ยามจื่อ (子) คือ 23.00 – 24.59 น.
เฉียนเหม่ยเซียงลูกสาวคนโตของแม่ทัพเฉียนทำลับๆล่อๆเดินก้มๆเงยๆอยู่บริเวณสวนหลังบ้านเมื่อพบว่าไม่มีใครเห็นก็เดินตัวตรงได้อย่างสบายใจ สาวใช้คนสนิทที่เป็นคนคอยดูต้นทางให้เซียงเอ๋อร์ก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรงด้วยความโล่งใจที่เห็นคุณหนูของตนกลับจวนมาสักที
“คุณหนู! เหตใดจึงกลับมาช้านักเล่าเจ้าคะ หม่อมชั้นร้อนใจแทบแย่!” สาวใช้เอ่ยบอกคุณหนูของตนด้วยความรู้สึกร้อนใจจริงๆราวกับโดนไฟแผดเผา
“วางใจเถอะ! ข้าก็กลับมาแล้วนี่ไง” เซียงเอ๋อร์บอกกับสาวใช้อย่างสบายอารมณ์พร้อมกับยิ้มบางๆให้นาง
แล้วทั้งสองคนก็เดินเข้าจวนไปพร้อมกันโดยที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีท่านพ่อของนางยืนมองอยู่ห่างๆพร้อมกับคนสนิท
“คุณหนูถึงวัยออกเรือน!” ผู้ช่วยคนสนิทของเฉียนเจียงฮุยเอ่ยบอกพร้อมกับมองท่าทีของท่านแม่ทัพไปด้วย
เจียงฮุยยืนมองลูกสาวของตนจนนางเดินหายเข้าไปในห้องแล้วจึงกลับห้องของตน ในระหว่างทางเดินกลับเขาก็คิดถึงเรื่องการแต่งงานของลูกสาวที่บัดนี้ได้พระราชทานสมรสมาแล้ว ไม่มีทางที่จะปฏิเสธหรือหีกเลี่ยงได้เขารู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้นั้นก็เพื่อความมั่นคงของฮ่องเต้และบัลลังก์ ที่สำคัญที่สุดของการแต่งงานครั้งนี้คือเซียงเอ๋อร์จะไปเป็นตัวประกันไปโดยปริยาย
เหม่ยเซียงนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งและมีสาวใช้ยืนหวีผมให้ ทั้งสองคุยกันสนุกสนานถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ก่อนจะมาจบที่เรื่องการแต่งงานของนาง
“หม่อมฉันได้ข่าวมาว่ามีสมรสพระราชทานถึงตระกูลเฉียนเจ้าค่ะ!” เจียอี้สาวใช้แอบกระซิบกับเหม่ยเซียงเหมือนกลัวใครจะได้ยินเข้า
“อย่างงั้นหรือ?” เหม่ยเซียงทำท่านึกคิดเรื่องที่เจียอี้พูดก่อนจะรู้สึกกลัวขึ้นมาที่จะต้องแต่งงานไปต่างเมือง
นางเดินวนไปวนมาภายในห้องนอนและจินตนาการภาพในตอนที่ตัวเองแต่งงานไปแล้ว นางจะเจอสามีแบบไหน และเขาจะดีต่อนางหรือไม่
“เข้านอนเถอะเจ้าค่ะ คุณหนู! เดินไปก็ไม่ช่วยอะไร” เจียอี้ที่เห็นเจ้านายของนางเดินวนไปวนมาจนรู้สึกเสียนหัวแทน จึงบอกให้เหม่ยเซียงรีบเข้านอน
หลังจากหวีผมเสร็จเหม่ยเซียงก็เตรียมเข้านอนเพราะหญิงสาวนั้นกลับจวนมาก็ดึกมากแล้ว ในเวลาแบบนี้ไม่มีใครยังไม่ดับเทียนกันหรอกมีก็เพียงห้องนอนของนางเท่านั้น
“ท่านแม่ทัพ เราไม่สามารถเลี่ยงการแต่งงานครั้งนี้ได้” ฮวางเฟิงเอ่ยบอกเจ้านายด้วยความลำบากใจ
“เซียงเอ๋อร์ถึงคราวลำบากเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกนั่นคือแม่ของนางตาย!” เจียงฮุยมีสีหน้ายุ่งยากใจขึ้นมาเมื่อน้องเผชิญกับความจริง ถึงแม้เขาจะเก่งในสนามรบแต่ในเรื่องแบบนี้กลับทำให้ร้อนใจขึ้นมาซะได้
“การใช้ชีวิตในวังนั้นอันตรายเสียยิ่งกว่ายืนอยู่ริมหน้าผา!”
ทั้งสองมีสีหน้าลำบากใจทั้งคู่ที่ต้องเผชิญกับเรื่องนี้ เจียงฮุยรู้ดีกว่าใครว่าการแต่งงานครั้งนี้ตระกูลเฉียนไม่สามารถปฏิเสธได้มีแค่ทางเลือกเดียวคือตอบตกลงและส่งลูกสาวเข้าวังตามคำสั่ง
เจียงฮุยนั่งอยู่ที่ห้องหนังสือทั้งคืนเพื่อขบคิดเรื่องสมรสพระราชทานนี้อย่างถี่ถ้วนว่าเมื่อถึงเวลาจะไม่มีเหตุการณ์ผิดพลาดเกิดขึ้นกับลูกสาวของเขา เขารู้อยู่เต็มอกว่าแท้จริงแล้วการแต่งงานนี้เพื่อถ่วงดุลอำนาจทางการทหารที่ตนถือครองอยู่ และอีกเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้เลยคือ เซียงเอ๋อร์ลูกสาวของตนนั้นจะไม่ได้รับความรักจากฮ่องเต้ถึงแม้จะแต่งงานกันถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่าง เซียงเอ๋อร์จะถูกปฏิบัติอย่างตัวประกันในนามฮองเฮา
ยามเฉิน (辰) คือ 07.00 – 08.59 น.
“ท่านพ่อมีอะไรหรือเจ้าคะ ถึงได้เรียกให้เซียงเอ๋อร์มาหาแต่เช้า” เหม่ยเซียงถามพ่อของนางด้วยน้ำเสียงสดใส
“สมรสพระราชทานมาถึงแล้ว!” ความลำบากใจก่อตัวขึ้นอีกครั้ง สองคนพ่อลูกต่างก็มองหน้ากันไปมาแต่กลับเป็นเหม่ยเซียงที่ยิ้มออกมาก่อน
“อืม ข้ารู้แแล้วเจ้าค่ะ!” นางเอ่ยออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รายกับว่าการแต่งงานเป็นเรื่องเล็กน้อย
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ยังไงข้าก็ต้องแต่งงานออกเรือนอยู่ดีไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว” เหม่ยเซียงบอกกับพ่อของนางพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ
เจียงฮุยมองหน้าลูกสาวนิ่งๆ แม้ภายในใจจะรู้วิตกกังวลมากแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถแสดงออกมาให้เหม่ยเซียงเห็นได้ ในเวลานี้หากทำให้คนอื่นมาคอยเป็นห่วงแล้วนั้นจะยิ่งทำให้เสียงาน
“วันนี้เจ้าอยากจะออกไปไหนก็ตามใจ” เหม่ยเซียงยิ้มกว้างเมื่อได้ยินแบบนั้นจากปากของพ่อตัวเอง
“แต่… พาเจียอี้ไปด้วย!” เจียงฮุยทำเสียงเข้มใส่ลูกสาว
“งั้น ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ” หลังจากฟังพ่อพูดจบนางก็วิ่งด้วยความเร็วบ่งบอกว่าดีใจอย่างมากที่ไม่ต้องคอยแอบออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแล้ว
“นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เซียงเอ๋อร์จะมีอิสระแบบนี้” น้ำเสียงที่ฟังดูแน่วแน่ปกปิดสายตาที่เศร้าหมองไม่ได้
“เจียอี้! วันนี้ท่านพ่อใจดีกับข้าจริงๆ” เหม่ยเซียงนั่งกินขนมดื่มชาและคุยกับสาวใช้คนสนิทอย่างเบิกบานใจที่ได้ออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก เหม่ยเซียงไม่รู้สึกเครียดกับเรื่องการแต่งงานเลยแม้แต่น้อย
“คุณหนูใยจึงอารมณ์ดีเช่นนี้เล่า วันแต่งงานใกล้เข้ามาแล้ว! น่าจะเตรียมตัวอยู่ในเรือนสิเจ้าคะ” เจียอี้บอกกับเหม่ยเซียงสะยืดยาวแต่หญิงสาวหาได้สนใจไม่ มิหนำซ้ำยังดื่มชาอย่างรื่นรมย์ใจอีกต่างหาก
“หุบปากของเจ้าไปเลย! ข้าไม่อยากจะนีกถึงเรื่องการแต่งงานบ้าบออะไรนั่นหรอก!” เหม่ยเซียงมองสาวใช้อย่างไม่ชอบใจที่นางเอาแต่ย้ำเรื่องแต่งงาน หญิงสาวอยากใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าก่อนจะต้องเข้าวัง
“วันนี้เจ้าต้องไปต่อแถวซื้อขนมร้านดังให้ข้าด้วย เพราะท่านพ่อจะต้องชอบแน่ๆ”
“เจ้าค่ะๆ! หม่อมฉันทราบแล้วเจ้าค่ะ” เจียอี้ตอบรับอย่างประชดประชันที่เหม่ยเซียงไม่สนใจสิ่งที่ตนบอก
ตกเย็นทั้งบ่าวและนายก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับจวน เหม่ยเซียงเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อยและดันนึกขึ้นได้ว่าต้องไปต่อแถวซื้อขนมร้านดังในตลาด เมื่อนึกได้เหม่ยเซียงก็สั่งให้เจียอี้รีบไปเข้าคิวรอซื้อขนมเพื่อนางจะได้เอาไปให้พ่อของนาง
“เจียอี้เจ้ารีบไปเข้าคิวรอซื้อขนมเร็วเข้า!” น้ำเสียงหวานเอ่ยบอกกับสาวใช้ ได้ยินดังนั้นเจียอี้จึงรีบทำตามคำสั่งของเจ้านายและวิ่งไปยังร้านขนมยอดนิยมนั้นทันที
(เฮ้อ! ข้าลืมไปได้อย่างไรนะ)
ในขณะที่เหม่ยเซียงกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังร้านขนมนั้น เธอได้หยุดวิ่งแล้วมองสำรวจรอบๆตัวเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติในเวลานี้ที่ตะวันตกดินแล้วเหม่ยเซียงเกิดระแวงขึ้นมา
“อ๊ะ! เจ้าไม่เห็นคนหรืออย่างไร?!” เหม่ยเซียงล้มลงพร้อมกับชายชุดดำตรงหน้า นางมองเขาอย่างพิจารณาก่อนจะรู้สึกใจหวิวๆขึ้นมาเมื่อดูการแต่งกายของเขาผู้นี้แล้ว
(คนผู้นี้แปลกยิ่งนัก!)
“เลือด! เจ้าบาดเจ็บนี่” เหม่ยเซียงตกใจตาเบิกโพลงแล้วจับที่แขนของชายชุดดำอย่างลืมตัวก่อนจะพยุงให้เขาลุกขึ้น เหม่ยเซียงพยุงชายชุดดำเข้าไปหลบข้างๆกองฟางแถวนั้น นางมองหน้าเขาด้วยความสงสัยปนตกใจและดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยมีสติสักเท่าไร
“ข้าจะไปหายามาให้ เจ้าหลบอยู่ตรงนี้ก่อน” เหม่ยเซียงกำลังจะมุดออกไปจากกองฟางนี้แต่มือหนาก็คว้าแขนของนางเอาไว้เสียก่อน เหม่ยเซียงหันไปมองที่มือหนานั้นก็เห็นว่ามีเลือดเปื้อนเต็มมือแล้วนางจึงนั่งลงข้างๆเขาตามเดิม
“นั่งนิ่งๆ” น้ำเสียงแผ่วเบาของชายชุดดำทำให้เหม่ยเซียงเกิดกลัวขึ้นมาว่าเขาจะเป็นอะไรไปเสียก่อน
“เจ้ามีนามว่าอะไร?!” นางรู้ว่าเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ไม่ควรจะเอ่ยอะไรออกมาแต่เหม่ยเซียงก็อดสงสัยไม่ได้
“อวี่เชิง!” น้ำเสียงแผ่วเบาที่เอ่ยออกมายิ่งทำให้เหม่ยเซียงพยายามตั้งใจฟังมากกว่าเดิม
เป็นเวลานานหลังจากที่เหม่เซียงถามชื่อของเขา ทั้งสองก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมและไม่มีเสียงพูดคุยอะไรกันอีก นางลอบมองเขาเป็นระยะๆเพื่อจะดูว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่นางก็ยังโล่งใจอยู่บ้างที่ชายชุดดำผู้นี้ยังหายใจอยู่
“เจ้ารีบกลับไปก่อนเถอะ!” ท่ามกลางความเงียบก็มีน้ำเสียงอ่อนแรงของเขาเอ่ยบอกกับเหม่ยเซียง นางพยักหน้าตอบและทำหน้าเข้าใจก่อนจะมองไปที่แผลของเขาอย่างกังวล
“แล้วเจ้า? เหม่ยเซียงสังเกตอาการของเขาเงียบๆ “ไม่ต้องห่วงข้า!”
เหม่ยเซียงทำหน้าเป็นกังวลเกี่ยวกับชายผู้นี้ ก่อนจะมุดออกจากกองฟางแล้วมองสำรวจรอบๆบริเวณเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคน
“ข้าชื่อเฉียนเหม่ยเซียง!” นางกระซิบบอกชื่อกับเขาก่อนจะจากไป
หลังจากกลับมาถึงจวน เหม่ยเซียงก็เห็นว่าพ่อของนางมายืนรออยู่ก่อนแล้ว เหม่ยเซียงเห็นว่าพ่อของนางมีสีหน้าจริงจังพอๆกับเจียอี้ นางมองหน้าสาวใช้สลับกับหน้าพ่อของนางแล้วเกิดรู้สึกผิดขึ้นมาที่กลับจวนช้า แต่วันนี้นางมีเรื่องจำเป็นจริงๆจึงทำให้ช้ากว่าทุกวัน
“กลับมาแล้วก็รีบเข้านอนเสีย อย่ามัวโอ้เอ้!” เจียงฮุยเอ่ยบอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ได้มีท่าทีจะว่ากล่าวอะไรนาง
เหม่ยเซียงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบเข้าห้องไปทันที นางรู้สึกโล่งใจแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกแปลกๆ ที่นางไม่โดนตักเตือนเหมือนครั้งก่อนๆ
“ท่านพ่อมารอข้านานแล้วหรือ?!” นางถามเจียอี้ด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าทุกที
“เจ้าค่ะ! นายท่านมายืนรอคุณหนูตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดเลย” เหม่ยเซียงตาโตเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทำให้นางรู้สึกผิดขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้านี่มันแย่จริงๆ!” เหม่ยเซียงบ่นออกมากับสาวใช้พร้อมถอนหายใจออกมาก่อนจะนั่งเหม่อลอยแล้วคิดเรื่องการแต่งงานที่ใกล้เข้ามา
\(อีกไม่นานก็จะได้ออกเรือนแต่ข้าก็ยังไม่เอาไหนอยู่ดี\)
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!