ตุบ ตุบ ตุบ
“ …...อะ ไรน่ะ? ”
สองมือมันกำลังเต้นเป็นจังหวะ
ความรู้สึกเสียวซี๊ดเหมือนใกล้จะพ่นน้ำเชื้อยิ่งรุนแรงขึ้น ราวกับว่าสองมือกลายเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ไปเลยยังไงยังงั้น
“ …...ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจซักเท่าไหร่หรอกนะ ”
“ ขุ่ก!? ”
กริ๊ดด!
พออันโดรมาเลียสกำมือข้างนึงแน่นดังกึ๊ดด เรี่ยวแรงที่เหนี่ยวรั้งตัวฉันเอาไว้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นตามไปอีกระดับ ไอพิษที่แผ่กระจายเต็มเปี่ยมอยู่รอบตัวฉันและโซยะก็เพิ่มปริมาณความหนาแน่นขึ้นสุดขั้ว แค่จะหายใจเข้าก็ยังลำบาก
------ฟู่วว
แต่ในพริบตาให้หลังจากที่มีหมอกสีขาวไหลซึมออกมาจากสองมือฉัน ราวกับเป็นน้ำหล่อลื่นนั่นเอง
วู่มม------ไอพิษที่หุ้มอยู่รอบตัวพวกเราก็พลันสลายหายไปในคราเดียว
อากาศอันบริสุทธิ์ผุดผ่องดั่งกับอยู่ในศาลเจ้าพลันเปี่ยมล้นไปทั่วปอด สดชื่นมากขนาดที่ทำให้ร่างกายอันบอบช้ำรู้สึกสบายขึ้นมาหน่อยนึงเลยเชียว
และพลังของหมอกสีขาว มันก็ไม่ได้หมดอยู่แค่นั้น
“ ห้ะ!? ”
ผู้ที่แผดเสียงร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก ก็คืออันโดรมาเลียส
เพราะศาสตร์เหนี่ยวรั้งของนังนั่น มันแหลกกระจุยไปในทันทีที่แตะต้องสัมผัสโดนเข้ากับหมอกสีขาวเลยนั่นเอง
และนั่นก็ช่างเป็นปรากฎการณ์ ที่คลับคล้ายกับในตอนที่อันโดรมาเลียสใช้ไอพิษปัดศาสตร์เหนี่ยวรั้งของคาเอเดะผ่านร่างซากุระเหลือเกิน
“ อุ้ก! ”
ฉันกับโซยะถูกเหวี่ยงลงมากองกับพื้น ขนตาของโซยะที่รับแรงกระแทกเข้าไปพลันสั่นไหวดังหงึก
“ …...อูยย ฟุรุยะ คุง……? ”
“ โซยะ! ได้สติแล้วเรอะ!? ”
นอกจากจะถูกอันโดรมาเลียสเล่นงานจนน็อกแล้ว ยังร่วงลงมากระทบพื้นอีก….ฉันจึงรีบโอบร่างของโซยะขึ้นมาเพื่อตรวจสอบดูสภาพบาดแผลในทันที แต่มันเป็นในตอนนั้นเอง
------คึ่กกกกก
“ …...ฮึก!? ”
ที่พลังงานปริมาณมากมายมหาศาลถูกดูดให้มาบรรจบก่อตัวอยู่เหนือฝ่ามือของอันโดรมาเลียส
“ …...ไม่เห็นจะรู้เลย ว่ามีอะไรแบบนี้ด้วย ”
เป็นพลังงานระดับที่เป่าแถวบริเวณละแวกนี้ให้แหลกสิ้นซากได้เลย แต่กระนั้นอันโดรมาเลียสกลับไม่ปล่อยมันเข้ามา
คงเป็นเพราะว่าถ้าพวกเราตายแล้วจะเกิดปัญหาละมั้งนะ อันโดรมาเลียสจึงนิ่งสั่งสมพลังงานอยู่อย่างนั้นราวกับข่มขู่ พร้อมกับจ้องมองตรงเข้ามาใส่พวกเราอย่างต่อเนื่องเหมือนเฝ้าดูลาดเลา
“ เธอเป็น ตัวอะไรกันน่ะหือ? ”
และราวกับเป็นการขานรับต่อคำพูดที่ถูกยิงตรงเข้ามาใส่
“ ------อุ!? ”
ความรู้สึกตอนใกล้หลั่งน้ำเชื้อที่เกิดขึ้นมากับสองมือฉันยิ่งแผ่ขยายถึงขีดสุด------ก่อนที่จะระเบิดบึ้ม
หงึก! หงึกหงึก! หงัก!
นั่นมันคือการหลั่งน้ำเชื้อของแท้เลย
นิ้วของสองมือสั่นกระตุกและยืดหดซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้สึกเสียวซี๊ดเหมือนมีบางอย่างกำลังแล่นผ่านท่อฉีดอสุจิทั้งสิบที่ไม่น่าจะมีอยู่ และในท้ายที่สุด ก็มีอะไรคล้ายๆหมอกสีขาวพุ่งกระฉูดอย่างรุนแรงออกมาจากปลายนิ้วทั้งสิบ
“ อุ กู้ววววววววววววววว!? ”
ปิ้ววววววววววว! ปิ้ววปิ้วว! โดะปิ้วววววววว!
““ …...ฮึก! ””
พอเห็นฉันดิ้นทรมานเนื่องจากความรู้สึกที่เหมือนโดนบีบให้พ่นน้ำกามออกมาพร้อมกันทีเดียวสิบน้ำแล้ว อันโดรมาเลียสกับโซยะก็ถึงกับเบิกตาโพลง รายแรกขมวดคิ้วแสดงความหวาดระแวงมากยิ่งขึ้น ส่วนรายหลังนี่คือกำลังหยึยสยองจับจิตเลยเชียว
ในระหว่างที่ไม่ว่าใครต่างก็งงงันไม่อาจเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นนั่นเอง ที่หมอกสีขาวซึ่งพุ่งกระฉูดออกมาจากปลายนิ้วฉันลอยหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ แล้วจึงประสานสร้างร่างกายขึ้นมา แต่งแต้มมีสีสันขึ้นมาราวกับเป็นเอ็กโทพลาซึม (สารเชิงวิญญาณ)
และในท้ายที่สุด ผู้ที่ปรากฎกายออกมา ก็คือเด็กผู้หญิงคนนึงที่ฉันเคยเห็นหน้า
[------ก็อยากจะเลี่ยงการปรากฎตัวในสภาพที่ไม่สมบูรณ์หรอกนะคะ]
ผมสีเงิน ผิวสีน้ำตาล เรือนร่างอวบอิ่มที่ถูกห่อหุ้มอยู่โดยชุดแม่ชีสั้นจุ๊ดจู๋
หางที่มีปลายเป็นทรงหัวใจลอยคว้างสั่นไหว ดวงตาสีทองอร่ามปลดปล่อยประกายแสงของอมนุษย์ สีหน้าดูเฉื่อยชาชอบกล แต่สภาพที่เห็นนั่นแทนที่จะคิดว่าเป็นคนเกียจคร้านแต่แรกเริ่มแล้ว มันชวนให้รู้สึกเหมือนเพิ่งจะตื่นนอน หรือไม่ก็มีพลังงานไม่พอไปหล่อเลี้ยงร่างกายมากกว่า เธอที่แม้จะมีเสน่ห์เย้ายวน แต่ก็พ่วงไว้ด้วยความน่ารักไร้เดียงสาราวกับหญิงสาวคนนั้น พลันเปล่งเสียงอันงดงามออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน
[ไม่รู้ว่าทำไมหรอก แต่ในเมื่อเจ้าของร่างถูกเผ่ามารจ้องเล่นงานแบบนี้ ก็คงต้องมีออกมาช่วยกันหน่อยแล้วล่ะค่ะ]
“ เธอคือ…… ”
รูปโฉมนั่น คือหญิงสาวรูปงามที่หลังจากทำให้สาวนมหลีกน้ำแตกได้แล้ว ก็มักจะปรากฎตัวขึ้นมาในฝันอยู่เป็นครั้งคราว
เสียงนั่น คือเสียงที่ดังกังวานขึ้นมาในหัวเป็นพักๆเรื่อยมา ตั้งแต่ที่ถูกเข้าสิงโดยคำสาปซึ่งมีนามว่าเทคโนเบรคเกอร์ (ไล่ผีโดยทำให้ถึงจุดสุดยอด)
“ ฟุรุยะคุง…...เค้าคนนั้น เป็นใครเหรอ……? ”
“ ฉะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเป็นอะไร…… ”
[ฮิ เพิ่งจะเคยได้พบหน้าเจอกันตรงๆแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยสินะคะ คุณฟุรุยะ]
พอฉันกับโซยะอึ้งค้างพูดอะไรไม่ออกอยู่ หญิงสาวก็ลอยอ้อมเข้ามาข้างหลังฉัน
เธอผู้เชื่อมต่อตรงบริเวณท้องน้อยเข้ากับสายสีขาวที่ยืดยาวออกมาจากสองมือฉันนั่น พลันโอบกอดฉันจากข้างหลังทั้งๆอย่างนั้นเลย เท่านั้นแหละมีสัมผัสนุ่มนวบถูกดันชนเข้ากับแผ่นหลังเล่นทำเอาถึงกับไหล่สะดุ้ง
(อะ อะไรกันน่ะเธอคนนี้…...มีร่างกายเรอะ!?)
สัมผัสถึงความอบอุ่นของมนุษย์มีเลือดมีเนื้อไม่ได้
แต่สัมผัสของเนินเขาอันอวบอิ่มที่ดันชนเข้ากับหลังฉันจนเบี้ยวผิดรูป กับความรู้สึกในตอนที่ฝ่ามือเรียบเนียนสีน้ำตาลแล่นไหลไปตามแขนฉันราวกับลูบไล้โลมเล้านั่นมันก็ช่างชัดเจนมากเหลือเกิน
พอสับสนกับสัมผัสที่ราวเป็นกึ่งกลางระหว่างร่างวิญญาณและเอ็กโทพลาซึมอยู่
“ …...ฟุรุยะคุง? จะเขินม้วนหาพระแสงของ้าวอะไรน่ะ? ”
เดี๋ยวก่อนเฮ้ยโซยะ! ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาพูดอะไรพรรค์นั้นอยู่นะเฟ้ย!
แม้จะได้รับดาเมจเข้าไปจนถึงขั้นลุกขึ้นยืนไม่ได้ แต่โซยะก็ยังจะปลดปล่อยแรงกดดันอันสุดจะท่วมท้นออกมา
โดนถล่มถาโถมโดยคลื่นสึนามิข้อมูลจากทั่วแปดทิศจนมึนงงสับสนไปหมด แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ก็มีเสียงที่มึนงงสับสนหนักมากยิ่งกว่าฉัน ลอยเข้ามาให้ได้ยินจากทางทิศเบื้องหน้า
“ เผ่า มาร……? ไม่สิ…...แต่ว่า…...ไอ้เค้าลางนั่นมันอะไรกัน……! ”
อันโดรมาเลียสกำลังเพ่งสายตาอย่างตื่นตระหนก ตรงไปยังหญิงสาวที่โอบกอดฉันอยู่จากข้างหลัง
ด้วยท่วงท่าที่งงงันเหมือนกับนางิสะในตอนที่ทำการเข้าสิงตรวจสอบเชิงวิญญาณใส่ฉัน…...ไม่สิ สับสนอลหม่านหนักมากยิ่งกว่านั่นซะอีก
ไม่ว่าใครต่างก็ไม่อาจเข้าใจว่าหญิงสาวผู้ปรากฎออกมาอย่างกะทันหันนี่เป็นตัวอะไร ฉันเองก็หันมองกลับไปยังหญิงสาวที่อยู่เบื้องหลังเพื่อขอฟังคำตอบเช่นกัน และหญิงสาวก็พลันอ้าปากกล่าวขึ้นมา ราวกับว่าอ่านความคิดของฉันเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
[ขอโทษนะคะ แต่ไม่มีพลังงานมากพอจะมามัวพูดอธิบายยาวยืดอยู่ได้หรอก ก่อนอื่นต้องทำอะไรกับสถานการณ์ในตอนนี้ก่อน ฉะนั้นแล้ว------จะสอดใส่เข้าไปละนะคะ]
“ เอ๊ะ เอ้ย เหวย!? ”
ซึ่ดซึ่ดซึ่ด
สองมือของหญิงสาว พลันถูกสอดจมลึกเข้าไปในสองมือของฉัน ภาพนั่นมันราวกับว่ากำลังถูกเข้าสิงอยู่เพียงบางส่วนเลยยังไงยังงั้น แต่สัมผัสนั่นกลับไม่ได้ชวนสยองขนลุกเหมือนตอนที่โดนนางิสะเข้าสิงตรวจสอบเชิงวิญญาณแต่อย่างใด ออกจะเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกผ่อนคลายสบายเหมือนกำลังแช่อยู่ในอ่างน้ำร้อนเลยด้วยซ้ำ
สองมือมันร้อนรุ่ม พลังระดับที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เอ่อล้นพรั่งพรู ส่งให้ร่างกายที่สะบักสะบอมเปี่ยมล้นไปด้วยความมีชีวิตชีวาตามไปด้วย
[เอาล่ะ คุณอันโดรมาเลียสสินะคะ]
“ …...ขึก ”
หญิงสาวที่สอดสองมือให้กลายเป็นเนื้อเดียวกับฉัน และอยู่ในท่วงท่าประกบติดชิดอยู่ข้างหลังนั่น พลันส่งประกายแสงสีทองของดวงตาตรงเข้าไปหาอันโดรมาเลียส
[เห็นว่าเผ่าพันธุ์ของพวกคุณชื่นชอบสิ่งที่สนุกสนานและเสียวซ่านที่สุดเลยนี่นา …...ถือว่าโชคดีเลยนะคะเนี่ย]
ผิดกับอันโดรมาเลียสที่ทำหน้าเคร่งหวาดระแวง สีหน้าที่หญิงสาวปั้นขึ้นมานั่นคือรอยยิ้ม
รอยยิ้มของเด็กเล็กๆที่มีอาหารสุดโปรดปรานอยู่ตรงหน้า
[การขับไล่ของฉันและคุณฟุรุยะน่ะไม่เหมือนกับที่ผู้ปราบมารทั่วไปเค้าทำกันหรอกนะคะ เป็นอะไรที่ชวนให้รู้สึกดีเสียวซี๊ดสุดๆไปเลยละนะ?]
“ …...หา? เธอเองก็ดูจะเป็นพวกตัวพิเศษเหมือนกันหรอก แต่คิดเหรอว่าเค้าจะอยู่นิ่งเฉยให้โดนขับไล่ได้น่ะ ”
อันโดรมาเลียสถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะตั้งท่าเตรียมรับศึก------ทว่าเป็นในฉับพลันนั้นเลย
“ ขึก!? ”
ที่สองมือของฉัน ถูกเหวี่ยงฟาดกระแทกลงกับพื้นด้วยตัวเองโดยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความตั้งใจของฉันเลย
นิ้วทั้งสิบที่ทะลวงฝังลึกเข้าไปในผืนคอนกรีตได้อย่างง่ายดายนั่นเปี่ยมล้นไปด้วยกำลัง
ในตอนที่รู้สึกตัว สองแขนซึ่งสำแดงอิทธิฤทธิ์กล้ามเนื้อระดับมหาศาลเป็นดั่งสายธนูที่ถูกง้าง ก็พลันยิงปล่อยร่างฉันให้กระเด็นออกไป โดนบีบให้ต้องลอยพุ่งดิ่งเข้าไปยังทิศเบื้องหน้าด้วยความเร็วอันสุดจะบ้า
“ จ๊าาาาากกก!? ”
“ ห้ะ!? ”
เจอะกับฉันที่ลอยพุ่งเข้ามาใส่พร้อมกรีดร้องเสียงหลงแล้ว อันโดรมาเลียสก็ถึงกับเบิกตาโพลง
มีพลังงานด้านลบซึ่งถูกบีบอัดมาตั้งแต่เมื่อกี้กำลังหมุนวนอยู่บนสองมือนั่น และอันโดรมาเลียสก็ยิงปลดปล่อยพลังส่วนนึงเข้ามาใส่ฉัน----นั่นก็คือ การโจมตีแสนทรงอานุภาพที่ต่อให้ปัดเบี่ยงวิถีไปได้ แต่แค่โดนอัดด้วยคลื่นกระแทกอย่างเดียวก็เพียงพอจะทำให้น็อกหมดสภาพได้แล้ว
ก้อนพลังงานทะยานเข้ามาอยู่เบื้องหน้าฉันในพริบตา ทว่า------ซื้ดซื้ดซี๊ดด! ชู๊ววว!
““ ห๊าาา!? ””
เสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกของฉันและอันโดรมาเลียสกังวานขึ้นทับกัน
เพราะกระสุนก้อนพลังงานมันระเหิดหายไปในพริบตาเดียวเลยยังไงล่ะ
สองมือฉันที่น่าจะเคลื่อนไหวไปตามความตั้งใจของหญิงสาวผมเงิน มันจิ้มจึ๊กโดยพลการเข้าใส่กระสุนก้อนพลังงาน แล้วทำให้น้ำแตกไหลซ่านสูญสลายหายไปนั่นเอง ราวกับก่อพลังงานที่เป็นขั้วตรงข้ามกันขึ้นมาภายในกระสุนก้อนพลังงานแง่ลบ แล้วบีบให้พลังสองขุมหักล้างทำลายกันเองยังไงยังงั้น จัดการได้อย่างแสนง่ายดาย โดยที่ฝั่งเราไม่ได้รับความเสียหายใดๆเลย
[ก่อนหน้านี้ก็เคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือคะ คุณฟุรุยะ]
หญิงสาวผมเงินผิวน้ำตาลเอาเรือนร่างอวบอิ่มแนบชิดติดเข้ามาจากข้างหลังไปพลาง กล่าวกระซิบเบาๆอยู่ข้างหู
[ว่าสองมือนี่ มีพลังที่จะทำให้ทุกสรรพสิ่งของโลกถึงจุดสุดยอดได้เลยน่ะ]
แต่มันก็น่าจะมีขอบเขตขีดจำกัดบ้างดิครับเอ้อ
“ อย่ามาพูดอะไรง่าวๆนะ……! ”
อันโดรมาเลียสกล่าวคำพูดอันโคตรจะจริงออกมา แล้วคราวนี้จึงปล่อยกระสุนก้อนพลังงานมากมายนับไม่ถ้วนที่แยกเผื่อไว้เข้ามาใส่
เป็นตรงนี้เองที่สองมือของฉันฟาดลงกับพื้นอีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง เพิ่มความเร็วพุ่งพรวดขึ้นเรื่อยๆอีกครั้ง
การแล่นคลานไปข้างหน้าอันสุดจะประหลาดและโคตรเร็วหยั่งกับบ้า------ร่างกายฉันคลานตามพื้นด้วยการเคลื่อนไหวประดุจสัตว์ประหลาดที่ไม่อาจพรรณาเป็นอื่นใดได้นอกจากนั้น แหวกทะลวงผ่านห่ากระสุนก้อนพลังงาน และพอรู้สึกอีกที ฉันที่ปล่อยตัวไปตามกำลังแขนที่ถูกควบคุมโดยหญิงสาวผมเงิน ก็กระชั้นชิดประชิดใกล้เข้ามาอยู่ในตำแหน่งที่ส่องมองใต้กระโปรงของอันโดรมาเลียสได้แล้ว
ถึงกับเผลอตัวแหงนหน้าขึ้นมาเลย และที่ฉายเข้ามาในดวงตาก็คือ กางเกงในสีขาวนวลซึ่งไม่เข้ากับเผ่ามารเลยซักนิด กับใบหน้าอันบิดเบี้ยวของอันโดรมาเลียสที่เหมือนราวกับว่ากำลังพบเจอแมลงมีพิษอันเป็นปริศนาอยู่เลยยังไงยังงั้น
“ ไอ้ เจ้า…...ผู้ใช้ความสามารถสุดโรคจิตนี่!! ”
ก็โต้แย้งอะไรไม่ได้เลยอะนะ
อันโดรมาเลียสที่เอามือกดชายกระโปรง พลันยกขาขึ้นมาราวกับจะกระทืบใส่พวกเรา
การเหยียบย่ำที่ห่อหุ้มเคลือบแข็งไปด้วยไอพิษนั่น มันเห็นได้ชัดเจนว่าแฝงเร้นไว้ซึ่งอานุภาพมากพอจะขยี้ร่างเราให้แหลกเละในเปรี้ยงเดียวได้เลยก็จริงหรอกนะ ทว่า
[ขึหึหึ จะดีหรือคะ? เข้ามาติดกับเราง่ายๆอย่างนั้นน่ะ]
คำพูดอันมีความหมายลึกซึ้งของหญิงสาวผมเงินดังกังวาน พร้อมกับที่นิ้วกลางและนิ้วชี้ของมือขวาฉันพลันตั้งเด่ชูชัน
เทคโนเบรคเกอร์แผดเสียงคำรามสะท้านใส่ขาของอันโดรมาเลียสที่ถูกเหวี่ยงตรงลงมา
“ ------ขึก!? ”
สีหน้าของอันโดรมาเลียสเปลี่ยนแปลงไปในทันใด จะว่าไปก็ใช่จริงด้วย
คนที่มองเห็นโพรงเสน่ห์กายิกสุขได้นั่น มีเพียงพวกเราเท่านั้น
สำหรับอันโดรมาเลียสแล้ว ไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามีจุดจิ้มจึ๊กเดียวน้ำไหลหลากอยู่ตรงไหนของร่างกายตัวเอง
“ ขุ่ก! ”
อันโดรมาเลียสฝืนบิดร่างตัวเองเพื่อหลีกหนีจากมือขวาของฉัน
มือขวาวืดขาของอันโดรมาเลียสไป------แต่ก็คงกะเล็งแบบนั้นเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วละมั้ง มือขวาที่แล่นทะยานไปไม่ยอมหยุดจึงเปลี่ยนโฉมกลายเป็นกำปั้น ซัดการโจมตีที่อัดแน่นไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มีเข้าใส่ไอ้เผ่ามารบรรลัยที่เซ่อเสียสมดุล!
“ ห้ะ------ก๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!? ”
ตู้มมมมมมมมมมมมม!
เป็นอานุภาพที่ทรงพลังจนสุดจะเชื่อเลยทีเดียว
ร่างกายของอันโดรมาเลียสงอเป็นทรงตัว < ลอยปลิวขึ้นไปกระแทกชนกับเพดาน
แต่แค่นั้นก็ยังหยุดโมเมนตัมเอาไว้ไม่อยู่ ร่างอันโดรมาเลียสปลิวทะลุกำแพงลอยขึ้นไปยังท้องฟ้าภายนอกเลยทีเดียว
(อะ อานุภาพที่หยั่งกับบ้าสติแตกไปแล้วนี่มันอะไรกันน่ะ…...รุ่นพี่โคฮินาตะกับโซยะปลอดภัยดีรึเปล่าเนี่ย!?)
หันขวับไปหาทั้งสองคนอย่างลนลาน
เคราะห์ดีที่เหมือนจะไม่ถูกซากเพดานตกลงมาทับเข้า แต่คลื่นแรงกระแทกมันก็หนักหน่วงอย่างยิ่ง โซยะนี่ถึงกับขดตัวกลมพร้อมร้อง “ว้ายยย! ว้ายยย!” ใหญ่เลย
ต่างออกไปจากแรงช้างสารของนางุโมะ เป็นพลังที่สุดจะผ่าเหล่าของแท้เลย
“ …...ขอถามจริงเลย เธอมัน เป็นตัวอะไรกันแน่น่ะ ”
เพราะเมื่อกี้อยู่ต่อหน้าอันโดรมาเลียสก็เลยถูกปัดเฉไฉไป คราวนี้ฉันจึงยิงคำถามเดิมเข้าใส่ใหม่อีกรอบ
แต่หญิงสาวผมเงินที่ได้ยินคำถามของฉัน กลับทำสีหน้ากลุ้มใจพร้อมเอามือแตะแก้ม ก่อนจะ
[เรื่องนั้นคือ สงสัยเพราะหลับมาเป็นเวลานาน ความทรงจำมันก็เลยขาดหายเหมือนถูกแมลงแทะกินน่ะค่ะ…...จะให้อธิบายแบบสั้นๆได้ใจความนี่เห็นท่าจะยาก]
“ หาา? อะไรนั่น ”
คำพูดเหนือความคาดหมายที่ถูกกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเฉื่อยแฉะนั่นทำเอาฉันถึงกับขมวดคิ้ว …...ดูไม่เหมือนกับว่าโกหกก็จริงหรอก แต่...
หญิงสาวผมเงินผิวน้ำตาลที่เบือนหน้าหนีห่างไปจากฉันที่แสดงท่าทางสงสัย พลันกล่าวต่อว่า [แต่] ออกมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
[ถ้าเป็นชื่อละก็รู้อยู่ค่ะ ฉันคือมิโฮโตะ มีความหมายว่าอวัยวะเพศหญิงอันงดงาม ตามคำพูดเก่าแก่ของประเทศนี้น่ะนะ]
“ …...งี้นี่เอง เข้าใจดีเลยล่ะ ”
ว่าไอ้เจ้าตัวที่สิงอยู่ในร่างฉันมันปัญญานิ่มระดับที่คุยกันไม่รู้เรื่องหน่อยๆเลยอะนะ
พอล้มเลิกแล้วถอนหายใจอย่างเพลียๆออกมา สองมือที่ถูกควบคุมอยู่โดยหญิงสาว------มิโฮโตะก็พลันกลับมามีเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยมอีกครั้ง
คิดจะพุ่งทะยานขึ้นไปอยู่น่ะ สู่ท้องฟ้ายามค่ำที่อันโดรมาเลียสโดนซัดปลิวไปนั่น
[เอาล่ะ หยุดพูดนอกเรื่องไว้เท่านี้ แล้วรีบไปเผด็จศึกกันเลยดีกว่านะคะ]
ดวงตาของมิโฮโตะปลดปล่อยประกายแสงอมนุษย์ ก่อนจะมีน้ำลายไหลเยิ้มออกมาจากริมฝีปากอันงดงามนั่น
[ฉันน่ะยัง หิวท้องกิ่วอยู่เลยค่ะ]
-------คุณฟุรุยะ คุณฟุรุยะ ฮารุฮิสะ ได้ยินไหมคะ?
เสียงที่ดูเหมือนว่าจะเป็นของเด็กผู้หญิงดังกังวานขึ้นมาอยู่ภายในหัว
-------ไม่ต้องกลัวไปนะคะ ฉันไม่ใช่คนน่าสงสัยหรอกค่ะ
เสียงนั่นแหบพร่าราวกับว่าทะลุลอดผ่านกำแพงที่หนามากออกมา ส่งผลให้จับใจความแทบไม่ได้
แต่ความร้อนรนที่แฝงเร้นอยู่ภายในน้ำเสียงนั่นมันก็สะกิดใจ ทำให้จิตรับรู้ของฉันถูกดึงดูดตรงไปยังตำแหน่งที่เกิดเสียงซะอย่างนั้น จึงเริ่มได้ยินเสียงใกล้มากยิ่งขึ้นกว่าเมื่อตะกี้
-------ขอร้องละค่ะคุณฟุรุยะ ช่วยรับฟังคำขอของฉันทีเถอะ
(คำขอ?)
-------ค่ะ เป็นคำขอที่ง่ายดายอย่างมากเลยค่ะ
(เอ้อ ถ้าเป็นอะไรที่ฉันทำได้ก็โอเคมั้ง)
-------จริงหรือคะ!? คราวนี้แหละสัญญากันอย่างแน่นอนแล้วนะคะ!?
(อืม)
-------ถ้าเช่นนั้นแล้วก็ ขอความกรุณาด้วยอีกครั้งนะคะคุณฟุรุยะ
พอเด็กผู้หญิงกระแอมไอดังอะแฮ่ม คุณหล่อนแกก็พูดต่อออกมาด้วยน้ำเสียงอันจริงจังฟังดูเป็นพิธี
-------เพื่อที่จะให้ พวกฉัน สำแดงอำนาจอันแท้จริงได้แล้ว…...คุณจะช่วยได้โปรดใช้มือสองข้างนั้น ทำให้ใครก็ได้ถึงจุดสุดยอดให้ทีจะได้ไหมคะ?
“ จะบ้าเร้ออออออออออออ! ”
ฉันนี่คือถึงกับแผดร้องออกมาสุดแรงเท่าที่มีอยู่เลยเชียว
“ ……….อ้าว? ”
ทว่าถึงแม้จะแผดเสียงตะโกนกร้าวออกมาสุดกำลัง แต่หัวมันกลับจำไม่ได้ซักนิดเลยซะอย่างนั้น ว่าตัวเองกำลังคิดว่า “จะบ้าเรอะ” กับคำพูดแบบใดของใครอยู่กันแน่
อ่อ ไอ้นั่นอีกแล้วเรอะ
ฝันประหลาด ที่ตั้งแต่โดนไอ้เจ้าคำสาปแสนน่ารำคาญมาสิงเข้าก็เริ่มจะฝันเห็นเป็นพักๆนั่น
พอฉันคลึงกางเขนเงินที่ห้อยติดอยู่กับกำไลข้อมือทั้งสองข้างไปพลาง เหนื่อยหน่ายจับใจกับฝันที่จำเนื้อหาไม่ได้นั่นอยู่ ก็พลันมีเสียงหัวเราะดังหึหึฮ่าฮ่าดังขึ้นมาจากบริเวณโดยรอบ
“ ……….อ๊ะ ”
ต้องใช้เวลาหลายวินาทีเลยก่อนที่หัวซึ่งยังงัวเงียเพิ่งตื่นนอนจะประมวลทำความเข้าใจสถานการณ์ได้ แล้วก็เพิ่งจะมารู้สึกตัวว่าตนเองเผลองีบหลับระหว่างคาบเรียน ก็ตอนที่อาจารย์ประจำวิชา [ประวัติศาสตร์ภัยวิญญาณสมัยใหม่] แกถอนหายใจออกมาอย่างเพลียจับจิตนี่แหละ อ๊ะ ฉิบหายแล้วไงล่ะเอ็ง……
“ ฟุรุยะ เธอนี่ได้ผลการเรียนวิชาปฎิบัติเป็นที่โหล่แล้วยังไม่หนำใจ กะจะเอาที่โหล่ของวิชาบรรยายพ่วงไปอีกด้วยรึไง? ”
และอาจารย์ที่พูดแบบนั้นแกก็กำลังกำยันต์ที่เขียนว่า “นักเรียนไม่ได้ความจงหายไป” ไว้อยู่ภายในมืออีกตะหาก ไอ้ฉันจึงรีบทำการเปิดฉากรัวข้ออ้างออกมาอย่างแตกตื่น
“ มะ ไม่ใช่นะครับ! พอดีเมื่อคืน มันมีไอ้เซ่อบางคนพลาดทำศาสตร์วิชาระเบิดบึ้มในหอ ก็เลยนอนได้ไม่เต็มจ๊าาากกกกก!? ”
พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์
ข้ออ้างอย่างสุดชีวิตแป้กอย่างน่าเศร้า อาจารย์เขาทำการเขวี้ยงยันต์ตรงเข้ามาอัดกลางหน้าอกฉันโดยพลัน และน้ำหน้าอย่างฉันก็ไม่มีปัญญาจะสามารถป้องกันศาสตร์ของอาจารย์ที่เป็นถึงผู้ปราบมารมืออาชีพได้แหงอยู่แล้ว สุดท้ายร่างกายจึงถูกรัดพันธนาการติดอยู่กับเก้าอี้ ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนทำอะไรได้
“ เอิ่มจารย์ครับ…….แบบนี้ก็จดโน้ตไม่ได้กันพอดีสิ ”
เอ้อเพราะโดนรัดให้นั่งหลังตรง ก็เลยน่าจะใช้ป้องกันไม่ให้งีบหลับได้ดีชะงัดนักจริงอยู่หรอกนะ…….
แต่อาจารย์เขากลับเมินเฉยต่อคำร้องทุกข์ของไอ้ฉันโดยสิ้นเชิง หันขวับกลับไปทำการสอนต่อเฉยเลยนั่นเฮ้ย
“ เอ...ถ้าอย่างนั้นก็กลับมาเรียนต่อนะ ภัยวิญญาณครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นยุคสมัยใหม่นี่ ก็คือเหตุการณ์ที่มีชื่อเรียกว่า เหตุชุดชั้นในหายสาบสูญ ซึ่งก่อความเสียหายอย่างใหญ่หลวงครอบคลุมไปทั่วบริเวณคันโตเมื่อ 2 ปีก่อน.....เนื่องจากข้อมูลรายละเอียดของภัยพิบัติเชิงวิญญาณครั้งนี้ที่ได้ถูกเปิดเผยให้ประชาชนรับทราบนั้นมีน้อยมาก ก็เลยมีข่าวโคมลอยไร้หลักแหล่งเล่าขานกันว่า เหตุการณ์ถูกคลี่คลายลงได้ด้วยมือของเด็กน้อยเพียงคนเดียว อะไรเทือกนี้หลุดมาอยู่บ้างเหมือนกัน และผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ก็--- ”
ผสานกับที่อาจารย์เริ่มเขียนกระดาน นักเรียนคนอื่นๆก็หันมาเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับคาบเรียนกันโดยพลัน ไอ้การกระทำที่เหมือนลงโทษทางกายเน้นๆแบบที่ไอ้ฉันโดนอยู่นี่ สำหรับโรงเรียนนี้แล้วไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดหายากเลยแม้แต่น้อยนิด
“ ให้ตาย…...อันตรายเหมือนเคยไม่เปลี่ยนเลยนะเนี่ยโรงเรียนนี้…… ”
ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ในสภาพที่โดนปล่อยให้รัดติดอยู่กับเก้าอี้มันทั้งอย่างนั้น
ถ้าศึกษาอยู่ในโรงเรียนธรรมดา จะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างอุ่นกายสบายใจมากยิ่งกว่านี้รึเปล่านะ
ในระหว่างที่ครุ่นคำนึงถึงอะไรที่ต่อให้คิดไปก็ไม่ได้ประโยชน์แบบนั้น ฉันก็จ้องมองรายละเอียดภาพรวมของ [เหตุชุดชั้นในหายสาบสูญ] ที่อาจารย์เขียนลงกระดานไปด้วยความรู้สึกอันแสนขมขื่น
โรงเรียนปราบมาร
ที่แห่งนี้ก็คือหน่วยงานฝึกฝนให้ความรู้แก่ผู้ปราบมาร ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อรับมือกับภัยพิบัติเชิงวิญญาณที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงระยะนี้
เป็นโรงเรียนดังที่มีทั้งคอร์สม.ต้นไปจนถึงม.ปลาย เป็นแหล่งที่เหล่าคนหนุ่มซึ่งมีพรสวรรค์ในด้านวิญญาณจากทั่วสารทิศจะมารวมตัวกันเพื่อรับการขัดเกลาอยู่ทุกวันให้เติบโตขึ้นกลายมาเป็นผู้ปราบมารมืออาชีพอะนะ
ในหมู่หน่วยงานฝึกฝนผู้ปราบมารที่มีอยู่หลากหลายทั่วประเทศแล้ว ก็มีที่นี่แหละที่มีคุณภาพของนักเรียนเหนือล้ำโดดเด่นขึ้นมายิ่งกว่าที่ไหนๆ แถมนักเรียนที่จบการศึกษาไปส่วนมากก็ยังสร้างชื่อให้กับตนเองได้อย่างยิ่งใหญ่ในฐานะมืออาชีพระดับท็อปของวงการเลยด้วย
กล่าวคือ เหล่านักเรียนที่สังกัดอยู่ในที่แห่งนี้จะถือเป็นเหล่าหนุ่มสาวอนาคตไกลที่จะขึ้นมาแบกรับวงการผู้ปราบมารในอนาคต รวมทั้งยังเป็นวีรบุรุษฝึกหัดที่จะคอยทำหน้าที่ช่วยเหลือปกป้องผู้คนจากภัยพิบัติเชิงวิญญาณในนามวิญญาณร้ายหรือไคอิอีกด้วย
แต่ก็นะ ต่อให้เป็นโรงเรียนดังที่ไหนแต่ก็ย่อมต้องมีไอ้เจ้าคนที่ห่วยแตกไม่เอาอ่าวอยู่เหมือนๆกัน…...และตัวฉันที่มีผลการเรียนด้านศาสตร์ปราบมารอยู่ในระดับต่ำสุดของชั้นปีเลยนี่ ก็คือตัวตนที่ราวกับเป็นตัวแทนของเหล่าพวกไม่เอาอ่าวดังกล่าวนั่นเลยเชียวล่ะ
“ เหลืออีกแค่สัปดาห์เดียวก็จะถึงกำหนดวันแบ่งทีมแล้ว……. ”
ช่วงพักกลางวัน ไอ้ฉันทำการจ้องมองกระดาษเอกสารทำเรื่องอย่างดุเดือดไปพลาง ซัดน้ำกลืนอันปันที่เป็นอาหารกลางวันลงคอไปด้วย กางเขนบนกำไลข้อมือมันแกว่งไปมาอยู่ใกล้ๆหน้า ชวนให้รำคาญนิดหน่อยอยู่เหมือนกัน
“ อะไรกันวะฮารุฮิสะ เอ็งยังหาคนที่จะตั้งทีมด้วยไม่ได้อีกเรอะ? ”
เหล่าเพื่อนร่วมชั้นที่มานั่งกินข้าวด้วยพลันปั้นสีหน้าที่ดูเหนื่อยใจครึ่งนึง หยอกล้อครึ่งนึงขึ้นมา
“ เอ้อ ก็เป็นฮารุฮิสะที่สร้างสถิติช็อคโลกระดับไม่เคยมีใครหน้าไหนทำได้มาก่อน อย่างครองตำแหน่งผลการเรียนที่โหล่ตลอดสามปีซ้อนในช่วงม.ต้นเลยนี่นะ ไม่มีคนเอาก็ไม่แปลกว่ะ ”
“ ขนาดเด็กห้อง D อย่างพวกเราที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสพบเจอกับภารกิจอันตรายก็ยังลังเลไม่กล้าชวนเลยด้วยอะเนาะ ”
พูดกันมันส์ปากเลยนี่หว่าเฮ้ย
แต่ก็นะ เรื่องที่ว่าฉันมันเป็นไอ้พวกไม่เอาอ่าวที่ใช้ศาสตร์ปราบมารแทบไม่ได้เลยนั่นมันก็จริงแหละ
เหล่านักเรียนที่สังกัดอยู่ในโรงเรียนปราบมารนั้นจะถูกแบ่งให้อยู่ในห้องเรียนที่มี 5 ระดับชั้นคือ S, A, B, C และ D ตามผลการเรียนน่ะนะ ทว่าผลการเรียนของไอ้ฉันเนี่ยแม้จะอยู่ท่ามกลางห้อง D ที่เป็นแหล่งรวมตัวของพวกไม่ได้เรื่องไม่ได้ความก็แล้ว แต่ก็ยังครองตำแหน่งที่โหล่ได้อย่างไม่มีใครเทียบติดเลยเชียว
เนื่องจากอับจนหมดหนทางจะเถียงกลับ ไอ้ฉันก็เลยหยิบเอาขนมปังมาเคี้ยวแก้มตุ่ยอยู่อย่างแค้นๆ เท่านั้นแหละ
-------ฟุรุยะ ฮารุฮิสะคุง ห้อง D ชั้นมัธยมปลายปีหนึ่ง มีท่านผู้ล่วงลับรอคอยคำปรึกษาอยู่ค่ะ ได้โปรดกรุณาช่วยรีบมายังช่องติดต่อเบอร์ 4 โดยด่วนด้วย ย้ำอีกครั้ง ฟุรุยะ ฮารุฮิสะคุง ท่านผู้ล่วงลับกำลังรอคอยอยู่ค่ะ กรุณา----
“ หา? กว่าจะถึงคาบซัพพอร์ตขึ้นสวรรค์ช่วงบ่ายนี่มันยังเหลือเวลาอยู่อีกตั้ง 30 นาทีเลยไม่ใช่เรอะ……. ”
พอฉันที่ได้ยินเสียงประกาศเอ่ยออกมาอย่างเซ็งๆแล้ว เหล่าเพื่อนร่วมชั้นก็พลันวางมือลงเหนือไหล่ไอ้ฉันด้วยสีหน้าสงสารเวทนา
“ หาคนมาตั้งทีมด้วยไม่ได้มั่งล่ะ พอเรียนคาบปฎิบัติก็เผอิญซวยเจอท่านผู้ล่วงลับสุดจะน่าปวดหัวมั่งล่ะ…..เอ็งนี่มันช่างน่าเวทนาจับจิตเลยจริงๆว่ะ ”
“ เอ้อ ถ้าคาบปฎิบัติจบแล้วจะช่วยให้คำปรึกษาก็แล้วกันเว้ย เอาเป็นว่าไปซะปายไปซะปาย ”
“ โธ่ว้อย เห็นว่าเป็นเรื่องคนอื่นเข้าหน่อยก็พูดอวดดีใหญ่เชียวนะ……. ”
ไม่ใช่ว่าจะยอมให้ร่วมทีมเพราะสงสารหรอกเรอะ……..ฉันพึมพำอย่างน่าสมเพชแบบนั้นอยู่ในหัวไปพลาง วิ่งทะยานตรงไปยังสถานที่ปฎิบัติ
เอ้อถึงแม้จะเป็นเพื่อนกัน แต่ก็คงช่วยไม่ได้หรอกที่มันจะไม่ยอมให้ร่วมทีมได้ง่ายๆ……
ก็สำหรับนักเรียนของโรงเรียนนี้แล้ว การแบ่งทีมที่ว่านี่มันถือเป็นปัญหาเรื่องความเป็นความตายในหลายๆความหมายเลยนี่นะ
โรงเรียนปราบมารแห่งนี้ มีคาบเรียนเสริมประสบการณ์ที่มีเพียงห้อง D อันเป็นแหล่งรวมพวกไม่เอาอ่าวเท่านั้นจะต้องเข้ารับ นั่นก็คือการมาช่วยงานในศูนย์ซัพพอร์ตขึ้นสวรรค์ที่ถูกตั้งติดไว้อยู่ภายในบริเวณโรงเรียนนั่นเอง
ศูนย์ซัพพอร์ตขึ้นสวรรค์นี่ก็ความหมายตรงตามตัวอักษรเลย หมายถึงมูลนิธิสงเคราะห์ที่จะทำการช่วยเหลือให้สัมภเวสีได้ขึ้นสวรรค์นั่นแหละ
สัมภเวสีนี่ก็คือ ดวงวิญญาณที่เร่ร่อนอยู่ในโลกอย่างต่อเนื่องเพราะมีเรื่องที่ติดค้างเหลืออยู่ในภพนี้นั่นเอง
กล่าวคือถ้าสามารถสะสางเรื่องที่ติดค้างนั่นให้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ พวกเค้าก็จะไปสู่สุคติได้โดยไม่ยึดติดเกินเหตุอยู่กับเรื่องที่ติดค้างจนแปลงโฉมกลายเป็นวิญญาณร้ายไปไง ถึงจะเป็นพวกไม่เอาอ่าวอย่างฉันที่ใช้ศาสตร์ปราบมารแทบไม่ได้ มีปัญญาทำได้แค่พูดคุยกับวิญญาณแค่นั้นก็เถอะ แต่ถ้าพยายามเข้าซะอย่างก็พอจะช่วยกำจัดเรื่องที่ยังเหลือติดค้างอยู่ได้เหมือนกันนั่นแหละ
หรือก็คือสามารถทำประโยชน์ต่อสังคมในฐานะผู้ปราบมารฝึกหัดได้นั่นเอง
……...ถ้าไอ้เรื่องที่เหลือติดค้างนั่น มันคืออะไรที่เป็นผู้เป็นคนในระดับนึงละก็นะ
[ก็ถึงได้พูดอยู่นี่ไงเล่า! ฉันจะเข้าสิงร่างเธอใช่ไหม? แล้วทีนี้ก็จะแล่นไปจัดหนักซักป๊าบกับเด็กผู้ชายอายุราว 5 ขวบใช่ไหม!? ถ้าทำแบบนั้นแล้วจะต้องไปสู่สุคติได้แน่ๆเลย เนี่ยต้องให้พูดยังไงถึงจะเข้าใจ!]
“ ผมเองก็อธิบายไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบมาตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้วเหมือนกันนะฮะ? ว่าถึงแม้เราจะมีหน้าที่ช่วยซัพพอร์ตให้ไปสู่สุคติได้ แต่มันก็มีเรื่องที่ทำได้กับเรื่องที่ทำไม่ได้อยู่เหมือนกัน ฉะนั้นได้โปรดช่วยลดระดับลงมาเป็นอะไรที่สามารถทำได้จริงหน่อย…… ”
พอฉันฝืนปั้นรอยยิ้มสุดชีวิตแล้วอธิบายซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้น วิญญาณคุณอาเจ๊โรคจิตที่หุ้มเครื่องสวมใส่ของคนตายรอบกายก็พลันสั่นร่างที่โปร่งแสงนั่นให้ชักดิ้นชักงออยู่กลางอากาศราวกับเป็นเด็กเอาแต่ใจ
[ไม่อ๊าววว! จะขโมยครั้งแรกของหนูๆตัวน้อยๆด้วยร่างของเด็กผู้ชายง่าา! ก่อนจะตายนั่นฉันพยายามอดทนอดกลั้นความอยากนี้มาสุดๆเลยนะ ฉะนั้นขอรางวัลให้กันซักนิดซักหน่อยก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหนเลยนี่นา! อยากจะเล่นสนุกหยาดเยิ้มกับนุ้งเด็กผู้ชายตัวน้อยผิวใสๆเนียนๆง่าา!]
เอาแต่ร้องเรียกแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ที่คาบปฎิบัติช่วงบ่ายเริ่ม…...ไม่สิ มาตลอดตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้วเลยเชียวล่ะ
พอตายกลายเป็นวิญญาณปุ๊บ คนเราก็จะถูกปลดปล่อยจากหลักเหตุผลและเยื่อใยต่างๆนาๆทางโลก แล้วมักจะแสดงความต้องการอันถ่องแท้เป็นที่หนึ่งของตนเองออกมาน่ะ แต่ถึงอย่างงั้นก็เหอะ อีแบบนี้มันชักจะดูดุดันเกินไปหน่อยแล้วมั้งเนี่ย
[ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจล่ะ……ฉันน่ะก็แค่ อยากจะใช้ร่างของผู้ชายไปแอ้มโชตะเท่านั้นเองแท้ๆ]
จะบ้าเรอะเฮ้ย ไอ้การกระทำที่เข้าข่ายอาชญากรรมเต็มๆพรรค์นั้นน่ะหัดนึกถึงหัวอกคนที่จะโดนบีบบังคับให้ทำหน่อยสิฟะ
ก็รู้ซึ้งดีอยู่หรอกนะว่าคนที่ดูเอาจริงเอาจังตอนยังมีชีวิตอยู่เนี่ยแหละจะยิ่งระเบิดง่าย ถึงอย่างนั้นอีคุณอาเจ๊คนนี้ก็ยังอาการหนักอยู่ดี แต่จะไล่ตะเพิดออกไปก็ไม่ได้อีก…….เป็นในฉับพลันที่ฉันกำลังกลุ้มหนักว่าจะโน้มน้าวใจยังไงดีอยู่นั่นเอง
[ดูทำเข้าสิถึงกับพกกางเขนเงินอยู่ติดตัวเลยอีกตะหาก…….เด็กที่ดูท่าจะยั้งอารมณ์ไม่ต้องช่วยตัวเองได้นานๆอย่างเธอคงไม่เข้าใจฉันหรอกสินะ]
ที่เสียงของคุณอาเจ๊โรคจิตเค้า เริ่มจะมีอะไรที่ดูคลับคล้ายกับจิตสังหารปะปนร่วมเข้ามา
[รู้บ้างไหมว่าพอได้เห็นเหล่านุ้งๆเด็กผู้ชายตัวน้อยๆกำลังวิ่งเล่นสนุกอย่างสดใสไร้เดียงสาอยู่ทุกวี่วันในสถานรับเลี้ยงเด็กแล้ว ฉันจำต้องฝืนทนอดกลั้นความหิวกระหายมากมายหนักหนามากถึงขนาดไหน…….ฉันอุตส่าห์อดทนขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่เธอกลับค้านอยู่นั่นล่ะมาตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว ต่อให้เป็นวิญญาณแต่การจะแอ้มโชตะมันก็ถือเป็นอาชญากรรมอยู่ดีฉะนั้นร่วมมือด้วยไม่ได้มั่งล่ะ ได้โปรดช่วยนึกถึงกฎหมายให้ได้ทีเถอะมั่งล่ะ…….เอาแต่พูดเรื่องเดิมๆซ้ำอยู่นั่นแหละไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งต่อกี่ครั้งต่อกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง]
บรรยากาศที่ห่อหุ้มอยู่รอบกายคุณอาเจ๊โรคจิตพลันถูกฉาบไปด้วยสีสันอันชั่วร้ายอย่างชัดเจน
แบบนี้มัน บรรลัยแล้วไง
ฉันลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ในทันใด ก่อนจะปรามว่า “ใจเย็นๆก่อนนะครับ” ทว่า
[เลิกจุกจิกแล้วจง…...ส่งร่างกายมาให้ฉันซ้าาาาาาาาาาาาาาาา!]
พริบตานั้น พลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของคุณอาเจ๊โรคจิตก็พลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งที่ดำมืดในคราเดียว สีหน้าก็บิดเบี้ยวกลายเป็นหยั่งยักษ์มารเลยอีกตะหาก
ฉันทำการเร่งเสียงแผดร้องออกมาแจ้งโดยรอบในทันใด
“ ท่านผู้ล่วงลับของช่องติดต่อเบอร์ 4 กลายเป็นวิญญาณร้าย (ผีโวย) ไปแล้วคร้าบ! ทุกคนเข้าที่เตรียมรับมือ! ส่วนท่านผู้ล่วงลับตนอื่นๆขอความกรุณาช่วยทำการลี้ภัยให้ว่องเลยครับ! ”
เท่านั้นแหละ บรรยากาศของศูนย์ซัพพอร์ตขึ้นสวรรค์พลันเปลี่ยนแปลงไปในคราเดียว
เหล่าสัมภเวสีต่างก็พากันเผ่นหนีทะลุกำแพงออกมา ส่วนพวกคุณเจ้าหน้าที่ของศูนย์หรือนักเรียนห้อง D ที่มาเข้าคาบปฎิบัติเหมือนกันกับฉัน ก็ต่างพากันทำการใช้สไตล์การต่อสู้ของพวกตนเองหันปลายอาวุธตรงดิ่งเข้าไปใส่คุณอาเจ๊โรคจิต
เสียงกระดิ่งเตือนภัยอันสนั่นหวั่นไหวดังก้องกังวาน เหล่านักเรียนห้อง D ต่างก็ทุ่มพลังใส่ลงไปในดวงตาที่จับจ้องมองดูคุณอาเจ๊โรคจิตอยู่
-------ตรวจจับพลังวิญญาณ
คือสกิลสำหรับใช้วัดระดับพลังของวิญญาณร้ายที่เป็นศัตรูน่ะ ถือเป็นสกิลขั้นพื้นฐานโคตรๆที่แม้แต่ผู้ปราบมารฝึกหัดก็จำเป็นต้องมี ถึงฉันจะใช้ไม่ได้ก็เหอะนะ
และแล้ว สีหน้าของไอ้พวกห้อง D ที่เตรียมรบเต็มเหนี่ยวก็พลันแข็งทื่อเหมือนๆกันไปในคราเดียว
“ ……...หยึย!? ไอ้เจ้าวิญญาณร้ายนั่น มันเป็นสเกล 2 นะ! ”
“ แย่แล้วซวยแล้ว! ห้อง D เอามันไม่ลงหรอก! ”
สเกล 2…...หมายถึงวิญญาณที่มีอำนาจมากพอจะทำร้ายมนุษย์ที่ยังมีชีวิตได้โดยตรงเลยนั่นเอง
ต่างกับไอ้ตัวที่แค่โผล่มาแจมในรูปถ่ายหรือตัวที่ทำให้ไหล่หนักขึ้นนิดหน่อยอะไรพวกนั้นคนละเรื่องกันเลย มันก่อเหตุระดับทำให้มีคนเจ็บได้ง่ายๆ แถมถ้าไม่ระวังแล้วอาจถึงขั้นมีคนตายได้เลยด้วยซ้ำ ถ้าอธิบายว่าเป็นสถานการณ์คล้ายๆเจอะกับหมูป่าคลั่งทั้งๆที่เราไม่มีเครื่องป้องกันที่พร้อมดี…...อะไรแบบนี้ซะก็น่าจะพอเห็นภาพมั้งว่าความแตกตื่นนี้มันน่ากลัวระดับไหน
แต่ละคนต่างก็พากันจับกลุ่มกับนักเรียนและเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ใกล้ๆ รวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อย ก่อนจะทำการใช้ศาสตร์สายข่ายอาคมเสริมการป้องกัน
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนั้น ถ้าอยากรู้ว่าไอ้ฉันกำลังทำอะไรอยู่แล้วละก็
“ ……...เอิ่มม ”
เพราะให้ความสำคัญกับการวิ่งบอกให้ทุกคนทำการลี้ภัยมากกว่า ก็เลยกลับมารวมตัวในแนวป้องกันไม่ทัน ได้แต่ยืนอึ้งมึนงงอยู่ต่อหน้าคุณอาเจ๊โรคจิตแบบไร้การป้องกันหัวเดียวกระเทียมลีบเลยเชียว
[ร่างผู้ช๊ายยยยยยยยยยยย!]
แน่นอน ฉันที่ดูน่าจะเข้าสิงได้ง่ายๆนี่คือตกกลายเป็นเป้าในทันใดเลยเฮ้ย
“ ไอ้ควายไอ้โง่! เอ็งมันคือคนที่น่าจะลี้ภัยก่อนใครๆเลยไม่ใช่เรอะฮารุฮิสะ! ”
“ รีบเผ่นเร็วเข้าดิวะ! ”
เหล่าเพื่อนร่วมชั้นต่างก็พากันระดมยิงศาสตร์โจมตีสายพิฆาตมารออกมาจากภายในข่ายอาคม เล็งถล่มคุณอาเจ๊โรคจิตกันอย่างพร้อมเพรียง ฉันก็กะจะอาศัยจังหวะนี้เผ่นอยู่หรอกนะ แต่
[อย่ามาเกะก๊าาาาาาาาาาา!]
แม้คุณอาเจ๊โรคจิตจะโดนศาสตร์พิฆาตมารเล่นงานจนร่างวิญญาณแหว่งไปบางส่วน แต่เค้าก็ยังพุ่งทะยานตรงดิ่งเข้ามาใส่ฉันได้อย่างไม่ยี่หระ
“ ธ่อว้อยบัดซบ! หยุดไว้ไม่อยู่เลยจริงๆด้วย! ”
“ ใครก็ได้ไปเรียกอาจารย์มาที! ”
เหล่าห้อง D ล้มเลิกความคิดที่จะถ่วงเวลาในพริบตา แต่ทว่าเป็นในจังหวะที่พวกมันคิดจะหันไปเรียกกองหนุนมาแทนนั่นเอง
“ เหวย!? ”
ที่ข้อเท้าถูกบีบด้วยกำลังอันมหาศาล ทำให้ฉันล้มหน้าคว่ำลงมามันตรงนั้นอย่างจัง
[ขึหึหึ ร่าง ร่างง ใช้ก้นของเธอขโมยครั้งแรกของนุ้งๆโชตะ………]
คุณอาเจ๊โรคจิตจับข้อเท้าไอ้ฉันขมับไปพลาง พึมพำอะไรที่โคตรจะน่ากลัวชวนขนตูดลุกสุดๆไปด้วย
“ ว๊าาากก! ฉิบหายบรรลัยวายป่วงแล้วไง! ฟุรุยะจะโดนมันสิงแล้ว! ”
“ ใช้กำลังใจต้านมันเอาไว้ซะฮารุฮิสะ! ”
อย่าพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ดิเฮ้ย!
เออเข้ามาศึกษาในที่นี่ตั้งแต่มัธยมต้นยันตอนนี้เลยก็จริง แต่ไอ้ฉันเนี่ยมันเป็นคนไม่เอาอ่าวที่เปิดใช้ศาสตร์ใดๆไม่ได้ซักอย่างเลยเชียวนะเฟ้ย! ที่เข้ามาเรียนได้ก็เป็นเพราะใช้เส้นเกือบจะทั้งหมดด้วยซ้ำเนี่ย!
โธ่เว้ย ลงอีหรอบนี้แล้ว เห็นทีคงต้องเอากาวมาเทยัดเข้าไปในตูดทำร่างกายให้ไม่อาจมีอานัลเซ็กส์ได้ก่อนที่จะโดนมันสิงโดยสมบูรณ์สถานเดียว! ใครก็ได้ไปเอากาวมาให้ทีว้อยยย!
เป็นในฉับพลันที่สมองซึ่งถูกไล่ต้อนจนมุมเกิดปิ๊งไอเดียที่โคตรจะเปิดโลกแบบนั้นขึ้นมาได้นั่นเอง
“ ให้ตายเถอะ ถ้าเป็นคนไม่เอาอ่าวจริงก็หัดทำตัวให้สมกันหน่อยสิ อย่างน้อยก็ช่วยคิดหลบหลีกหนีเอาตัวรอดไม่ให้กลายเป็นตัวถ่วงแข้งถ่วงขาชาวบ้านหน่อยไม่ได้เลยหรือยังไงกันนะ ”
------เปรี้ยงงงง!
จู่ๆเปลวเพลิงสีขาวแกมฟ้าก็แล่นทะยานผ่านอากาศ เข้ามาคลอกร่างของคุณอาเจ๊โรคจิตเอาไว้
[อ๊าาาาากกกกกกกกกกก!?]
คุณอาเจ๊โรคจิตที่ขนาดโดนการโจมตีของห้อง D เข้าไปพร้อมกันก็ยังชิลๆคนนั้น พลันมอดไหม้จนหมดสิ้นในพริบตาเดียว…...เปลวเพลิงที่ใช้กับวิญญาณได้-----ไฟจิ้งจอก (คิตสึเนะบิ)
“ เพราะแบบนี้ไงล่ะ ฟุรุยะคุง เธอถึงได้หัวเดียวกระเทียมลีบไม่มีใครเอาเข้าร่วมปาร์ตี้ในโรงเรียนเลยซักคน ”
เสียงที่เยือกเย็นมากยิ่งกว่าน้ำแข็งพลันดังก้องขึ้นมาจากเหนือหัว
พอแหงนหน้าขึ้นมาแบบกล้าๆกลัวๆ ก็พบว่าที่อยู่ตรงนั้นคือนักเรียนมัธยมปลายปี 2 ของโรงเรียนปราบมาร คุซึโนะฮะ คาเอเดะ
หญิงผู้ที่แม้จะยังมีฐานะเป็นนักเรียนแต่ก็เฉิดฉายสร้างชื่ออยู่ในฐานะผู้ปราบมารมืออาชีพอันเก่งกาจ….รวมทั้งยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ตามติดอยู่ด้วยกันกับฉันมาจนถึงมัธยมปลายด้วยเลยอีกต่างหาก
“ อ่า….โทษที ขอบใจมากที่ช่วอุ้ก! ”
พริบตาที่ลุกขึ้นมาพร้อมกับพูดขอบคุณ หมัดของคาเอเดะก็อัดเปรี้ยงฝังลึกเข้าไปกลางท้องฉันเน้นๆ
“ ตอนอยู่โรงเรียนน่ะพูดให้มันมีหางเสียงซะ ฉันเป็นรุ่นพี่เธอนะ ”
“ ขะ ขอบพระคุณมากนะครับที่ช่วยผมเอาไว้ รุ่นพี่คุซึโนะฮะ ”
“ ดีมาก ”
คาเอเดะพยักหน้าให้โดยที่ไม่มีเปลี่ยนสีหน้าใดๆ
ผิวสีขาวนวลที่เห็นแล้วชวนให้นึกว่าเป็นภูตแห่งหิมะ เส้นผมสีดำเงางามระดับที่น่าจะมีพลังเวทอัดแน่นอยู่ภายในเลยซะด้วยซ้ำ...ใบหน้าที่ได้สัดส่วนอย่างมากล้นจนไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นของที่มีอยู่ในภพนี้นั่น ขนาดฉันที่คบหาเป็นเพื่อนด้วยกันมาเนิ่นนาน บางครั้งก็ยังเหมือนกับว่าจะถูกดูดกลืนเข้าไปภายในนั้นเลยเหมือนกัน
ไอ้พวกห้อง D นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เจอะเข้ากับคาเอเดะที่จู่ๆก็ปรากฎตัวโผล่มาอยู่เบื้องหน้าปุ๊บแล้ว พวกมันก็ถึงกับตัวแข็งทื่อกันไปหมดเลยนั่น
แต่ก็นะ นี่ถ้าไม่ได้เผอิญว่าฉันเป็นเพื่อนสมัยเด็กของยัยนี่ละก็ อย่าว่าแต่พูดคุยกันเลย จะเดินเข้าไปเฉียดใกล้ทีนี่ยังอาจต้องคิดหนักเลยด้วยซ้ำมั้ง
“ จะว่าไปแล้วนี่รุ่นพี่คุซึโนะฮะ มาทำอะไรที่นี่เหรอ? ”
“ เผอิญได้ยินเสียงกระดิ่งเตือนภัยระหว่างกลับจากทำงานน่ะ แล้วเสียงมันก็ดังอยู่ซะนานไม่ยอมหยุดซะทีเลยรำคาญจนเดินแวะมาดูนี่ล่ะ ”
“ ดังอยู่ซะนาน…...แต่กระดิ่งเตือนภัยมันลั่นอยู่ได้แค่ไม่กี่นาทีเองนะครับ ”
“ ถ้าคลี่คลายไม่ได้ภายในหลักวินาที เท่านั้นก็ถือว่า “นาน” แล้วล่ะ ”
เล่นเอามาตรฐานคนละมิติมาบังคับใช้กับฉันที่เป็นเด็กห้อง D นี่มันก็เกินไป๊……..เอ้อแต่ก็รอดมาได้เพราะแบบนั้นเหมือนกันนี่นะ ฉะนั้นจะไม่บ่นก็แล้วกัน
ดวงตาอันเยือกเย็นของคาเอเดะกำลังจับจ้องมองบริเวณเท้าของฉันอยู่อย่างตาไม่กระพริบ พอลองมองต่ำลงมาตามแล้ว ก็พบว่ามีรอยช้ำตื้นๆโผล่ขึ้นมาอยู่ตรงข้อเท้าฉันนี่เลย เป็นจุดที่โดนคุณอาเจ๊โรคจิตแกจับดังหมับนั่นเอง
“ เจอกับตัวกระจอกแค่นั้นก็พลาดท่าเสียทีบาดเจ็บซะแล้วเหรอ เอาเถอะถือว่าได้จังหวะเหมาะพอดี มานี่ซิ ”
คาเอเดะพูดออกมาอย่างเพลียๆพร้อมกับจับแขนของฉันดังหมับ
“ ไปห้องพยาบาล แถมไหนๆแล้วก็ทำ ตรวจวินิจฉัยตามวาระ ของสัปดาห์นี้ให้จบๆกันไปด้วยเลยเถอะ ”
“ เอ๊ะ!? เอ้ยแต่ว่ายังมีคาบเรียน……ไม่ดิคือ ”
ได้ยินเสียงซุบซิบๆของไอ้พวกห้อง D ดังแว่วๆมาจากข้างหลังโดยพลัน
“ เฮ้ย มันอะไรกันวะน่ะไอ้เจ้าท่าทางที่แสนโคตรน่าอิจฉานั่น! ”
“ ทำไมฟุรุยะถึงพูดจากับท่านคุซึโนะฮะอย่างสนิทสนมเป็นกันเองได้แบบนั้น…… ”
“ จะว่าไปแล้วก็เคยได้ยินข่าวลือมาเหมือนกันนะ ถึงจะเห็นว่าไม่น่าเป็นไปได้ก็เลยทำเมินมาตลอดก็เหอะ แต่เหมือนว่าสองคนนั้น จะมีแอบๆมาเจอกันอยู่เป็นช่วงๆแหละว่ะ ”
“ ตัวฉันที่กังวลเป็นห่วงไอ้สารเลวนั่นมาตลอดจนถึงเมื่อกี้นี้มันช่างโง่สิ้นดี……! ”
“ เห็นว่าไม่มีคนเอาตอนแบ่งทีมแล้วก็มีคิดว่าน่าสงสารเหมือนกันอยู่หรอก แต่เจอแบบนี้แล้วตรูพูดเลยเว้ยว่าจะไม่เอาแม่มเข้าทีมเป็นอันขาด! ”
เจอะเข้ากับจิตสังหารที่ไอ้พวกห้อง D มันแผ่ออกมาแล้วสัมผัสได้ถึงอันตรายต่อชีวิต ฉันจึงลองแสดงท่าทางต่อต้านขัดขืนคาเอเดะดู
“ ……...เอ่อ รุ่นพี่คุซึโนะฮะครับ แบบว่าผม….ตั้งแต่คาบปฎิบัติครั้งหน้าไปนี่เหมือนว่าจะไม่มีใครเค้ายินยอมคิดจะช่วยเหลือผมแล้วเนี่ย อ่อแล้วก็นะ เหมือนว่าจะยืนยันชัดเจนแล้วด้วยเนี่ยครับว่าผมโดนทิ้งไม่มีใครยอมเอาเข้าร่วมทีมด้วยแน่นอนชัวร์ป๊าบ ”
แต่ก็น้า คบหาเป็นเพื่อนอยู่กับยัยนี่มาก็เนิ่นนาน ฉะนั้นรู้ดีอยู่เต็มอกแล้วล่ะว่าการต่อต้านขัดขืนแบบนี้ทำไปก็ไม่มีค่าอะไรหรอก
“ จะไม่ยอมทำตามที่ฉันพูดเหรอ? ให้ว่ากันแต่แรกเริ่ม ในเมื่อได้รับบาดเจ็บก็ย่อมต้องแยกออกมารักษาตัวสิสามัญสำนึกไม่ใช่หรือไง ”
ด้วยเหตุนี้แหละ คาเอเดะเลยกระชากแขนลากตัวไอ้ฉันไป พร้อมกวาดสายตามองไปยังเหล่าเจ้าหน้าที่ของศูนย์ ไอ้พวกห้อง D ที่ต่างก็พากันติดสตันต์ หนำซ้ำยังลามไปถึงอาจารย์ประจำชั้นห้อง D ที่เพิ่งจะวิ่งมาถึงเอาป่านนี้ด้วยเลย มองหน้าก่อนที่จะ
“ ฉันจะพาเขาคนนี้ไปห้องพยาบาล พวกเธอน่ะไม่ต้องใส่ใจกลับไปปฎิบัติหน้าที่ของตัวเองต่อเถอะ ”
พูดกระแทกออกมาอัดจังๆ แล้วจากนั้นจึงลากตัวฉันออกไปจากศูนย์ซัพพอร์ตทันควัน
โรงเรียนปราบมารนั้นจะมีกำหนดให้ตั้งแต่มัธยมปลายปีหนึ่งเป็นต้นไป เหล่านักเรียนจะต้องจับกลุ่มสร้างทีมที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 3-4 คน โดยเจ้าการแบ่งทีมดังกล่าวเนี่ยถือเป็นอะไรที่มีความสำคัญยิ่งมาก ระดับที่เกิดการทะเลาะวิวาทเพื่อแก่งแย่งคนเก่งขึ้นทุกๆปีเลยทีเดียวเชียว
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะในฉับพลันเดียวกับที่ก่อทีมในโรงเรียนได้แล้วเสร็จ ทางการเค้าก็จะทำการเจียดแบ่งงานจากภายนอกเข้ามาในเหล่านักเรียนสามารถรับทำได้นั่นเอง
ถ้าสร้างผลลัพธ์ในงานต่างๆนั่นได้ดี ก็จะทำให้ได้รับ “ใบอนุญาตชั่วคราว” อันเป็นคุณวุฒิรองของผู้ปราบมารมาครอง และถ้าทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกก็จะได้รับ “ใบอนุญาตตัวจริง” อันเป็นคุณวุฒิอย่างเป็นทางการของผู้ปราบมารถูกส่งมาให้
หากตั้งทีมร่วมกับคนที่เก่ง โอกาสที่งานซึ่งมีระดับความยากสูงจะถูกหมุนมาให้รับทำมันก็จะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ความเป็นไปได้ที่จะได้รับใบอนุญาตตัวจริงในระหว่างที่เรียนอยู่สูงมากขึ้นอีก
กลับกันแล้ว สำหรับนักเรียนที่เอื่อยเฉื่อยชิลๆเช่นฉันที่ขอหยุดอยู่แค่ได้ใบอนุญาตชั่วคราวก็พอ ในหัวคิดแค่ว่า เรียนจบก็ไปทำงานสบายๆเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในศูนย์ซัพพอร์ตขึ้นสวรรค์ดีกว่าละมั้งน้า~ อะไรแบบนี้แล้วนั้น การตั้งทีมมันก็ไม่ใช่อะไรที่สำคัญมากเป็นพิเศษซักเท่าไหร่หรอก ก็เลยเผลอปล่อยตัวเรื่อยเปื่อยมาตลอดจนถึงเมื่อไม่นานมานี้อะนะ…….แต่ตัวฉันในตอนนี้เรียกได้ว่ากำลังตาลีตาเหลือกใช้ได้เลย
ในกรณีที่ไม่มีใคร ยอมตั้งทีมด้วยเลย นั้น เค้าจะไม่มอบใบอนุญาตชั่วคราวให้เลยด้วยซ้ำ แล้วก็จะไม่มีงานถูกส่งมาให้อีกต่างหาก
นอกจากจะถือครองฉายาสุดเสื่อมเสียอย่างไอ้ผลการเรียนที่โหล่ต่อเนื่องตลอดสามปีแล้ว ยังจะถูกจารึกชื่อเสียลงไปในประวัติศาสตร์โรงเรียนในฐานะนักเรียนมัธยมปลายซึ่งไร้คุณวุฒิคนแรกสุดเลยอีกซะงั้น
ถึงแม้ว่าโรงเรียนปราบมารแห่งนี้จะมอบใบจบการศึกษาระดับมัธยมปลายให้ด้วย แต่ยุคสมัยนี้มันก็อยู่ยากไง ต่อให้เรียนจบมาได้แต่ถ้าไม่มีคุณวุฒิก็จบเห่ ไม่ต้องคิดมากก็รู้แล้วว่าฉันที่เอาแต่เรียนสายผู้ปราบมารมาตลอดนี่มีหวังได้เดินเตะฝุ่นยาวๆชัวร์ป๊าบ
ก็งั้นแหละ เจอกับสถานการณ์ที่กำหนดวันแบ่งทีมพุ่งกระชั้นชิดเข้ามาอยู่อาทิตย์หน้าแบบนี้แล้ว ฉันนี่คือถึงกับแตกตื่นลนลานตาลีตาเหลือกเลยทีเดียว…….ยิ่งในตอนนี้ยังสูญเสียเพื่อนร่วมชั้นที่สงสารเวทนาไปเพราะคาเอเดะอีกต่างหาก เรียกได้ว่าอนาคตของฉันนี่คือส่อแววมืดมนของแท้แน่นอนเลยทีเดียวเชียวเนี่ย
“ อื้มก็ ไม่ต้องพะวงมากไปถึงขนาดนั้นหรอกนะ ”
พอฉันพันยันต์สำหรับใช้รักษาอาการป่วยทางวิญญาณที่คาเอเดะเตรียมไว้ให้รอบเท้าด้วยตัวเองแล้ว คาเอเดะก็อ้าปากพูดออกมาว่าเช่นนั้นด้วยรอยยิ้มขี้แกล้ง
เป็นจังหวะที่ผู้ปราบมารด้านการแพทย์ประจำโรงเรียนออกไปทำธุระข้างนอกพอดี ห้องพยาบาลในตอนนี้ก็เลยมีเพียงฉันกับคาเอเดะอยู่ด้วยกันแค่สองต่อสองเท่านั้นเอง
“ ถ้าเกิดหาคนรุ่นเดียวกันที่ยินดีจะรับเธอเข้าร่วมทีมไม่เจอจริงๆ จะช่วยแต่งตั้งเธอเป็นคนแบกของในทีมของฉันให้เอาบุญก็แล้วกันนะ ”
“ แค่เจอผีตัวกระจอกไอ้ฉันก็หืดขึ้นคอแล้วนะ เรื่องอะไรจะยอมถูกเธอลากตัวไปยังสถานที่ทำงานของมืออาชีพตัวท็อปกันฟะ ”
งานที่ถูกเจียดมาให้ผู้ใช้ศาสตร์เก่งๆอย่างคาเอเดะเนี่ย มันย่อมต้องเป็นงานประเภทที่ต้องต่อสู้ประมือกับวิญญาณร้ายหรือไคอิระดับภัยพิบัติแหงอยู่แล้ว กระจอกอย่างฉันต่อให้มีซักกี่ชีวิตก็คงไม่พอ แถมถ้าตายไปแล้วก็คงไม่วายโดนจับมาแปลงเป็นชิกิงามิไม่ก็อะไรพวกนั้น โดนยัยนี่ใช้งานเยี่ยงทาสต่อเนื่องไปตลอดแหงม
ถ้าจะต้องเป็นแบบนั้นแล้วละก็ ยอมเป็นไอ้คนว่างงานอย่างผ่าเผยซะมันยังจะดีกว่าไม่รู้กี่เท่า
พอไม่เห็นดีเห็นงามกับข้อเสนอปุ๊บ คาเอเดะก็พลันพูด “แต่ว่า” พร้อมชี้นิ้วตรงมาใส่ฉัน
“ ต่อให้ถูกคุกคามโดยไคอิที่แสนดุร้าย หรือต่อให้ถูกเพ่งเล็งโดยวิญญาณร้ายอันแสนน่ากลัว แต่ถ้าถึงคราวจำเป็นหลังชนฝาจริงๆก็ยังมีเจ้านั่นอยู่ไม่ใช่เหรอ? ”
“ ……..คือว่านะเฮ้ย ”
ฉันยกมือขวาสองข้างขึ้นมาราวกับจะโชว์ให้คาเอเดะเห็น
กางเขนเงินที่ติดอยู่กับกำไลข้อมือ พลันสะท้อนแสงแวววาวของหลอดไฟ
“ ไอ้พลังพรรค์เนี้ย มันจะไปใช้ต่อหน้าผู้คนได้ยังไงกันฟะ ”
เอ้ยไม่ดิ ต่อให้ไม่ได้อยู่ต่อหน้าผู้คนก็จะใช้ไม่ได้ ไม่อยากจะใช้
“ ก็จริงนะ ”
คงจะรู้คำตอบของฉันดีอยู่แก่ใจแล้วละมั้ง คาเอเดะก็เลยยกนิ้วขึ้นมาแตะริมฝีปากพร้อมยิ้มเล็กๆให้ ก่อนจะ
“ ถ้าเกิดปล่อยให้ใช้พลังแบบนั้นตอนอยู่ในทีมของฉัน ตัวฉันที่เป็นลีดเดอร์คงมีหวังโดนตีตราหาว่าเป็นพวกโรคจิตวิปริตตามไปด้วยแน่เลย ”
“ ถ้ารู้อยู่แล้วก็อย่าพูดสิเอ้อ ”
“ นี่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจวินิจฉัยเหมือนกันน่ะ ถ้าเกิดเธอพร้อมจะใช้พลังนั่นได้โดยที่ไม่มีรู้สึกตะขิดตะขวงใจใดๆเลยนี่ ก็คือต้องเฝ้าดูอาการอย่างหนักแล้ว ”
คาเอเดะพูดหยอกล้อพลางนั่งลงบนเตียง ก่อนจะคว้าเอามือของฉันไป
พอถอดกำไลข้อมือออกอย่างแผ่วเบา คาเอเดะก็ยกเอาหลังมือของฉันไปแนบไว้ติดอยู่กับหน้าผากตัวเองพร้อมกับหลับตา
ถึงแม้ผิวของคาเอเดะจะเป็นสีขาวนวลประหนึ่งหิมะ แต่กลับผิดคาดตรงที่มันมีความอบอุ่นและความอ่อนนุ่มที่สมกับเป็นด็กผู้หญิงแนบพร้อมอยู่ด้วยนี่แหละ แถมเส้นผมที่นุ่มลื่นทำให้รู้สึกอยากจะจับเล่นไปตลอดมันก็ตกลงมาชนอยู่กับมือพอดีเลยด้วยอีก ต่อให้จะทำซักกี่ครั้งก็ไม่ชินกับไอ้เจ้าการตรวจวินิจฉัยนี่ซะที อิมแพคมันแรงเกินไปนิดนึงอะนะสำหรับฉันแล้ว
“ …..อ่า ฉันสงสัยมานานแล้วแหละ ไอ้การตรวจวินิจฉัยเนี่ย มันจำเป็นต้องตัวติดแนบชิดกันซะขนาดนี้จริงๆน่ะเรอะ? ”
“ เพื่อที่จะสัมผัสให้รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วทำแบบนี้มันดีที่สุดน่ะ ก็เลยช่วยไม่ได้น่ะนะ ”
คาเอเดะพูดกลับมาโดยไม่มีเว้นช่วง
เอ้อ ถ้าคาเอเดะพูดแบบนั้นมันก็คงจริงละมั้ง ก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดให้คาเอเดะอยากจะเอาตัวมาติดแนบชิดกับฉันด้วยนี่นะ
“ …..อืม อาทิตย์นี้ก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลง ผนึกที่อยู่ข้างในนั่นยังคงเป็นดังเดิม ”
พอผ่านไปได้ซักพัก คาเอเดะก็สวมกำไลข้อมือกลับให้ดังเดิม พร้อมกับปล่อยมือฉัน ดูท่าว่าการตรวจเช็คของสัปดาห์นี้จะจบลงไปได้ด้วยดีสินะ
“ จะถามเผื่อเอาไว้ก็แล้วกัน เธอได้ยิน [เสียง] ในเวลาอื่นนอกเหนือจากตอนที่นอนหลับรึเปล่า? ”
“ ไม่ได้ยินอะ ขนาดตอนฝันเห็น ก็ยังฟังไม่ได้ศัพท์อยู่เหมือนเคยเลยเนี่ยว่าตกลงมันพูดอะไรอยู่กันแน่ ”
“ เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็รักษาสภาพแบบตอนนี้ไปก่อน ถือเป็นเรื่องดีก็จริงแต่จะประมาทไม่ได้เลยเชียวนะ? ถ้ามีความเปลี่ยนแปลงแบบไหนก็ให้ติดต่อมาหาฉันในทันที ”
“ รู้อยู่แล้วแหละน่า ก็ไอ้เจ้านี่มันเป็นคำสาปที่ขนาดไอ้พ่อเวรนั่นก็ยังไล่ไม่ได้เลยนี่นะ ”
ก้มลงมามองกางเขนที่ติดอยู่กับกำไลข้อมือ
“ …….. ”
ไม่รู้ว่าพึงพอใจกับคำพูดนั่นของฉันหรือไง คาเอเดะก็เลยไม่ได้พูดเหน็บแหนมใดๆ โพล่งออกมาแค่ “ถ้าอย่างนั้น การตรวจวินิจฉัยของสัปดาห์นี้ก็จบแค่นี้ล่ะ” พร้อมกับลุกขึ้นยืน
ฉันเองก็ว่าจะกลับไปเข้าคาบปฎิบัติต่อเหมือนกัน แต่พอเดินไปถึงบริเวณประตูห้อง คาเอเดะก็พลันหันขวับกลับมาพร้อมพูดว่า “อ๊ะ จริงด้วยสิ”
ใบหน้านั่นมีรอยยิ้มเล็กๆที่ดูขี้แกล้งลอยขึ้นมา
“ เกี่ยวกับเรื่องแบ่งทีมน่ะ ถ้าไม่อยากจะเป็นคนแบกของให้ฉัน งั้นก็รีบเข้านะ เด็กปีหนึ่งที่ยังไม่ได้ยื่นเรื่องในตอนนี้ รวมเธอด้วยแล้วก็เหลือแค่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง ”
คาเอเดะจิ้มสมาร์ทโฟนที่อยู่ภายในมือไปพลางกล่าวออกมา ดูเหมือนว่าจะใช้สิทธิของผู้ปราบมารมืออาชีพ แอคเซสเข้าไปดูข้อมูลที่ทางสมาคมดูแลอยู่ละมั้งนั่น
“ แถมพวกที่หลงเหลืออยู่จนตอนนี้ ก็ยังเป็นเด็กตัวปัญหากันซะทั้งนั้นเลยด้วยนะ ยอมกลายมาเป็นทา…..คนแบกของให้ฉันแต่โดยดีซะแบบนั้นคิดว่าน่าจะดีกว่านะ? ”
ไม่อะไม่มีทางดีกว่าแน่นอน แล้วก็ตะกี้เกือบจะโดนลดสถานะจากคนแบกของกลายเป็นทาสอยู่แล้วไม่ใช่เรอะนั่น ไหงปฎิบัติกันงี้เฉย
“ อื้ม แต่ถึงจะพูดว่าเด็กตัวปัญหา แต่จะคนไหนๆก็ยังมีดีกว่าเธอเยอ------ ”
เป็นตรงนั้นเอง ที่สีหน้าของคาเอเดะซึ่งเหมือนว่าจะกำลังมองดูโปรไฟล์ของเหล่าคนที่เหลือเกินมาอยู่นั่น พลันขุ่นมัวไปชั่วขณะ
เจอไอ้ตัวประหลาดอยู่ในนั้นรึไงหว่า ฉันคิดแบบนั้นก่อนจะแอบส่องมองสมาร์ทโฟน….แต่กลับพบว่าหน้าจอไม่ได้แสดงอะไรอยู่เลยซะงั้น
“ เปล่าประโยชน์ ”
แถมคาเอเดะยังมองหน้าฉันด้วยแววตาเหมือนรังเกียจเดียดฉันท์กันเฉยเลยซะงั้น
“ ข้อมูลของสมาคมถูกวางจำกัดด้านจิตวิญญาณคำพูด (โคโตะดามะ) อยู่ ฉะนั้นเธอที่ไม่มีกระทั่งใบอนุญาติชั่วคราวด้วยซ้ำน่ะไม่มีทางเปิดหรือแชร์ข้อมูลได้หรอก เป็นสามัญสำนึกเลยไม่ใช่เหรอ…….วิชาปฎิบัตินี่อาจช่วยไม่ได้ก็จริง แต่อย่าบอกเชียวนะว่าเธอ คงไม่ได้โดดไปถึงวิชาบรรยายด้วยหรอกใช่ไหม ”
“ เอ้ยไม่ๆๆ แค่อยากรู้ ตัวมันก็เลยขยับไปเองเฉยๆเท่านั้นแหละ! ”
ฉันยกข้ออ้างมาแถไปพลางภาวนาร่วมไปด้วย ขออย่าให้ข้อมูลที่สมาคมรับดูแลอยู่ มีข้อมูลผลการเรียนวิชาบรรยายของนักเรียนรวมอยู่ด้วยเลยนะขอร้องล่ะเจ้าพระคุณ
ถึงแม้คาเอเดะจะจ้องเขม่นใส่ฉันด้วยแววตาอันเย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็งอยู่ซักระยะ แต่
“ อื้มเอาเถอะ วันนี้จะยอมอ่อนข้อให้ก็แล้วกัน ”
ท้ายที่สุดคุณหล่อนแกก็อมยิ้มอันดูซาดิสท์ขึ้นมา ก่อนจะ
“ ไว้ถึงสัปดาห์หน้า ต่อให้เธอจะแหยงเท่าไหร่ยังไงแต่ก็คงจะโดนฉันจับสั่งสอนอะไรต่อมิอะไรในหลายๆด้านอยู่ดีนั่นแหละ ในฐานะทาสส่วนตัวของฉันน่ะนะ ”
ในระหว่างที่จ้องมองคาเอเดะเดินห่างออกไปจากห้องพยาบาล ไอ้ฉันก็คิดขึ้นมาแหละ
ว่าต้องรีบหาเพื่อนร่วมทีมที่เป็นผู้เป็นคนและปลอดภัยไร้อันตรายให้ได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้เลยน่ะ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!