ตอนที่ 3: Dream
ท่ามกลางทุ่งดอกไม้อันกว้างใหญ่ สีสดสวยงดงามมาก ๆ รับกับแสงแดดยิ่งทำให้ดอกไม้ดูมีชีวิตชีวาเหลือเกิน มองไปไกลจนสุดลูกหูลูกตามีแต่ทุ่งดอกไม้เยอะแยะเต็มไปหมด ส่งกลิ่มหอมอบอวลไปหมด ที่นี่ที่ไหนสวรรค์ชัด ๆ แล้วเรามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงแต่ช่างเหอะตอนนี้รู้แค่ว่าทุกอย่างมันช่างดีจริง ๆ ตรงนั้นมีดอกทิวลิปสีขาวด้วย เป็นดอกไม้ที่เราชอบที่สุด
“สวยจัง” เราจับดอกทิวลิปมาดูใกล้ ๆ
“นุ่มด้วย คือดีมาก ๆ เลย” เราเริ่มเคลิ้ม และก็ไปดูดอกทิวลิปดอกอื่น ๆ อย่างเพลิดเพลิน
“มีนตื่นได้แล้วๆๆ” เสียงพี่เมย์แว่วๆ เข้ามาในหู
“พี่เมย์อยู่ไหนอ่ะ” เราเรียกหาพี่เมย์
“เป็นยังไงบ้างครับ” แล้วนี่เสียงใครไม่คุ้น และเริ่มถี่ขึ้นๆ เสียงใครกันแน่ เรียกเราอยู่ได้
ทันใดนั้น ภาพทุ่งดอกไม้อันกว้างใหญ่ ดอกทิวลิปที่แสนสวย แสงแดดที่สดใส หายวับไปกับตา กลายเป็นความมืดสนิทมองไม่เห็นอะไรเลย เกิดอะไรขึ้นกับเราเนี้ย นี่เราฝันไปเหรอหรือยังไง
“ พ่อ แม่ ย่า ทุก ๆคน ช่วยมีนด้วยครับ ตอนนี้มีนไม่รู้ตัวเองอยู่ที่ไหน มันมืดไปหมด” เราร้องไห้ออกมา
“มีนตื่นได้แล้ว ๆๆ” เสียงพี่เมย์อีกแล้ว
“นายเป็นไงบ้าง ตื่นได้แล้ว” แล้วเสียงนี้เสียงใคร
เรามองไม่เห็นใครเลยทำยังไงดี ช่วยด้วยครับ
“ช่วยมีนด้วยๆ” เราร้องไห้ออกมา
วินาทีนั้นเหมือนรู้สึกได้ว่ามีคนเขย่าร่างของเราอยู่ เขย่าไปมาจนเรารู้สึกตัวขึ้นมา ค่อย ๆลืมตาขึ้นมา ภาพตรงหน้ามันเบลอมองเห็นอะไรไม่ชัดเลย เราเห็นร่างอะไรก็ไม่รู้กำลังจ้องเราอยู่ ภาพๆค่อยชัดขึ้นและชัดขึ้น จนเห็นเป็นร่างผู้ชายใส่เสื้อบาสตัดผมรองทรงผมเส้นตรงสลวยสีดำขับกับใบหน้าเล็ก ๆ จมูกโด่ง ปากสีชมพู แขนและมือของเขากำลังจับอยู่ที่ไหล่ของเรามันดูแข็งแรงจัง มีเหงื่อไหลลงมาตรงซอกคอ และข้างแก้มนิดหน่อย เขาเป็นใคร นายเป็นใครอ่ะ จากนั้นสายตาของเราก็สบตากันกับเขาแบบจัง ๆ จ้องกันอยู่ เราจ้องกันอยู่แบบนั้น
“ฟื้นแล้ว”.เหมือนเสียงพี่เมย์เลยอ่ะ
“มีนแกเป็นไงบ้าง” เสียงพี่เมย์นี่หว่าเราเริ่มมีสติ และเลิกจ้องหน้าเขาคนนั้น แล้วลุกขึ้นผลักร่างเขาออกไป จนร่างเข้าหลุดห่างออก
“ช่วยมีนด้วย” ประโยคแรกที่เราพูดแล้วพยายามมองหาพี่เมย์
“มีนแกผลักม่อนเค้าทำไม” พีเมย์ยืนอยู่กับผู้ชายคนนั้น
“เกิดไรอะไรขึ้นอ่ะ” เราถามพี่เมย์
“แกโดนลูกบาสโหม่งหัวเอาอ่ะดิอย่างจังเลย แล้วแกก็วูบหลับไป ทำงานเค้าล้มไม่เป็นท่าเพราะแกเลยนะมีน แล้วม่อนเขาก็มาช่วยปฐมพยาบาลแก” พี่เมย์พยายามอธิบายอย่างรวดแร็ว
“ไม่เป็นไรครับเขาฟื้นหละก็ไม่น่าเป็นอะไร งั้นผมไปก่อนนะ” เขาหันไปพูดกับพี่เมย์ แล้วเหลือบสายตามองมาที่เรา
พี่เมย์หันไปขอบคุณผู้ชายคนนั้น แล้วก็กลับมาผยุงเราให้ลุกขึ้น เราก็หันไปมองเขาเดินออกไปจากสนามจนลับตา
“มีนแกโอเครแล้วนะ” พี่เมย์ถาม
“โอเคร แล้วม่อนนั่นเขามาช่วยมีนทำไมอ่ะ”เราถามอย่างสงสัย
“ก็ลูกบาสที่โดนหัวแกอ่ะคือลูกบาสที่น้องม่อนเค้าโยนแล้วมันกระเด้งมาโดนหัวแกอย่างจังนะแหละ เค้าถึงมาช่วยแกเอาไว้ แต่มีนมันเป็นอุบัติเหตุนะเว้ย ไม่มีใครแกล้งแกหรอก “ พี่เมย์พยายามอธิบาย
“อ๋อเหรอ แบบนี้นี่เอง ขอโทษสักคำยังไม่มีเลย” เรามองบนใส่
“ก็แกผลักม่อนมันแบบนั้นเขาจะอยู่รอขอโทษแกมั๊ยหละ คิดซิ” พี่เมย์เหมือนจะเข้าข้างเขามากกว่า
“เอ่อๆ ช่างเหอะ” เราตัดบท แต่ยังคงมองไปทางที่เขาเดินไปทางนั้นอยู่ไม่ละสายตา
“ป่ะกลับบ้านกันเหอะ ฉันโทรให้พ่อมารับแล้วหละ” พี่เมย์ตบไหล่เราเบาๆ
แล้ววันเปิดเทอมวันแรกของเราก็จบวันลงแต่ก็เจออะไรมากมายหลายอย่างจริง ๆ นี่วันแรกนะยังขนาดนี้ สุดท้ายวันนี้เราและพี่เมย์ก็ให้พ่อแวะมารับกลับบ้านอยู่ดี กลับไปกินข้าวฝีมือพี่โมและคุณย่า กลับไปดูทีวี ไปเล่นกับพี่มีตังค์ กลับไปบ้านที่อบอุ่นของเรา แต่ทำไมภาพผู้ชายคนนั้นติดตาเรามาตลอดเลยตั้งแต่วินาทีที่เราลืมตาขึ้นมา ไม่นะเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดขึ้นมาเอง อีกเดี๋ยวก็คงลืมมั้ง ที่แน่ ๆ ยังเจ็บหัวอยู่เลย ความจำจะเสื่อมหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยิ่งขี้ลืมอยู่ด้วยจะเป็นมากกว่าเดิมหรือเปล่า
…………..
“มีนแกแต่งตัวเสร็จยังวันนี้วันศุกร์นะเว้ยรถเยอะเดี๋ยวไปไม่ทันอีก” เสียงคุ้นๆแว่วๆเข้ามาในหู
เรางัวเงียหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา
“ตายหละ ลืมตั้งนาฬิกาปลุกจะสายแล้วทำไงดีว่ะ” เรารีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำ
“ใกล้เสร็จแล้ว 10 นาทีเดี๋ยวมีนลงไป” เราแก้ตัวไป
“เอ่อรีบเลยทุกคนรอแกคนเดียวเลย” เสียงเดินลงบันไดไปหละ รีบเลยมีนเดี๋ยวจะโดนด่าไปมากกว่านี้ ระหว่างที่อาบน้ำ เรานึกอยู่ตลอดเวลาเลยทำไมตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมาวันนั้น เราฝันถึงเหตุการณ์วันนั้นทุกวันเลย แปลกมาก ๆ พยายามจะไม่นึกแต่ก็ยังฝันถึงอยู่ดี ฝันแบบเดิม ๆ อยู่ได้
สติกลับมาอีกครั้งมีเสียงเรียกพี่เมย์
“มีนนนนนนนนนนน” เสียงแหว่วจากชั้นล่างมาหลอนอีกแล้ว
เรารีบแต่งตัว เก็บของ แล้วลงไปหาทุกคน วันนี้มั่นใจว่าไม่ลืมอะไรแน่นอน เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพราะวันนี้จะมีการเลือกกิจกรรมชมรม
ระหว่างทางไปโรงเรียน วันนี้รถก็ติดเป็นปกติเลยยังไม่พ้นปากซอยบ้านออกมาก็ติดไม่ขยับเลย
“วันนี้รถเยอะกว่าปกตินะ” พ่อพูดลอย ๆขึ้นมา
ไม่มีใครตอบพ่อเลยพี่เมย์ออกมาจากบ้านก็เปิดเพลงเกาหลีแล้วฮัมเพลงไปเบา ๆ ไม่สนใจอะไรเลย ส่วนเราก็จดจ่อกับโทรศัทพ์คุยแชทกับ นุ่น กับพอร์ชอยู่ ก็เป็นสิ่งที่พวกเราทำเป็นประจำทุกวันระหว่างทางไปโรงเรียนอยู่แล้ว
“อ้าวพ่อหนุ่มเวสป้าสีเขียวคนนั้นนี่ที่รถล้มหน้ารถพ่อตอนวันเปิดเทอม มาจอดทำไรหน้าปากซอยบ้านเรา” พ่อพูดขึ้นมาลอยๆเหมือนเดิม โดยที่เราก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
“คันนั้นเหรอค่ะพ่อ บ้านอาจจะอยู่แถวนี้หรือเปล่า ไม่เห็นหน้าเลยใส่หมวกกันน๊อคอยู่ ช่างเขาเหอะ” พี่เมย์เด้งตัวจากเบาะชะเง้อไปดู แต่เราไม่ได้ใส่อะไรยังคงคุยแชทกับนุ่น
แล้วรถพ่อก็ขับผ่านเวสป้าสีเขียวคันนั้นพอดี ขณะที่เรากำลังเงยหน้าขึ้นพอดี เราเหลือบไปเห็นตัวย่อโรงเรียน เป็นโรงเรียนเดียวกันกับเรานี่หน่า
“เห้ย” เราอุทาน
“เป็นอะไรมีน” พี่เมย์หันมาพูดกับเรา
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” เราส่ายหน้าแบบงงๆ
“แกว่าเวสป้าตะกี้เรียนที่เดียวกับเรามั๊ย ฉันดูคุ้น ๆ ยังไงไม่รู้ แต่นางไม่ถอดหมวกกันน๊อคเลยไม่รู้” พี่เมย์เริ่มมีปฏิกริยากับคนแปลกหน้าคนนั้น
“ไม่รู้ดิ” เราตัดบท ไม่อยากจะบอกพี่เมย์ว่าเรารู้แล้วว่าเรียนที่เดียวกัน
และแล้วเวสป้าสีเขียวก็ขับผ่านรถพวกเราไปข้างหน้าแล้วหายแว๊บไปเลย
“พ่อเพิ่งนึกออกจี้เขาที่ทำตกไว้ไม่ได้คืนให้เลย” พ่อหยิบจี้รูปนกกางปีกขึ้นมา
เรากับพี่เมย์หันหน้ามามองกันแล้วก็ไม่ได้อะไร ก็นั่งรถและทำอะไรไปตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนพ่อก็วางจี้นั้นไว้ตรงหน้าไมล์รถเหมือนเดิม
ในห้องเรียน ม.4/2 ก่อนพักเที่ยง อาจารย์ปล่อยก่อนเวลา 15 นาที ให้ทุกคนได้พูดคุยกันเรื่อง กิจกรรมชมรมที่จะจัดขึ้นในช่วงบ่ายของวันนี้ ให้นักเรียนใหม่ได้เลือกชมรมที่ตัวเองชอบและอยากเข้ามากที่สุด
“พวกเมิงเลือกกันหรือยังว่าจะอยู่ชมรมอะไร” พอร์ชหันมาถามทุกคนในกลุ่ม
“เรากับบูมว่าจะไปอยู่ชมรมฟิสิกส์” นุ่นพูดก่อนคนแรก
“แคท กับ มีน ว่าจะไปชมรม เต้นก่อนเห็น ว่านเพื่อนเราอีกห้องก็จะไปด้วย” แคทเสริมขึ้นมา
“กูไปชมรมทำอาหารแน่นอนอยู่แล้ว” พอร์ชดูมั่นใจมากกับชมรมนี้
“งั้นเดี๋ยวบ่ายขึ้นมาอีกทีค่อยว่ากัน ตอนนี้ลงไปหาไรกินกันก่อนดีกว่า” เราตัดบทเริ่มหิวข้าวหละ
“มีนแกลืมไรมั๊ย วันนี้เวรแกรวบรวมเอาสมุดการบ้านฟิสิกส์อาจารย์บุษบาไปส่งที่โต๊ะอาจารย์นะ” นุ่นพูดพลางชี้ไปกองสมุดหน้าโต๊ะอาจารย์
“เห้ย เกือบลืมไปเลย” เรารีบไปเอากองสมุดการบ้านมาเก็บไว้
“ป่ะไปกันเหอะ” บูมชวนทุกคนลงไปไปโรงอาหาร
ระหว่างทางลงไปห้องพักอาจารย์ชั้น1
“เดี๋ยวกูเอาสมุดการบ้านไปไว้โต๊ะอาจารย์บุษบาก่อน พวกเมิงไปโรงอาหารก่อนเลย กูลืมหยิบโทรศัพท์มาว่ะรีบไปนิด เดี๋ยวเจอกัน” เราแยกเดินไปห้องพักอาจารย์ส่วนเพื่อน ๆ ก็เดินไปโรงอาหารกัน
ณ ห้องพักอาจารย์ เราเดินเข้าที่โต๊ะอาจารย์บุษบา อาจารย์ประจำชั้นของเราเอง พร้อมหอบสมุดการบ้านฟิสิกส์มาส่ง เห็นอาจารย์กำลังกุลีกุจอหาของอะไรบางอย่างบนโต๊ะ
เราสวัสดีทักทายอาจารย์ “มาส่งการบ้านห้อง ม.4/2. ครับอาจารย์” แต่ดูอาจารย์ไม่สนใจเราเลย กำลังหาอะไรบางอย่างแล้วก็บ่นพึมพำอยู่คนเดียว
“ให้ช่วยอะไรมั๊ยครับอาจารย์” เราถาม
อาจารย์หันมามองหน้าเราแล้วตกใจ “ มาเมื่อไหร่นายพัฒนพงษ์ ไม่ให้สุ่มให้เสียง”
“เอ่ออออออ” เรานิ่งแล้วถามอาจารย์อีกครั้ง “ให้ผมช่วยอะไรมั๊ยครับอาจารย์”
“อาจารย์กำลังหารายการที่จะให้ป้ามาลัยแม่บ้านไปซื้อของให้ที่ร้านค้าไม่แน่ใจว่าให้แกไปหรือยังอาจารย์จดรายการไว้เยอะมาก โทรหาป้าแกก็ไม่รับสาย พัฒนพงษ์เธอไปตามป้ามาลัยที่ห้องพักแม่บ้านด้านหลังตึกให้อาจารย์หน่อย” อาจารย์หันมามองเราแล้วชี้มือไปทางห้องพักแม่บ้าน แล้วก้มหน้าหาของบนโต๊ะต่อ
“ครับอาจารย์เดี๋ยวผมไปตามให้” เราเดินออกไปแบบงงๆ นิดนึง แล้วเดินไปตามทางที่อาจารย์บอกไว้ ระหว่างทางที่เดินไปก็เจอผู้หญิงคนหนึ่งต้องใช่ป้ามาลัยแน่ ๆ เราเลยตรงเข้าไปหา
“ป้ามาลัยครับอาจารย์บุษบาตามหาอยู่คับ” เราถามป้าคนนั้นทันที
“ไม่ใช่จ๊ะป้าไม่ใช่มาลัย” แล้วป้าก็ชี้มือไปทางห้องเก็บของไปทางด้านหลังตึก “ป้ามาลัยไปห้องเก็บของลูกน่าจะไปเอาของ หนูตามไปเลยป้าเพิ่งเดินสวนป้ามาลัยไปเมื่อกี้เอง รีบไปนะเดี๋ยวป้าแกจะออกไปข้างนอก” ป้าให้เรารีบไป “ครับผมขอบคุณครับ” เรารีบเดินไปตามที่ป้าบอก
และแล้วเราก็เดินมาถึงห้องเก็บของของโรงเรียนว่าแต่ทำไมมันดูน่ากลัวจังเลย หรือป้ามาลัยแกจะไปบ้านพักแม่บ้านไหน ๆ ก็มาถึงหละแวะห้องเก็บของหละกัน บรรยากาศดูเงียบมาก เอาไว้เก็บอะไรเนี้ย บรรยากาศดูเหมือนไม่ค่อยมีใครเข้ามาสักเท่าไหร่ถ้าไม่จำเป็น แล้วไหนห้องเก็บของคือห้องไหน ตรงนี้มีห้องเก่า ๆ อยู่ด้วยกัน 4 ห้องแล้วห้องไหนที่ป้ามาลัยเข้ามา 1 2 3 หรือห้องที่4 อ๋อเราเห็นแล้วมีห้องเดียวที่ไม่ได้ล๊อคกุญแจห้องเอาไว้ คือห้องที่2 ต้องเป็นห้องนี้แน่ ๆ เราพุ่งไปที่ห้องที่2. ทันที แล้วเปิดประตูห้องกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป วินาทีนั้นนึกในใจ ทำไมห้องมันมืดแบบนี้เนี้ย เหม็นอับด้วย ป้าแกมาทำอะไรในนี้ ไฟก็ไม่เปิด แต่ก็พอเห็นแสงอยู่บ้างจากข้างใน
“ป้ามาลัยครับๆ” เราส่งเสียงถามขึ้นมา
“มีใครอยู่มั๊ยครับ” เราถามย้ำอีกรอบ
เลองเข้าไปดูหละกันป้าแกน่าจะหาอะไรอยู่เลยไม่ได้ยินเสียงที่เราถาม มัวแต่ช้าเดี๋ยวเพื่อน ๆ กับ อาจารย์รออีก หิวข้าวแล้วด้วย เอาว่ะรวบรวมความกล้าแล้วก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องนั้นทันที ทำไมใจเราเต้นแรง เหงื่อเริ่มไหลแล้ว อากาศเริ่มร้อน ทำไมเราตื่นเต้นหรือเรากลัวกันแน่ ผสมปนเปกันไปหมดเวลานี้ เราก็เดินเข้ามาเรื่อยๆ ค่อย ๆ ก้าวมาทีละก้าว
“มีใครอยู่มั๊ยครับ ป้ามาลัยอยู่ในนี้มั๊ยครับ” เสียงเราเริ่มสั่น ทุกอย่างเริ่มเงียบไม่มีเสียงตอบรับใด ๆมาเลย เรามองไปรอบ ๆ ห้องเก็บของ ในนี้มีอุปกรณ์กีฬาเก่าๆ มีป้ายกีฬาสีกอบสุมกันอยู่ มีชุดกีฬาเก่าๆ เต็มไปหมด ที่คิดว่าคงไม่ได้ใช้งานแล้ว ฝุ่นเต็มเลย ใยแมงมุมก็เกาะเต็ม แล้วป้าจะเข้ามาทำอะไรในนี้ทำไม มาหาอะไร หรือใครใช้ป้าแกมาหาของในนี้หรือเปล่า นึกไปหลายอย่างหมดสับสนปนกันไปหมดเลยในเวลานี้
“มีใครอยู่มั๊ยครับ” เรายังคงถามคำเดิม
“ป้ามาลัยคับอยู่มั๊ยครับ” ทุกอย่างยังคงเงียบงันไร้การตอบรับใด ๆ
ทันใดนั้น มีเสียงจากนอกห้องเก็บของ ดังแกร๊ก เราหันหลังกลับไปดูทีประตูห้องมีคนมาปิดประตูแล้วล๊อคกุญแจแน่ ๆ จากด้านนอก
“เห้ย ซวยหละกู” เหงื่อเราตอนนี้ผุดขึ้นมาเยอะกว่าเดิมอีก ทำยังไงดี เรารีบก้าวเท้าอย่างรวดเร็วไปที่ประตูห้องทันที พุ่งตรงไปเขย่าประตูห้องให้แน่ใจ มันล๊อคจริง ๆ ด้วย เอายังไงดีที่นี้ เราตะโกนเรียกหาคนช่วย
“ช่วยด้วยครับมีคนอยู่ในห้องเก็บของ ใครก็ได้ช่วยทีครับ” เราเขย่าประตูแล้วพูดซ้ำอยู่แบบนั้นหลายรอบมาก แต่ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงเราเลย นึกขึ้นได้โทรศัพท์ไงโทรหาพอร์ชดีกว่าให้มันมาตามคนมาช่วย มือก็ล้วงไปที่กระเป๋ากางเกง วินาทีนั้นเรารู้สึกโมโหตัวเองเข้าไปใหญ่ ก็จะยังไงหละดันลืมโทรศัพท์ไว้บนห้องเรียนก่อนลงมาส่งการบ้านอาจารย์อีก
“โอ้ยทำไมมันซวยอย่างนี้เนี้ย” เราเริ่มโมโหตัวเอง ที่เป็นคนชอบลืมนั่นนี่พอเกิดเรื่องแบบนี้มาใครจะช่วยเราได้ ตอนนี้โมโหด้วย กลัวด้วย ทำไงดีหละมีน วินาทีนี้เรานึกอะไรไม่ออกแล้วไม่รู้จะหาทางออกยังไงดี ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าประตูแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาเอง เราจะติดอยู่ในนี้อีกนานมั๊ย จะมีคนมาช่วยเราหรือเปล่า ร้องเรียกหาใครก็ไม่มีใครตอบเราเลย ในห้องนี้ก็ร้อน แถมมืดอีกต่างหาก จะตายอยู่ในนี้หรือเปล่าเราจะเป็นผีเฝ้าห้องเก็บของอยู่ในห้องนี้ใช่มั๊ย ไม่นะเราจะไม่ยอมตายในห้องนี้แน่นอน ต้องหาวิธีออกไปให้ได้ แล้วเราก็รีบดึงตัวเองขึ้นมาสภาพตอนนี้คือกางเกงและเสื้อนักเรียนกเปื้อนฝุ่นและเหงื่อเต็มไปหมด เราเดินกลับเข้าไปอีกครั้ง เผื่อจะมีทางออกทางอื่นๆ เช่นมีหน้าต่างหรือประตูทางออกด้านหลัง ไม่ลองไม่รู้ รวบรวมความกล้าอีกครั้ง
“เอาว่ะดีกว่าตายในนี้ไอ้มีน” เราฮึดขึ้นมา
ทันใดนั้น
มีเสียงเหมือนแก้วหล่นลงพื้นด้านหลังกองป้ายกีฬาสีที่กองทับถมกันสูงประมาณหนึ่ง เราหันไปมองตามเสียงที่ได้ยิน แล้วพูดเบาๆ ไปว่า
“ป้ามาลัยหรือเปล่าครับ ป้ามาลัยครับใช่ป้ามั๊ย” เราใจดีสู้เสือถาม และค่อยๆเดินไปทีละก้าวไปหาต้นตอของเสียงแก้วที่หล่นลงพื้นเมื่อครู่ ค่อยๆเดินไป เดินไป ตอนนี้ใจเราเต้นแรงมากจนได้ยินเสียงมันอย่างชัดเจน จะทะลุออกมากจากอกแล้ว เหงื่อก็ไหลไม่หยุด ขาสั่น มือสั่น ใจยิ่งสั่นไปใหญ่ และแล้วเราก็ชะโงกมองไปหลังกองป้ายพวกนั้น สิ่งที่เห็นแว๊บแรกเป็นเงาบางอย่างยืนอยู่ เราตกใจแล้วอุทานออกไป
“เห้ออะไรวะ” กำลังจะหันหลังกลับวิ่งออกไปทางเดิม เท้าเราไปสะดุดกับกองป้ายล้มลง ทำให้รองเท้าเราหลุดข้างหนึ่ง ในขณะนั้นเงาที่เห็นก็ขยับเข้ามาใกล้เราทีละนิด ร่างที่เห็นเริ่มใหญ่ขึ้น เงามืดเริ่มขยายใหญ่ขึ้น
“ช่วยด้วยๆๆ” เราตะโกนออกมาแบบไม่คิดชีวิตด้วยความหวาดกลัว
เราพยายามลุกขึ้นให้ได้ แต่เหมือนจะหมดแรงเพราะล้มกระแทกไปทำให้ลุกไม่ขึ้น ใครก็ได้ช่วยมีนด้วยครับ คุณพ่อ คุณแม่ คุณย่า มีนจะตายแล้วครับ
ทันทีที่เงานั้นมาถึงตัวเรา วินาทีนั้นเหมือนทุกอย่างวูบไป
“ช่วยยยยยยย………” เงาดำเอามือมาปิดปากเราไว้ไม่ให้ออกเสียงมันมืดจนเราไม่เห็นอะไรแล้วในเวลานี้ และทุกอย่างก็มืดดับลงเราไม่ได้ยินเสียงหรือเห็นอะไรอีกเลยหลังจากนั้น มันไม่ใช่ความจริงใช่มั๊ยมีน มีคือความฝันใช่หรือเปล่า ตื่นจากความฝันนั้นได้แล้วมีน
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments