Fanfic [ Douluo dalu ii ] เกิดใหม่เป็นตัว...แห่งภาคสอง
บทนำ
ไต้ หัวบิน
ตัวของเรา ก็แค่มนุษย์ธรรมดาๆ ที่ตายแล้วก็ถูกส่งมาเกิดที่ต่างโลกโดยไม่ได้ตั้งตัวอะไรแถมที่ๆเขามาเกิดนั้น..ยังเป็นมังฮวาที่เขาเคยอ่านเพราะเพื่อนป้ายยาอีก
ไต้ หัวบิน
โต้วหลัวต้าลู่แดนโต้วหลัว โลกที่ผู้คนนั้นใช้ชีวิตร่วมกัน พร้อมกับพลังวิเศษลึกลับที่มีนามว่าวิญญานยุทธิ์ แน่นอนว่า ทุกๆคนในโลกใบนี้ล้วนมีพลังนี้หลับไหลอยู่ในกาย และพลังนั้นสามารถพัฒนาขึ้นไปได้เรื่อยๆสุดแล้วแต่จะสามารถฝึกฝนได้
มนุษย์นั้นอาศัยอยู่ร่วมกันกับสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งพลังและความสูงศักดิ์ บ้างก็เป็นเทพอารักษ์ บ้างก็เป็นผู้ทำลาย และบ้างก็เป็นแค่เดรัจฉานทั่วไปเพียงเท่านั้น ชื่อที่เอาไว้เรียกพวกมันก็คือ สัตว์วิญญาน หรือ อสูรวิญญานก็แล้วแต่จะสะดวก
อสูรวิญญานนั้นเกี่ยวข้องกันกับวิญญานยุทธิ์ค่อนข้างจะมากเลยที้ดียว จากที่กล่าวไปข้างต้นนั้น ผู้ใช้วิญญานยุทธิ์หรือจะเรียกกันว่าวิญญาจารย์นั้นสามารถบ่มเพาะฝึกฝนพลังนั่นๆของตนเองได้วิญญาจารย์นั้นมีอยู่9ขั้นและในแต่ละขั้น 10ระดับ และเมื่อมาถึง10นั้นก็คือขีดจำกัดในการฝึกฝนพลังวิญญานในกาย จำเป็นต้องใช้กุญแจในการไขประตูเพื่อที่จะให้ฝึกฝนได้ต่อไป
ซึ่งก็คือวงแหวนวิญญานอันได้มาจากการสังหารอสูรวิญญาน อสูวิญญานแต่ละตัวนั้นจะมีอายุและพลังที่แตกต่างกันออกไป ยิ่งอายุมากพลังก็จะยิ่งมากตามไปด้วย ไล่ตั้งแต่ สิบปี ร้อยปี พันปี หมื่นปี ไปยันแสนปี..แน่นอน ถึงจะไม่มีการค้นพบอะไรมา แต่ว่าในดินแดนแห่งนี้ล้วนจะมี อสูรวิญญานอายุล้านปีอยู่เป็นแน่
อสูรวิญญานที่ตายจะดรอปวงแหวนวิญญานออกมา โดยวงแหวนวิญญานนั้นจะจำแนกออกเป็นตามสี และสีแต่ละสีจะจำแนกอายุของอสูรวิญญานตนนั้นๆ สีขาวสิบปี สีเหลืองร้อยปี สีม่วงพันปี สีดำหมื่นปี สีแดงแสนปี ส่วนสีทองนั้น..คือล้านปี และกุญแจที่กล่าวถึงอย่างวงแหวนวิญญานนั้น ก็จะบรรจุสิ่งที่เรียกว่าทักษะวิญญานเอาไว้ และเมื่อวิญญาจารย์ที่มีพลังวิญญานเต็มขั้นดูดซับก็จะทบายขีดจำกัดการบ่มเพาะไปสู่อีกขั้นได้
จากนั้นวงแหวนวิญญานก็จะมอบทักษะวิญญานให้กับวิญญาจารย์คนนั้นๆ ซึ่งก็แล้วแต่ประเภทของวงแหวนวิญญาน ที่ได้จากอสูรวิญญานตนใด ฟังดูแล้ว เหมือนกับเกมฟาร์มเลเวลยังไงอย่างนั้นเลยแต่พอมาคิดดูดีๆแล้วถ้าให้เทียบ..ในโลกนั้นมีมนุษย์อยู่มากมาย และถ้าเกิดมีมนุษย์อยู่ซักล้านคน แล้วมีหมื่นคนที่บรรลุพลังวิญญาน ก็เท่ากับว่าต้องมีอสูรวิญญานตายอย่างน้อยหมื่นตัว
ไต้ หัวบิน
แดนคนเถื่อนชิบหายเลยเปรตเอ้ยแต่ก็ดีที่เรามันไม่ได้ไปเกิดในเทพเจ้าหมัดดาวเหนือ
ดวงตาสีฟ้าครามของผู้ที่มีนัยตาสองชั้นนั้นจับจ้องขึ้นไปบนท้องนภา เรือนผมสีบลอนที่ยาวลงมาจนปิดหูนั้นพิ้วไหวตามสายลม ร่างของเด็กน้อยวัยอายุราวๆ6ขวบเห็นจะได้นั้น กำลังนอนอยู่พิงโคนต้นไม้อยู่ภายใต้ร่มเงาของพฤกษาใหญ่ ที่มีสายลมเอื่อยๆพัดมาเป็นครั้งเป็นคราว เพื่อสร้างความเย็นสบายให้แก่สรรพชีวิตน้อยใหญ่
ชื่อของเขาคือไต้หัวบิน เป็นบุตรชายคนรองของตระกูลพยัคขาว(รึเปล่าวะ?) และเขา..ก็คือคนที่มาเกิดใหม่จากที่เรานั้นได้กล่าวไปข้างต้น ใช่ คนที่มาเกิดใหม่นั่นได้เกิดใหม่เป็นไต้หัวบินแห่งตระกูลพยัคขาว โคตรตัวอัปปรีย์จรรไรที่มีวีรกรรมสุดฉาวโฉดชั่ว ที่ทำต่อตัวละครเอกของเรื่องในภาคสองอย่าง-หัว อวี่ห่าว-เอาไว้นั่นแหละ
ไต้ หัวบิน
"หาว~อากาศดีชมัดเลย"
เสียงหาวหวอดๆนั้นได้ดังขึ้นมาจากร่างของนายน้อยไต้คนรองแห่งตระกูลพยัคขาวอย่างที่ว่าวันนี้นั้นเป็นวันที่อากาศดีจริงๆร่างบางของเด็กน้อยนั้น นอนพิงอย่างสบายใจอยู่ที่โคนต้นไม้..
ไต้ หัวบิน
ดีจริงๆ ที่ได้นอนตากลมแบบไม่มีคนเซ้าซี้มากวนใจล่ะน้า~
นายน้อยแห่งพยัคขาวไต้หัวบินนั้นได้คิดขึ้นมาอย่างเพลิดเพลินจิตใจ พลางจ้องมองไปยังท้องฟ้ากว้างใกลที่หมู่เมฆามากมายนั้นเลื่อนผ่านไปตามสายลมที่พัดพา
ในปากนั้นคาบใบหญ้าเล็กๆเอาไว้ ในใจของเขานั้นได้ฮำเพลงอย่างสบายใจถึงวันนี้นั้น เป็นวันดีๆที่อากาศนั้นแจ่มใส ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป เมฆก็มีแต่ไม่มากนักแถมสายลมก็พัดเอื่อยแทบตลอดทั้งวันแดดก็ไม่แรงมากนัก แถมเขาที่มานอนอยู่ใต้ต้นไม้แบบนี้นั้น ก็ทำให้รู้สึกหายใจปรอดโปร่งไปทั่วท้องจริงๆ
ในโลกก่อนเขาเขา คงจะหาอากาศบริสุทธิ์แบบนี้ไม่ได้แน่หรือถ้าจะหาได้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะได้ไปเจอ เพราะราคาที่ต้องจ่าย เพื่อที่จะได้ไปคงจะสูงเอาการเลยล่ะนะแล้วสำหรับเขาที่ต้องใช้เวลาแทบจะทั้งวันหรือทั้งเดือนในการทำงานโดยไม่ได้หยุดพัก ก็แล้วไปใหญ่เพราะไม่ค่อยมีเวลาได้ไป
ไต้ ฮุ่ยเฉิง
"ท่านพี่! ทั้งๆที่ท่านควรจะมาฝึก! เหตุใดท่านถึงได้มามัวแต่ทำตัวเหลวแหลกนั่งชมนกชมไม้อยู่แบบนี้!"
จะว่าไปแล้วโลกใบนี้ก็แปลกไปเหมือนกัน..เพราะตัวตนที่ได้เพิ่มขึ้นมา โลกจึงสร้างอีกคนนึงเพื่อมารับหน้าที่แทนอีกคนหนึ่ง หากจะพูดว่าไต้หัวบินก่อนหน้านี้กับตอนนี้ไม่ใช่คนเลวระยำแล้วล่ะก็..เด็กคนนี้อาจจะเป็น..เลวระยำv2
เด็กชายนั้นหาได้เกิดมาโดยตัวคนเดียวหากแต่ว่าแฝดชายของไต้หัวบินหรือก็คือตัวของเขาอย่าง -ไต้ฮุ่ยเฉิง-
เป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว หยิ่งทนงในศักศรี แล้วก็มั่นหน้าจนเกินเหตุในศักดิ์และฝีมือขงตนเองที่ว่าตัวเองคือนายน้อยของตระกูลพยัคขาวแล้วจะเก่งเจ๋งที่สุด ถึงจะยังไม่ออกลายนิสัยแบบนั้นก็ถือว่าลอกตัวของไต้หัวบินดั้งเดิมมาเป๊ะๆ
ไต้ ฮุ่ยเฉิง
"พวกเราคือพยัคขาวนะ! ไม่ควรจะทำให้สายเลือดเสื่อมเสียแบบนี้!"
เป็นอย่างที่พูดมันถูกต้อง ตัวของไต้หัวบินนั้นค่อนข้างเหลวแหลก และขี้เกียจตัวเป็นขน
แต่ก็ดี ที่ไม่ขนาดที่ว่าละเลยการฝึก ในด้านกำลังและการต่อสู้ แต่ยังไงก็ตามตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาที่ทั้งสองต้องไปปลุกวิญญานยุทธิ์ ตอนอายุ6ขวบ
แต่ระยะเวลาเองก็ใกล้เข้ามาทุกที ทุกวันที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขค่อยๆผ่านไป..เวลาผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหนกันนะ คงใกล้ขึ้นเรื่องๆแล้วล่ะ.
ไต้ หัวบิน
"หืม..มีอะไร ฮุ่ยเฉิงนี่เองแฮะ มาหาพี่เหรอเนี่ย?"
เสียงสบายๆเป็นกันเองของหัวบินนั้นได้เอ่ยออกมา พลางนำมือข้างขวามาหยิบใบหญ้าออกจากปากของตนเองและมองไปยังแฝดผู้น้องของตนเอง พลางหันส่งยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนที่จะหลับตาแล้วก็พิงต้นไม้รับลมอ่อนๆต่อไป
ไต้ ฮุ่ยเฉิง
"ไม่ต้องมามีอะไรเลยท่านพี่! ทั้งๆที่ท่านคือคนของตระกูลพยัคขาว! แต่ท่านกลับละเลยการฝึกฝนและทำตัวเหลวแหลกไปวันๆเนี่ยนะ!"
ไต้ ฮุ่ยเฉิง
"ข้ากับท่านเป็นคนของพยัคพวกเราควรจะฝึกฝนเพื่อให้ตระกูลของพวกเราได้ยิ่งใหญ่สิ แต่ท่านกลับ!"
เสียงเชิงไม่พึงพอใจอย่างยิ่งของแฝดผู้น้องที่ดูมีนิสัยเข้มงวดจากชาติตระกูลและสายเลือดกล่าวขึ้นมาสายตาปนอารมณ์ขุ่นเคืองภายในใจมองมาด้วยความจริงจัง สิ่งที่ถูกปลูกฝังมาคนละแบบนั้นทำให้แฝดทั้งสอง มีลักษณะแตกต่างกันสุดขั้ว...
นั่นก็คือจริงที่ว่าตัวของเขานั้นคือไต้หัวบินแห่งตระกูลขุนนางพยัคขาว และจำเป็นที่จะต้องแข็งแกร่ง มีชื่อเสียง มีเงินทองเพื่อเป็นที่น่าเชิดหน้าชูตาให้แก่ตระกูลของตนเอง เพราะเป็นเช่นนั้นจึงต้องฝึกฝนเอาไว้ซะตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อไม่ให้ขายหน้าและเสียใจที่อ่อนแอในภายหลัง..หากน้องของเขาจะโกรธแบบนั้นก็ถือว่าถูกต้องแล้ว..
ถึงยังปลุกพลังวิญญานไม่ได้อย่างน้อยก็ควรจะรู้เรื่องเลข เรื่องประวัติศาสตร์หรือไม่ก็เรื่องการต่อสู้และการใช้อาวุท สติปัญญาและพละกำลังเองก็เป็นเรื่องสำคัญนี่นะ..แต่การที่สายนั้นตึงเกินไป นั่นก็ไม่ใช่ทางของเขาเลยซักนิด
อย่างที่ใครบางคนเคยบันทึกเอาไว้ในโลกเก่าของเขาเอาไว้ว่าสายพิณที่หย่อนเกินไปเสียงที่บรรเลงออกมาจะไม่ไพเราะส่วนสายพิณที่ตึงมากเกินไป ถึงจะไพเราะ และสำคัญที่สุดสายพิณที่ไม่หย่อนยานหรือตรึงเกินไปนั้นเมื่อบรรเลงออกมาจะถือได้ว่าไพเราะมากที่สุด เสมือนชีวิตของคนเรา ที่ควรจะอยู่ในความเป็นกลางไม่สุดโต่งจนเกินไป..ถือว่าเป็น สิ่งที่ดูสวยหรูแต่ก็ทำให้มีความสุขได้ในชีวิตแบบนี้
ไต้ หัวบิน
"อีกอย่างหักโหมมากเกินไป มันก็ไม่ดีกับตัวเจ้านะ~"
เสียงเอื่อยลากยาวกล่าวออกมาจากแฝดผู้พี่ของตนเองอย่างไต้หัวบินในขณะที่กำลังหลับตาอยู่ พร้อมๆกับมือซ้ายที่ยกขึ้นปิดปากที่อ้าขึ้นพร้อมๆกับเสียงหาวหวอดๆที่ดังออกมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำให้แฝดผู้น้องนั้นยิ่งมีอารมณ์ที่รุ่มร้อนมากเสียกว่าเดิม
ไต้ ฮุ่ยเฉิง
"ชิ! ทั้งๆที่ท่านอ่อนประสบการณ์มากกว่าข้าแล้วไม่สู้ใครเลยแต่ไม่สนฝึกเลยเนี่ยนะ!"
เสียงเดาะลิ้นได้ดังขึ้นมาจากแฝดผู้น้องของตนเองอย่างฮุ่ยเฉิงที่ในตอนนี้นั้นจะทั้งกำหมัดและทั้งกัดฟันให้กับการทำตัวอันเหลวแหลกของพี่ชายตนเอง ที่วันๆเอาแต่นอนกินลมชมวิว ไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์แม้แต่น้อย การกระทำเหล่านั้นของแฝดผู้น้องราวกับกำลังจะบอกว่าความอดทนใกล้จะถึงขีดสุด
ก่อนจะเดินจากไปด้วยแววตาที่ครุกกรุ่นด้วยอารมณ์ขุ่นมัวพูดอะไรไปพี่ของตนก็คงจะไม่ฟังขอเอาเวลาที่มีไปขัดเกลาตนเองดีกว่า ในตอนนั้นเปลือกตาที่ปิดอยู่นั้นเปิดขึ้นมาข้างนึงและเหลียวไปมองแผ่นหลังของผู้เป็นแฝดน้อง ก่อนที่จะยกยิ้มขึ้นมาอีกหนราวกับมีอะไรอยู่ในใจ
ไต้ หัวบิน
เจ้าน้องชายเอ้ย การที่เขาไม่สนใจไปซัดกับเจ้าพวกเด็กในวัยเดียวกันที่ทำตัวล่อตีนแล้วก็ยียวนกวนประสาทเขาก็ไม่ได้แปลว่าเขาน่ะอ่อนแอแล้วก็ไม่สู้คนซะหน่อยเพราะว่าเขาน่ะ
นายน้อยพยัคขาวคิดขึ้นมาในใจ ทันใดนั้นดวงตาสีฟ้าครามนั้นจ้องมองไปยังหน้าต่างสีฟ้าใส สิ่งนี้มีเพียงแค่เขาที่มองเห็นเพียงคนเดียว มีเพียงเขาคนเดียวที่ครอบครองมัน แล้วก็ไม่น่าจะมีคนอยากจะมีมันแล้วด้วย...และคำที่บอกว่า เพราะว่าเขาน่ะ..อะไรนั่นก็คือนี่แหละ
ระบบ
[-ล็อคอินรายวันเสร็จสิ้น-]
[ แต้มสะสม 1050แต้ม ]
[- ยินดีต้อนรับกลับสู่ ระบบ -ไลฟ์โค้ช-]
[ ภารกิจรายวัน ]
[ โค้ชใครก็ได้2คน รางวัล35แต้มต่อคน ]
[-สะสม28คน อีก2คนจะปลดล็อคฟีเจอร์ ร้านค้า-]
[ -ล็อคอินรายวัน 20แต้ม+ผู้ติดตาม 10คน คนละ5แต้ม ]
ไต้ หัวบิน
ระบบนี่แหละ สุดจะคิดได้ดีจริงๆ! สุดยอดจริงๆเลย!! ระบบไลฟ์โค้ช!เขาน่ะโคตรจะยุ่งกับการหาคนมาโค้ชนี่ไงล่ะถึงไม่มีเวลามาไปสนใจกับเรื่องชกต่อยไง! เขาต้องเก็บแต้มเอาไว้แล้วก็เผื่อไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็นไงล่ะโว้ย!
เสียงถอนหายใจหยาวๆหนนึงนั้นได้ดังออกมาจากหัวบินในขณะนี้ ก่อนที่จะมองไปยังภารกิจที่ระบบจ้าวปัญหาที่มอบให้แก่ตนเอง อย่างน้อยๆนี่ก็ขึ้นชื่อว่าระบบ สิ่งที่ตัวละครในนิยายแนวแฟนตาซีเขาใช้กันเป็นประจำ.. ก็ถือว่าคงจะช่วยเขาได้ในอณาคต ที่ใกล้ หรือบางทีอาจจะใกล สำหรับการเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเอง
พลัน ดวงตาสีฟ้าครามที่มีนัยตาสองชั้นนั้นก็จับจ้องไปเห็นยามคนนึง ที่กำลังเดินในทางเดินปกติ แต่ว่าท่าเดินนั้นดูจะมีอะไรที่กำลังกวนใจอยู่เสียด้วย หัวบินนั้นลอบยิ้มมุมปากขึ้นมา..ก่อนที่จะคิดขึ้นมาในใจ
ไต้ หัวบิน
เจอแล้วเป้าหมายขอโทษแล้วกันนะลุง แต่ถ้านายได้ฉันโค้ชล่ะก็ คงจะโล่งใจด้วยส่วนฉันก็ได้แต้ม ถือว่าวินๆกันทั้งคู่
ไม่รีรอช้า เขานั้นได้ลุกเดินไปหายามคนนั้นทันที
Comments