การมีชีวิตอยู่เพื่อใครคนหนึ่งมันง่ายกว่าการมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง ฉันทราย ชอบทะเล ทะเลจริงไม่ใช่ชื่อคน เพราะฉันไม่มีความรู้สึกกับผู้คนมานานแล้วตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้น...
ทรายตอนอายุ17ปี
(แม่)
"ทราย วันนี้กลับบ้านเองนะลูก พ่อกับแม่มีประชุมดึกไแรับลูกไม่ทัน แม่โอนเงินค่ารถให้แล้วนะ"
(พ่อ)
วันนี้พ่อกลับบ้านดึก ลูกกลับบ้านเองอน่าเดินกลับนะ ต้องนั่งรถประจำทางกลับเพราะมันอันตรายเข้าใจไหม ดึกแล้วอย่าเดินคนเดียวล่ะ"
ในตอนนั้นฉันเองก็มีทำโครงงานที่โรงเรียนจนดึกเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ยอกพ่อหรือแม่แต่อย่างใด เพราะกลัวว่าท่านจะเป็นห่วงมากกว่าเดิม อีกทั้งยังอยากเก็บค่าเดินทางที่แม่ให้มามาเป็นค่าจนมพรุ่งนี้อีกจะได้กินเยอะๆ ฉันจึงเลือกเดินกลับบ้านในซอยเปลี่ยวที่พอเดินไปประมาณ300เมตรก็จะถึงบ้าน
(ทราย)
'ปรกติแล้วทางมันเปลี่ยวจนาดนี้เลยหรอ? ครั้งก่อนก็ยังเห็นชาวบ้านเดินเพ่นพ่านกันเยอะอยู่เลย'
แหงล่ะ..ก็นี่มันเวลาไหนแล้ว? คนอื่นเขาก็ต้องเข้านอนกันแล้วสิ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามีแต่เราที่เดินอยู่คนเดียว
ฉันเดินมาได้200เมตรก็เห็นปลายทางข้างหน้าได้ชัดเจนขึ้น บ้านฉันในตอนนี้ก็อย่างที่รู้ว่าไม่มีใครอยู่ ไฟในบ้านจึงดับสนิท แต่ถึงอย่างนั้นเป็นเพราะแสงไฟตามทางสลัวๆจางๆก็สามารถทำให้เห็นโครงสร้างของบ้านได้พอชัดเจน
ในขณะที่เดินๆอยู่ในหัวก็นึกถึงข้อความของพ่อกับแม่ที่ส่งมาด้วยความเป็นห่วงว่าอย่าเดินคนเดียวในที่เปลี่ยวๆ ก็แวบเข้ามาทไเอาฉันขนลุกซู่ๆอย่างไม่รู้สาเหตุ
แต่เพียงอึดใจเดียวฉันก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาอย่างใกล้ๆ เท่านี้ฉันทำให้ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงรีบสาวเท้าให้เดินเร็วขึ้น แต่สิ่งที่ได้ยินตามมากลับทำให้ฉันขนลุกและหวาดกลัวมากกว่าเดิม เสียงฝีเท้าปริศนาก็ก้าวเร็วขึ้นอย่างน่าสงสัย
ในตอนนั้นไม่ว่าใครก็คงไม่กล้าหันหน้ากลับไปดูเจ้าของเสียงที่ตามมาด้านหลังหรอก ฉันเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่เริ่มวิ่งให้เร็วที่สุดก็เท่านั้น
แต่ไม่เป็นผล เพราะคนปริศนาที่ตามหลังฉันมานั้นเร็วกว่า ใช้แขนยาวๆมาคว้าไหล่ฉันไว้และ [หมับ!]
"กรี้ด!!!"
ฉันกรี้ดสุดเสียงด้วยความตกใจที่มีสะสมมา