NovelToon NovelToon

ตำนานรักธิดาสายฟ้า

ตอนที่ 13 ดินแดนเก้าอสูร

เซิ่งหนี่ว์ที่ควรจะกลับไปพร้อมสองสาวใช้

กลับยังติดตามหนานเฟิ่งหวงมาอย่างไม่ยอมเลิกรา

เลยทำให้การเดินครั้งนี้ของโจจื่อเสียนสนุกขึ้นอีกมากโข

การจะไปยังดินแดนเก้าอสูร

ต้องข้ามผ่านประตูมิติในป่าเดือนดับ

ซึ่งหากเป็นผู้ฝึกตนมนุษย์ธรรมดาไม่อาจจะผ่านเข้าไปได้

ก็เหมือนกับที่อสูรอีกฟากฝั่งหนึ่งข้ามมาไม่ได้เช่นกัน

สมัยก่อนบรรพกาล

หลังจากมหาเทพเทียนหลงถือกำเนิด ทุกสรรพสิ่งก็ได้ถือกำเนิดตามมา ไม่ว่าจะเป็น พืช

สัตว์ อสูร ปีศาจ มนุษย์ และ เทพ และเหนือจากสิ่งเหล่านี้ขึ้นไป

คือวัฏจักรสงสาร

เพื่อความสมดุลของทุกสรรพสิ่ง

แต่ละดินแดนจะมีม่านมิติกางกัน โดยมีบุตรของผู้สร้างคอยดูแล

ประตูมิติจึงถูกปิดสนิทด้วยค่ายกล

นอกเสียจากผู้ที่มีพลังทัดเทียมกับมหาเทพอย่างเทพอสูรบรรพกาลเทียนจวิน

ที่สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ เมื่อร่างกายเป็นอมตะ

ต่อให้ถูกค่ายกลข้ามมิติของมหาเทพเทียนหลงทำลาย ก็ยังสามารถสร้างร่างกายกลับมาได้ใหม่อยู่ดี

นั่นจึงทำให้เทียนจวินเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนเทพอย่างสบายใจ

ไม่นานทั้งห้าก็ได้เดินทางมาถึงอาณาเขตของป่า

ซึ่งป่าเดือนดับในดินแดนมนุษย์แห่งนี้ แท้จริงแล้วก็ซ่อนประตูมิติเอาไว้มากมาย

รวมถึงค่ายกลที่กักขังเทพอสูรเทียนจวิน เรียกได้ว่าเป็นอาณาเขตรอยต่อของมิติก็ว่าได้

"ว่ากันว่า ดินแดนเก้าอสูรอันตรายมาก

ศิษย์พี่เฟิ่งจะพาแม่นางโจไปด้วยจริงหรือเจ้าคะ

หนี่ว์เอ๋อกลัวว่าแม่นางโจจะเป็นอันตราย"

วาจาแสดงความห่วงใยของเซิ่งหนี่ว์

ทำให้โจจื่อเสียนเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตา หญิงงามนางนี้เจตนายืนเบียดร่างตนเองเข้าหาร่างของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลางอย่างเห็นได้ชัด

หึหึ ที่แท้ก็อยากทำเหมือนข้า

ฝันไปเถิด!

"ข้าต้องขอบคุณแม่นางเซิ่งที่ห่วงใย

แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะข้ามีสามีคอยดูแลอยู่แล้ว

พี่เฟิ่งย่อมไม่มีทางปล่อยให้ภรรยาเป็นอันตรายแน่นอน แต่..

เอ...เจ้าติดตามพวกเราสองผัวเมียไปเช่นนี้ แล้วจะมีผู้ใดปกป้องกัน แม่นางเซิ่ง ข้าว่าเจ้าอย่าเข้าไปเลย มันอันตรายมากนะ"

โจจื่อเสียนแสร้งทำท่าทางเป็นห่วงเป็นใยเกินจริง จนเกือบจะทำให้ซือซานและจูจูที่ยืนอยู่ด้านหลังหลุดหัวเราะออกมา

ส่วนหนานเฟิ่งหวง นอกจากคำพูดของโจจื่อเสียนแล้ว

คำพูดของหญิงอื่นก็เหมือนจะไม่ได้ยิน

"ข้าดูแลตัวเองได้!" เซิ่งหนี่ว์ที่ถูกสวนกลับต้องกัดฟันตอบออกไปด้วยความยากลำบาก

ใจอยากจะพุ่งไปฉีกเนื้อโจจื่อเสียนออกเป็นชิ้นๆ

ในส่วนลึกด้านทิศตะวันออกของป่าเดือนดับ

กลางหุบเหวที่ถูกซ่อน หนานเฟิ่งหวงใช้เสี้ยวพลังของมหาเทพเทียนหลง

เพื่อเปิดช่องว่างของค่ายกล แล้วพาทุกคนข้ามมิติไป

ดินแดนเก้าอสูร

กลิ่นอายประหลาดของทั้งห้าที่โผล่เข้ามาในดินแดน

ได้ชักพาอสูรมากมายมุ่งหน้ามาทางพวกเขา อสูรชั้นต่ำนับพัน เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว

ไม่นานทั้งกลุ่มก็ตกอยู่ในวงล้อม

โฮกกกกกกกก

ซือซานคืนร่างเป็นมังกรขาว

ลอยตัวอยู่เหนือท้องฟ้า พร้อมเสียงคำรามลั่น

พริบตาเดียวอสูรชั้นต่ำเหล่านั้นก็หนีหายไปเกือบหมด

เหลือเพียงอสูรชั้นกลางที่มีเผ่าพันธุ์เฉพาะและมีนาย

เมื่อกลับถึงดินแดนเกิด

เทียนจวินรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ใบหน้าถึงกับประดับรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา

หวนคิดไปถึงอดีตยามที่ตนถือกำเนิด

เทพอสูรบรรพกาลไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนถือกำเนิดมาได้อย่างไร

บ้างก็ว่าเกิดจากก้อนหินบ้างล่ะ กอไผ่บ้างล่ะ แต่ที่แน่ๆ

คือตัวเขาเกิดมาก็มีร่างอมตะแล้ว

แม้แต่อสูรราชันทั้งเก้า

ยังมิกล้าต่อกรกับเทพอสูรจอมป่วนผู้นี้ เพราะหากผู้ใดเผลอไปเป็นศัตรู

มีหวังทั้งชีวิตคงหาความสงบไม่ได้

โจจื่อเสียนจับมือบุรุษข้างกายด้วยความเคยชิน

ใบหน้างามหันไปเอ่ยด้วยท่าทางล้อเลียน "พี่เฟิ่ง

ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องตามหาผลึกก็ได้

อยู่ใกล้ข้าเดี๋ยวท่านก็รู้มีอารมณ์ความรู้สึกเองแหละ"

หนานเฟิ่งหวงหันมาสบตาก่อนจะสอดนิ้วมือเข้าไปประสานกันเอาไว้

มุมปากขยับขึ้นเล็กน้อย คล้ายกำลังจะยิ้ม "เรื่องนั้นข้าจำเป็นต้องทำ"

"อืม ช่างเถิด

น้องจะถือว่าได้ไปเปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน"

เซิ่งหนี่ว์ที่ยืนอย่างไร้ตัวตนมานานอดรนทนไม่ไหว

ต้องรีบเอ่ยขัดคนทั้งสอง "ศิษย์พี่เฟิ่ง พวกเราไม่ควรมาเสียเวลาตรงนี้กระมังเจ้าคะ"

แม้ผลึกทั้งสองจะนำพาหนานเฟิ่งหวงมาที่นี่

แต่เรื่องที่อสูรตนใดเป็นผู้เก็บผลึกชิ้นที่สามนั้น คงต้องใช้เวลาตามหา

ยิ่งหากว่าอยู่กับอสูรที่มีทักษะซ่อนวิญาณด้วยแล้ว ก็จะยิ่งยุ่งยาก

และนั่นคือเหตุผลที่หนานเฟิ่งหวงปล่อยให้เซิ่งหนี่ว์ตามมา

เพราะต้องการใช้แสงตะเกียงที่ไม่มีวันดับส่องหามัน

ซึ่งผลึกทั้งเจ็ดก็ไม่ต่างจากร่างของโจจื่อเสียน

ล้วนเป็นสิ่งที่แม้แต่บุตรแห่งผู้สร้างอย่างเทียนหลงยังมิอาจมองเห็น ไม่อย่างนั้น

คงไม่ต้องแยกดวงจิตลงมาจุติเพื่อตามหามัน

อสูรราชันทั้งเก้าต่างได้รับข่าวของกลุ่มมนุษย์ที่เข้ามาในดินแดนอย่างรวดเร็ว

ทุกเมืองพากันส่งอสูรระดับสูงออกไปสืบข่าว

เงาห้าร่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมุ่งออกมาจากป่าที่มีลักษณะคล้ายกับป่าเดือนดับไม่ผิดเพี้ยน

กลิ่นอายของสัตว์เทพทำให้อสูรระดับต่ำไม่กล้าที่จะเข้าใกล้พวกเขา

เมื่อออกมาพ้นชายป่า

กลุ่มของฟ้าผ่าสังเกตหวงก็พบกับอสูรร่างใหญ่โตห้าตนกำลังรอพวกเขาอยู่

"ดินแดนแห่งนี้

หาใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเดินเล่น!"

น้ำเสียงเย็นชาที่มาพร้อมกับแรงกดดัน

ทำให้ทั้งห้าต้องหยุดชะงักลง ซือซานและจูจูสาวเท้าขึ้นมายืนเบื้องหน้าเจ้านาย

ก่อนจะค้อมกายเล็กน้อยเพื่อเป็นการคารวะ "พวกเราแค่ต้องการมาเอาของบางอย่าง

เสร็จแล้วก็จากจากไปทันที ขอให้โฉ่วเหมินช่วยเปิดทางด้วย"

"จะกลับไป! หรือจะตายที่นี่!"

อสูรเฝ้าประตูทั้งห้า ไม่เพียงไม่ฟัง

แต่ทั้งร่างยังปรากฏไอสังหารเข้มข้น

ซือซานรู้ว่าการเปิดฉากต่อสู้กับอสูรเหล่านี้หาใช่เรื่องดี

หากต้องปกป้องเพียงผู้เป็นนายคนเดียว

มังกรขาวคงพอที่จะหาทางพาอีกฝ่ายหลบหลีกผ่านเข้าไปได้ แต่นี่กลับต้องปกป้องถึงสี่

มิหนำซ้ำหนานเฟิ่งหวงยังมิอาจเรียกพลังของมหาเทพมาใช้ได้

เพราะการตามหาผลึกถือเป็นความลับของมหาเทพเทียนหลง

จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเจอกับผู้ที่เก็บรักษาผลึกเซียนบรรพกาลเอาไว้เท่านั้น

อสูรเฝ้าประตู หรือโฉ่วเหมินทั้งห้านี้

เป็นอสูรที่ถือกำเนิดมาเป็นพิเศษ นอกจากประตูมิติจะมีค่ายกลป้องกันแล้ว แต่ละดินแดนยังมีโฉ่วเหมินที่คอยเฝ้าอยู่

พลังของผู้เฝ้าประตูเหล่านี้ค่อนข้างจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

ซึ่งหากเกิดปะทะกันขึ้นมาจริงๆ

แม้แต่สังเกตซานเองยังไม่แน่ว่าจะชนะพวกเขาได้ บรรยากาศเริ่มเย็นยะเยือกลงไปทุกขณะ

ฟิ้วววววว

ไม่รอให้ซือซานได้ทันตั้งตัว

การจู่โจมของสายลมก็พุ่งเข้ามาหาทั้งกลุ่มอย่างรวดเร็ว

ร่างของมังกรขาวปรากฏขึ้นแทบจะทันทีแต่ก็ยังช้าเกินไปที่จะพาทุกคนหลบการโจมตี

จึงทำได้แต่ขดตัวเป็นวงกลม ป้องกันคนทั้งสี่เอาไว้

ซึบ ๆ ๆ

เกล็ดมังกรถึงกับมีเลือดซึม

"ข้าจะเตือนอีกครั้ง! กลับไป!!"

โจจื่อเสียนหน้านิ่วหน้ามองฟ้าผ่าสังเกตเหมินทั้งห้าด้วยอารมณ์คุกรุ่น เริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะถ้าหากเป็นเมื่อก่อน

เจ้าเทพอสูรเหล่านี้คือที่รองมือรองเท้าของเทียนจวินดีๆ นี่เอง

เวลาที่เจ้าตัวเบื่อหน่ายก็มักมาหาเรื่องทุบตีเหล่าโฉ่วเหมินของแต่ละมิติ

จนบรรดาผู้เฝ้าประตูไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าเทพอสูรที่เป็นอมตะอย่างเทียนจวินอีกเลย

ร่างบอบบางในชุดสีฟ้า

กะพริบหนึ่งทีก็ขึ้นมายืนเท้าสะเอวอยู่บนลำตัวของมังกรขาว ถลึงตามองโฉ่วเหมินทั้งห้า

"พวกเราเข้าไปไม่นาน!

ไม่ได้คิดจะไปทำลายความสมดุลในดินแดนเสียหน่อย แต่ถึงอยากจะทำก็ใช่ว่าพวกเราจะทำได้

พวกเจ้าก็แค่เปิดทางให้ มันยากเย็นตรงไหนกันเล่า!!"

หนานเฟิ่งหวงรีบตามขึ้นมายืนเคียงข้าง

เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะเป็นอันตราย

ส่วนจูจูก็กลายร่างเป็นมังกรวารีตัวอ้วนลอยวนอยู่เหนือท้องฟ้า

เหลือเพียงเซิ่งหนี่ว์ที่ยังยืนอยู่ในวงล้อมของร่างมังกรขาว

"กลับไป!!"

"เฮอะ! ไอ้ลูกเต่า! กล้าดียังไงมาตวาดข้า! คอยดูท่านย่าผู้นี้จะทุบตีเจ้าให้บิดาจำหน้าไม่ได้เลย!!!"

ครื่น ๆ วูมมมมมม

เมื่อร่างทั้งร่างของโจจื่อเสียนมีประกายสายฟ้า ร่างของหนานเฟิ่งหวงที่อยู่ข้างกาย ก็ปรากฏลูกไฟสีทองขึ้นมาลอยวนไปรอบๆ

ซือซานนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

นี่เขาลืมไปได้อย่างไร ว่าอารมณ์ของคุณหนูโจมักเอาแน่เอานอนไม่ได้

สงสัยว่าการต่อสู้ครั้งนี้คงมิอาจหลีกเลี่ยง

เปรี้ยง !

ร่างบอบบางกะพริบหายไป พร้อมกับเสียงฟ้าผ่าสะเทือนเลื่อนลั่น

"มนุษย์โง่งม! พวกเจ้าช่างกล้านัก!

งั้นก็จงทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่ก็แล้วกัน!"

แผ่นหลังของโฉ่วเหมินทั้งห้า

เริ่มมีปีกขนาดยักษ์งอกออกมาพร้อมกับพลังที่เพิ่มขึ้นเป็นอีกเท่าตัว

ร่างใหญ่โตกลายเป็นพายุหมุนลูกใหญ่

ความบ้าบิ่นของโจจื่อเสียน

ทำเอาซือซานปวดหัวไม่น้อย ร่างของมังกรขาวพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ลอยวนเป็นวงกลมพร้อมกับมังกรวารีที่ขนาดตัวเล็กกว่าเกือบครึ่ง

เกล็ดของทั้งสองส่องประกายระยิบระยับ

ส่วนหนานเฟิ่งหวง

ร่างทั้งร่างดูราวกับลูกไฟ ที่กำลังพุ่งทะยานตามโจจื่อเสียนไปติด ๆ

การต่อสู้เริ่มขึ้นอย่างกะทันหัน

ทำให้ไม่มีผู้ใดสังเกตสตรีที่อยู่เบื้องหลัง

กลิ่นอายเทพเริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ

เงาร่างของสตรีที่งดงามเหนือสามัญค่อยๆ

ปรากฏกายขึ้นช้าๆ แทนที่ร่างระหงของหญิงงามชุดขาว

ดวงตาคู่งามมองตรงไปยังเบื้องหน้า

แต่หาใช่มองไปยังเทพอสูรทั้งห้าไม่ กลับมองแผ่นหลังของโจจื่อเสียนด้วยสายตาอาฆาต

ถึงจะฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่ข้าจะทำให้เจ้าพิการไปตลอดชีวิต!

เทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ที่พึ่งรวมดวงจิตเข้ากับร่างเดิม

เรียกตะเกียงอมตะออกมาไว้บนฝ่ามือ ก่อนที่ทั้งร่างจะกะพริบหายไป

ตอนที่ 14 ทักษะแยกดวงจิต

ในขณะที่ดินแดนเก้าอสูรกำลังเกิดการต่อสู้

ร่างของเทพอสูรเทียนจวินที่เคยอยู่ในค่ายกลของมหาเทพก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ดินแดนเก้าอสูร

การต่อสู้ห้าต่อห้าเริ่มขึ้นอย่างดุเดือด

แม้ทางฝ่ายของโจจื่อเสียนจะดูเหมือนเสียเปรียบ แต่กลับยังไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ

อภิหารปลิวว่อนท้องฟ้า

ทั้งฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ลมพายุหมุน

หรือกระทั่งเพลิงที่ลุกท่วมท่ามกลางสายฝน

ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นถูกทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี

หากจะนับตามจริงเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ถือว่ามีพลังมากที่สุด

บางทีอาจจะมากกว่าโฉ่วเหมินทั้งห้าเสียอีก แต่นางกลับไม่คิดลงมือจริงจัง

เพียงแค่รอโอกาส

แต่สิ่งที่เทพธิดาผู้งดงามไม่รู้ก็คือ

เทียนจวินมักมีสัมผัสไวกับศัตรูเป็นพิเศษ

โจจื่อเสียนสัมผัสกลิ่นอายที่ไม่มีวันลืมเลือนได้ตั้งแต่ก่อนที่ร่างของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์จะออกมาจากไส้ตะเกียงเสียอีก

หึ! เทพธิดาหน้าตาย คิดจะแอบเล่นงานข้าเหมือนคราวที่แล้วอีกหรือ อย่าฝันไปหน่อยเลย!

"อ๊ากกก!"  เสียงโหยหวนของหนึ่งในโฉ่วเหมินดังขึ้นทันที

ที่ถูกแส้สายฟ้าของโจจื่อเสียนฟาดบนปีกสีดำขนาดใหญ่

หากเป็นเมื่อก่อน คงจะไม่ใช่แค่ฟาด

แต่คงถูกถอนขนปีกออกจนหมด

ที่โจจื่อเสียนกล้าเปิดฉากต่อสู้ไม่ใช่เพราะเก่งกว่าเทพอสูรเหล่านี้

แต่เพราะรู้จุดอ่อนของโฉ่วเหมินทั้งห้าเป็นอย่างดี

เมื่อจุดอ่อนถูกล่วงรู้

ทำให้อสูรที่เหลือทั้งสี่ เริ่มระวังตัวแจไม่กล้าลงมือส่งเดช

และในขณะที่ทุกคนกำลังต่อสู้ติดพัน

สะเก็ดไฟจากไส้ตะเกียงขนาดเล็กก็พุ่งเข้าไปในร่างของโจจื่อเสียนโดยไม่รู้ตัว มุมปากของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ยกยิ้มเล็กน้อยแทบมองไม่เห็น

ก่อนจะสะบัดมือเบาๆ ซัดร่างของหนึ่งในโฉ่วเหมินกระเด็นออกไปไกล

"เทพธิดา?!!!"

มาถึงตอนนี้ทุกคนถึงพึ่งจะเห็นการมีตัวตนของเทพธิดาชั้นสูง

ที่สมควรจะอยู่แต่ในดินแดนเทพ มาปรากฏกายอยู่ที่นี่

ความงดงามเหนือสามัญของนางทำให้การต่อสู้หยุดชะงักลง

เพราะสามโฉ่วเหมินที่เหลือถอนตัวออกมา

"เหตุใดเทพธิดาเหนือชั้นฟ้าอย่างท่านถึงได้มาอยู่ร่วมกับมนุษย์พวกนี้?"

เซิ่งหนี่ว์หาได้สนใจจะตอบคำพวกเหล่าผู้เฝ้าประตู ร่างงดงามกะพริบหายไป ปรากฏกายเบื้องหน้าหนานเฟิ่งหวง

แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นแค่หนึ่งในเก้าดวงจิตที่ถูกแยกออกมา

แต่เซิ่งหนี่ว์ก็ยังอยากให้หนานเฟิ่งหวงมองนางเพียงผู้เดียวอยู่ดี

แต่นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก

ร่างสูงโปร่งเบื้องหน้าก็กะพริบหายไป

"เสียนเอ๋อ!!!"

"คุณหนู!!!"

เพราะความสนใจของหนานเฟิ่งหวงมีเพียงแค่โจจื่อเสียน

มิหนำซ้ำยังผูกวิญญาณไว้ด้วยกัน

ย่อมสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังพุ่งเข้าไปทำลายจิตวิญญาณของโจจื่อเสียนได้

สองแขนรวบร่างบอบบางที่กำลังจะล้มเข้ามาไว้ในอ้อมกอด

"เสียนเอ๋อเป็นอะไรไป?!"

"วิญญาณข้า! โอ๊ย!"

มังกรน้อยรีบคืนร่างลงมาหาเจ้านายด้วยใบหน้าแตกตื่น

"คุณหนู! เจ้านาย!

ทะ..ท่าน รอเดี๋ยวนะ ข้าหายาก่อน"

ขวดโอสถสารพัดชนิดถูกเรียกออกมากองเป็นภูเขาเลากา แต่กลับไร้ยาที่จูจูต้องการ "มันหายไปไหนของมันน๊า!!

ข้าเก็บไว้ตรงนี้นี่!!"

เทียนจวินที่วิญญาณกำลังเจ็บปวดคล้ายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

เห็นท่าทางของมังกรโง่งมก็นึกอยากจะเตะโด่งเจ้าตัวดีออกไปให้ไกล

"เจ้าหมูโง่! ไม่ต้องหาแล้ว!

เจ้าจะเอาขวดโอสถพวกนั้นมากลบฝังข้าหรือไงห๊ะ!!! อั้ก แฮ่กๆ"

"อ่าา  แหะ ขออภัยเจ้าค่ะ ก็ข้าหามันไม่เจอนี่เจ้าคะ"

ซือซานไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือว่าควรจะร้องไห้ให้นายบ่าวคู่นี้ดี

ทำได้แต่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเรียกไข่มุกเก้าชีวิตของตนเองออกมายื่นให้ผู้เป็นนาย

เพื่อป้อนให้คุณหนูโจ

เด็กสาวส่ายหน้าปฏิเสธ

พร้อมกับหันหน้าเข้าหา

ยกวงแขนกอดรอบลำคอแกร่งซุกใบหน้าลงบนบ่ากว้างด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน

แต่มุมปากกลับยกยิ้มชั่วร้าย ลอบส่งสายตาเยาะเย้ยไปให้เทพธิดาเซิ่งหนี่ว์

ที่ปรากฏกายมายืนอยู่เบื้องหลังหนานเฟิ่งหวง

"เสียนเอ๋อ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดวิญญาณเจ้าถึงบาดเจ็บได้กัน?"

น้ำเสียงและท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของบุรุษที่เคยไร้อารมณ์

ยิ่งทำให้ไส้ตะเกียงในดวงจิตของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ลุกโชติช่วง พร้อมๆ

กับสะเก็ดไฟในจิตวิญญาณของเทียนจวินเริ่มขยายใหญ่ขึ้น

เมื่อหลายหมื่นปีก่อน

เทพอสูรบรรพกาลผู้เป็นอมตะ ต้องการจะมีทักษะแยกวิญญาณเป็นอย่างมาก

ถึงขั้นพยายามคิดค้นด้วยตนเองอยู่หลายครั้ง

หลังจากที่พยายามอยู่นาน

เทียนจวินก็ได้เบาะแสเกี่ยวกับตะเกียงอมตะ หากจะพูดให้ถูกคือเป็นเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ปล่อยข่าวครึ่งจริงครึ่งเท็จให้เทียนจวินตามหาบ่อศักดิ์สิทธิ์

แต่ในข่าวของนางกลับมีความจริงที่เทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ไม่เคยรู้

นั่นก็คือความลับที่แท้จริงของตะเกียง

และกว่าที่นางจะรู้

เวลานี้มันย่อมสายเกินไปแล้ว

ในเมื่อตะเกียงอมตะช่วยให้เทพธิดาเซิ่งหนี่ว์

แยกดวงจิตส่วนหนึ่งออกจากร่างมาจุติได้ นั่นก็หมายความว่า

หากเทียนจวินที่ต้องการทักษะแยกวิญญาณก็ต้องเรียนรู้มันจากไฟที่ไม่มีวันดับ

และเทพธิดาที่คิดทำลายผู้อื่น

ก็เป็นฝ่ายมอบดวงไฟอมตะมาให้เทียนจวินด้วยตัวเอง

โจจื่อเสียนซุกใบหน้าลงบนซอกคอแกร่งเพื่อหลบสายตาผู้คน

"พี่เฟิ่ง ขอข้าอยู่อย่างนี้สักครู่เถิด"

หนานเฟิ่งหวงเห็นท่าทางอ่อนเพลียของอีกฝ่ายจึงกระชับอ้อมแขนกอดแผ่นหลังบอบบางเอาไว้เป็นการตอบรับคำขอ

สายตาคมกริบมองไปยังโฉ่วเหมินทั้งห้า คล้ายต้องการข่มขู่กลายๆ

ทางด้านผู้เฝ้าประตูทั้งห้าก็ไม่คิดจะเปิดฉากต่อสู้เป็นครั้งที่สอง เพราะสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของกลุ่มผู้บุกรุก ร่างของโฉ่วเหมินทั้งห้าจึงกะพริบหายไป

ส่วนร่างระหงของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ยังยืนนิ่งอย่างสง่างาม

แม้ในใจจะทั้งเจ็บทั้งแค้น แต่สีหน้ากลับดูอบอุ่นอ่อนโยน

เทียนจวินใช้ทักษะแยกจิตที่เคยคิดค้นได้พร้อมกับพลังสายฟ้าในร่าง

ค่อยๆ หลอมสะเก็ดไฟที่ลุกโชติช่วงอยู่ในดวงวิญญาณของตัวเองอย่างช้าๆ

แสงไฟที่ไม่มีวันดับเริ่มหายเข้าไปรวมอยู่กับจิตวิญญาณของเทียนจวินทีละเล็กทีละน้อย

เมื่อเห็นคุณหนูโจเงียบไป

ซือซานก็หันไปสนใจกองภูเขาโอสถของจูจู

"เจ้าควรเก็บพวกมันกลับไปได้แล้วกระมัง"

"อ่า ได้ๆ"

เด็กสาวร่างอวบที่พึ่งจะนึกขึ้นได้ รีบเรียกขวดโอสถกลับเข้าไปไว้ในมิติจนหมด

พื้นที่ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมของการต่อสู้มาบัดนี้กลับกลายเป็นเงียบสงัด

ในพื้นที่ห่างไกลยังมีอสูรชั้นสูงหลายเผ่าพันธุ์คอยเฝ้าจับตามองอยู่ไม่ห่าง

อึก! จู่ๆ

ใบหน้างดงามของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ก็เปลี่ยนเป็นเหยเก สองมือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อกำแน่น ค่อยๆ ก้าวถอยหลังห่างออกจากกลุ่ม

ไฟในตะเกียงอมตะที่ซ่อนอยู่ในดวงจิตกำลังหรี่ลงทีละเล็กละน้อย

โดยที่นางมิอาจต้านทาน

จิตวิญญาณของเทียนจวินกำลังสว่างเจิดจ้า

ไม่นาน ตะเกียงอมตะก็ดับสนิท

ผลกระทบของมันคือจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ถูกทำลาย

ร่างสั่นเทาทรุดลงกับพื้น โดยไร้คนสนใจ

ส่วนจิตวิญญาณในร่างโจจื่อเสียนถูกแยกออกเป็นสองดวง

ในที่สุดเทียนจวินก็ทำสำเร็จ

เหลือเพียงหาทางส่งดวงจิตอีกดวงเข้าไปในร่างเดิมที่ถูกขังอยู่ในค่ายกล

พอคิดไปถึงค่ายกล

เด็กสาวก็เงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าหล่อเหลา

ไม่รู้ว่าควรจะหาทางแก้แค้นมหาเทพหน้าตายอย่างไรดี

แต่พอเห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยของหนานเฟิ่งหวง ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแรง

ช่างเถิด เขาก็แค่ร่างแยก

เอาไว้ส่งดวงจิตกลับเข้าไปในร่างเดิมเมื่อไหร่

ค่อยไปสู้กับเจ้ามหาเทพนั่นอีกทีก็แล้วกัน

"เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" หนานเฟิ่งหวงยกฝ่ามือข้างหนึ่งสัมผัสแก้มขาวนวลด้วยความเป็นห่วง

"ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องห่วง"

จูจูฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นเจ้านายปลอดภัย

ซือซานเห็นแล้วมุมปากก็อดที่จะยกยิ้มตามไม่ได้

ทั้งสี่ต่างพากันลืมเลือนเทพธิดาชั้นสูงไปเสียสนิท

ยิ่งเห็นเช่นนี้ เซิ่งหนี่ว์ที่จิตวิญญาณบาดเจ็บก็ยิ่งแค้นเคือง ข้าเคยทำได้แล้วครั้งหนึ่ง

ครั้งนี้ข้าก็ต้องทำได้ ความต้องการสังหารลุกโชนขึ้นภายในใจของเทพธิดา ผู้ที่บังอาจมาทำให้เทียนหลงสนใจมันต้องตายอย่างทรมาน!

ไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้น!

ร่างงดงามค่อยยันกายลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ

กัดฟันทนกับความเจ็บปวด "ในเมื่อแม่นางโจไม่เป็นอะไรแล้ว เฟิ่งหวง

พวกเราก็ควรเดินทางต่อกันได้แล้วกระมัง"

หนานเฟิ่งหวงมองสบตาคู่งามเพื่อถามความเห็น

แต่คำตอบที่ได้คือโจจื่อเสียนถูใบหน้ากับบ่ากว้างไปมา ก่อนจะพูดจาออดอ้อน

"เสียนเอ๋อยังเหนื่อยอยู่เล็กน้อย พี่เฟิ่งอุ้มน้องไปหน่อยน๊า"

ความใกล้ชิดทางกายที่เด็กสาวกระทำเพียงเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่นกลับทำให้หัวใจของหนานเฟิ่งหวงอ่อนยวบ

รีบอุ้มร่างบอบบางลอยขึ้นจากพื้น

"ได้! พี่เฟิ่งจะอุ้มเจ้าเอง"

ซือซานเห็นการกระทำของเจ้านายแล้ว

ต้องยกสองมือปิดหน้า เขาไม่เชื่อว่าผู้เป็นนายจะไม่รู้ว่าคุณหนูผู้นี้เสแสร้ง

แล้วเหตุใดยังยอมทำตามอย่างว่าง่ายเช่นนั้น หากมหาเทพเทียนหลงรู้เข้า

มีหวังได้รีบเรียกดวงจิตกลับคืนเป็นแน่

เซิ่งหนี่ว์กัดฟันมองภาพนั้นด้วยความเจ็บปวด

จำต้องเรียกตะเกียงหมื่นปีออกมา เพื่อต้องการให้หนานเฟิ่งหวงหันมาสนใจ แต่นางก็ต้องผิดหวังอย่างแรง

ตะเกียงหมื่นปีเป็นเพียงตะเกียงที่ถูกสร้างเลียนแบบตะเกียงอมตะ

พลังของมันใช้ได้แค่ในดินแดนมนุษย์เท่านั้น  แต่เมื่อมาอยู่ในดินแดนอสูร ไหนเลยจะมีพลังกล้าแข็งพอที่จะส่องหาผลึกได้

ใบหน้างามล้ำที่เปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิง

สร้างความสะใจให้กับโจจื่อเสียนเป็นอย่างมาก

เด็กสาวยกยิ้มอ่อนหวานเอ่ยกับชายหนุ่มด้วยเสียงอันดัง

"พี่เฟิ่งเจ้าคะพวกเราควรไปเมืองอสูรที่สี่

เสียนเอ๋อรู้ว่าผลึกอยู่ที่ใด"

ในเวลานี้ไม่ว่าโจจื่อเสียนจะพูดหรือทำอะไร

หนานเฟิ่งหวงย่อมทำตามอย่างไม่มีอิดออด

ในที่สุดทั้งห้าก็มุ่งหน้าไปยังเมืองอสูรที่สี่

ตอนที่ 15 สงสัยจะหึง

ดินแดนอสูรมีทั้งหมดเก้าเมืองใหญ่

และมีราชันอสูรปกครอง ไม่มีการตั้งชื่อเมืองให้เกิดความยุ่งยาก

ก็เพียงเรียกขานตามลำดับฝีมือของราชันแต่ละตน

เรียกได้ว่าทุกสิบปี

ชื่อเมืองจะเปลี่ยนไปตามพลังของผู้ปกครอง อย่างเมืองอสูรที่สี่

ที่กลุ่มของโจจื่อเสียนมาถึงในตอนนี้

ข่าวการต่อสู้และข่าวการปรากฏกายของเทพธิดาชั้นสูง

ส่งไปถึงทั้งเก้าเมืองก่อนที่ทั้งกลุ่มจะมาถึงเสียอีก

พอกลุ่มคนทั้งห้าผ่านเข้าเมืองมา จึงตกเป็นที่สนใจของเหล่าอสูรทุกระดับ

สิ่งปลูกสร้างในดินแดนอสูรค่อนข้างแตกต่างจากดินแดนมนุษย์

ด้วยความที่อสูรเหล่านี้มักมีร่างกายใหญ่โต

สิ่งปลูกสร้างก็เลยใหญ่โตคล้ายถ้ำขนาดยักษ์

โจจื่อเสียนพาทั้งกลุ่มมาถึงปราสาทที่สร้างขึ้นจากหินขนาดใหญ่ และมีค่ายกลล้อมรอบกำแพงเอาไว้อย่างแน่นหนา บนยอดปราสาทมีรูปปั้นของราชันอสูรกางปีกเกาะอยู่

"เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นที่นี่"

คำถามของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์

ไม่ได้ทำให้โจจื่อเสียนหันไปสนใจ เพราะดวงตากลมโตเอาแต่เพ่งมองไปยังยอดปราสาท

ในใจหวนคิดไปถึงเรื่องราวในอดีต

เจ้าหญิงแห่งเมืองอสูรที่สี่แห่งนี้

ในอดีตก็คือหนึ่งในสตรีของเทพอสูรบรรพกาลเทียนจวิน

มิหนำซ้ำความงามของนางยังถือว่าเป็นหนึ่งในแดนอสูร

ในช่วงเวลาที่เขาถูกกักขังไม่รู้ว่านางจะเป็นอย่างไร

"เสียนเอ๋อ เป็นอะไรไป?"

เห็นร่างบอบบางในอ้อมอกนิ่งไป

หนานเฟิ่งหวงอดที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

"ข้าไม่เป็นไร ท่านวางข้าลงเถิด

ผลึกอยู่ที่นี่แหละ"

ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย

แต่ก็ยังโอบประคองเอวคอดกิ่วเอาไว้ไม่ให้ห่างกาย ส่วนโจจื่อเสียนก็ไม่คิดหลบเลี่ยง

เพราะมองเห็นจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของหนานเฟิ่งหวง

เมื่อจิตวิญญาณหลอมเข้ากับดวงไฟไม่มีวันดับ

โจจื่อเสียนก็ได้ทักษะเพิ่มขึ้น คือทักษะส่องจิต

ที่สามารถมองเข้าไปถึงจิตวิญญาณของผู้อื่น

และไม่เพียงเสี้ยวดวงจิตของมหาเทพเท่านั้นที่โจจื่อเสียนมองเห็น

จิตวิญญาณของเทพธิดาผู้งดงามก็เช่นกัน

แต่ที่น่าตื่นตะลึงก็คือ

ดวงจิตที่สมควรจะบริสุทธิ์อย่างดวงจิตเทพกลับมีแต่เงาดำชั่วร้าย นั่นก็หมายความว่า

เซิ่งหนี่ว์มีร่างเป็นเทพแต่จิตวิญญาณเป็นมาร

ถึงแม้โจจื่อเสียนจะรู้ว่านางมีจิตใจไม่ดี แต่ไม่นึกว่าจะถึงขั้นนี้

หน้าประตูเมืองมีอสูรระดับสูงออกมาต้อนรับคนทั้งห้าด้วยความเคารพนบนอบ

เรียกได้ว่าราชันอสูรที่สี่

เปิดเมืองต้อนรับเทพธิดาชั้นสูงด้วยความเต็มอกเต็มใจ ซึ่งเรื่องนี้

แท้จริงแล้วก็เป็นเจตนาของโจจื่อเสียน เพราะอสูรเฒ่าผู้นี้เป็นพวกมักมาก

ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด ขอเพียงงดงามเป็นหนึ่ง อสูรชราต้องอยากลิ้มลอง

หากจะพูดให้ถูกก็คือ

เทพธิดาเซิ่งหนี่ว์กำลังถูกโจจื่อเสียนหลอกใช้งานโดยไม่รู้ตัว

โถงกว้างใหญ่ภายในปราสาทหินใหญ่โต

บนเก้าอี้สูงขึ้นไปจากพื้นเท่าบันไดสิบขั้น

ราชันอสูรที่สี่จับจ้องสตรีผมสีเงินยวงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาแวววาว

มุมปากอ้าค้างแทบจะมีน้ำหยด

โจจื่อเสียนเห็นแล้วต้องกัดฟันกรอด

นึกอยากจะดึงทึ้งผมตัวเองขึ้นมา อุตส่าห์หวังจะใช้ประโยชน์จากเทพธิดาคนงาม

แต่ที่ไหนได้ ดันลืมไปว่าตนเองในตอนนี้งดงามกว่านางตั้งไม่รู้กี่เท่า

แล้วมีหรือเจ้าอสูรลามกจะสนใจแม่เทพธิดาตัวจริง

"แม่นางน้อยคงจะเป็นเทพธิดากระมัง

ช่างงดงามเหลือเกิน" วาจากรุ้มกริ่มของราชันอสูรดังก้องโถงกว้าง

สร้างความตลกขบขันให้เหล่าข้าทาสบริวารที่ยืนเรียงแถวอยู่สองฟากข้าง

จนมีเสียงหัวเราะตามมา

ด้วยความหงุดหงิดเป็นทุนเดิม

โจจื่อเสียนกำลังตั้งท่าจะยกมือเท้าสะเอวเอ่ยปากด่า

"นางหาใช่เทพธิดา แต่เป็นภรรยาข้า!" จู่ๆ

น้ำเสียงเหยียบเย็นที่ฟังแล้วหนาวจนเสียดกระดูกก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะโห่ฮาปากของเหล่าอสูร

ฝ่ามือเรียวบางที่กำลังจะยกขึ้นต้องหยุดชะงักลง

โจจื่อเสียนก้มมองฝ่ามือที่ถูกจับอย่างกะทันหัน

ก่อนจะเงยมองใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษข้างกาย เห็นอีกฝ่ายมีใบหน้าเย็นชา

ซ้ำยังคล้ายจะโกรธเคือง

 สงสัยจะหึงกระมัง ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด

มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ เดี๋ยวก็รู้ หึหึ

"ข้าไม่ใช่เทพธิดาเจ้าค่ะ แต่เป็นนาง"

โจจื่อเสียนชี้ไปที่ร่างระหงที่ยืนด้านซ้ายมือของหนานเฟิ่งหวง

ก่อนจะหันกลับมาฉีกยิ้มเอียงอายให้ราชันอสูร ดึงมือออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่มยกขึ้นทัดผมที่ใบหู

"แต่เสียนเอ๋อต้องขอบคุณท่านราชันนะเจ้าคะ

ที่มองเห็นเด็กสาวธรรมดาอย่างข้าเป็นเทพธิดา

ราชันอย่างท่านก็หล่อเหลามากเลยเจ้าค่ะ"

"ฮ่า

ๆ สาวน้อย นอกจากงดงามแล้ว ปากยังหวานอีกด้วย ข้าชักอยากรู้เสียแล้ว

ว่าร่างกายเจ้าจะหวานสักแค่ไหน"

"อ๊ะ!"

คราวนี้หนานเฟิ่งหวงไม่จับที่มือ

แต่รั้งเอาเอวคอดกิ่วให้ร่างบางเข้ามาแนบชิดจนแทบไม่เหลือช่องว่าง

ใบหน้าที่เคยไร้อารมณ์  เปลี่ยนเป็นถมึงทึง

"ห้ามพูดกับชายอื่นเยี่ยงนั้นอีก!"

ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่รู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้เรียกว่าอะไร

แต่รู้ว่าในอกมันร้อนราวไฟสุม ไม่ชอบที่จะเห็นโจจื่อเสียนทำท่าทำทางสนิทสนมกับกับผู้ใด

"เห...? พูดอย่างไรหรือเจ้าคะ?" โจจื่อเสียนได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ

ทำหน้าตาใสซื่อมองสบตาชายหนุ่มราวกับคนไม่รู้เรื่องรู้ราว  แต่ในใจกลับหัวเราะอย่างสนุกสนาน หึงจริงๆ ด้วย

ฮะๆ

ซือซานเห็นการกระทำของผู้เป็นนายแล้วเกือบจะสำลัก

ไม่รู้ว่ามรดกของผู้สร้างจะยังสำคัญอยู่หรือไม่ แค่มีคุณหนูโจอยู่ใกล้ เจ้านายของเขาก็มีจวนจะครบเจ็ดอารมณ์อยู่แล้ว

หากจะว่าไปการที่จะทำให้เสี้ยวดวงจิตของมหาเทพอย่างหนานเฟิ่งหวงเกิดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้นั้นมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

เพราะถึงอย่างไรก็เป็นดวงจิตที่ลงมาจุติเป็นมนุษย์

แต่กับมหาเทพเทียนหลงหรือบุตรของผู้สร้างที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

หรือบางทีอาจจะไม่มีโอกาสเลยก็ว่าได้ เพราะมหาเทพเทียนหลงเองก็ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้

นอกจากซือซาน

พลังแห่งความหึงหวง

ทำให้โถงกว้างตกอยู่ในความเงียบ

รังสีเย็นเหยียบไม่ได้มีเพียงบนร่างของชายหนุ่มผู้หล่อเหลา

แต่ยังมีบนร่างของหญิงงามอย่างเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์อีกด้วย

หลายหมื่นปีมานี้นางเคยเป็นที่หนึ่ง ไม่ว่าบุรุษเผ่าพันธุ์ใดต่างก็พากันสนใจแต่นาง

แล้วจู่ๆ กลับมีเด็กสาวที่เป็นเพียงมนุษย์อ่อนแองดงามเกินหน้า หากรับได้

ก็คงไม่ใช่เทพธิดาเซิ่งหนี่ว์แล้ว มิหนำซ้ำความหึงหวงจนออกนอกหน้าของหนานเฟิ่งหวง

ยังสร้างความเจ็บปวดให้นางเข้าไปอีก

"โจจื่อเสียน! เจ้าอย่าได้มัวมาทำตัวไร้ยางอายอยู่

คงลืมไปแล้วกระมังว่าพวกเรามาที่นี่ด้วยเรื่องอันใด!!"

เสียงเย็นชาของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์

ทำให้ราชันอสูรรวมทั้งเหล่าบริวารพึ่งจะมองเห็นการมีอยู่ของสตรีผู้มีความงามอีกคนหนึ่ง

"โอ้ว!

วันนี้ข้าได้ต้อนรับหญิงงามถึงสองนางเลยหรือนี่ ฮ่า ๆ ดี! ๆ"

ราชันอสูรถึงกับหัวเราะร่วนอย่างชอบอกชอบใจ

แต่เสียงหัวเราะก็ต้องติดอยู่ในลำคอ เพราะคำพูดต่อมาของเทพธิดาคนงาม

"ข้าหาใช่สตรีที่เจ้าจะล้อเล่นได้!

อยู่ที่นี่เจ้าเป็นราชันก็จริง แต่สำหรับเทพธิดาที่มาจากดินแดนเทพอย่างข้า

เจ้ามันก็แค่มดปลวก! อย่าได้บังอาจ!!!"

แสงทองบนร่างระหงเริ่มส่องประกาย

ทำให้บริวารอสูรเบื้องล่างหายใจลำบาก

เทพธิดาเซิ่งหนี่ว์คล้ายจะเอาความโกรธเกรี้ยวและความแค้นเคืองที่มีต่อโจจื่อเสียนมาลงกับพวกเหล่าบรรดาอสูรทั้งหลาย

ราชันอสูรที่สี่ยังมิทันตอบโต้

หมอกสีม่วงพร้อมกลิ่นหอมหวานก็ลอยผ่านประตูห้องโถงเข้ามา

"อย่าคิดว่าเป็นเทพธิดา

แล้วจะมาดูถูกเผ่าพันธุ์อสูรของข้าได้ ที่นี่หาใช่ดินแดนเทพของเจ้า!!"

เงาร่างงดงามของสตรีชุดม่วงวาบผ่านกลุ่มของโจจื่อเสียน ก่อนจะปรากฏขึ้นข้างกายอสูรราชัน

"ฉิงฉิง!!"

ใบหน้างดงาม มองไปยังร่างเด็กสาวในชุดสีฟ้าด้วยความประหลาดใจ

"เจ้ารู้จักข้า?"

ราชันอสูรเองก็รู้สึกแปลกใจไม่แพ้กัน

จนทำให้ลืมวาจาหยามเหยียดของเทพธิดาคนงามไปชั่วขณะ

ทุกสายตาในโถงกว้างต่างจับจ้องไปที่เด็กสาวผมสีเงินยวง

โจจื่อเสียนเผลอพยักหน้า ก่อนจะส่ายหน้าไปมารัวๆ รีบหยิกต้นขาตัวเอง

จะไม่ให้เทียนจวินลืมตัวได้อย่างไร ก็สตรีตรงหน้าเคยเป็นสตรีของเขา

เมื่อถูกดวงตาคมกริบจ้องมออย่างสำรวจ

โจจื่อเสียนจำต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง

"เอ่อ..คือ พวกเรามาเรื่องผลึกของผู้สร้าง"

วาจานี้สร้างความตกตะลึงให้กับอสูรทุกตนที่อยู่ที่นี่

โดยเฉพาะผู้เป็นเจ้าหญิงแห่งเมืองอสูร

ในดินแดนมนุษย์

ผลึกนี้จะถูกเรียกว่าผลึกเซียนบรรพกาล

แต่หากเป็นดินแดนอื่นที่สิ่งมีชีวิตมีอายุขัยยืนยาว ย่อมรู้เรื่องราวของมันเป็นอย่างดี

ฉิงที่เก้า หรือเจ้าหญิงอันดับที่เก้า

แห่งเมืองอสูรที่สี่ มองผ่านแขกผู้มาเยือนด้วยสายตาเย็นชา ผลึกอยู่กับจิตวิญญาณของนางมาตั้งแต่ถือกำเนิด เรื่องนี้ไม่สมควรมีผู้ใดรู้ โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์

น่าแปลกที่ดวงตาคู่งามไม่สะดุดความหล่อเหลาของหนานเฟิ่งหวง แต่กลับไปหยุดมองร่างบอบบางของโจจื่อเสียนนิ่งนาน

ความคุ้นเคยที่ส่งผ่านดวงตากลมโต

ทำให้เจ้าหญิงเผ่าพันธุ์อสูรใจเต้นแรง

"เสียนเอ๋อ! เจ้ามองอะไรนักหนา!"

"หา?"

น้ำเสียงดุดันของบุรุษข้างกายทำให้สติของโจจื่อเสียนกลับคืนมา

รีบย้ายสายตากลับมามองใบหน้าหล่อเหลา เฮ้ย! นี่อย่าบอกนะว่าหึงกระทั่งสตรี

"มองข้า!" เท่านั้นยังไม่พอ ฝ่ามือหนายังประทับลงที่ข้างแก้มไม่ยอมให้ใบหน้าเล็กหันกลับไป

"ห๊ะ!" เด็กสาวได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ

อ้าปากพะงาบๆ

"หึหึ"

เสียงหัวเราะในลำคอของฉิงที่เก้าทำให้โจจื่อเสียนรู้สึกอับอายจนหน้าแดง

ก้มหน้างุด บ่นอู้อี้ในลำคอ "พี่เฟิ่ง ดูสิท่านทำข้าอับอายผู้อื่นหมดแล้ว"

นอกจากจะไม่นึกอายแล้ว

หนานเฟิ่งหวงยังกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นไปอีก  ยิ่งเห็นการกระทำของชายหนุ่มโจจื่อเสียนก็ได้แต่คิดอย่างกลัดกลุ้ม

สงสัยว่าข้าจะคิดร้ายกับผู้อื่นไม่ขึ้นกระมัง

ถึงได้ลงมือทีไรเป็นต้องเข้าตัวทุกที

ความโกรธเรื่องผลึกของเจ้าหญิงเมืองอสูรมลายหายไปสิ้น

เพราะไม่เพียงแค่รู้สึกคุ้นเคยกับโจจื่อเสียน

แต่ยังมีรอยยิ้มกว้างของเด็กสาวร่างอวบอ้วนที่ยืนอยู่เบื้องหลังคนทั้งสอง

ฉิงฉิงย่อมจำมังกรน้อยของเทพอสูรบรรพกาลได้

เพราะไข่ใบนี้นางเป็นคนมอบให้เขาเองกับมือ

ในขณะที่หนานเฟิ่งหวงและโจจื่อเสียนทำให้บรรยากาศในห้องโถงกลับมาครึกคื้น

ผู้ที่ต้องกลับมาไร้ตัวตนอีกครั้งอย่างเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ก็ยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นเป็นเท่าตัว

"พวกเราควรเอาผลึกแล้วไปได้แล้ว!

นี่ก็เสียเวลามามากแล้ว!"

แรงกดดันในร่างเทพธิดาเริ่มแผ่กระจายไปทั่ว  จิตวิญญาณในร่างแผ่รังสีอำมหิต

รักกันมากใช่ไหม! ได้!

หลังจากที่ข้าได้ผลึกมาครบเมื่อไหร่ ข้าจะทำให้พวกเจ้าอยู่ไม่สู้ตาย!!

ในเมื่อนางไม่ได้ใจจากเสี้ยวดวงจิตของมหาเทพเทียนหลงดวงนี้

ก็ควรจะทำลายมันทิ้งไปพร้อมกับนางเด็กมนุษย์ ก็แค่รอให้เทียนหลงส่งดวงจิตลงมาจุติใหม่

และที่สำคัญนางต้องได้ผลึกทั้งหมดมาครอบครอง

เพื่อต่อรองกับมหาเทพ

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!