เป็นเรื่องของเราเองค่ะ เราอยู่ในครอบครัวที่ไม่ค่อยมีฐานะแล้วเรายังค่อนข้างเป็นคนขาดความอบอุ่นด้วย
เพราะเราไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก พ่อกับแม่เราแยกทางกันส่วนเราอยู่กับปู่ย่า พ่อเราเสียตั้งแต่เราอายุ8ขวบส่วนแม่เราก็ไปแต่งงานใหม่ที่เมืองนอก เรามีพี่น้อง2คนแต่เราไม่ค่อยสนิทกันเพราะเราไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันก็คือแทบจะไม่เคยได้อยู่ด้วยกันเลยแหละ ปู่กับย่าค่อนข้างจะเข้มงวดกับเรามากไม่ว่าจะเรื่ยงเรียน มารยาท การกิน การแต่งตัวและทุกๆเรื่อง ตั้งแต่เด็กเราต้องสอบให้ได้ที่1ของห้องตลอดเพื่อที่จะได้เป็นที่สนใจของครอบครัวแล้วความภูมิใจของครอบครัวเพราะถ้าเราสอบไม่ได้ก็จะโดนดุด่า แล้วเราก็มักจะไปอิจฉาครอบครัวอื่นเสมอที่เขามีพ่อมีแม่มีครอบครัวที่อบอุ่น บางคนจะก็อดด่าตัวเองไม่ได้ทำไมต้องไปอิจฉาคนอื่นด้วย เราอยากได้รองเท้าสวยๆ อยากได้ของเล่นเหมือนเด็กคนอื่นแต่ครอบครัวเราไม่มีเงินเลยต้องนั่งดูเด็กคนอื่นเล่นไปก่อน (เห้อชีวิตวัยเด็กที่น่าสงสาร) เราใช้ชีวิตด้วยความกดดันแบบนี้ตลอดมาจนกระทั่งเราขึ้นป.6 ด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่นเราก็เริ่มทำตามใจตัวเอง เริ่มตามเพื่อน เริ่มไม่ทำการบ้าน เริ่มชักสีหน้าใสครู จนครูเอาเราไปด่าหน้าเสาธง ตอนเริ่มติวโอเน็ตเราโดนครูสั่งห้ามไม่ให้เล่นโทรศัพท์เราก็ไม่ได้เล่น แต่ครูเห็นเราออนเฟสเลยโทรบอกปู่เรา เราจำได้ว่าตอนนั้นเราโดนด่าหนักมากจนแทบไม่อยากจะไปโรงเรียนราโดนกดดันทั้งครอบครัวและก็ครู บางครั้งที่เราไม่ผิดแล้วอธิบายก็กลายเป็นว่าเราเถียง แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้เสียการเรียน เราก็ยังเรียนแบบเดิมยังคงทำนะแนนให้ดีเหมือนเดิมจนทำคะแนนโอเน็ตได้ท็อปของวิชาภาษาอังกฤษและภาษาไทย หลังจากนั้นเราก็เริ่มมีปัญหากับคุณครูที่โรงเรียนคนนึง เขาด่าเราที่เรารดน้ำต้นไม้ไม่ชุ่มทั้งที่เพื่อนเราเป็นคนรดเราโกรธมากที่ครูมาทำแบบนี้กับเรามาด่าเราทั้งที่เราไม่ผิดแล้วยังไม่ยอมฟังเราอธิบายอีก ครูคนนั้นไม่นอมมองหน้าและคุยกับเราเป็นอาทิตย์จนกระทั่งครูแกเจ็บคอจนพูดไม่ได้เขาให้เรามาช่วยอ่านภาษาอังกฤษให้เพื่อนเพราะเราเป็นคนเดียวที่อ่านออกแล้วเรากับกับครูคนนั้นถึงได้คุยกัน พอเราขึ้นม.1ทุกอย่างที่อัดอั้นตันใจ ทุกความกดดันจากสังคมและทุกคนที่มีอยู่ในใจเราก็ได้ระเบิดออกมา