บทที่สอง ผู้ล่ากับเหยื่อ [1]

วันนี้เป็นอีกวันที่ดูปกติ นันทกายังไปโรงเรียนพร้อมนาคด้วยการขึ้นรถเมล์

และแน่นอนว่านาคต้องโกหกนันทกาอีกว่า รถของพ่อนอนตายอยู่ในอู่ซ่อมรถ ทั้งที่ความจริงมันอยู่ในโกดังรถของนายหน้าค้ารถไปแล้ว

อากาศแจ่มใส ชีวิตปกติ และนาคก็ยังถูกคนอื่นแกล้งเหมือนปกติ

ออดบอกเวลาพักเที่ยงดังขึ้น เวลานี้นันทกาชอบมาชวนน้องสาวไปกินข้าวเพราะรู้ว่านาคไม่ค่อยมีเพื่อนและมีเธอเป็นคนรู้ใจเพียงคนเดียว หรืออีกแง่หนึ่ง... ความจริงตัวนันทกาเองนั่นแหละที่ติดนาคแจ

แต่วันนี้ไม่มีเค้าว่าจะเห็นตัวพี่สาวคนสวยแม้เงา

นาคไปตามถึงห้องเรียนและได้รับคำตอบเพียงว่า 'นันทกาขอลากลับก่อนไปตั้งแต่ตอนคาบเรียนที่สอง'

และแน่นอนว่านิสัยอย่างน่าชักได้กลิ่นทะแม่งๆ แล้ว แต่เธอก็พยายามระงับความช่างสังสัยไว้เพราะไม่อยากคิดในแง่ลบ แถมเรื่องเจ้ารถลีมูซีนสีดำคันนั้นก็ยังไม่ยอมหลุดออกจากหัวเธออีก

ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าไอ้สองเรื่องนี้มันพัวพันกันแปลกๆ

อาจเป็นเพราะเจ้ารถคันหรูนั่นไม่อยู่ที่หน้าโรงเรียนวันนี้ พร้อมกับพี่นันทกาทำตัวแปลกๆพอดีละมั้ง

"เอาน่านาค มันก็แค่บังเอิญ แค่บังเอิญ" เด็กสาวร่างท้วมเริ่มสะกดจิตตัวเองอย่างเคยเมื่อรู้ว่าเธอชักคิดในแง่ลบเกินลิมิต ในขณะที่มือสองข้างถือของกินอย่างไม่สนสายตาโดยรอบ โดยเฉพาะเหล่าสาวสวยหุ่นเพรียวลมทั้งหลายที่กำลังคำนวณน้ำหนักแคลอรี่ในอาหารที่เธอถืออยู่

นาคมองท้องฟ้าที่กลายเป็นสีส้มบ่งบอกถึงเวลาเย็น มือข้างที่เพิ่งยัดแฮมเบอร์เกอร์เข้าปากจนหมดล้วงหาใบปลิวที่ประกาศรับพนักงานเสิร์ฟ เธอเริ่มหางานอย่างที่เคยบอกจริงๆ ในกระเป๋าของเธอมีทั้งใบปลิวและหนังสือพิมพ์หน้าประกาศรับสมัครพนักงานอยู่หลายแผ่นจนกระเป๋าตุง

" พนักงานเสิร์ฟอาหาร...ไม่ๆๆ ร้านนี้หรู พนักงานคงไม่พ้นต้องสวยหรูเหมือนกัน...ผ่าน" นักวิเคราะห์ใบปลิวในมือทีละแผนขณะเดินกลับบ้าน และโยนมันทิ้งตามทางเหมือนโปรยเศษขนมปัง หากแผ่นไหนไม่ผ่านการพิจารณาของเธอ

เด็กสาวร่างท้วมสวมชุดนักเรียนเดินไปวิจารณ์ใบปลิวในมือจนหมด แต่ก็ไม่มีแผ่นไหนที่ถูกใจเธอ แล้วสุดท้ายก็บ่นอีกเช่นเดิมว่า "งานตำแหน่งสูงๆ ในประเทศนี้รับแต่คนหน้าตาดีหรือไง แล้วจะเรียนสูงๆ ไปทำบ้าอะไรวะ" บ่นจบ พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีเธอก็มาถึงบ้านแล้ว

นาคเลิกคิ้วขึ้นกับความเงียบของบ้าน เธอนึกว่าจะได้เห็นไฟในบ้านเปิดซะอีกเพราะนันทกากลับมาตั้งแต่ตอนสาย แต่ตอนนี้เงียบ...เงียบจนน่าสงสัย

เด็กสาวร่างท้วมเดินเข้ามาใกล้ตัวบ้านช้าๆ มองซ้ายมองขวาระแวงระวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อถึงประตูบ้านเธอก็ค่อยๆเปิดมันออก...และเป็นไปตามคาด

บ้านไม่ได้ล็อก!

เพียงเท่านั้นเด็กสาวก็ก้าวถอยหลังทันใด ทว่าวินาทีนั้นประตูบ้านก็ถูกกระชากเปิดออก ตามด้วยความรู้สึกถึงการดึงคอเสื้อจากข้างหลังอย่างแรง

โครม!

ร่างของเด็กสาวโดนกระชากลงมากระแทกนอนคว่ำหน้ากับพื้นห้องหน้าประตูบ้าน ก่อนที่แผ่นหลังจะรู้สึกถึงแรงกดทับด้วยเข่า มือสองข้างโดนรวบไปไขว้กันจนเธอรู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่ไหล่ขึ้นมาถึงหัวเหมือนถูกไฟชอร์ต

สภาพเธอตอนนี้ราวกันเป็นผู้ร้ายที่โดนนายตำรวจจับล็อกอย่างไรอย่างนั้น

เสียงกริ๊กข้างหูจากการที่เจ้าปืน CZ 75 B ถูกเหนี่ยวนกสับ พร้อมกับความเย็นของโลหะจากปากกระบอกปืนที่จ่อขมับของเธอ เรียกความรู้สึกสับสนและตื่นตระหนกถาโถมใส่ ยามนี้เธอโดนล็อคตัวจนดิ้นไม่ได้ และไม่มีเสียงจะร้องเพราะมันกลืนหายไปกับความตกใจในวินาทีแรกที่โดนกระชากตัวแล้ว

"Where is Nanthaka Ritthiwong and who is she?[นันทกา ฤทธิวงษ์ อยู่ไหน แล้วเธอเป็นใคร]" คนบนร่างของเธอถามกร้าวด้วยภาษาอังกฤษอย่างหัวเสีย พร้อมใช้ปืนกดศีรษะเธอให้แนบพื้นเย็นของบ้านมากขึ้น

นาคพยายามหันมองผู้รุกรานเมื่อสติเริ่มกลับมา แต่เธอก็ต้องกัดฟันกรอดเมื่อเจ้าคนที่กดร่างเธอไว้ใช้มือใหญ่ๆ ดันศีรษะของเธอกลับลงไปนาบกับพื้นบ้านอีกครั้งอย่างไม่ปราณี

แต่กระนั้น เด็กสาวก็พยายามเหลือบมองร่องนิ้วนั้นอย่างสุดความสามารถและเห็นว่าคนที่ถือปืนจ่อศีรษะเธออยู่กำลังเหนี่ยวไก หัวใจเธอตกวูบ พร้อมสมองสั่งการให้เธอหาวิธีเอาตัวรอดอย่างเร่งด่วนก่อนปืนจะลั่นขึ้น

"I don't know about that, but Nanthaka Ritthiwong, that's my sister! [เรื่องนั้นฉันไม่รู้แต่ นันทกา ฤทธิวงษ์ นั่นพี่สาวชั้น!]" หน้าตะโกนบอกเป็นภาษาอังกฤษอย่างร้อนรน เมื่อรู้สึกถึงหายนะที่อยู่ชิดศีรษะ

และมันได้ผล เพราะมือที่กำลังเหนียวไกหยุดการกระทำนั้นทันที ก่อนค่อยๆยกปืนออกจากศีรษะของนาค ซึ่งยามนี้หอบจนตัวโยนความกลัว ถ้าว่าเขายังไม่ยอมเลิกกดร่างของเธอให้จมลงกับพื้น

กว่าที่เขาจะยอมลุกจากตัวเด็กสาว ข้อมือสองข้างที่ไพล่หลังอยู่ก็ถูกเชือกมัดไว้จนแน่นแล้ว เธอถูกดึงตัวขึ้นมาจากพื้น และต้องมายืนเข่าอ่อนต่อ เพราะแรงที่กดร่างของเธอไว้หนักซะจนขาเธอชาไปหมด ดีนะที่เธอชินกับการแบกของหนักไม่อย่างนั้นคงหลายนาทีกว่าจะกลับมายืนได้อีก

นาคถูกหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับคนที่ประทุษร้ายเธอ แรกๆสมองของเธอยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก แต่สติก็ค่อยๆกลับมาจนครบถ้วนทีละน้อย เตรียมรับมฝกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีเหมือนทุกครั้ง

หน้าเริ่มวิเคราะห์ร่างสูงโปร่งของชายชาวตะวันออกสวมชุดสูทสีดำที่ยังจ่อปืนมาที่เธออย่างไม่ได้วางใจ สีผิวขาวจัดทำให้เด็กสาวเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นคนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ใบหน้าเรียวคมดูน่าเกรงขามมีแว่นตาสีดำสวมปิดบังดวงตาเรียวที่หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย บนปกเสื้อสูทมีเข็มกลัดเล็กๆสีเงินวาวที่ประทับตราบางอย่างเหมือนที่เธอเคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้ เพลงไปสักพักถึงรู้ว่าเป็นตราแบบเดียวกับรถลีมูซีนคันสีดำเมื่อวาน นาคหรี่ตามองชายตรงหน้าอยู่อีกสักพัก จึงเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ "Are you a creditor Yuthapong Ritthiwong?[เป็นเจ้าหนี้ ยุทธพงษ์ ฤทธิวงษ์ ใช่ไหม]" ท่าทางของเด็กสาวตรงหน้าที่หายหวาดกลัวอย่างรวดเร็วทำให้ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจไม่น้อยและไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ก่อนว่าเสียงเย็นเยียบ "She doesn't have the right to ask, just answer where is Nanthaka Ritthiwong?[เธอไม่มีสิทธิ์ถามแค่ตอบว่า นันทกา ฤทธิวงษ์ อยู่ที่ไหน]"

"I do not know[ฉันไม่รู้]" นาคยังงงงานเล็กน้อยกับสถานการณ์

เธอรู้แค่ว่าเจ้าหนี้เพราะเธอกำลังตามหาตัวพี่สาวเธออยู่ แต่จะตามหาไปทำไม ทำไมไม่ไปทวงเงินกับพ่อเธอล่ะ แถมพ่อเธอกับพี่สาวเธอหายไปไหนก็ไม่รู้ หน้าหยุดคิดเพียงเท่านั้นก่อนจะเริ่มปะติดปะต่อเรื่องใหม่

นันทกาหายไปตั้งแต่ตอนสายๆ อ้างว่าไม่สบายขอกลับก่อน และเมื่อวานพ่อสารภาพว่าติดหนี้ก้อนใหญ่ พ่อกลับมาบ้านก็ไม่มีใครอยู่ เจ้านี้มาตามหาตัวพี่นัน แถมเมื่อวานพ่อพูดกับเธอแปลกๆ ว่า 'จงเป็นเหยื่อที่เหนือกว่าผู้ล่า...นาค ขอบคุณพรสวรรค์ของตัวเองแล้วก็ใช้ให้เต็มที่ด้วย'

"เวรเอ๊ย!" นาคสบถลั่นอย่างโมโหเมื่อประดิดปะต่อเรื่องจบ ทำเอาคนที่กำลังถือปืนเล็งเธอถึงกับตกใจเล็กน้อย เพราะอยู่ดีๆเจ้าหล่อนก็ตะโกนออกมา แถมเป็นภาษาไทยที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง

เด็กสาวกลับมาสนใจเขาอีกครั้งด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว แถมเสียงกร้าวนิดๆด้วยภาษาอังกฤษ

"Did my father take my sister to scrub the flowers?[พ่อฉันเอาพี่สาวฉันไปขัดดอกรึไง]"

clever...[ฉลาด...]

เป็นคำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวของชายหนุ่ม เพราะเท่าที่เห็นในตอนแรก ยัยเด็กตรวน่าดูถ้าจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ใช้เวลาไม่นานเก็บเศษข้อมูลรวมตัวก็เดาเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ แถมปฏิกิริยาของเจ้าหล่อนค่อนข้างไว ตอนที่เปิดประตูเข้ามา พอรู้ว่าไม่ได้ล็อคก็ถอยหลังออกไปทันที บอกได้ว่าเธอเป็นคนที่มีเซ้นส์ที่ดีอีกอย่างท่าทางของเธอตอนนี้ดูไม่ได้หวาดกลัวอีกแล้ว

เด็กผู้หญิงตรงหน้าคงมีเนื้อในอะไรดีๆอยู่บ้าง...

"Mr. Yuthaphong Ritthiwong owes my boss Mr. Lin. Who is a Hong Kong mafia, he signed a contract to pay off the debt as a daughter named Nanthaka Ritthiwong, which I have to take her today.[ นาย ยุทธพงษ์ ฤทธิวงษ์ ติดหนี้คุณหลินเจ้านายของฉัน ที่เป็นมาเฟียฮ่องกงเขาเซ็นสัญญาใช้หนี้เป็นลูกสาวชื่อ นันทกา ฤทธิวงษ์ ซึ่งฉันต้องรับตัวเธอไปวันนี้]" เขาบอกด้วยท่าทางเย็นชาแข็งกระด้างอย่างน่าหวาดหวั่น โดยไม่ลดมือที่ถือปืนลงแม้แต่น้อย

"Well, then my father would have moved in time to flee with his beautiful daughter to scrub the flowers and leave the unrelated daughter behind instead.[เออ...แล้วพ่อฉันก็คงไหวตัวทันหนีไปพร้อมลูกสาวแสนสวยที่เอาไว้ขัดดอกและทิ้งลูกสาวที่ไม่เกี่ยวข้องไว้แทนไง]" นาคยังขบกรามแน่นอย่างโมโหที่โดนพ่อตัวเองหักหลังซะเอง ถึงแม้ครึ่งหนึ่งในใจเธอจะยอมรับว่าพ่อเกริ่นเรื่องนี้ไว้กลายๆ ให้เธอรับผิดชอบ แต่การที่โยนปัญหามาให้ทั้งหมดในขณะที่ตัวเองแจวหนีไปมันก็ไม่น่าให้อภัยอยู่ดี เธอก็เป็นลูกสาวของพ่อคนนึงเหมือนกันนะ... ถึงจะไม่น่ารักก็เถอะ มันทั้งหน้าโมโหทั้งหน้าน้อยใจเลยเว้ย

นาคโมโหอยู่ครู่ก่อนคำว่า 'มาเฟีย' จะมากระตุ้นต่อสมองเธออีกครั้ง เล่นเอาเธอสังหรณ์ถึงลางหายนะอยู่ร่ำไร ระดับมาเฟียไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว

น่ากลับมาสงบสติอารมณ์อีกครั้งก่อนว่าขึ้นใหม่

"So how are you going to take it? Nan is not here anymore. And I don't even know about it. Are you going to shoot me here and end it?[แล้วนายจะเอายังไง พี่นันไม่อยู่ที่นี่แล้ว แล้วชั้นก็ไม่รู้เรื่องด้วย จะยิงฉันทิ้งตรงนี้แล้วก็จบเรื่องเลยใช่มั้ย]" นาคพยักพเยิดไปทางปืนที่เล็งมาที่หน้าเธอ

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง หรี่ตามองท่าทางของเหยื่อที่เขาไม่เคยเจอ โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิงแบบนี้่ ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงปกติคงร้องห่มร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก กลัวจนตัวสั่นเป็นลูกนกไปแล้ว หรือไม่ก็คงพยายามหาทางหนี แต่ท่าทางของเธอดูใจเย็นเกินกว่าจะเป็นผู้ตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย และเป็นคนที่ถูกพ่อตัวเองทิ้ง...

"Look, she's not that scared.[ดูเธอไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่]" ชายหนุ่มว่าถ้าทางสงบนิ่งเช่นเดิม

ในขณะที่น่ากลับเบิกตากว้างจนเกือบถลน "Are you crazy? I'm getting punched by a gun. How can I not be afraid? What part do you think? I'm a normal person love your life But if you want to shoot for death I don't want to be hurt for a long time [จะบ้าหรือไง ฉันโดนปืนเจาะอยู่นะจะไม่กลัวได้ยังไง เอาส่วนไหนคิด ฉันก็เป็นคนปกติ รักชีวิตตัวเอง แต่ถ้าจะยิงขอจุดตาย ฉันไม่อยากเจ็บนาน]" เธอโวยวายยังกับว่าคนตรงหน้าจี้โดนต่อมโมโหของเธอเข้า ปากบอกว่ากลัว แต่ที่แสดงออกมามันตรงกันข้ามชัดๆ

บอกแล้วว่าเธอไม่ชอบถูกมองว่าผิดปกติจากมนุษย์คนอื่น

ขายขุดดำลดปืนลงข้าๆ ก่อนจะล้วงกระเป๋าและหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายถึงใครบางคน เขาพูดกับคู่สายเป็นภาษาจีนกวางตุ้ง ปล่อยให้นาคขมวดคิ้วเงียบหูฟังอย่างสงสัยแม้จะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม เมื่อสนทนากับคู่สายจบ เขาก็เก็บมันเข้ากระเป๋าเช่นเดิมก่อนหันมาที่เด็กสาวร่างท้วมซึ่งยังถูกพันธนาการมือไว้ด้านหลัง

“If so, then I would have to take her to Hong Kong first. But probably not going to replace her sister because of her appearance...[ถ้างั้นอย่างงั้นฉะนคงต้องเอาตัวเธอไปฮ่องกงก่อน แต่คงไม่ได้ไปแทนพี่สาวเธอเพราะว่าด้วยรูปร่างหน้าตาเธอแล้ว...]”เขาหยุดพูดแค่นั้น และเริ่มไล่มองร่างท้วมๆ ของนาคตั้งแต่หัวจดเท้า และก่อนที่เขาจะได้อ้าปากพูดต่อ คนถูกมองด้วยสายตาปรามาสก็ร้องดักคอขึ้นก่อนที่จะได้ยินอะไรที่เป็นมลพิษทางเสียง

“Stop it...stop it my house has a mirror I know myself, okay?[หยุดเลย...หยุด บ้านฉันมีกระจก ฉันรู้ตัวเองดี โอเคมั้ย]”นาครีบพูดรัวเร็วเพื่อหลีกหนีคำพูดแทงใจดำ ก่อนเธอจะถามเขาอีก“So what will you take me in?[แล้วจะเอาฉันไปในฐานะอะไร]”

“hostage[ตัวประกัน]”เขาตอบหน้าตาย

“If so, then I would have to take her to Hong Kong first. But probably not going to replace her sister because of her appearance...[ถ้างั้นอย่างงั้นฉะนคงต้องเอาตัวเธอไปฮ่องกงก่อน แต่คงไม่ได้ไปแทนพี่สาวเธอเพราะว่าด้วยรูปร่างหน้าตาเธอแล้ว...]”เขาหยุดพูดแค่นั้น และเริ่มไล่มองร่างท้วมๆ ของนาคตั้งแต่หัวจดเท้า และก่อนที่เขาจะได้อ้าปากพูดต่อ คนถูกมองด้วยสายตาปรามาสก็ร้องดักคอขึ้นก่อนที่จะได้ยินอะไรที่เป็นมลพิษทางเสียง

“Stop it...stop it my house has a mirror I know myself, okay?[หยุดเลย...หยุด บ้านฉันมีกระจก ฉันรู้ตัวเองดี โอเคมั้ย]”นาครีบพูดรัวเร็วเพื่อหลีกหนีคำพูดแทงใจดำ ก่อนเธอจะถามเขาอีก“So what will you take me in?[แล้วจะเอาฉันไปในฐานะอะไร]”

“hostage[ตัวประกัน]”เขาตอบหน้าตาย

นาคระบายลมหายใจ มองอีกฝ่ายด้วยสีน่าเบื่อหน่าย “No smart person has left an important hostage to the villain. And I thought my father was smart too. Otherwise, you would have already acquired my elder sister.[ไม่มีคนฉลาดที่ไหนทิ้งตัวประกันสำคัญไว้ให้ผู้ร้ายหรอกนะ แล้วฉันก็คิดว่าพ่อฉันฉลาดด้วย ไม่อย่างนั้นนายคงได้ตัวพี่นันไปแล้ว]” นาคหยุดพูดเพียงเท่านั้น เพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังพูดอวดดีกับอีกฝ่าย ก่อนระบายลมหายใจอีกครั้งอย่างเหนื่อยใจ พร้อมกับสายหน้าน้อยๆ บังคับไม่ให้ตัวเองพูดอะไรร้ายกาจออกไป เธอไม่ได้อยากอวดเก่งหรือกวนอารมณ์คนที่มีปืนอยู่ในมือหรอกนะ

นาคว่าขึ้นใหม่ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “...You know, the truth is, I don't want to be ironic to you. Or your boss? but as i said What's it worth that you take me back? I didn't get the results, so I had to find something to recover my face or something.[...รู้ไหมความจริงฉันไม่ได้อยากแดกดันนาย หรือเจ้านายของนายหรอกนะ แต่อย่างที่ฉันบอก มันจะมีค่าอะไรที่นายจะเอาตัวฉันกลับไปด้วย ไม่ได้ผลงานก็เลยต้องหาอะไรไปกู้หน้าหน่อยหรือยังไง]”

“then the debtor [งั้นก็ลูกหนี้]” เขาตัดบท เล่นเอาเด็กสาวอ้าปากค้างเพราะหาคำเถียงไม่ได้แล้ว ลูกหนี้ดูเป็นอะไรที่เหมาะสมกับเธอที่สุดในตอนนี้ พ่อติดหนี้ลูกก็โดนด้วยเล่นเอาซะเธออยากเปลี่ยนนามสกุลซะเดี๋ยวนี้

ชายหนุ่มชักรู้สึกว่าเด็กสาวตรงหน้ามีอะไรที่น่าสนใจ จากการพูดจาของเธอแสดงถึงความมีไหวพริบ แถมใช้ภาษาอังกฤษคล่องทีเดียว นิสัยก็ประหลาดทีแรกเขาว่าปาวๆ แต่สุดท้ายก็วนมาขอโทษเรื่องที่ตัวเองว่าซะงั้น เดาไม่ถูกว่าจะเอายังไงกันแน่ อีกอย่างพ่อของเด็กสาวดันทิ้งเธอไว้ให้แทนพี่สาวของเธอตามสัญญา...มันน่าสงสัยว่าทำไม

ชักมีลางสังหรณ์บางอย่างว่าเด็กสาวที่ดูธรรมดาตรงหน้า อาจจะมีอะไรที่ไม่ธรรมดาอย่างที่เขาเห็น

เอี๊ยด...

รถลีมูซีนสีดำเเล่นมาจอดที่หน้าบ้านโทรมๆ สไตล์ยุโรปตามที่ชายหนุ่มเพิ่งโทร. สั่งให้คนของตนเองขับมารับ

นาคลังเลที่จะตามชายตรงหน้าขึ้นรถคันหรูไป แต่สุดท้ายก็ต้องเดินตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ทั้งที่มือสองข้างยังโดนมัดอยู่ แต่ก่อนที่จะได้เหยียบขึ้นรถคันหรูเสียงห้าวๆ ของชายที่จับเธอมัดก็ดังตามหลัง

“what's your name [เธอชื่ออะไร]”

นาคหันมาเลิกคิ้วกับคำถามที่อยู่เหนือความคาดหมาย เพราะเธอคิดว่าเขาคงไม่คิดสนใจเด็กผู้หญิงหน้าตาจืดๆ ไม่เอาอ่าว แถมเป็นลูกหนี้อย่างเธอแน่ๆ

“Naga...Ruthai Nak A girl who was abandoned from the Rittiwong family. [นาค...ฤทัยนาค เด็กสาวที่ถูกทิ้งจากตระกูลฤทธิวงษ์]” เป็นคำติดประชดประชันที่ค่อนข้างกัดเจ็บ

“So... Ruthainak You should prepare your mind to return to Young Fiat a bit. Because it is a industry that is not kind to girls. It's all about business and business. [งั้น...ฤทัยนาค เธอควรเตรียมใจกลับมาเฟียหนุ่มสักหน่อย เพราะมันเป็นวงการที่ไม่ได้ใจดีกับเด็กผู้หญิง ทุกอย่างสนแค่เรื่องธุรกิจ และธุรกิจ]” เขาทิ้งท้ายอย่างเย็นชาราวกับจะข่มขวัญ

ธุรกิจเหรอ คิดว่าฉันหมกตัวมาตลอดชีวิตกับอะไร ไอ้ธุรกิจเฮงซวยของพ่อเฮงซวยนี่แหละ

นาคสบถในใจพลางกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายกับคำข่มขู่ของชายร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะสวนกลับด้วยคำพูดที่ทำให้คนข่มขวัญต้องชะงักไป

“First, don't teach me business. Second, I don't care about the kindness of people who put a gun to my temple. And lastly...I'm a girl who's never thought of being kind. [อย่างแรก อย่ามาสั่งสอนฉันเรื่องวงการธุรกิจ อย่างที่สอง ฉันไม่สนความใจดีจากคนที่เอาปืนมาจ่อขมับฉัน และอย่างสุดท้ายนะ...ฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยมีใครคิดจะใจดีด้วยอยู่แล้ว]”

เข้าใจตอบ...

ชายหนุ่มเลิกคิ้วกับตอบเล็กน้อย แต่ในใจนั้นชักอยากให้เจ้าเด็กตรงหน้าไปเจอนายของเขาซึ่งเป็นหนึ่งในมาเฟียที่มีอิทธิพลสูงสุดในแถบเอเชียแล้วเหมือนกัน

อยากรู้ว่าจะยังแน่อยู่รึปล่าว

“What's your name?[นายชื่ออะไรนะ]”คำถามภาษาอังกฤษถูกส่งมาจากเด็กสาวร่างท้วมสวมชุดนักเรียน ที่มีรอยเปื้อนจากการถูกกดกับพื้น มือสองข้างเธอยังคงโดนจับมัดไพล่หลัง จึงได้แตนั่งนิ่งบนเบาะทีี่นั่งในเครื่องบินส่วนตัวที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับเครื่องบิน C-130

 เจ้าของใบหน้าเริ่มบวมขึ้นสีม่วงครึ่งหนึ่งเพราะโดนจับกระแทกพื้นชักสีหน้านิดๆ กับความเงียบขรึมของชายหนุ่มสวมชุดสูทสีดำภูมิฐาน ที่ไม่ยอมตอบคำถามเธอแม้แต่คำเดียว เขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านแฟ้มเอกสารในมือมาตั้งแต่เธอโดนย้ายยานพาหนะจากรถลีมูซีนคันหรู ขึ้นมานั่งหน้าช้ำบนเครื่องบินส่วนตัวที่จอดรอรับอยู่ที่สนามบินซึ่งเช่าพื้นที่ไว้ โดยที่ตัวเครื่องมีตราบริษัทต่างชาติยักษ์ใหญ่ประดับอยู่ซึ่งเธอจำได้ว่าพ่อเธอเคยทำธุรกิจกับบริษัทนี้ เพิ่งรู้นี่แหละว่าเป็นของคนฮ่องกง แถมเป็นมาเฟียอีกต่างหาก

นาคเริ่มมองซ้ายมองขวา หาอะไรที่มันแปลกตามองแก้เบื่อ แต่ไอ้เครื่องบินบ้านี่ที่เธอนั่งมาเป็นชั่วโมงแล้ว อะไรที่เคยเห็นว่ามันสวยในตอนแรก มันก็งั้นๆไปแล้ว อีกอย่างเธอรู้ว่าไอ้ของหรูหรามากมายตั้งแต่รถลีมูซีนยันเครื่องบินส่วนตัวลำนี้มีไว้ต้อนรับนันทกา พี่สาวเธอโดยเฉพาะ ถ้าเกิดพ่อมาเสียเจ้านี่รู้ว่าไฟเอามาให้เธอนั่งแทนสงสัยว่าเขาอาจจะต้องทุกเครื่องบินลำนี้กับรถลีมูซีนนั่นทิ้ง

​​​​​​ตึก

เมื่อหาอะไรแก้เซ็งไม่ได้นาคก็เริ่มโยกตัวกระแทกพนักเก้าอี้เบาๆ เหมือนเด็กเล็กๆ ยามที่พ่อแม่ไม่ได้สนใจ แต่เธอไม่ได้เรียกร้องความสนใจอะไร เพียงติดเป็นนิสัยยามที่เธอไม่มีอะไรทำ

เสียงตึกแรกยังเรียกแค่นัยน์ตาสีดำเดียวคุมให้ตวัดขึ้นมองเพียงครู่ และวกกลับไปสนใจเอกสารในมือต่อ

ตึก

เสียงหลังกระแทกเบาะส่งมาใส่หูเขาอีกรอบ ทำให้มือที่กำลังเปิดแฟ้มอยู่ชะงักไปครู่หนึ่ง

ตึก

คราวนี้เขาถึงกับหยุดค้างร่างกายทั้งหมด เพื่อทำสมาธิกับเสียงกวนประสาทจากเด็กสาวที่นั่งฝั่งตรงข้าม เจ้าหล่อนไม่ได้หันมาเผชิญหน้าเขาเลย แต่กำลังปวดตามองสิ่งรอบตัวไปเรื่อย พร้อมกับกระแทกตัวกับพนักเก้าอี้เบาๆ โดยไม่รู้เลยว่ากำลังทำให้ใครหมดความอดทน

ตึก

ปับ!

เสียง ‘ตึก’ จากนาครอบนี้ทำให้เส้นอารมณ์คนในเครื่องบินลำหรูอีกคนขาดสะบั้น เขาปิดแฟ้มเอกสารในมือ เสียงดังลั่นจนเธอสะดุ้งโหยงหยุดก่อเสียงน่ารำคาญ และหันมามองหน้าเขาตาปริบๆ ทันที เหมือนกับมีคำว่า ‘เกิดอะไรขึ้นเหรอ’

“I'm not asking for attention [ฉันเปล่าเรียกร้องความสนใจนะ]” นาคแก้ตัวทันที

“ she's done [เธอทำไปแล้ว]” คนมาดขรึมว่าเสียงเข้มกับด้วยใบหน้าเรียบเฉย

นาคไหวไหล่ก่อนตอบ “Well, I have ADHD...at least it's a bit, so I can't stay still, and you've been tying up my hands for two hours. Do you know what it feels like when the blood doesn't walk? [ก็ฉันเป็นโรคสมาธิสั้นนิ...อย่างน้อยก็เป็นหน่อยๆ เลยอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยได้ แล้วนายก็มัดมือฉันมาสองชั่วโมงแล้ว รู้หรือเปล่าว่าความรู้สึกยามเลือดไม่เดินมันเป็นยังไงน่ะ]”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และวกไปหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาอ่านอีกครั้งทำที่ไม่สนใจเด็กสาวตรงหน้า แต่เปิดไปได้ไม่กี่หน้าเสียงของเธอก็ดังขึ้นอีก

“You know, even if you're going to read your income and expense account hundreds of times. I can only say No matter what, the portion of the exported product must earn less income. Because during this period, the global currency has strengthened. including the Hong Kong dollar [รู้ไหม ถึงนายจะอ่านบัญชีรายรับรายจ่ายนั้นเป็นร้อยๆรอบ ฉันก็บอกได้แค่ว่า ไม่ว่าอย่างไรสินค้าส่วนที่เป็นสินค้าส่งออกก็ต้องได้รับรายได้น้อยลง เพราะช่วงนี้ค่าเงินทั่วโลกมันแข็งตัวขึ้น รวมถึงดอลลาร์ฮ่องกงด้วย แต่นายจะได้เงินเยอะมากขึ้นจาก สินค้าที่ขายในประเทศมากกว่า เพราะค่าเงินของนายกำลังแข็ง]”

เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยต้องเงยขึ้นสบตาเด็กสาวอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ “How do you know it's an income and expense account? since it's all in Cantonese [รู้ได้ยังไงว่าเป็นบัญชีรายรับรายจ่าย ในเมื่อมันเป็นภาษาจีนกวางตุ้งทั้งหมด]”

นางชะโงกหน้าดูข้อมูลในเอกสารอีกนิด ก่อนตวัดนัยน์ตามองดวงตาดุดันหลังกรอบแว่นตาดำนั้น และตอบอย่างปกติ “There are only income and expenses that numbers are large and sorted like that. The number of digits exceeds the number of products. The key behind the number has a dollar currency symbol. And I also know that in your account there is money laundering, I saw in the account. [มีแต่รายรับรายจ่ายที่ตัวเลขมันเยอะและเรียงลำดับลงแบบนั้น เลขหลายหลักเกินกว่าจะเป็นจำนวนสินค้า ที่สำคัญข้างหลังตัวเลขมีสัญลักษณ์สกุลเงินดอลลาร์ แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าในบัญชีของนายมีการฟอกเงินฉันเห็นในบัญชีพอจะรู้ว่านายซื้อที่ดินหรืออะไรหลายอย่างที่น่าจะมีราคาสูงพอกับเงินที่นายรับเข้ามาตามบัญชีนั้น แล้วใครในราคาที่ต่ำกว่าเดิมสักแสนาองแสน ซื้อแล้วขายอย่างนั้นยาวเหยียดเลย แบบนั้นมันฟอกเงินชัดๆ... นายไม่รู้จักบริษัทฟอกเงินดีๆหรือไงถึงใช้วิธีนี้]”

เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มต้องหยุดฟังนาค โดยไม่รู้ว่าเด็กสาวจะทันสังเกตรอยกระตุกที่มุมปากของเขาหรือเปล่า

เด็กผู้หญิงประหลาด...สนใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรือไง นึกว่าเด็กผู้หญิงจะนั่งฝันเพ้อเจ้อเป็นอย่างเดียว

“Do you think that the products that the Mafia sells or receives are like ordinary goods? [เธอคิดว่าสินค้าที่พวกมาเฟียขายหรือรับเข้ามามันเหมือนสินค้าธรรมดาทั่วไปหรือไง]”

“taxable goods with no tax It's not trading differently. It—well—just—exchange—change. [สินค้าที่เสียภาษี กับไม่เสียภาษีเนี่ย มันไม่ได้ซื้อขายต่างกันหรอกนะ มัน—ก็—แค่—แลก—เปลี่ยน]”

นาคเน้นคำสุดท้ายหนักๆช้าๆ เหมือนจะบอกว่าเธอรู้จักรูปแบบมันดี และกล่าวขึ้นใหม่ “and said again And I know you're deliberately reading the folder in your hand so you can assess me.[แล้วฉันก็รู้ว่านายจงใจอ่านแฟ้มในมือนั่นเพื่อจะได้ประเมินฉันด้วย]”

ถึงสีหน้าของคนที่สวมแว่นตาดำจะนิ่งเฉยเช่นเคย แต่นาคก็รับรู้ได้ถึงการยอมรับจากเขาอยู่บ้าง และเป็นอีกครั้งได้เขาปิดแฟ้มเอกสารในมือ

เขาชักอยากรู้แล้วจริงๆว่า ถ้าเธอเจอกับเจ้านายของเขาจะเป็นยังไง... ขนาดขู่ไปหลายรอบยังดูไม่กลัวเลย แถมเจ้านายของเขาคงเดือดแน่ ถ้ารู้ว่าไม่ได้ยายเด็กนันทกาแสนสวยใสซื่อนั่นมา แต่ดันได้ยายเด็กหน้าตาจืดนี่มาแทน แถมกลัวอะไรไม่เป็นแล้วรู้ไปซะทุกเรื่อง

“I... Fei Zhong Xin[ฉัน...เฟ่ย จงซิน]”

นาคยิ้มรับกับคำกล่าวของอีกฝ่ายอย่างถูกใจ เมื่อเขายอมตอบคำถามที่เธออยากรู้จนได้...

_______________________________________

Please follow the next episode

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!