จักรพรรดิหงเจินตี้เห็นแบบนั้นก็รู้สึกเหนื่อยใจบุตรชายของตนที่ทำตัวไม่เป็นเดือดเป็นภัยต่อสิ่งที่จะให้ทำเช่นนี้

"ใช่ แต่เจ้าเองก็อย่าเหิมเกริมจนเกินไปถึงฝั่งนั้นจะเป็นเผ่าวิหคแต่ก็เก่งในด้านโจมตีระยะไกลหากประมาทขึ้นมาจะเป็นฝั่งเจ้าที่เสียเปรียบ..."หงเจินตี้เอ็ดอีกฝ่าย

หลิ่งเฟยหลงหาได้สนใจคำพูดของผู้เป็นพ่อหรือไม่เขาทำเพียงแค่มองแผ่นที่ตรงหน้าอยู่ครู่และเดินออกไปจากห้องทรงอักษรอย่างไม่สนใจอะไร องค์จักรพรรดิมองบุตรชายของตนที่ทำตัวไม่เคารพต่อสิ่งใดแบบนั้นก็รู้กังวลขึ้นมาว่าหากอนาคตให้ขึ้นเป็นใหญ่จะรอดหรือไม่....

ขณะที่ออกมาจากห้องทรงอักษรก็เดินอยู่มุมทางเดินนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าข้างหน้าของตนกำลังมีใครบางคนเดินมาทางเขา

บุรุษผู้ที่มีความคล้ายกับเขาไม่สิแตกต่างอย่างกับหยินหยางที่ผู้หนึ่งคือหยางแสงอาทิตย์ของความหวังกับหยินที่เป็นแสงจันทรแห่งความสิ้นหวัง

ใช่คนที่กำลังเดินมาทางเขาก็คือหลิ่งหมิงฟู่น้องชายของเขาที่ใครๆต่างก็เทิดทูนและเคารพกันอย่างดี

"คารวะเสด็จพี่....วันนี้เช่นบังเอิญยิ่งนักที่ได้พบกับเสด็จพี่"หลิ่งหมิงฟู่ที่เห็นหลิ่งเฟยหลงก็ทำการเคารพต่ออีกฝ่ายทันที

หลิ่งเฟยหลงไม่ได้ตอบอะไรอีกฝ่ายเพียงแค่จ้องมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก็นึกถึงเมื่อคืนขึ้นมาได้ตอนที่คนที่นอนข้างๆนอนและละเมอพูดออกมา

อย่าฆ่าเขานะ...อย่าฆ่าเขาเลยนะ หลิ่งหมิงฟู่

หลิ่งเฟยหลงขมวดคิ้วขึ้นทำสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาก่อนที่จะเดินไปโดยไม่คิดจะคุยกับอีกฝ่ายหรือสนใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

หลิ่งหมิงฟู่ที่เห็นพี่ชายของตนเดินจากไปก็ไม่กล้าที่จะกล่าวอะไรอีกแล้วเพียงแค่เดินคอตกไปห้องทรงอักษรที่องค์จักรพรรดิรอตนอยู่

หลิ่งเฟยหลงที่กำลังเดินก็เอาแต่คิดว่า คนอย่างเจ้าหมอนั้นน่ะรึจะสามารถฆ่าคนอย่างเขาได้ร้อยปีผ่านไปก็อย่าหวัง!!!

ยามเซิน (15:00-16:59)

หลิ่งเฟยหลงที่ขี่ม้ากลับมาถึงจวนก็รีบลงจากหลังม้าและรีบไปยังห้องของตนเองเมื่อเปิดเข้าไปกับไม่พบกับคนคนนั้นพระชายาของเขา

"พระชายาไปไหน?"เขาหันไปถามสาวใช้ที่รีบเดินมารับใช้เขา

"ทูลองค์ชายใหญ่พระชายาเฟิ่งอยู่ที่ลานฝึกเพคะ"สาวใช้ตอบโดยยังคงก้ใหน้าอยู่

หลิ่งเฟยหลงได้ยินเช่นนั้นก็รีบเดินไปยังลานฝึก ที่อยู่หลังเรืองทันที

เมื่อไปถึงก็พบกับองครักษ์หวงฝู่ยี่กับมี่ฮวายืนมองไปยังลานฝึก แต่เมื่อพวกเขาเห็นหลิ่งเฟยหลงก็คิดจะทำความเคารพทันทีแต่หลิ่งเฟยหลงห้ามเอาไว้และหันไปมองทางลานฝึกทันที

เบื้องหน้าของเขาก็คือ พระชายาของตนที่กำลังร่ายรำด้วยไม้พลองไปมาไม่หยุด ทุกท่วงท่าที่กวัดแกว่งไม้พลองไปมานั้นเช่นสง่างามน่ามองเหลือเกิน

ทำซะเขาเองก็ไม่สามารถละสายตาไปจากอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย หลิวเฟิ่งลู่ยังคงร่ายรำต่อไปโดยไม่ได้หันมาสนใจเลยว่าตนเองนั้นกำลังถูกสายตาของคนที่ตนรักจับจ้องมองอยู่

แต่เมื่อหันมาแล้วก็ต้องสบตากับคนที่ตนรัก ทำให้หลิวเฟิ่งลู่ถึงกับนิ่งหยุดการร่ายรำทันที

ตัวร้าย.....!!

-------------------

ณ เวลานี้หลิวเฟิ่งลู่ทำตัวไม่ถูกที่จู่ๆอีกฝ่ายก็มาปรากฏอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว เขายอมให้อีกฝ่ายรู้เรื่องว่ามีวิชาป้องกันตัวได้แต่เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้เรื่องที่เขามีวิชากระบี่ติดตัวเพราะเกรงว่าหากรู้อีกฝ่ายต้องคิดว่าเขาเป็นนักฆ่าที่ถูกส่งมาแน่

จึงรีบเก็บไม้พลองและรีบเดินตรงไปหาอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ในที่ร่ม "ถวายบังคมองค์ชายใหญ่..."

ในขณะที่กำลังจะย่อตัวลงอีกฝ่ายก็ดึงเอาไว้ก่อนที่จะดึงไปสู่อ้อมกอดของอีก หวงฝู่ยี่มีฮวาและข้ารับใช้ในจวนต่างตกตะลึกที่องค์ชายใหญ่ของตนทำเรื่องเช่นนี้ด้วย

"องค์ชายใหญ่...."หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกทำตัวไม่ถูกที่จู่ๆอีกฝ่ายทำเช่นนี้กับตน

"ทั้งๆที่ยังอาการไม่ดีเหตุใดถึงออกมาตากลมตากแดดอยู่ข้างนอกเช่นนี้หากเป็นอะไรไปขึ้นมาข้าจะปวดใจเอาได้นะ

คำพูดที่หลิ่งเฟยหลงกล่าวมานั้นยิ่งทำให้คนรอบตัวอดอึ้งตกใจไม่ได้ เพราะว่าองค์ชายใหญ่ของตนไม่เคยคิดจะสนใจชีวิตใครหรือห่วงใครมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วแต่กับพระชายาที่เป็นบุรุษด้วยกับสุขภาพอ่อนโยนซะจนรู้สึกอึ้งกันตามๆไป

หลิวเฟิ่งลู่ที่ถูกอีกฝ่ายกอดพร้อมกับคำพูดที่กล่าวออกมาก็ทำให้รู้สึกดีใจขึ้นมาป่นเขิน"องค์ชายใหญ่ทรงอย่ากังวลไปเลยกระหม่อมไม่ได้เป็นอะไรแล้ว และอีกอย่างกระหม่อมก็อยากที่เดินชมจวนขององค์ชายใหญ่ด้วยก็เลยออกมาพอเห็นลานฝึกก็รู้สึกอยากร่ายรำกระบี่ดู...เสียหน่อยน่ะพ่ะย่ะค่ะ"

"เหตุใดจึงต้องเป็นกล่าวเป็นพิธีเช่นนั้นเจ้าเป็นพระชายาของข้า เรียกข้าว่าเฟยหลงเสียเถอะและก็ให้พูดแบบที่พวกเราเจอกันครั้งแรกเสียเถอะ"

เขายอมให้เรียกชื่อด้วยและยังให้พูดเป็นแบบกันเองอีกดีจัง...เขาพูดจริงๆสินะที่เห็นข้าเป็นพระชายาเป็นภรรยาของเขาไม่ใช่สิ่งของ...

"อือท่านเฟยหลง" หลิวเฟิ่งลู่เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันหล่อเหลาของอีกฝ่ายพร้อมกับพยักหน้ายิ้มให้อีกฝ่าย

หลิ่งเฟยหลงเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็ชะงักขึ้นมาทันที เพราะรอยยิ้มอีกฝ่ายยิ้มมานั้นช่างน่ามองเสียจริงจนห้ามใจแทบไม่ไหว

"ว่าแต่เมื่อครู่การร่ายรำนั้นของเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก"หลิ่งเฟยหลงชมอีกฝ่ายที่กำลังส่งยิ้มให้อยู่

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึกเขินเข้าไปใหญ่จนทำตัวไม่ถูก แต่แล้วน้ำเสียงที่อีกฝ่ายกล่าวมาก็ต้องทำให้หลิวเฟิ่งลู่นิ่งอึ้งไปทันที

"ในเมื่อเจ้าพอมีฝีมือในด้านนี้อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้น"พูดจบประโยชน์ก็มีองครักษ์สี่ห้าหกคนเดินมาตั้งเป็นแนวตรงกันอย่างเรียบร้อย

"นี่มัน..."มี่ฮวาที่เห็นแบบนั้นก็ตกใจขึ้นมา ส่วนหวงฝู่ยี่และเหล่าข้ารับใช้เห็นก็ทำเพียงแค่เก็บสีหน้าของตนเท่านั้นเพราะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนกลางลาน

หลิวเฟิ่งลู่มองพวกองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังของหลิ่งเฟยหลงอย่างเข้าใจความหมายทันที "นี่ท่าน .... เข้าใจแล้วหากท่านต้องการเช่นนี้ข้าก็จะแสดงให้เห็นว่าข้านั้นเป็นพระชายาที่ดีให้แก่ท่าน"

"พูดดีถ้างั้น เลือกอาวุธซะเพราะถ้าหากพลาดก็คือตาย"เขากล่าวออกมาอย่างไม่เป็นเดือด

"องค์ชายใหญ่หม่อมฉันขอร้องท่านเถิดนะเพคะ คุณชายของหม่อมฉันไม่มีความสามารถในด้านการต่อสู้เลยแม้แต่น้อยเพคะโปรดทรงอย่างทำเช่นนี้เลยนะเพคะ"มี่ฮวารีบวิ่งเข้ามาขว้างหน้าพวกเขาทั้งสองทันที

"นี่หล่อนกล้าดียังไงมาขว้างหน้าข้าเช่นนี้!"หลิ่งเฟยหลงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที

มี่ฮวาเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาก็กลัวขึ้นมาทันทีแต่ก็ใจแข็งยืนบังต่อเพื่อปกป้องนายตนเองแต่จู่ๆก็วูบไปเพราะคนด้านหลังฟาดท้ายทอยจนสลบไป หลิวเฟิ่งลู่พยุงตัวสาวใช้คนสนิทของตนอย่างเบามือ

"โปรดอภัยให้กับความใสซื่อของนางด้วย นางยังเด็กและเคยเห็นแต่ข้ายามจับผ้าเท่านั้นนางไม่เคยรับรู้หรือเห็นข้าจับอาวุธมาก่อน เพราะงั้นโปรดอย่าลงโทษนางถือว่าข้าขอ...."

"ข้าจะไม่ถือสานางหากเจ้าทำให้ข้าพึ่งพอใจน่ะนะถ้าไม่ก็เตรียมใจอย่างที่เจ้าหวังก็แล้วกัน"หลิ่งเฟยหลงแสยะยิ้มออกมา

"ถ้าเช่นนั้น.....ข้าแค่ไม้พลองนี่ก็พอแล้วละเพราะถึงยังไงซะข้าก็ไม่มีแรงพอที่จะจับกระบี่หรืออาวุธอย่างอื่นแต่อย่างไรอยู่แล้ว...."กล่าวจบก็ส่งมี่ฮวาให้หวงฝู่ยี่ก่อนที่จะหันหลังไปยังลานฝึกตรงกลางลาน

หลิ่งเฟยหลงเห็นก็ไม่ได้คิดจะกล่าวอะไรเพียงแค่หันไปนั่งดูการประลองตรงหน้าเท่านั้น พวกข้ารับใช้ที่เห็นต่างพากันกลัวว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้า

ตอนนี้หลิวเฟิ่งลู่ที่เตรียมตัวพร้อมสู้เขามองดูองครักษ์ที่สวมหน้ากากสีดำลงมา และถือกระบี่เตรียมจะเข้ามา

อา....เอาล่ะตอนนี้ถ้าข้าตายก็ไม่ใช่ที่สนใจของใครอยู่แล้วตอนนี้สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือใช้ความสามารถที่มีแสดงให้คนที่นี่ได้เห็นว่าข้านั้นไมใช่ผู้ที่อ่อนแอจะมาเหยียบย่ำได้!!!

-----------------------●●------------------------

ณ ตำหนักของฮองเฮา

ฮองเฮาที่นั่งอยู่มุมห้องที่มืดกำลังนั่งสั่นกลัวอะไรซัก จนทำให้ควบคุมร่างกายไม่อยู่

ไอ้เจ้าเด็กนั้น......

แววตานั้นมันอะไรกัน? 

แววตาที่พร้อมจะฆ่าคนได้ทุกเมื่อเหมือนกับเจ้าเฟยหลงนั้นไม่สิแววตาแบบนั้นมันเหมือนกับเจ้าหมอนั้นเจ้าคนเมื่อยี่สิบปีก่อนที่เจ้าเฟยหลงฆ่าไป

แต่ว่าจะเป็นไปได้ไงก็เจ้าเด็กนั้นมันก็แค่ลูกอนุภรรรยาชั้นต่ำที่เจ้าคนของแคว้นนั้นทำไปทั่ว แต่ว่าเพราะเหตุใดเจ้าเฟยหลงถึงไมฆ่ามันล่ะ

แต่กลับพามันมาพาองค์จักรพรรดิเพื่อทำสิ่งนั้นหรือว่ามันเองก็คิดเช่นกันว่าเจ้าเด็กนั้นเหมือนกับเจ้าหมอนั้นกันนะ!!

แต่ว่าหน้าตารูปลักษณะก็ไม่มีความคล้ายกับเจ้าหมอนั้น

เพราะอะไรข้าต้องมากลัวมันเช่นนี้ด้วย!!

"ทูลฮองเฮาเรียกข้าน้อยมามีคำสั่งอะไรจะให้ข้าน้อยไปหรือ?"จู่ๆก็มีชายใส่ชุดสีดำสนิทปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากสีดำลายอสูรเอาไว้

"มาแล้วรึ! ดีข้ามีงานที่จะให้เจ้าไปทำจนฟังซะ"ฮองเฮาที่เห็นบุรุษที่ตนกำลังรออยู่มาแล้วก็รีบและเดินไปหาทันที

"เชิญฮองเฮาสั่งมาได้เลยข้าน้อยจะรีบไปทำทันที"บุรุษชุดดำรีบคำนับรอคำสั่งทันที

"เจ้าไปสืบเรื่องของเจ้าหลานเฟิ่งลู่ที่แคว้นฉู่ซะว่าความจริงแล้วมันเป็นลูกของใครกันแน่และความจริงแล้วมันแซ่อะไรกันแน่!!"

"ขอรับข้าน้อยจะรีบไปสืบมาให้ท่านทันที"กล่าวจบชายชุดดำก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

.

.

.

.

.

.

'ควับ' 'เพล้ง'

"อะไรกัน....ไม่อยากจะเชื่อว่าพระชายาเฟิ่งจะมีความสามารขนาดนี้"ฮุ่ยเหอที่ยืนดูอยู่ข้างหลังก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น

หลิ่งเฟยหลงที่นั่งมองสังเกตทักษะของคนที่อยู่ในลานฝึกอย่างสนอกสนใจ พบว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่แค่หลบเก่งแต่ว่าสามารถจดจำท่วงท่าการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างดี

แม้ตอนนี้จะเป็นสี่รุมหนึ่งแต่เหล่าองครักษ์ของเขาก็ไม่สามารถที่จะทำให้อีกฝ่ายนั้นยอมแพ้ได้

ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง...นี่แหละคนที่จะมาเป็นตัวแทนให้กับคนผู้นั้นได้

หลิวเฟิ่งลู่มองคู่ต่อสู้ที่บุกเข้ามาทีละคนในใจก็เอาแต่คิดวิธีการที่จะทำอย่างไรให้ฝ่ายตรงข้ามยอมแพ้ตนได้

ตอนนี้เขากำลังมองดูข้าอยู่ ข้าต้องทำให้อีกฝ่ายอมรับให้ได้ว่าข้านั้นไม่ได้อ่อนแออย่างที่มีคนบอกมา

ข้าจะต้องทำให้เขาเห็นให้ได้ว่า ข้านั้นสามารถที่จะปกป้องเขาได้!!!!

"พวกเจ้า พอได้แล้วการประลองจบเพียงเท่านี้!"หลิ่งเฟยหลงลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนที่จะยกมือห้ามพวกองครักษ์ที่กำลังจะโจมตีอีกฝ่าย

ทุกคนในลานฝึกหยุดมือลงกันทันทีพร้อมกับคุกเข่าลงพร้อมกัน หลิวเฟิ่งลู่ยืนหอบหายใจอย่างหนักมือที่ถือไม้พลองก็สั่นไม่หยุด

เอ๋? จบแล้วหรอข้ายังไม่ได้ฟาดใครให้สลบไปเลยนะ หรือว่าท่านเบื่อการต่อสู้ของข้าแล้วหรอ?

หลิ่งเฟยหลงเดินลงมา จากที่นั่งก่อนจะเดินมาที่กลางลานฝึกที่หลิวเฟิ่งลู่ยืนหอบหายใจอยู่เขามายืนอยู่ตรงหน้าก่อนกล่าว

"ถือว่าน่าชื่นชม การหลบการโจมตีของเจ้าและการโต้กลับถือว่าออกมาดีแต่ข้อเสียก็มีเยอะอยู่พอสมควร"เขากล่าวพร้อมกับยื่นมือไปจับใบหน้าของอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นมามองตน

"ขออภัยที่ข้ายังทำได้ไม่ดีพออย่างที่ท่านหวังเอาไว้...แฮ่กๆ"หลิวเฟิ่งลู่พูดกล่าวกับอีกฝ่ายพร้อมหอบหายใจอย่างหนัก

"ไม่เจ้าทำให้คนอย่างข้าพอใจแล้ว เพียงแค่ยังไม่ดีพอก็เท่านั้น"เขากล่าวก่อนที่จะเปลี่ยนมาอุ้มอีกฝ่ายแทน

"ทะ....ท่านเฟยหลงนี่ท่าน"หลิวเฟิ่งลู่ตกใจขึ้นมาทันทีที่จู่ๆก็อุ้มแบบนี้

"วันนี้เจ้าเหนื่อยมามากพอแล้ว ข้าสั่งให้คนเตรียมน้ำอาบและอาหารไว้ให้เรียบร้อย"เขากล่าวพร้อมกับเดินออกไปจากลานฝึกตรงนั้น

คนที่เห็นต่างก็พากันสับสนว่าสรุปนายของตนนั้นมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ จริงๆแล้วต้องการที่จะทำอะไรกันแน่

ยามไฮ่ (21:00-20:59)

เวลานี้หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมากซะจนไม่สามารถที่จะปรนนิบัตให้กับคนที่นอนด้านข้างได้จึงทำได้เพียงแค่กอดกันเท่านั้น

หลิ่งเฟยหลงที่กอดจากทางด้านหลังก็เอาหัวมาซุกไว้ที่คอขาวของอีกฝ่ายสูดกลิ่นกายของอีกฝ่ายเท่านั้น

"พรุ่งนี้ก็เป็นวันแต่งงานของน้องชายข้าแล้ว" หลิ่งเฟยหลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ก็สามารถทำให้คนในอ้อมกอดเกร็งตัวมาได้

"ที่ท่านพูดมาคือความจริงรึ ที่น้องชายท่านกำลังจะได้แต่งงานเสียแล้วน่ะ" ถึงในใจจะรู้ดีอยู่แล้วแต่ก็แกล้งถามอีกฝ่ายไป

"ใช่พรุ่งก็วันแต่งงานน้องชายข้า ข้าจึงจะบอกกับเจ้าว่าพวกเราต้องไปอยู่ที่วังหลวงนานเสียหน่อยน่ะ"กล่าวไปมือที่กอดก็ยิ่งกอดแน่นขึ้น

"อย่างนั้นหรือ...ถ้างั้นก็เป็นการดีไม่ใช่หรือกับวันแต่งงานน้องชายท่าน"

"นี่เจ้ายังไม่รู้ใช่หรือไม่ว่าข้ากำลังจะบอกอะไรกับเจ้าน่ะ?"เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแปลกๆ

"ข้ารู้สิ ท่านกำลังจะบอกข้าว่าน้องท่านก็มีสิทธิ์ที่จะได้เป็นองค์จักรพรรดิใช่หรือไม่?" หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินว่าอีกฝ่ายเริ่มไม่พอใจกับคำตอบที่ตอบไปจึงรีบแก้ตัว

"ใช่.....แต่ก็ยังไม่ถูก"

"แล้วความจริงท่านต้องการจะบอกอะไรกับข้ากันแน่หรือ?"

"หากพวกเราไปอยู่ที่วังหลวงข้าก็จะทำดีกับเจ้าไม่ได้และไม่สามารถที่จะอยู่กับเจ้าได้ตลอดอย่างไรล่ะ..." หลิ่งเฟยหลงพูดออกมาพร้อมกับจับอีกฝ่ายให้หันมามองตน

"ท่าน....."หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินคำพูดของอีกที่กล่าวมาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที

"หากวันพรุ่งนี้มาถึงละก็สิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำก็คือห้ามแสดงความสามารถที่เจ้ามีออกมาเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่...." เขากล่าวกับอีกฝ่ายที่จ้องมองมาที่ตน

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังจะปกป้องตนอยู่จึงตอบรับสัญญากับอีกฝ่ายทันที "อือ ข้าเข้าใจท่านแล้ว ข้าจะไม่แสดงความสามารถที่มีให้ใครเห็นเด็ดขาดตามที่ท่านต้องการ...."

"อือดี.."

หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จทั้งสองก็หลับตาพร้อมกันและนอนกอดกัน หลับพร้อมกันทันทีในอ้อมกอดของแต่ละฝ่าย

----------------------------

เวลานี้หลิวเฟิ่งลู่ที่แต่งชุดด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ที่มีลวดลายของหงส์ทองอย่างสง่ากำลังนั่งมองวิวจากทางหน้าต่างรถม้าอยู่

ส่วนหลิ่งเฟยหลงที่นั่งมาด้วยกันแต่งชุดด้วยเสื้อสีครามลายมังกรดำที่มีลวดลายที่งดงามและแฝงไปด้วยเสน่ห์กำลังนั่งนิ่งสงบมองคนที่นั่งตรงกันข้ามกับตรง

"เจ้าจำเรื่องเมื่อคืนที่ข้าได้บอกกับเจ้าเอาไว้ได้หรือไม่?"หลิ่งเฟยหลงที่นั่งมองอีกฝ่ายที่เอาแต่มองวิวด้านนอกไม่สนใจตนจึงถามอีกฝ่าย

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินอีกฝ่ายถามตนจึงหันกลับมาและตอบอีกฝ่ายทันที "ได้สิ ท่านบอกว่าอย่าแสดงความสามารถที่มีออกไปให้ผู้อื่นเห็น...."

"อือดี...."เมื่อได้รับคำตอบเขาจึงพยักหน้าและไม่ได้คิดจะพูดอะไรกับอีกฝ่ายอีก

.

.

.

.

ในที่สุดก็มาถึงวังหลวงเสียทีประตูวังเปิดออกทันทีและรถม้าก็มาหยุดอยู่จุดที่ลงพอดี 

ในขณะที่ประตูรถม้าจะเปิดหลิ่งเฟยหลงก็ใช้จังหวะที่อีกฝ่ายไม่สนใจตน ดึงเขาเข้ามาจูบไปทีหนึ่งก่อนที่จะปล่อยและรีบลงออกไปจากรถม้าทันที

หลิวเฟิ่งลู่ถูกอีกฝ่ายจูบไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ก็ตกใจจนทำตัวไม่ถูก แต่ก็ต้องเก็บอาการและรีบลงมาในขณะที่จะลงจากรถม้าก็เกือบตกบันไดแต่ก็ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ

แต่หลิวเฟิ่งลู่ก็รู้ดีว่านี่คือการแสดงเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจว่าอีกฝ่ายนั้นมีใจให้กับตนหากรู้ก็จะไม่ต่างอะไรจากจุดอ่อนของเขา

ทุกคนในงานพอเห็นองค์ชายใหญ่ที่เดินนำมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ โดยมีพระชายาเดินก้มหน้ามาและทำสีหน้ากังวลทุกคนในงานก็รู้ทันทีว่าสองคนนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างที่เห็นในวันแต่งงานอย่างนั้น

จึงพากันแอบซุบซิบนินทาพูดคุยกันแต่หลิวเฟิ่งลู่หาและหลิ่งเฟยหลงหาได้สนไม่พวกเขาทำเพียงแค่เดินอย่างสง่างามไปเท่านั้น

แต่ว่าในใจของหลิวเฟิ่งลู่ก็รู้สึกไม่ดีแปลกๆขึ้นมา เพราะว่าถึงจะรู้ว่าคือการแสดงแต่เล่นแบบนี้ก็รู้สึกเสียกำลังใจเช่นกันแต่ก็ต้องทนไว้เพื่อความอยู่รอดของพวกเขาทั้งสอง

เมื่อมาถึงในห้องโถงใหญ่ก็ถูกเชิญไปนั่งประจำของตัวเอง หลิ่งเฟยหลงตั้งแต่ลงมาก็ทำเป็นไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย

จนในที่สุดเวลาของการเปิดงานก็เริ่มขึ้น ทุกอย่างล่วงเหมือนกับวันที่พวกเขาแต่งงานกัน เสียงดนตรีเสียงพลุเสียงผู้คนทุกอย่างล่วงเหมือนกับวันนั้นเพียงแต่เสียงของผู้คนนั้นไม่ใช่เสียงนินทาซุบซิบแต่เป็นเสียงยินดี...

แค่นี้ก็รู้แล้วว่าความไม่ยุติธรรมของตัวเอกกับตัวร้ายมันต่างกันยังไง....

เขามองดูคู่บ่าวสาวนั้นก็คือพระเอกกับนายเอกที่แย่งบทเขาไปนั้น พอมองดูดีๆแล้วพวกเขาสองคนก็เหมาะสมกันจริงๆอย่างที่ว่า...

แต่ว่า...ถ้าเกิดมาคู่กันแล้วทำไมแกถึงไม่แต่งให้แกครองคู่กับพระเอกตั้งแต่แรกล่ะ เหวินซื่อหลาง      ไอ้เจ้านักเขียนเฮงซวยหลุดโลก!!!ไม่สิไอ้ผู้แต่งเรื่อง'รักข้ามภพชาติ' ตั้งหากที่สมควรโดน!!

หลิ่งเฟยหลงที่นั่งอยู่ข้างๆสังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่เอาแต่จับจ้องมองคู่บ่าวสาวเบื้องล่างไม่วางตา แต่ทว่าแววตาที่จ้องมองมานั้นกับไม่ใช่แววตาแห่งความยินดีแต่เป็นสายตาอาฆาตแค้น

เหตุใดถึงจ้องมองด้วยสายตาเช่นนั้นนะ แต่ว่าก็ดีช่างน่าสนใจเสียจริงดูซิว่ากำลังวางแผนอะไรไว้กันแน่นะ...พระชายาของข้า...

ในเวลานี้เป็นเวลาที่คู่บ่าวสาวจะทำการสาบานต่อกัน พิธีก็เหมือรกับเขาหมดทุกรูปแบบไม่ต่างกันเพียงแต่ว่าเจ้าสาวนั้นเกร็งตัวอยู่ตลอดแต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร

หลิวเฟิ่งลู่ที่มองดูตัวเอกสองคนเข้าพิธีกัน ภายในใจก็เอาแต่คิดว่าหลังจากวันพรุ่งนี้เกมระหว่างเขากับตัวนายเอกแย่งบทก็จะเริ่มขึ้น

ช่างน่าสนุกแล้วสิ....ข้าจะทำให้คนอย่างเจ้ากลัวข้าไปจนวันตายเลยว่าอย่าได้คิดมาลองดีกับตัวละครที่แกสร้างขึ้นมาเองแบบนี้เด็ดขาด

.

.

.

.

หลังจากที่พิธีแต่งงานสิ้นสุดลง หลิวเฟิ่งลู่ก็ออกมาจากงานคนเดียวส่วนหลิ่งเฟยหลงนั้นกับยังคงอยู่ในงานไม่ยอมออกมา

หลิวเฟิ่งลู่จึงต้องเดินอยู่คนเดียวตามลำพังเท่านั้นเพราะตอนนี้มี่ฮวาก็อยู่ที่จวนไม่สามารถติดตามเขามาได้ส่วนหวงฝู่ยี่ก็ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ประจำกายของหลิ่งเฟยหลง

เขาเดินไปมาตามทางที่เป็นทางให้เดิน เขาเดินไปในใจก็เอาแต่คิดถึงเรื่องว่าพรุ่งนี้เขาจะทำตัวยังไงไม่ให้เป็นที่นินทาหรือให้นายเอกของเรื่อง เฉินจิ้นหลิง ทำเป็นแกล้งช่วยเขาไม่ให้เกิดขึ้นอย่างไรดี

ยิ่งคิดความรู้สึกที่เกลียอีกฝ่ายก็เริ่มก่อตัวขึ้นเข้าไปใหญ่ เพราะแค่คิดถึงตอนที่เขาถูกฮองเฮาว่าและเกิดกลัวอีกฝ่ายจนจะร้องไห้ออกมาตอนนั้นก็รู้สึกสงสารร่างนี้ขึ้นมาแล้ว

ตอนนั้นถ้าอ่านดีๆก็จะรู้ทันทีว่านายเอกตัวจริงนั้นกลัวฮองเฮาจริงๆจนอยากจะร้องไห้ออกมา แต่เจ้าคนแย่งบทนั้นกับคิดแบบเดียวกับฮองเฮาว่าเขาแกล้งบีบน้ำตากลัว

โธ่ ถ้าตอนนั้นฉันสามารถเข้าไปได้พ่อจะตบหัวให้สมองกลวงๆของหัวแกหลุดออกมาและจะเหยียบให้เละคาเท้าเลยแม่งเอ๊ย แค่คิดก็โมโหจนอยากจะบ้าตายแล้วสิ

เอาจริงๆนะถ้าไม่ห่วงเรื่องที่หลิ่งเฟยหลงเตือนเอาไว้ละก็เขาก็คงจะแสดงจุดยืนให้เห็นแล้วว่าเขานั้นไม่ได้อ่อนแอและไม่ได้เสแสร้งเช่นนั้น!!

หึ...รอก่อนเถอะ'เฉินจิ้นหลิง'พรุ่งนี้ข้าจะทำให้คนอย่างรู้จักจุดยืนของตนเลยว่าถึงแกจะมีฮองเฮาให้ท้ายแต่ก็สู้คนอย่างข้าไม่ได้หรอกที่รู้เรื่องของแกจนหมด!!!

"นั้นมันพระชายาขององค์ชายใหญ่นี่นา...เหตุใดถึงออกม่อยู่คนเดียวเช่นนี้ล่ะ?"

"นี่เจ้าไม่รู้หรือว่าพระชายาขององค์ชายใหญ่นั้นเป็นแค่ลูกอนุภรรยาชั้งต่ำเฉยๆ แถมยังเป็นคนที่ไร้ประโยชน์เสียด้วย"

"ใช่ๆคนแบบนี้มีหรือที่องค์ชายใหญ่จะมาสนใจน่ะ ที่ตอนนั้นแต่งงานด้วยกันก็แค่เพื่อผลประโยชน์ขององค์จักรพรรดิเฉยๆก็เท่านนั้น"

หลิวเฟิ่งลู่หันหน้าไปมองก็เห็นกลุ่มของพวกผู้หญิงที่ดูๆแล้วก็น่าจะเป็นลูกของตระกูลขุนนางที่ไหนซักกระกูลหนึ่งกำลังจับกลุ่มซุบซิบรับหลังเขาอยู่ไม่สิตั้งใจเสียมากกว่า

แต่หลิวเฟิ่งลู่หาได้สนใจไม่สำหรับเขาแล้วพวกนางก็ไม่ได้ต่างจากตัวประกอบที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อมาเป็นตัวทำให้เนื้อเรื่องน่าสนใจไม่สิน่ารำคาญเสียมากกว่าไม่ว่าจะเรื่องไหนไม่สิไม่ว่าจะยุคไหนก็มักจะมีตัวประกอบน่ารำคาญคอยซ้ำเติมตัวละครหลักก็เท่านั้น

แต่แล้วจู่ๆก็มีคำพูดหนึ่งที่นางพวกนั่นกล่าวออกมาทำให้หลิวเฟิ่งลู่ที่ไม่สนใจต้องรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินพวกนางกล่าว

"ช่างน่าสงสารองค์ชายใหญ่เสียจริงนะ เป็นลูกคนแรกแต่กับด้อยกว่าองค์ชายเล็กเสียอย่างนั้นฮะๆ"

"ด้อยกว่าอย่างนั้นรึ? อะไรหรือที่ด้อยกว่าน้องชายของเขารึ?"หลิวเฟิ่งลู่หันไปกล่าวกับพวกนางที่กำลังคุยนินทาไม่หยุด

"อ่าวพระชายาเฟิ่งได้ยินด้วยรึ ตายจริงข้านี่ปากไม่ดีเสียจริงที่เผลอพูดอะไรแบบนั้นออกไปแย่เสียจริง"นางทำเป็นเอามือเล็กนั้นมาปิดของนางเบาๆและทำตัวเหมือนรู้สึกผิด

"หม่อมฉันเพียงแค่ได้ยินมาน่ะเพคะ ว่าเป็นอะไรแบบนั้นน่ะเพคะไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวว่าอะไรองค์ชายใหญ่ของท่านพระชายาเฟิ่งเลยนะเพคะ"นางอีกเองก็แก้ตัวเช่นกัน

ส่วนที่เหลือก็ทำเป็นเอาพัดมาปิดใบหน้าและแอบหัวเราะใต้พัดที่ยกขึ้นมาปิดเท่านั้น

"อย่างงั้นหรือ? ได้ยินมาจากผู้อื่นอย่างงั้นหรือ?" หลิวที่มองดูพวกนางที่กำลังหัวเราะกันอยู่ก็แสยะยิ้มขึ้นมา "แหมๆพวกเจ้านี่ช่างเหมือนกับสุนัขตัวเมียเสียจริงเวลาสุนัขตัวไหนมันเห่าหอนพวกที่เหลือก็จะเห่าหอนตามช่างน่าขันยิ่งนัก"

"นี่เจ้ากล้าว่าพวกข้าเป็นสุนัขรึ!!"พวกนางได้ยินเช่นนั้นก็เปลี่ยนสีหน้ากันทันที

"ก็แค่เปรียบเปรยก็เท่านั้น ใครจะยอมรับก็รับไปแต่จะบอกอะไรไว้ให้นะว่า....การว่านินทาลับหลังคนชั้นสูงหรือลูกขององค์จักรพรรดิเช่นนี้ระวังปากของพวกเธอจะไม่มีไว้ให้ทานข้าวกันนะ....."หลิวเฟิ่งลู่ใช้สายตาที่ทำให้ผู้พบเห็นต่างพากันสะท้านขึ้นมาทันทีเพราะแววตาที่จับจ้องไปนั้นมันอย่างว่าหากยังกล้าทำอีกชีวิตคงจะหาไม่ได้....

"พวกหม่อมฉันต้องขออภัยต่อพระชายาเฟิ่ง ด้วยเพคะ ที่เผลอพูดออกไปพวกหม่อมฉันจะไม่พูดลับหลังเช่นนี้อีก"พวกนางทุกคนที่แอบบนินทากันต่างพากันคุกเข่าสั่นกลัวกันทันที

หลิวเฟิ่งลู่ยกยิ้มขึ้นมาก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้พวกนาง "ถ้ามีคราวหน้าก็เตรียมที่ฝั่งศพตระกูลพวกเจ้าไว้ได้เลยนะ...."

กล่าวจบก็เดินจากไปโดยไม่หันมาอีก พวกนางทุกคนที่นั่งคุกเข่าต่างพากันทรุดลงกันทันที

"เมื่อกี้นี่มันอะไรกันสายตานั้นน้ำเสียงนั้นใช่เกาเฟิ่งลู่จริงๆหรือ!"

-----------------------●●------------------------

หลิวเฟิ่งลู่เดินกลับเข้ามาในงานแต่กลับไม่พบผู้เป็นสามีของตน จึงรู้สึกว่าตนนั้นถูกทิ้งเสียแล้วแต่ก็มีใครบางคนมาสะกิดเขาจากทางด้านหลัง

หลิวเฟิ่งลู่หันไปมองแต่กับพบว่าคนที่สะกิดตนนั้น กลับใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าเอาไว้จึงทำไม่ให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย

"ช่วยไปกับข้าจะได้หรือไม่?"คนผู้นั้นพูดข้างหูของเขา

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินน้ำเสียงก็ต้องทำให้ตัวเกร็งขึ้นมาทันทีและไม่กล้าที่จะปฏิเสธต่ออีกฝ่ายจึงยามเดินตามไปแต่โดยดี

เมื่อออกมาจากงานที่พ้นสายตาทุกคน คนที่ชวนหลิวเฟิ่งลู่มาก็ถอดหน้ากากออกเผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของอีกฝ่ายออกมาคนที่ชวนคือคนที่หลิวเฟิ่งลู่ไมคิดว่าจะเป็นเขานั้นก็คือองค์จักรพรรดิของแคว้นฉินคนปัจจุบันนั้น

"วันนี้ลูกชายของข้าจะเริ่มไม่ให้ความสนใจเหมือนตอนที่มาหาข้าครั้งแรกเลยนะ เกิดอะไรขึ้นกันที่จวนหรือไม่?"องค์จักรพรรดิหงเจินตี้ที่ถอดหน้ากากออกหันมาหาคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของตน

"เรื่องนั้นกระหม่อมเองก็ไม่ทราบเช่นกัน....ว่ารองค์ชายใหญ่ของกระหม่อมเป็นอะไรไป แต่ว่าให้ข้าเดาก็คงเพราะว่าเขากำลังแสดงจุดยืนอยู่กระมั่งพ่ะย่ะค่ะ"หลิวเฟิ่งลู่ตอบไปโดยไม่คาดคิดว่าองค์จักรพรรดิจะมาเรียกตนมาคุยกันเป็นส่วนตัวเช่นนี้

"อย่างนั้นรึ ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารเสียจริงตัดขาดจากคนคนนั้นไม่ได้จริงๆ"องค์จักรพรรดิหงเจินตี้เอามือขึ้นมากุมขมับของตนเองและส่ายหัวไปมา

"คนคนนั้น? ฝ่าบาทกำลังหมายถึงใครรึ?"หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินก็ถามอีกฝ่ายทันที

"เขาเป็นอาจารย์ของหลิ่งเฟยหลงชื่อว่า หลินฉีถิง แต่เมื่อสิบปีก่อน เกิดเรื่องบางอย่างที่ทำข้าให้เข้าใจผิดและเผลอทำให้เขาถูกหลิ่งเฟยหลงฆ่าทิ้ง..."

นี่องค์จักรพรรดิยอมเปิดเผยเรื่องเช่นนี้ให้กับคนอย่างข้าด้วยรึ? รู้สึกว่าในนิยายองค์จักรพรรดิจะแลให้ความสนใจข้าเสียมากกว่าเฉินจิ้นหลิงนะ น่าจะใช่ นั้นจึงเป็นจุดที่ทำให้คนอย่างข้าต้องเจอกับคำว่า นรกเดินดินอย่างไรล่ะ ถึงจะมีองค์จักรพรรดิให้ความสนใจแต่ว่าก็ไม่สามารถดึงเขามาเป็นพวกได้หรอกเพราะอีกฝ่ายนั้น.....รักพระเอกเสียมากกว่าตัวร้ายอีกจึงเป็นเหตุที่ถูกตัวร้ายฆ่าอย่างไรล่ะ...

ถึงจะรู้สึกสงสารอยู่ก็เถอะนะแต่ว่าการรักลูกไม่เท่ากันมันก็จะเป็นเช่นนี้แหละ แต่เดี๋ยวนะ....เหตุใดถึงยอมให้หลิ่งเฟยหลงฆ่าล่ะทั้งๆที่ตัวเองก็มีสายเลือดมังกรเช่นกันกลับปล่อยให้ตัวร้ายฆ่าได้ง่ายๆเช่นนั้นเลยหรือ รู้สึกว่าตอนนั้นจะถูกตัดออกไปด้วยสิจึงไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันแน่แต่พอมาอีกทีตัวร้ายก็เอาดาบแทงหัวใจเสียแล้วหลังจากนั้นพระเอกก็เข้ามาและเกิดการต่อสู้กัน.....

แต่ว่าอดีตของตัวร้ายที่คนเขียนปูมาก็มีแค่บอกว่าเขานั้นพยายามทุกวิถีทางเพื่อเป็นที่ยอมรับของทุกคนแต่กับถูกตีตราว่าเป็นมารปีศาจและถูกแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปก็เท่านั้นไม่เห็นระบุถึงเรื่องที่ตัวเขานั้นมีอาจารย์และฆ่าตายเลยนี่หว่าหรือว่านิยายเรื่องนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่คนอย่างข้ายังไม่รู้นะ

สงสัยข้าต้องสืบหาแล้วสิว่าเมื่อสิบปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และเหตุใดตัวร้ายถึงได้ทำตัวนิสัยแบบนี้และก็เหตุใดถึงอยากได้บัลลังก์ขนาดนั้นถึงในนิยายจะระบุว่าเพื่อรักแต่ว่าต้องทำขนาดนั้นเลยหรือ?

"เช่นนั้นเองรึ....ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าองค์ชายใหญ่เคยมีอาจารย์และเคยเป็นอะไรแบบนั้นมาก่อน"หลิวเฟิ่งลู่เก็บความคิดในหัวเอาไว้และแกล้งสนทนากับคนตรงหน้าต่อไป

"เจ้าไม่เคยได้ยินก็ไม่แปลก เพราะเรื่องนี้คนที่รู้ก็มีแค่ตัวข้าและก็เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้เรื่องเกี่ยวกับอดีตเพราะวันนั้นเป็นข้าที่เป็นต้นเหตุที่มำให้เขาตาย..."

"แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงเอาเรื่องนี้มาบอกกับคนอย่างข้าล่ะ?"หลิวเฟิ่งลู่อดสงสัยไม่ได้

องค์จักรพรรดิหันหน้ามามองคนตรงหน้าก็จะยกนยิ้มและกล่าว "เพราะเจ้าน่าจะเป็นคนเดียวที่จะสามารถหยุดเขาได้อย่างไรล่ะ....หลิวเฟิ่งลู่"

"ฝ่าบาท! ข้าไม่ได้.."

"เรื่องแซ่หลิวนั้นข้ารู้มาตั้งนานแล้วว่าเจ้าไม่ใช่คนแซ่เกาแต่กระนั้นข้าก็ไม่ได้เอาเรื่องนั้นมาใส่ความหรอก สิ่งที่ข้าต้องการก็คือตัวเจ้าเท่านั้นที่ข้าต้องการ...."องค์จักรพรรดิหงเจินตี้เห็นอีกฝ่ายเริ่มกระวนกระวายก็พูดแก้ให้ฟัง

"เหตุใดฝ่าบาททรงคิดว่าเป็นข้าล่ะที่สามารถหยุดเขาได้?....."

"เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน....แต่ความรู้สึกมันบอกข้าว่า เจ้าคือคนที่สามารถหยุดได้หยุดความเศร้าในตัวของหลิ่งเฟยหลงลูกชายของข้าได้น่ะ..."

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวออกมาเช่นนี้ความคิดที่บอกว่ารักไม่เท่าเทียบถูกตัดทิ้งออกไปทันที เพราะดูจากแววตาและน้ำเสียงของอีกฝ่ายแล้วดูยังไงก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นรักลูกคนนี้ของตนเช่นกัน

แต่ว่าเพราะอะไรในนิยายถึงทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้รักเลยล่ะ? หรือว่าพอเขาเข้ามาจึงทำให้นิยายเรื่องนี้เปลี่ยนเนื้อหาหรอก็อาจจะใช่นะขนาดตอนเข้าหออีกฝ่ายยังยอมเข้าไปพร้อมกับเขาเลย

ไม่ได้การ ถึงเป็นนี้ขึ้นมามีหวังตัวเอกของเรื่องต้องรู้แน่ๆว่าเขาเองก็เป็นคนจากต่างโลกเช่นกัน...แต่ถึงอย่างไรเป้าหมายก็ยังคงเป็นแบบเดิมก็คือช่วยตัวร้ายของเขาเท่านั้น!

"ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมจะพยายามทำให้องค์ชายใหญ่ของข้าเป็นไปตามที่องค์จักรพรรดิต้องการให้เป็นให้ได้พ่ะย่ะค่ะ"หลิวเฟิ่งลู่โครงคำนับต่ออีกฝ่ายด้วยท่วงท่าสง่างามทันที

องค์จักรพรรดิหงเจินตี้เห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาและเดินไปหาอีกฝ่าย พร้อมกับก้มหน้าพูด"ความหวังของข้าอยู่ที่เจ้าแล้วนะหลิวเฟิ่งลู่"

"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"

"เรียกข้าว่าเสด็จพ่อสิเจ้าเป็นภรรยาลูกชายข้าก็ถือว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ"องค์จักรพรรดิกล่าวกับอีกฝ่าย

"เรื่องนั้นข้ายังไม่ค่อยมั่นใจเสียเท่าไรว่าจะดีหรือไม่ ที่จะกล่าวเช่นต่อฝ่าบาท"หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกเกร็งตัวขึ้นมา

"อือแล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน อยู่ที่นี่ก็ทำตัวตามสบายเลยข้าไม่ว่าอะไรเจ้าหรอกเพราะสำหรับข้าแล้วเจ้าเป็นคนที่น่าเชื่อถือที่สุด...."กล่าวจบองค์จักรพรรดิก็สวมหน้ากากและเดินจากไป

รู้สึกว่าความหวังที่จะชนะอีกฝ่ายเริ่มมีแล้วสิ..

-------------------------------------------------

เลือกตอน
เลือกตอน

อัพเดทถึงตอนที่ 3

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!