คือเรื่องนี้ต้องเท้าความถึงตอนที่น้ำท่วมใหญ่ น่าจะปี 54 มั้งถ้าจำไม่ผิด ปีนั้นน้ำมาก ไหลล้นคลองท้ายไร่ขึ้นมาถึงสวนมะนาว ไซดักปลาที่ตาวางไว้ดักปลาได้ปลาเต็มไซ มีทั้งปลาช่อน ปลาซิว และสิ่งมีชีวิตอื่น เช่น ปู ปลิง รวมไปถึงตัวเอกของเรื่องนั่นก็คือปลาไหลนั่นเอง
เย็นนั้นตาได้ปลาไหลกลับบ้านตัวใหญ่มากความยาวน่าจะราวๆ เกินไม้บรรทัดขนาด 30 ซม.ได้ จากการคาดคะเนนะน่าจะถึง 40 ซม. ได้แหล่ะ
"ข่อยอยากกินต้มปลาไหล เจ้าเฮ็ดให้แน่" ประมาณว่า ตาอยากกินต้มปลาไหล ยายทำให้หน่อย ตาตะโกนบอกยายมาจากหน้าบ้าน ก่อนจะถือกระแป๋งใส่ปลาไหลมาให้ยาย เพื่อที่จะให้ยายได้ทำครัว โดยมีไรท์และน้องสาวเป็นลูกมือในตอนนั้น ยายให้เราหิ้วกระแป๋งไปไว้หลังบ้าน ซึ่งเป็นลายโล่งและมีโอ่งมังกร เป็นที่สำหรับครัวปลาอย่างดีเพราะปลาเป็นของคาวเวลาทำกลิ่นจะคละคลุ้งไปทั่วการทำครัวที่หลังบ้านจึงดีที่สุดเพราะหากเหลือชิ้นส่วนตรงไหนที่ไม่เอาหรือกินไม่ได้ก็จะโยนให้ไก่ในคอกหลังบ้านกินได้เลย เป็นการกำจัดชิ้นส่วนของเสียไปในตัว
"ยาย หนูเห็นตาจับปลาไหนมาทีไร ไม่เห็นยายกินอะ เห็นแต่ทำให้ตา"น้องสาวของไรท์ถามยายด้วยความอยากรู้ ไรท์เองก็อยากรู้เหมือนกันเห็นทุกครั้งถ้าต้มปลาจะซดกินแต่น้ำแกงไม่แตะต้องปลาไหลสักนิดเดียว ยิ่งถ้าวันไหนมีต้มเปรตปลาไหลด้วยแล้ว วันนั้นคือยายไม่แตะเลยเป็นการเลี่ยงได้เลี่ยงหาไข่เจียวหรือน้ำพริกอะไรง่ายๆทานกับข้าวแทน
ขออธิบายนิดนึงนะคะสำหรับคนที่ไม่รู้เนอะ ต้มเปรตปลาไหลนั้น คือการต้มน้ำเดือดๆใส่ตะไคร้ ใบมะกรูด เครื่องเทศต่างๆลงในหม้อค่ะ จากนั้นจะนำปลาไหลตัวเป็นๆ (บางที่ก็ล้างเมือกออกด้วยน้ำเปล่าเฉยๆ บางที่ก็ล้างด้วยน้ำเกลือตามสููตรแต่ละจังหวัดนั้นๆ ) ใส่ลงในหม้อปิดฝาไม่ให้มันดิ้นออกจากหม้อได้ เรียกง่ายๆคือให้มันดิ้นตายอยู่ในหม้อนั้นค่ะ จากนั้นพอมันตายสนิทแล้วจะปรุงรสด้วยเครื่องปรุงต่างๆตามใจชอบ สุกแล้วก็ยกลงจากเตา
ถ้าถามว่าไรท์ทานอะไรพวกนี้ไหม? คำตอบคือไม่ค่ะ ถึงไรท์จะเป็นลูกครึ่งไทยอิสานแต่ไรท์ก็ไม่ได้เกิดและเติบโตในอิสาน ดังนั้นก็เลยทำให้ไม่ทานอาหารอิสานเท่าไหร่ค่ะ จะทานได้เป็นบางอย่าง เช่นลาบหมู น้ำตกหมู อาหารปรุงสุกเท่านั้นค่ะ ปกติไรท์เป็นพวกแพ้คาวเลือดได้กลิ่นเลือดไม่ได้เป็นต้องอาเจียนทุกที เคยจะลองแล้วก็ทำไม่ได้ค่ะ ประกอบกับมีข่าวออกมาว่าการการกินของสุกๆดิบๆทำให้เป็นพยาธิตายบ้าง หูดับบ้าง ไรท์ก็เลยไม่คิดจะแตะต้องของพวกนี้อีกเลย แต่ยังไงมันก็เป็นความเชื่อและความชื่นชอบของเขานะคะ เราที่ไม่ชอบก็แค่ปล่อยผ่านค่ะ ไม่ต้องไปว่าเขาทานสกปรก ทานของไม่สุกนะคะ ต่างคนต่างก็มีอาหารที่ชอบกันทั้งนั้นอะเนอะ
มาค่ะ ต่อกันดีกว่า เดี๋ยวจะออกทะเลซะก่อน
"นั่นสิยาย ทำไมยายไม่กินเลย หนูก็อยากรู้เกมือนกัน" คราวนี้เป็นไรท์ที่ถามบ้าง สีหน้ายายพระอืดพระอมในมือก็ถือมีดครัวปลาไหลไปด้วย ก่อนจะเริ่มเล่าให้เราฟัง ถึงสาเหตุที่ยายไม่เคยทานปลาไหลเลย
ย้อนไปสมัยตอนที่ยายเป็นเด็ก 7-8ขวบ ประมาณป.1 ป.2 ยายไรท์เกิดพ.ศ 2500 ตอนนั้นก็น่าจะประมาณปี 2507-2508 ได้เนอะ นั่นแหล่ะค่ะในสมัยนั้นป่าแถบภาคอิสานอุดมสมบูรณ์กว่าในปัจจุบัน อาหารการกินต่างๆ ล้วนหาได้จากป่า ทั้งผักหวานป่า หน่อไม้ เห็ดต่างๆ กินไม่หมดก็สามารถนำมาขายแบ่งปันแจกจ่ายกันต่อไปได้
คืนหนึ่งฝนตกหนักพวกแมงเม่าบินออกจากรังเพื่อเสาะหาแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่เพื่อสร้างอาณาจักรเล็กๆบนดินออกลูกออกหลานเพื่อเป็นปลวกรุ่นต่อไป และแน่นอนเมื่อมีเหยื่อย่อมมีนักล่าเป็นธรรมดาของวัฏจักรขอฃสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ พวกกบ อึ่ง ตื่นจากจำศีล ออกเที่ยวหากินแมงเม่าสำราญใจ บ้างก็ร้องหาคู่เสียงดังแซ่ซ้องทั่วผืนนา
การที่ฝนตกแบบนี้นับเป็นโอกาสดีของคนในท้องถิ่น ต่างคนต่างเตรียมอุปกรณ์เพื่อออกจับอึ่ง และกบกัน ทั้งข้อง ทั้งไฟ ในตอนนั้นยังไม่มีไฟฉายมีเพียงตะเกียงโบราณ พวกตะเกียงจ้าวพายุที่ใช้ในการส่องหาสัตว์ ซึ่งมันส่องได้ในระยะใกล้ๆเท่านั้น
"อิพ่อ เฮาสิเข้าไปตรงไหนคืนนี้" คุณพ่อเราเราจะเข้าไปหาตรงไหนคืนนี้ ยายถามพ่อ
"ย่างหาไปเรื่อยๆ อะละ เต็มตอนได๋ กะกลับบ้านตอนนั้น" เดินหาไปเรื่อยๆนั่นแหล่ะ เต็มตอนไหนก็กลับบ้านตอนนั้น พ่อของยายตอบก่อนจูงมือยายให้เดินตาม
"สูๆ ทางพู้น ปลาไหลเต็มไปเหมิ่ด เฮาไปจับกันเถาะ " พวกเราๆ ทางนู้น ปลาไหลเต็มไปหมด เราไปจับกันเถอะ หนึ่งในกลุ่มลุงเพื่อนบ้านที่มากับพ่อของยายเรียกทุกคนให้ไปที่ชายป่า ที่หนึ่งในนั้นเจอปลาไหล
"ลาภปากละมึง สิได้กินต้มเปรตแล่ว" ลาภมากละมึง จะได้กินต้มเปรตแล้ว พ่อของยายพูดก่อนจูงมือลูกสาวตัวน้อยให้เดินตาม
"อย่าไปเลย อิพ่อ ข่อยว่าทางนั้นมันบ่เป็นตะไป" อย่าไปเลยพ่อ หนูว่าทางนั้นไม่น่าจะเข้าไป
"แม่นหยัง มึงสิมาย้านอิหยังอยู่นี่ มากับกูแท้ๆ มาย่างตามมา สิกินบ่ปลาไหลนั่นน่ะ" อะไร มึงจะกลัวอะไร มากับกูแท้ๆ มาเดินตามมา จะกินไหมปลาไหลน่ะ เมื่อถูกพ่อพูดแบบนั้นยายจึงต้องเดินตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
คืนนั้นทั้งพ่อของยายและพวกชาวบ้านหาปลาไหลได้มากมายอย่างที่ไม่เคยได้มาก่อน แถมแต่ละตัวก็อ้วนถ้วนสมบูรณ์ ตัวใหญ่กว่าทุกครั้งที่จับได้ราวกับว่าแถวนี้อุดมสมบูรณ์มากงั้นแหล่ะ
เช้าวันต่อมา
มื้อแรกของวันนี้คงหนีไม่พ้นต้มอึ่ง กะเพรากบ และต้มเปรตปลาไหล แต่ไม่ทันที่สำหรับจะถูกวางลง วงข้าวยังไม่ทันได้ตั้ง จู่ๆก็มีเสียงคนร้องโวยวายมาจากท้ายหมู่บ้าน
"ซอยแน่ๆ ซอยข้อยแน่ ผีหลอกข่อย ผีหลอกข่อย ข่อยย้าน ข่อยย้านแล้ว" ช่วยด้วยๆ ช่วยผมด้วย ผีหลอกผม ผีหลอกผม ผมกลัว ผมกลัวแล้ว เสียงนั้นดังทั่วหมู่บ้านจนทุกคนต้องออกมาดู ชายคนนั้นถ้าจำไม่ผิด (สมมติชื่อลุงแดงนะคะ ) เป็นลุงแดงกลุ่มคนกลุ่มเดียวกันกับที่ไปหาปลาไหลในปลาด้วยกันเมื่อคืนกับพ่อของยาย คาดว่าลุงแดงน่าจะอยู่หาปลาไหลถึงเช้าเนื่องจากแกเตรียมข้องขนาดใหญ่ คงเกิดเสียดายปลาไหลตัวใหญ่เหล่านั้นแน่
ชาวบ้านพาลุงแดงมานั่งสงบสติอารมณ์ไม่นานลุงแดงแกก็ได้สติและเล่าเรื่องราวให้ทุกคนฟัง เรื่องมันเกิดขึ้นที่เมื่อเช้าแกก็หาปลาไหลของแกไปเรื่อยๆ ในแถบชายป่านั้น ฝนตอนนั้นซาลงมากแล้ว และฟ้าก็ใกล้จะสว่างแล้ว ทำให้เห็นอะไรๆได้ชัดเจนขึ้น แกเล่าว่าในขณะที่แกกำลังขมักเขม้นหาปลาไหลอยู่นั้น แกก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นสิ่งแปลกปลอมไหลมากับน้ำมันเป็นน้ำเหมือนน้ำเลือดน้ำหนองของสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว หน้ำซ้ำยังเหม็นเอามากๆ ห่างไปไม่ไกลก็เห็นปลาไหลกำลังแทรกตัวขึ้นจากดินที่นูนขึ้นเป็นเนินดิน แต่แปลกที่ตรงนั้นมีเนินที่ขนาดใกล้เคียงกันเต็มไปหมด แกเริ่มเอะใจจึงหันไปมองโดยรอบแบบชัดๆอีกครั้ง คราวนี้แกเห็นจะๆ เนินที่ว่านั้นมีชิ้นส่วนของมนุษย์ผุดขึ้นมา บ้างก็เห็นหน้า บ้างก็ขา บ้างก็แขน แต่ที่สยดสยองกว่านั้นก็คือศพเหล่านั้น มีปลาไหลตัวเขื่องเป็นร้อยๆตัวกำลังชอนไช กินเนื้อและเครื่องในศพอย่างเอร็ดอร่อยราวกับเป็นปาร์ตี้มื้ออาหารสุดวิเศษสำหรับพวกมัน
"เทิ้งว่า เป็นหยังคือโตใหญ่แท้ ที่แท้กะกินศพนี่เอง" ถึงว่า ทำไมถึงตัวใหญ่ ที่แท้ก็กินศพนี่เอง ยายพูดออกไปตามประสาเด็ก แต่ก็เอาผู้ใหญ่หลายคนวิ่งไปอาเจียนกันเป็นแถบ ดีนะที่บ้านยายยังไม่มีใครทานเข้าไปไม่งั้นคงเป็นอย่างพวกชาวบ้านแน่ๆ
สมัยก่อนในถิ่นทุรกันดารยังไม่มีการใช้เมรุเผาศพเหมือนในปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อมีคนตายจึงนำไปฝังไว้ที่ป่าช้าท้ายหมู่บ้าน การฝังนั้นจะขุดดินไม่ลึกมาก แค่พอฝังศพอยู่ ทำให้หน้าฝนน้ำชะหน้าดินออกเผยให้เห็นศพที่อยู่ภายในดิน อีกประการหนึ่งคือพวกสัตว์ในป่าหรือพวกสุนัขที่เลี้ยงไว้ไปขุดขุ้ยศพขึ้นมา บ้างก็คาบชิ้นส่วนเข้าไปในหมู่บ้านทำให้ขวัญเสียดีฝ่อไปก็มี และกรณีนี้ก็เช่นกัน ทางป่าช้าที่ฝังศพนั้นเป็นที่ต่ำเมื่อน้ำหลากล้นคลองมาก็ไหลเอ่อถึงที่ฝัง แต่ก็เล็กน้อยไม่ได้โผล่ขึ้นมาแบบจะๆเหมือนครั้งนี้
ข่าวเรื่องปลาไหลไชศพสะพัดไปทั่วหมู่บ้านลามไปถึงหมู่บ้านใกล้เคียงทำเอาหลายคนไม่กล้าทานปลาไหลเป็นเดือนๆ แต่บ้างก็ตัดขาดไม่ข้องเกี่ยวกับปลาไหลอีกเลย เช่น ยายของไรท์ที่เห็นเจ้าปลาไหลทีไรเนี้ยขนลุกขึ้นมาทุกที
-จบ-