ณ จวนเสนาบดีฝ่ายขวา..
"ท่านพ่อ ท่านมีเรื่องอะไรจะพูดกับข้า"เสียงถามแผ่วเบา เข้มเเข็ง แต่เยือกเย็นเอ่ยถามขึ้น ชายวัยเริ่มชราซึ่งคือเสนาบดีฝ่ายขวา เซิ่นหยวนหลัว นั่งอยู่ตรงหน้าลูกสาวของตัวเองทำหน้าลำบากใจเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังจะบอกกับลูกสาวนั้นจะประสบผลสำเร็จหรือไม่
เพราะลูกสาวของของเสนาบดีเซิ่น เปลี่ยนไปตั้งแต่อายุ4ขวบเศษ เด็กสาวที่เคยน่ารัก เด็กสาวที่มีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ ยิ้มแย้มได้ตลอดสามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้ทุกๆวันได้เปลี่ยนไป ไม่พูดมาก ไม่คบหากับใคร ความสงบเยือกเย็นเข้าครอบครองรอยยิ้มและจิตใจของเด็กสาว วันเวลาแห่งความสุขก็ได้หมดไป ตั้งแต่นั้นมาผู้เป็นพ่อก็จำรอยยิ้มนั้นไม่ได้เสียแล้ว เพราะได้ถูกสายลมหนาวพัดพาไปไกลแสนไกล
เสนาบดีเซิ่นตื่นจากความคิด พร้อมเงยหน้าขึ้นมองลูกสาวพร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงสุขุม "พ่อมีเรื่องอยากจะให้เจ้า..ออกความเห็นหน่อย"
"........."
ผู้เป็นพ่อได้รับเสียงของความเงียบกลับมาจึงเริ่มพูดต่อ "อีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าจะมีการจัดงานฉลองพระชนมายุของฮ่องเต้ บุตรชายหญิงของเหล่าข้าราชบริพารต่างต้องไปร่วมกันทุกคน อีกอย่างหนึ่งฝ่าบาทก็ทรงประสงค์อยากชมความสามารถบุตรชายหญิงทั้งหลายของเหล่าข้าราชบริพารด้วย"
"แล้วเกี่ยวกับข้าหรอท่านพ่อ" ลูกสาวเสนาบดีเสิ่นเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ
"ครั้งนี้ฝ่าบาทประสงค์เช่นนี้การกระทำทุกอย่างของบุตรทั้งหลายของเหล่าข้าราชบริพารย่อมแสดงถึงการสั่งสอนของบิดามารดาด้วยดังนั้น..ข้าจึงอยากจะให้เจ้าเตรียมการแสดงในวันนั้นด้วย แต่ว่า...พ่อรู้ดีว่าเจ้าเป็นคนยังไง งานแบบนี้เจ้าไม่เคยคิดจะไปอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้พ่อก็แค่บอกเจ้าไว้ให้รับรู้เพราะพ่อไม่อยากให้พระสนมเอกเสิ่นนางขึ้นเเสดงสักเท่าไหร่เพราะนางแต่งออกไปแล้วก็เหมือนนํ้าที่โดนสาดออกไป แต่หากนางจะแสดงก็ไม่ผิดหรอกนะแต่หากจะให้นางทำพ่อก็ไม่ค่อยอยากจะรบกวนเพราะจวนเราไม่ได้มีลูกเพียงคนเดียว" เมื่อเสนาบดีเซิ่นพูดจบก็มองหน้าลูกสาวเพื่อดูแววตาว่าเธอคิดอะไรอยู่แต่แววตานั่นดูเหมือนไม่สามารถเข้าถึงได้เลยเสนาบดีจึงละสายตาแล้วกลับมาพูดต่อ
"แต่หากเจ้าไม่ยินยอมก็ไม่เป็นไร..เฮ้อ แต่พ่อทำใจกับเรื่องนี้มานานแล้วล่ะ พ่อรู้ว่ามันจะเป็นยังไงแต่พ่อก็เเค่อยากบอกเจ้า ความจริงมันถูกกำหนดตั้งสองเดือนที่เเล้วแต่พ่อไม่รู้จะบอกเจ้ายังไงดี ตอนนี้เวลากระชั้นชิดแล้วสิ่งที่พ่อพูดไปคงไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ"
เสนาบดีเสิ่นมองหน้าลูกสาวอีกครั้งแต่ใบหน้าและดวงตานั้นยังคงสงบ เยือกเย็นเช่นเคยไม่เคยเปลี่นและไม่ใช่เพียงตอนนี้เท่านั้นทั้งตั้งแต่เมื่อวาน วันก่อน เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว และทุกๆปีที่ผ่านมาก็ยังคงเป็นเช่นนี้เรื่อยมา
"ความจริง" หญิงสาวจ้องมองบิดากลับด้วยสายตาสงบ "ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องบอกข้า ไม่จำเป็นต้องคิดให้ข้า เพราะท่านย่อมรู้ดีว่าข้าเป็นอย่างไร"
"นั่นสินะข้าก็รู้ดีว่าเจ้าต้องปฏิเสธ"
"........."
"เจ้าไปเถอะ ข้าหมดธุระแล้ว"
"ท่านพ่อ ข้าทูลลา"หญิงสาวคำนับบิดาแล้วก็เดินออกไปทันที
เสนาบดีเซิ่นมองดูลูกสาวเดินออกไป จนชุดสีเเดง
ฉ่านของลูกสาวหายลับไปจากกรอบประตูและได้แต่ถอนหายใจไปไม่พร้อมเอ่ยด้วยเสียงอันเบา"จิ๋วเอ๋อ..."
"คุณหนูนายท่านพูดอะไรกับคุณหนูหรือเจ้าคะ"มู่ซินเจี่ยสาวใช้ข้างตัวของจิ่วหลันถามคำถามนี้ซํ้าไปมาระหว่างออกจากจวนมหาเสนาบดีมา แต่ก็ไร้คำตอบของคำถามที่ถามไป
รถม้าหยุดนิ่งไป จิ่วหลันเดินลงมามาจากรถม้า ข้างหน้าเป็นสุสานวิญญาณของโต้วจินเซีย มารดาของจิ่วหลันผู้ล่วงลับไปในวันที่เธอเกิดมา จิ่วหลันวางช่อดอกไม้ลงข้างป้ายวิญญาณพร้อมนั่งลงตรงหน้านั้น
"ท่านแม่ข้ามาเยี่ยมท่าน..ท่านไม่ต้องเป็นห่วงชีวิตของข้าในตอนนี้เพราะทุกคนก็ดีกับข้าเหมือนทุกๆครั้งที่ข้าบอกท่านเสมอมา ท่านแม่ท่านว่าข้าควรตอบตกลงท่านพ่อดีหรือไม่"
ทุกสิ่งนิ่งเงียบไป แต่แล้วสายลมก็พัดมาเเว่วเสียงคำตอบ "เจ้ารู้ว่าเจ้ามีหน้าที่อะไร อย่าทำให้ใครต้องผิดหวังเพียงเพราะ ใจ..ของเจ้า"
จิ่วหลันนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับอำลา
"ท่านแม่ ข้าจะมาใหม่"
จิ่วหลันเดินกลับมาที่รถม้า มู่ซินเจี่ยที่เห็นก็รีบเดินเข้ามาถามทันที"คุณหนูทำไมวันนี้ท่านกลับมาเร็วกว่าปกติล่ะเจ้าคะ"
"แค่ไม่มีอะไรให้ต้องอยู่นาน!"
แล้วจิ่วหลันก็ก้าวขึ้นรถม้ามุ่งกลับไปยังจวนเสนาบดีฝ่ายขวา รถม้าวิ่งอย่างช้าๆเข้าสู่ตัวเมือง จิ่วหลันนั่งหลับตามาตลอดทางฟังเสียงผู้คนไปมา แล้วจิ่วหลันก็ลืมตาขึ้น"มู่ซินเจี่ย หยุดรถ"
แล้วรถม้าก็หยุดลง จิ่วหลันเดินลงจากรถม้า มู่ซินเจี่ยจึงรีบถามขึ้นทันที "คุณหนูให้ตามไปมั้ยเจ้าคะ"
"ไม่ต้องรอข้า"จิ๋วหลันตอบโดยไม่ได้หันกลับมามองพร้อมเดินเข้าไปปะปนกับฝูงชน แต่มู่ซินเจี่ยก็ยังมองตามจิ่วหลันไปเพราะสังเกตง่ายมาก 'ชุดแดงสดขนาดนั้น'
จิ่วหลันเดินเข้าไปในโรงละครแล้วเดินไปนั่งโต๊ะด้านที่ลับตาคนที่สุด คนยกนํ้าชายกชามะลิกับขนมก๊วย ฮวามาให้จิ่วหลันทันทีอย่างคนที่รู้ดีมากคนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วเพราะคนในโรงละครต่างรู้ดีว่าหากหญิงสาวชุดแดงหน้าตาสวยดูมีชาติตระกูลเข้ามาเมื่อไหร่ ไม่จำเป็นต้องถามอะไรทั้งนั้นเอาเพียงชามะลิกับขนมก๊วยฮวามาก็พอแล้ว เพราะคนในนี้ต้องรู้ว่าคุณหนูเสิ่นจิ่วหลันชื่นชอบที่สุด..
ละครกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น จิ่วหลันหยิบ
ขนมก๊วยฮวากินอย่างสงบ มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามโต๊ะเดียวกับจิ่วหลัน แต่เธอกลับไม่สนและทำเป็นเหมือนไม่เห็นซะงั้นแล้วดื่มชา กิน ขนมก๊วยฮวาต่อ ชายหนุ่มเห็นท่าทีแบบนั้นจึงเริ่มทักทายก่อนทันที
"สวัสดี ข้าแซ่ต๊วน นามหลานปิง ไม่ทราบว่าแม่นางชื่อแซ่อะไร ข้าเห็นแม่นางมาที่นี่หลายหนแล้วแต่กลับไม่มีโอกาสได้รู้จัก"
"......."จิ่วหลันไม่ตอบ สีหน้ายังคงเหมือนเดิมไม่ชายตามองแม้แต่นิดเดียว ดูการแสดงงิ้วเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น คุณชายหลานปิงจึงพูดต่อทันทีเพื่อเบียดแบนความสนใจ
"เจ้าคงไม่อยากบอกสินะ! ไม่เป็นไรข้าไม่ถือ แต่เจ้าเป็นสตรีตัวคนเดียวมาดูงิ้วดูละครคนเดียวไม่เหงาบ้างหรอ งั้นเรามาเป็นสหายกันดีมั้ย!!"
จิ่วหลันชายตามองคุณชายหลานปิงแวบหนึ่งแล้วเบือนหน้ากลับอย่างไม่สนใจเหมือนเดิม
"นี่ แม่นางดูจากการแต่งตัวของดจ้าแล้วน่าจะเป็นลูกของคนมีอำนาจอยู่ปกติต้องมีคนติดตามตลอด แต่ทำไม.. เจ้าตัวเล็กแค่นี้แถมดูอ่อนแออีกควรมีคนดูแลงั้นเจ้ายอมให้ข้าเป็นสหายของเจ้า แล้วข้าจะดูแลเจ้าเองดีมั้ย! เอ๊ะ!!ข้าจะบอกให้ข้านะเป็นลูกของอำ
มาตย์ต๊วนหากมีอะไรให้ช่วยบอกข้าเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้ความสามารถ หรือว่าเรื่องต่อยตีข้าได้หมด"
จิ่วหลันหันมามองคุณชายหลานปิงเขม็ง ก่อนจะหันไปดูงิ้วต่อ
คุณชายหลานปิงเห็นจิ่วหลันไม่พูดแถมยังหันมามองตนเขม็งเหมือนเมื่อครู่ก็ทำให้รู้สึกเสียวไส้ขึ้นมาจึงเงียบลง
แต่คุณชายหลานปิงยังไม่หมดความพยายาม จ้องมองใบหน้าเรียวเล็กของจิ่วหลันอย่างจดจ่อเพื่อหวังรอดูว่าจะมีปฏิกิริยาแบบไหนแต่จนแล้วจนรอดหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรออกมา ยังนั่งนิ่งเช่นเดิม จนคุณชายหลานปิงถอนหายใจออกมาพร้อมล้มเลิกความตั้งใจหมดสิ้น
ชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะข้างๆดูเหมือนเริ่มจะมีปากเสียงขึ้นมา ตอนแรกดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาก อต่แล้วก็เริ่มเสียงดังขึ้นไป คุณชายหลานปิงจึงเดินเข้าไปห้ามทันที
"นี่พวกเจ้าจะมาเอะอะทำไมกันที่นี่รบกวนคนอื่นเค้านะรู้มั้ย หากจะทะเลาะก็ไปที่อื่น"
ชายสองคนนนั้นหันมาหาคุณชายหลานปินทันที
"เจ้าจะมายุ่งทำไมห๊ะ!!เรื่องคนอื่น"ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพูดขึ้นอย่างโมโห
"พวกเจ้าน่ะควรปรับความเข้าใจกัน อย่ามาทะเลาะกันแบบนี้มันไม่สมกับเป็นลูกผู้ชายเลยนะ แต่หากหักห้ามใจไม่ได้จริงละก็ ก็ไปที่อื่นเถอะ" หลานปิงพูดขึ้นกับชายฉกรรจ์ทั้งสอง
"เจ้าพูดแบบนี้คงอยากมีส่วนร่วมด้วยสินะ ได้!!!"
แล้วชายฉกรรจ์ทั้งสองคนก็หันมารุมกระทืบคุณชายหลานปิงด้วยกันทันที
ตรงมุมหนึ่ง อ๋องเยว่กับองครักษ์มองดูอยู่เงียบไป แล้วองครักษ์ก็ถามขึ้นทันที
"ท่านอ๋องจะเข้าไปช่วยคุณชายหลานปิงดีมั้ยขอรับ"
"ยังไม่ต้อง รอดูก่อน "ท่านอ๋องพูดขึ้นอย่างสงบ
"ขอรับ"
ชายฉกรรจ์สองคนรุมตีคุณชายหบานปิงอย่างไม่ใยดีคนอื่นรอบข้างรีบลุกออกจากโต๊ะของตัวเองทันทีเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนอื่นๆต่างกรีดร้องด้วยความตกใจกัน แต่เบื้องหลังนั้นกลับมีหญิงสาวหน้าตาดีมากๆคนหนึ่งยืนมองอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร
หญิงสาวคนนนั้นกลับไม่ส่งเสียงร้อง ไม่มีท่าทีตกใจ แถมยังไม่ถอยหนีอีก นั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างเดิชายฉกรรจ์ ทั้งสองหยุดทุบตีคุณชายหลานปิงแล้ว
คุณชายหลานปิงรีบคลานไปหาจิ่วหลันอย่างหมดแรง เหมือนอยากจะขอความช่วยเหลือจากหญิงสาว
"ผู้ชายอะไร ขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวกัน!!" องครักษ์จงหลินพูดขึ้นอย่างเหน็บแนม "ผู้หญิงบอบบางแบบนั้นต้องใจอ่อนช่วยอยู่แล้วสิ ช่างเลือกคนเก่งจริงๆ"
อ๋องเยว่มองดูอยู่นานพลางยิ้มขึ้นอย่างชื่นชอบ"เจ้าดูดีๆก่อนสิ"
องครักษ์จงหลินหันไปมองดูอีกครั้งทันที
หญิงสาวชุดแดง (จิ๋วหลัน) สะบัดเท้าออกจากมือของคุณชายหลานปิงทันทีอย่างไรเยื่อใย ไม่มีความสงสารปรากฎแต่อย่างใด แถมสีหน้ายังสงบเยือกเย็นอีกต่างหาก ทำเอาองครักษ์จงหลินอ้าปากค้างอย่างคนใบ้รับประทานทันที ตอนนี้อยากจะกลืนคำพูดเมื่อกี้อยู่เต็มที
เพราะไม่คิดว่าผู้หญิงที่ภายนอกดูบอบบางแบบนั้นจะไร้เยื่อใยชนิดไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก
"ไร้เยื่อใย ไร้ความสงสาร" อ๋องเยว่พูดขึ้นหลังจากองครักษ์จงหลินใบ้รับประทานไป
"ของจริง!!!" องครักษ์จงหลินเสริมแทบจะทันที
จิ่วหลันเดินออกๆปจากโรงละคร โดยไม่หันกลับมามองด้านหลัง
"จงหลินไปดูคุณชายหลานปิงก่อน! หากอำมาตย์ ต๊วนรู้เข้าต้องอับอายแน่ จัดการให้ดี"
"เป็นถึงคุณชายต๊วน ทำไมเป็นอย่างนี้นะ!"องครักษ์จงหลินรีบเข้าไปช่วยคุณชายหลานผิวทันที
คุณชายหลานปิงรีบเข้ามาขอบคุณ ชิงเยว่(อ๋องเยว่)ทันทีด้วยความเคารพ
"คราวหน้าคุณชายอย่าไปกอดขาผู้หญิงแบบนั้นอีกนะ หากท่านอำมาตย์ต๊วนรู้ คนอื่นรู้เข้า คงอายไปถึงการาชสำนัก อีกอย่างหากผู้หญิงคนนั้นนำเรื่องนี้ไปป่าวประกาศจะยิ่งแย่" ชิงเยว่พูดขึ้น
" ขอบพระทัยท่านอ๋อง!"
"งั้นข้าขอตัวก่อนคุณชาย งานที่ตำหนักยังรอช้าอยู่ อีกอย่างอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าอย่าทำเรื่องอับอายอีกล่ะ"
"ทราบแล้ว ท่านอ๋อง!"
"จงหลินไป!!"
ชิงเยว่กับองครักษ์จงหลืนเดินออกมาจากฌรงละครอย่างเร่งรีบ
"ส่งคนตามรึยัง"ชิ่งเยว่รีบถามขึ้น
"เรียบร้อยแล้วขอรับ แต่ทำไมท่านอ๋องถึง...."
"ข้าแค่อยากรู้ว่านางเป็นใคร"
องครักษ์จงหลินนำทางชิงเยว่ไปตาใทางที่สายรายงานมา ไม่นานก็เจอหญิงสาวคนเมื่อครู่ในโรงละคร อ๋องเยว่สะกดรอยตามไปเงียบๆเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน
จิ่วหลันเดินปะปนไปกับผู้คน แต่กลับยังเด่นสะดุดตาแต่เหมือนเธอจะไปอย่างไม่มีจุดหมายสักเท่าไหร่
องครักษ์จงหลินทนเดินไปโดยไม่พูดไม่ไหวจึงเอ่ยขึ้นเบาๆกับอ๋องเยว่
"ท่านอ๋องท่านว่านางมีฐานะอย่างไร"
"นางคงมีฐานะดีมาก ดูจากเนื้อผ้าชั้นดีของชุด กับนิ้วเรียวสวยของนางน่าจะเป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์"
องครักษ์จงหลินเงียบคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอีก
"แต่ทำไมคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ ถึงไม่มีคนคอยติดตามดูแล ร่างกายเล็กแบบนั้นหากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆคงไม่มีเเรงสู้ "
ชิงเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไรออกไป
องครักษ์จงหลินเห็นแบบนั้นก็พูดแซวขึ้น
"อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องที่ไม่เคยสนใจหญิงคนใดคนนั้น ตอนนี้กลับสนใจคุณหนูเย็นชาแบบนั้นขึ้นมาจริงๆหรอกนะ"
อ๋องเยว่และองครักษ์จงหลินยังคงติดตามจิ่วหลันต่อไปเรื่อยๆ
จิ่วหลันเดินเข้าไปในร้านภาพเขียน อ๋องเยว่กับองครักษ์จงหลินรีบตามเข้าไปทันที แต่เมื่อเข้าไปแล้วกลับไม่พบเธอ เถ้าแก่เจ้าของร้านรีบเดินเข้ามาทักทายทันทีด้วยรอยยิ้ม
" เถ้าแก่ ท่านพอจะเห็นหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดแดง น่าตาดี ดูเป็นลูกคุณหนูเข้ามาในร้านบ้างมั้ยขอรับ"
เถ้าแก่เจ้าของร้านทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งส่ายหัวเบาๆแล้วตอบ
"คุณชายท่านนี้ คนที่ท่านถามหาไม่มีหรอก! เมื่อกี้ข้าเพิ่งไปหลังร้านมาถ้าหากมีคนที่ท่านตามหาเข้ามาในนี้จริง! ข้าคงไม่เห็น"
อ๋องเยว่คิดครู่หนึ่งก่อนถามใหม่อีกครั้ง
"เถ้าแก่ ท่านช่วยคืดดีๆอีกรอบได้หรือไม่!"
เถ้าแก่เจ้าของร้านได้แต่ส่ายหัวโดยไม่ตอบอะไร
"รบกวนท่านแล้วเถ้าแก่" องครักษ์จงหลินเอ่ยขึ้นหลังจากที่บทสนทนาจบลง
อ๋องเยว่เดินออกจากร้าน แต่ก่อนไปอ๋องเยว่ก็ได้สั่งให้องครักษ์จงหลินซื้อรูปภาพในร้านมาหนึ่งรูปเพื่อไม่ให้เสียมารยาทเช่นกัน
หลังออกมาจากร้านองครักษ์จงหลินก็ถามขึ้นทันที
"ท่านอ๋องจะให้หาต่อหรือไม่"
"ไม่ต้อง! เรื่องนี้เอาไว้ก่อน สักวันหนึ่งเราต้องได้เจอกันแน่"
"ทำไมท่านอ๋องถึงคิดเช่นนั้นขอรับ!!!!!" องครักษ์ถามด้วยความสงสัย
"ก็นางดูเหมือนคนมีชาติตระกูลสูงส่งไม่ใช่รึไง!!! เจ้าก็ดูเหมือนฉลาดแค่นี้ก็คิดไม่ออกเชียวหรอ"
"ขอรับ ข้าน้อยเลอะเลือนเอง"
อ๋องเยว่หัวเราะเบาๆทีหนึ่งแล้วแล้วก็ขึ้นม้ากลับวังไป
วันฉลองพระชนมายุของฮ่องเต้....
เหล่าขุนนางข้าราชบริพารและบุตรขชายหญิงต่างเข้ามาในวังกันอย่างครึกครื้น
งานเลี้งได้เริ่มขึ้นด้วยการแสดงของบุตรชายหญิงของเหล่าข้าราชบริพาร บุตรชายหญิงของเหล่าขุนนางต่างพากันขึ้นแสดงอวยพร กันอย่างรื่นเริงสนุกสนาน
หญิงสาวสวมชุดขาวผู้หนึ่งดูงามสง่าผ่าเผยขึ้นมาแสดง ทำให้เสียงรอบข้างต่างเบาลงด้วยความตื่นเต้น เธอคือลูกสาวของมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหรินกู้ฮัว
ผู้คนต่างชื่นชมความงามของหญิงสาวไม่ขาดปาก
"ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท หม่อมฉัน เหรินเสรินเจี่ย เป็นลูกสาวของ เหรินกู้ฮัว เพคะ" เธอกล่าวด้วยเสียงอันหวาน
ฮ่องเต้ยิ้มอย่างมีความสุข
"ที่แท้ลูกสาวของเสนาบดีเหริน นี่เอง งดงามสมคำลํ่าลือ"
"ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท"
เสรินเจี่ยคุณหนูจวนมหาเสนาบดีเหรินก็เริ่มแสดงการร่ายรำพัด ท่าทางการร่ายรำพัดนั้นสง่างดงามสมคำรํ่าลือเมื่อรวมเข้ากับชุดขาวที่บงบอกถึงความงามสง่า แล้วยิ่งทำให้ผู้คนปลื้มไม่หยุด แล้วการแสดงก็จบลงอย่างสวยงามพร้อมกับเสียงชื่นชมต่างๆนาๆ
'ท่านมหาเสนาบดีเหรินช่างโชคดีจริงๆมีลูกสาวงดงามมากความสามารถถือว่าช่างมีบุญวาสนาเกินกว่าใครๆ'
'ลูกสาวท่านมหาเสนาบอดีเหริน มีความรู้ความสามารถมาแต่ไหนแต่ไร หากเป็นเช่นนี้ย่อมไม่แปลก'
ฮ่องเต้ยิ้มอย่างชื่นบานแล้วตรัสออกมาอย่างมีความสุข
"ดี!ช่างสวยงามสมกับเป็นบุตรสาวท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย มอบรางวัล!!!"
"ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทมีอายุยืนนานเพคะ"
ถึงแม้การแสดงของคุณหนูเสรินเจี่ยจะจบลงแต่เสียงของความชื่นชมยังไม่จบสิ้น
แล้วฮ่องเต้ก็หันมาตรัสถามกับมหาเสนาบดีเซิ่นด้วยแววตาอยากรู้
"ท่านมหาเสนาเซิ่น ท่านให้พระสนมเอกนางเตรียมการแสดงอะไรไว้งั้นหรอ"
ฮ่องเต้พูดจบก็หันไปมองทางพระสนมเอกเซิ่นทันที
"ท่านมหาเสนาบดีเซิ่น อย่าให้น้อยหน้าไปกว่าท่านมหาเสนาบดีเหรินล่ะ" อำมาตย์หยางพูดขึ้น
"เอ่อ...คือ.." มหาเสนาบดีไม่รู้จะตอบยังไงจึงได้แต่พูดขาดไปหายๆ
พระสนมเอกเซิ่นกำลังจะหันไปบอกบางอย่างกับฮ่องเต้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าตะลึงของฮ่องเต้ พระสนมเอกนางจึงหันไปทางด้านหน้าทันที
หญิงสาวงดงามมากผู้หนึ่งสวมใส่ชุดสีแดงสยายยืนอยู่ตรงหน้าแล้วเริ่มร่ายรำทันทีโดยไม่พูดอะไร
ท่วงท่าที่อ่อนช้อย และอ่อนหวานเหล่านั้นต่างตรึงทุกสายตาของคนตรงนั้นไว้อย่างเหนี่ยวแน่น เพราะต่างไม่เคยเห็นมาก่อน
ถึงแม้ทวงท่าจะสง่างามเพียงใดแต่มีน้อยคนนั้นกลับได้เห็นถึงดวงตาคู่นั้นที่ สงบ เยือกเย็น ยากค้นหา และเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวเหมือนมีดคู่นั้น
การร่ายรำจบลง แล้วเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็เกิดขึ้นทันที
" นี่ท่านมหาเสนาบดีเซิ่นถึงกับจ้างนางรำมืออาชีพที่มีฝีมือดีขนาดนี้มาเลยหรอเนี่ย"
"อีกอย่างบทเพลง การร่ายรำก็แปลกตา คงเป็นคนจากต่างแดน"
"ต้องใช้เงินมากแน่เลยกว่าจะได้คนมีฝีมือเช่นนี้"
" ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาก็เป็นคนเช่นนี้เองหรอ"
ท่านมหาเสนาบดีเซิ่นที่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบไป เนื้อตัวสั่นไปหมดด้วยความยินดีอย่างเหลือล้น นํ้าตาเกือบเก็บไว้ไม่อยู่
" ท่านมหาเสนาบดีเซิ่น นี่ใครกัน นางรำงั้นหรอ"
ฮ่องเต้ถามทันที
"กราบทูลฝ่าบาท น..นาง..คือ..เอ่อ..นาง"
มหาเสนาบดีเซิ่นอํ้าๆอึ้งๆไม่รู้จะพูดยังไงก่อน
แล้วเสียงสงบเยือกเย็นก็ดังขึ้นทันทีเช่นกัน
"เหตุใดทุกท่านถึงได้กล่าวหากันเช่นนี้เจ้าคะ พูดเป็นขวานผ่าซาก ไม่เกรงใจกันเช่นนี้เลยหรอ"
จิ่วหลันพูดอย่างสงบ
" เจ้าเป็นใครกัน" ฮ่องเต้ตรัสถาม
"กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉัน เซิ่นจิ่วหลัน ลูกคนเล็กของจวนเซิ่นเพคะ"
สิ่นคำพูดของจิ่วหลันทุกคนต่าง หือ ขึ้นมาทันที แต่อ๋องเยว่ที่อยู่ตรงนั้นกลับยิ้มขึ้นเงียบๆ
" ท่านมหาเสนาลูกสาวท่านจริงหรือ" ฮ่องเต้ถามขึ้น
"พะยะคะฝ่าบาท!"
เมื่อได้ยินคำตอบ ฮ่องเต้จึงรีบหันไปขอการยืนยันจากพระสนมเอกเซิ่นทันที พระสนมเอกเซิ่นนางก็ได้แต่หยักหน้าเหมือนทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่านางจะปรากฏตัวในที่แบบนี้!!!!
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!