อาชญากรก้องโลก
ตอนที่0 เรื่องราวอันโหดร้าย
อ่า~
เสียงที่ฟังแล้วชวนขนหัวลุกของผมได้ดังออกมาในขณะที่กำลังอ้าแขนกว้างรับแรงลมที่มากระทบกาย เสื้อครุมสีดำโบกสะบัดพริ้วไหวอย่างเป็นธรรมชาติ เส้นผมสีขาวแซมดำกำลังส่ายไปมาตามสิ่งเร้า
ฟองอากาศภายในกระจกขนาดไม่ใหญ่มากที่เต็มไปด้วยน้ำที่ตอนนี้ผมได้แบกมันอยู่ข้างหลัง และภายในนั้นได้บรรจุไว้ซึ่งสมองของมนุษย์ กระจกที่โค้งเป็นรูปครึ่งแคปซูลตรงใต้ฐานของมันมีท้อที่ต่อไปยังท้ายทอยของผมซึ่งมันกำลังลำเรียงบ้างสิ่งที่น่าอัศจรรย์จนมนุษย์ทุกคนจะต้องถึงกับร้องว้าวเป็นแน่ถ้ารู้ว่ามันกำลังลำเลียงอะไรเข้าไปอยู่
"นี่นายคิดว่าว่าพวกเราจะยังถูกตามล้าอยู่อีกไหม"
"ฉันว่าต่อให้คนทั้งโลกออกตามล่าพวกเราอีกครั้งก็ไม่มีทางที่พวกมันจะจับพวกเราได้อีกแล้ว"
"นั่นสินะ ถ้ายังคงเหลือมนุษย์ชาติที่เป็นศัตรูของเราอยู่มันคงจะต้องตายในทันที"
"นายคิดว่ามันจะยังเหลืออีกงั้นเหรอ ไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้านี้รึไงกัน"
"ฉันก็ว่างั้น"
ผมแสยะยิ้มให้กับภาพตรงหน้าที่เป็นการหารล่มสลายของทุกๆสิ่ง ตึกรามบ้านช่องถล่มทลายลง เหล่ากลุ่มควันสีหม่นหมองต่างลอยฟุ้งขึ้นสู่ห้วงแห่งท้องนภา
ตู้ม!! ตู้ม!! ตู้ม!!
เสียงของขีปนาวุธดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย บ้างก็ปรากฏให้เห็นถึงภาพของกลุ้มควันที่เป็นรูปของเห็ดยักษ์มาจากใกลๆ
ส่วนตัวผมนั้นในตอนนี้กำลังเดินชมโลกาวินาศนี้อยู่บนภาคพื้นดินโดยไม่เกรงกลัวใดๆ และในจังหวะที่กำลังกระโดดข้ามจากตึกนึงไปสู่อีกตึกนึงนั้น ก็มีเศษเหล็กขนาดไม่ใหญ่มากหลากหลายท่อนพุ่งตรงมาทางผมและทิศทางอื่นๆ
ผมมองมันเห็นอย่างชัดเจนและสามารถหลบได้อย่างสบายๆแต่ผมก็เลือกที่จะรับมันเอาไว้ พลั๊ว!! มันพุ่งมาด้วยความเร็วสูงทะลวงผ่านใบหน้าผมออกไปซีกนึง กระโหลกศีรษะสมองและดวงตาเกือบครึ่งนึงของใบหน้าถูกแยกออกไปแล้ว
ผมหยุดสตั้นเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างเฉื่อยชาและจับจ้องออกไปรอบๆ
ผมเห็นเข้ากับผู้คนและผู้คนเหล่านั้นก็ถูกทับถมอยู่ในพื้นปูน
"ช่วยด้วย~"
เสียงที่แหบพร่าของเขาได้กระทบเข้ากับโสตประสาทของผมจนผมจะต้องหันกลับไปดู
ผมเดินลงไปในบริเวณนั้นและได้เอาซากตึกส่วนนั้นที่มีขนาดประมาณ4เมตรออกให้จนชายคนหนึ่งได้หลุดออกมาได้
"ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมาก"
เขาพยายามฝืนร่างกายของเขาที่เต็มไปด้วยแผลและลุกขึ้นมามองหน้าผมหลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็ย่ำแย่ลงในทันที ผมช่วยจับมือที่กำลังสั่นเทาอยู่นั้นให้ เพื่อช่วยพยุงตัวของเขาเอาไว้ ผมมองไปที่นัยน์ตาที่กำลังสั่นคลอนอยู่นั้นและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
"ไม่เป็นไรหลอกครับ"
ผมเอียงคอเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างเรียบง่ายจนเขายืนได้ในที่สุด ในขณะนั้นผมก็ลองมองออกไปที่คนอื่นๆที่กำลังหอบสังขารของตัวเองขึ้นมา และพวกเขาเหล่านั้นก็หน้าซีดลงในทันทีที่เห็นใบหน้าของผมที่กำลังยิ้มให้พวกเขา
"กะ..กะแกมันปีศาจ ไอ้สารเลวแกมันคือศัตรูของมนุษยชาติ ไปตายซะไอ้...
ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวจบร่างของเขาก็ขาดออกจากกันเป็นแนวเฉียงและมีของเหลวสีแดงพุ่งกระฉูดออกมาจากรอยตัดนั้น
ร่างของเขาตกลงสู่พื้นและแน่นิ่งไม่ขยัยใดๆอีก ส่วนคนอื่นๆที่เห็นบ้างก็ทรุดลงกับพื้นด้วยใบหน้าที่สิ้นหวังบ้างก็แสดงสีหน้าที่น่าเกลียดออกมาและรีบวิ่งหนีออกไป ส่วนเหล่าหญิงสาวหลายๆคนก็ต่างกรีดร้องออกมา
แต่คนพวกนั้นผมก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจเท่ากับแม่ลูกคู่หนึ่งที่กำลังนั่งกอดกันอยู่เบื้องหน้าของผม
"แม่คะ พวกเราจะรอดไปใช่ไหมคะ"
เด็กสาวตัวน้อยหน้าตาน่ารักกล่าวขึ้นในขณะที่แม่ของเธอกำลังโอบออดเธออยู่ด้วยร่างที่กำลังสั่นสะท้าน ผมเริ่มเดินตรงไปในทิศหน้านั้นด้วยใบหน้าที่เหลือแค่ครึ่งซีกพร้อมยิ้มให้กับเด็กคนนั้น
"ไม่ลูก ไม่ อย่าไปมองมันนะลูก"
เธอกล่าวด้วยเสียงสั่นๆและพยายามจะไม่เงยหน้ามามองผมจากนั้นหญิงสาวก็กอดรัดเธอแน่นขึ้นเรื่อยๆและพยายามกดหัวเธอเอาไว้
"ถึงเธอจะฆ่าฉันก็ไม่เป็นไรแต่เด็กคนนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย ตอนนี้เธอยังไร้เดียงสาอยู่ เพราะฉะนั้นอย่าฆ่าลูกฉันเลยนะอย่าเลยฉันขอล่ะ"
ผมกำลังฟังเสียงที่สะอื้นนั้นของเธอด้วยเป็นหน้าที่มีความเห็นใจปรากฏขึ้นมาและก็ได้ตอบออกไปว่า
"ไม่ ฉันจะฆ่าลูกของเธอและก็จะฆ่าเธอด้วย"
น้ำเสียงที่ราบเรียบได้เอ่ยออกมาราวกับว่าที่เป็นสถานการปกติของเขา
" งื้อ~ ไม่เอาแบบนั้น ไม่~!! "
ผมเข้าไปนั่งยองๆใกล้ๆเธอและสังเกตุสีหน้าของเธอที่กำลังล่ำให้อยู่อย่างใกล้ชิดและเข้าไปจับที่ใบหน้าอันนุ่มนวลนั้นของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน ตอนนี้ผมเริ่มเห็นใบหน้าของเด็กน้อยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ ดวงตาและคิ้วของเธอรวมถึงปากเริ่มเกิดอาการสั่นขึ้น จากนั้นผมก็ได้เห็นใบหน้าของเด็กคนนั้นอย่างเด่นชัดขึ้น
เลือดกระเด็นเข้ากระทบใบหน้าของเด็กน้อยผมเช็ดเลือดนั้นให้แต่จู่ๆน้ำตาของเธอก็ใหลออกมาจากเบ้า เด็กสาวไม่แม้จะสนในผมเลยด้วยซ้ำไป เธอมองไปยังบนพื้นเบื้องล่างที่มีใบหน้าของคุณแม่ที่เต็มไปด้วยน้ำตาและนัยน์ตาคู่นั้นก็ทำได้เพียงแต่แข็งค้างไม่ได้จับจ้องมาที่เธอเหมือนทุกที
"หนูน้อยแม่ของเธอตายแล้วหล่ะ พี่ชายเป็นคนฆ่าเอง"
คำพูดขวานผ่าซากของผมได้ถูกกล่าวออกไปอย่างไม่รู้สึกผิดใดๆ พร้อมลูบหัวของเด็กน้อยในขณะที่แขนของคุณแม่เริ่มคลายตัวลง
"พะ.พะ.พี่ชายเป็นปีศาจจริงๆงั้นเหรอคะ"
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั้นไหว ในขณะที่ผมได้อุ้มเธอขึ้นมาและกล่าวกลับไป
" จะว่ายังไงดีถ้าจะให้เรียกแบบนั้นมันก็ไม่ผิดหรอกนะ เดี่ยวพี่จะแสดงอะไรให้ดู"
ผมวางเธอไว้บนไหล่ และในวินาทีนั้นผมก็ได้ยินเสียงฟองอากาศดังมาจากทางด้านหลัง
"ไอ รักษาได้แล้วหล่ะ"
เมื่อสิ้นสุดเสียงของผม ระยางสีเลือดก็ทยอยออกมาจากบาดแผลขนาดใหญ่บนใบหน้านี้และทำการรวมตัวทับกันไปเรื่อยๆจนกระทั่งใบหน้าของผมกลับมาเป็นดังเดิม
" พี่ชายกำลังพูดอยู่กับใครงั้นเหรอคะ? "
เด็หญิงตัวน้อยมองมาทางผมด้วยความสงสัยในขณะที่ผมกำลังก้าวเดินตรงไปทางผู้คนที่อยู่ข้างหน้าที่กำลังวิ่งออกห่างจากตัวผม
"พี่คุยกับสมองAI ที่อยู่ข้างหลังหนูนะจ่ะ เธอมีชื่อว่าไอ พี่เป็นคนสร้างเธอขึ้นมาเอง สุดยอดใช่ไหมล่ะ แต่เดี่ยวเธอจะได้เห็นอะไรที่สุดยอดยิ่งกว่า"
ผมยิ้มและกล่าวอย่างอารมณ์ดี
เมื่อสิ้นสุดการสนทนา ผมก็ได้หายไปจากจุดเดิมและไปโผล่อยู่ที่ข้างหลังคนๆนึงและจับไหล่ของเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้วิ่งหนี จากนั้นใบหน้าที่สิ้นหวังของเขาก็ได้หันหลังกลับมา เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นใบหน้าพร้อมทั้งศีรษะก็ได้ตกไปสู่พื้นตามมาด้วยร่างอันไร้วิญญาณนั้น
ผมจัดการไปอีก4-5คนและผมก็ได้อุ้มเด็กสาวคนนั้นมาไว้ที่ข้างหน้าและจ้องมองใบหน้าของเธอที่กำลังอยู่ในภวังค์แห่งจิตที่โศกเศร้าและกำลังสิ้นหวังแบบสุดๆ
ผมก็ไม่รู้ว่าทำใมแต่ใบหน้าแบบนี้นี่แหละคือสิ่งที่สื่อได้ถึงความเป็นมนุษย์มากกว่าใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มอยู่อีก อ่า~ใช่ มันอาจจะเป็นเพราะว่ามนุษย์ไม่อาจเสแสร้งว่ากลัวได้ยังไงหล่ะ ถึงแม้ว่ามันจะแสร้งทำเป็นว่ากลัวได้แต่ยังไงซะมันก็ต่างกันอยู่ดีเว้นแต่จะแสดงถึงท่าทางที่ยิ้มแย้มเพราะมันทำเพียงแค่ยิ้มอย่างที่เป็นอยู่ก็พอจะกลบเกลื่อนสิ่งที่อยู่เบื้องหลังนั้นได้แล้วไม่จะเป็นความสิ้นหวัง ความกลัว ความเจ็บปวด ความแค้น หรทอแม้แต่ความผิด เพียงแค่ยิ้มเท่านั้นแหละลักษณะของใบหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีนี่แหละมนุษย์หล่ะ...
"ทำใมพี่ชายถึงได้ฆ่าคนพวกนั้นรวมถึงแม่ของหนูด้วยล่ะคะ"
เธอกุมมือของตัวเองที่กำลังสั่นเทาอยู่พร้อมถามออกมาด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว ผมมองเขาไปภายในดวงตาคู่นั้นและก็สังเกตุได้ถึงความแค้นที่มีอยู่แต่ความแค้นนั้น ที่ไม่ได้ปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของความเกลียดชังแต่อย่างใร มันกลับปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของความกลัวแทน
"ก็เพราะว่าพวกเขาเกรียดพี่ชายและก็แช่งพี่ชายให้ตายหน่ะสิ พี่ชายเลยจะต้องทำอย่างนั้น"
"งั้นหนูก็เกรียดพี่ชายด้วย พี่ชายฆ่าคนพวกนั้นแถมยังฆ่าแม่ของหนูอีก พี่ชายก็ฆ่าหนูด้วยอีกคนสิหนูจะได้ขึ้นไปอยู่กับคุณแม่"
เธอเค้นเสียงกล่าวในขณะที่น้ำตานั้นเริ่มหลั่งไหลออกมาหนักขึ้นเรื่อยๆ
"อย่าพูดแบบนั้นออกมาสิรู้ไหมว่าชีวิตหน่ะมันมีคุณค่ายิ่งกว่าที่หนูคิดอีกนะ พี่ไม่ฆ่าหนูหรอกนะ รู้ไหมเพราะอะไร เพราะหนูน่ารักยังไงหล่ะโอ๋~อย่างร้องนะโอ๋~"
ผมพยายามที่จะปลอบประโลมและเช็ดน้ำตาของเธอจนกระทั่งเธอหยุดร้อง แต่เสียงสะอื้นนั้นผมก็ได้ยินมันดังออกมาอยู่เป็นพักๆแต่ก็เห็นได้ชัดเลยว่ามันเริ่มสงบลงแล้ว
ผมลูบหัวและปลอบประโลมเธออีกครั้งจากนั้นก็ลูบลงมาจนถึงใบหน้าที่นุ่มนิ่มน่าหมั่นไส้นี้ที่กำลังแดงก่ำและก็หยิกมันเบาๆ ผมยิ้มให้กับหน้าตาที่แสนน่ารักของเธอ จากนั้นผมก็มองเข้าไปภายในดวงตาคู่นั้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้ผมกลับไม่พบกับความแค้นนั้นอีกแล้วผมพบแต่เพียงความไร้เดียงสาของเด็กน้อย และก็ลูบลงมาที่คอจากนั้นก็..
แคล๊ก!
เสียงกระดูกดังลั่นขึ้น ผมไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่แต่เขาก็ทำมันไปแล้วนัยน์ตากลมโตของเด็กน้อยขี้แยเมื่อตะกี้ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าอีกต่อไปแล้วร่างกายที่ผมจับอยู่นั้นก็แน่นิ่งแขนที่ไร้วิญญาณห้อยดิ่งลงโดยไร้การควบคุมที่เมื่อกี้กำลังเช็ดคราบน้ำตาอยู่ ใบหน้าของผมนั้นเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาและไม่รู้สึกผิดใดๆ
"คิลนี่นายไม่สงสารเด็กตัวน้อยๆบ้างเหรอเธอยังไร้เดียงสาอยู่เลยนะ"
"ยังไงซะมนุษย์ก็คือมนุษย์วันยังค่ำไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ยังไงมนุษย์ก็คือมนุษย์"
"ทำใมนายถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้กันหล่ะ เมื่อก่อนนายยังกลัวฉันอยู่เลยหนิหรือแม้แต่แค่เห็นเลือดก็ช็อกแทบแย่แล้ว"
"...."
เขาโยนร่างที่ไร้วิญญาณนั่นทิ้งอย่างไม่รู้สึกใดๆและสับเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆโดยการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่ตามองไม่ทัน ผมรู้ว่าเขาคิดยังไงแล้วตอนนี้เขาก็ยังคิดถึงสิ่งนั้นอยู่สิ่งที่เขาได้สูญเสียมันไปทั้งหมด และเขาก็แทบไม่ได้สนใจในผู้คนอีกแล้วในตอนนี้ซึ่งต่างจากผม
" ยังไงก็เถอะตอนนี้นายจะเอายังไงต่อหล่ะ ปธานาธิบดีของประเทศต่างๆนายก็ฆ่าไปหมดแล้ว องค์กรใต้ดินใหญ่ๆ หรืิอแม้แต่กองทัพทหารระดับสูงก็แทบจะไม่เหลือให้นายฆ่าเล่นอีก แล้วนายจะทำยังไงได้อีกหล่ะ หรือว่านายจะฆ่าตัวตายตามพวกนั้นไป"
" ฉันว่าต่อให้โลกจะระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆจนไม่เหลือพื้นที่ให้ฉันหายใจ ยังซะฉันก็ไม่วันคิดที่จะฆ่าตัวตายแน่ๆ"
พวกเราเดินทางมาถึงสถานที่ที่ผู้คนเรียกว่ากระทรวงกระลาโหมสหรัฐหรือเดอะเพนตากอน พวกเรามองไปยังรูปทรง5เหลี่ยมขนาดใหญ่นั้นที่แทบจะไม่เหลือเคร้าโครงเดิมอีกแล้ว พวกเรามองมันอย่างไม่รู้สึกใดๆและผ่านมันไป
" แล้วจะเอาไงหล่ะ"
" ฉันจะรอดูต่อไป รอดูว่ามนุษย์ที่เหลืออยู่แค่เพียง1พันล้านคนนี้ในอนาคตพวกเขาจะเป็นยังไงต่อและฉันก็จะยังไม่ลงมืออะไรสักช่วงเวลานึง และเมื่อเหล่ามนุษยชาติเขาสู่ความสงบสุขเมื่อนั้นฉันจะออกอาลวาดอีกครั้งและอีกครั้ง จนกว่าเหล่ามนุษย์จะก้าวเข้าสู่หนทางแห่งความปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่แบ่งแยกชนชั้นกัน ไม่ชวงชิงต่อกัน แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้หรอกใช่ไหม"
พวกเรามองไปที่ผู้คนนับพันที่กำลังอพยพกันอยู่และก็ผ่านไปโดยไม่มีใครสังเกตุ
" นายไม่คิดที่จะย้อนเวลากลับไปเมื่อตอนที่นายเริ่มต้นบ้างงั้นเหรอ"
" ตอนไหนหล่ะ"
" ตอนที่ฉันสอนให้นายฆ่าคนครั้งแรกไงหล่ะ "
"..ฉันคิดว่าไม่นะ"
" แต่.... "
" ไอเปิดประตู"
พวกเราได้เดินผ่านเข้าไปภายในห้องใต้ดินแห่งหนึ่งซึ่งประตูเมื่อตะกี้ที่พวกเราเดินผ่านมานั้นมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากๆและใกล้เคียงกับคำว่าอนาคตจนถึงที่สุด เพราะมันคือสิ่งที่คิลนั้นได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นด้านแรกในการเข้าไปในฐานลับของพวกเรา
" แต่อะไรหล่ะ"
" แต่ก็ไม่แน่ว่าหากเหล่าคนฝั่งนั้นได้เห็นข้อความนี่ล่ะก็อนาคตก็อาจจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงก็ได้"
พวกเราเดินมาจนถึงห้องๆหนึ่งที่เต็มไปด้วยหน้าจอโฮโลแกรมมากมายในนั้นที่ขึ้นอยู่ทุกๆทิศ และก็ข้อความข้างหน้าขนาดใหญ่ที่เขียนไว้ว่า
"ถ้าพวกคุณเข้าในถึงชีวิตพวกคุณก็คงไม่ตาย ถ้าพวกคุณแค่เข้าใจเด็กชายเพียงคนเดียวพวกคุณก็จะรอด"
" นายคิดว่าพวกนั้นจะเข้าใจไหม"
"ก็ไม่รู้เหมือนกัน"
....
และเรื่องราวทั้งหมดก็กลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง จุดเริ่มต้นของทุกอย่างที่มีเด็กหนุ่มอัจฉริยะเป็นตัวเอก แต่ความอัจฉริยะนั้นกลับดันมากับความต้องการอันเป็นส่วนลึกภายในจิตใจที่แท้จริงของเขาจากนั้นพวกเขาทั้งสองจะสร้างความวินาศให้แก่โลก
อาชญากรก้องโลก 1
บทที่1 ผู้ก่อการร้าย
ตอนที่1 กระเป๋าตังหาย
ในวันที่ธรรมดากับตัวผมที่ธรรมดา ผมเด็กน้อยที่พึ่งเรียนจบจากชั้นประถมกำลังเตรียมตัวจะเข้ามัธยมต้นโรงเรียนดัง
ในวันที่น่าเบื่อแบบนี้ผมมักจะเดินทางมาที่ห้างแห่งนี้เป็นประจำ เพราะมันอยู่ไม่ได้ห่างกันนักจากคอนโดที่ผมอาศัยอยู่
ที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ
ณ อาคาร A ที่มีความสูงทั้งหมด9ชั้น ซึ่งตอนนี้ผมอยู่ที่ชั้น7 ซึ่งเป็นชั้นที่ผมพึ่งจะกินมื้อเที่ยงเสร็จหมาดๆและเมื่อผมจะทำการจ่ายตังให้กับพนักงานที่มาเช็คบิลอยู่นั้นเอง ความรู้สึกใจหายวาบก็บังเกิดขึ้น จนถึงขั้นทำให้ความเย็นเฉียบเข้าปกครุมใบหน้า เมื่อรู้ว่ากระเป๋าตังหาย ผมพยายามครำๆอยู่สักพักแต่ก็ไม่เจอ ผมจึงเอ่ยกับพนักงานที่มาเช็คบิลไปว่า
"เอ่อ.. รับโอนผ่านวีซ่าไหมครับ"
ผมเอ่ยออกไปด้วยท่าทางที่ดูกังกลสีหน้าของผมในตอนนั้นก็ไม่ค่อยดีนัก พร้อมกับหัวใจที่สั่นอย่างระรัวแรง แต่ค่อนข้างโชคดีหน่อยที่ดูเหมือนว่าคุณพนักงานสาวจะไม่ได้สักเกตุเห็นนัก ไม่งั้นผมคงเขินหนักจนทำอะไรไม่ถูกแน่เลย
" มีค่ะ ไม่ทราบว่าจะทำการโอนทันทีเลยไหมคะ"
เธอตอบคำถามของผมอย่างช่ำชองด้วยใบหน้าที่เป็นมิตร สมแล้วที่ได้ทำงานเป็นพนักงานเช็คบิลแบบนี้
ฟู่ว~
ผมแอบถอนหายใจออกมาแทบจะทันทีและทำการชำระเงินจนเสร็จแล้วรีบเดินออกมาโดยเร็ว ถ้าเกิดว่าเขาไม่รับจ่ายผ่านทางนั้นล่ะก็คงมีปัญหาแน่ และตอนนี้ก็มีปัญหาพอแล้วด้วย ว่าแล้วไม่รอช้าผมเริ่มต้นหาตั้งแต่จุดล่าสุดที่ผมได้จับกระเป๋าตัง
ผมเริ่มออกหาตั้งแต่ร้านขายน้ำตรงชั้นแรกที่ผมหยิบกระเป๋าตังล่าสุดเพื่อทำการจ่ายเงิน ผมตามหาขึ้นไปเรื่อยๆจนไปถึงชั้น7ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายที่ผมได้เดินมา แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
เมื่อเป็นเช่นนั้นหลังจากที่หยุดเดินหามาได้สักพัก ผมก็รู้สึกว่าธรรมชาติเรียกร้อง
ผมจึงเข้าห้องน้ำทำธุระก่อนแล้วค่อยลองไปแจ้งกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ดู ในขณะที่ผมเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยอาการเหม่อลอยและกำลังคิดว่าจะหาต่อที่ตรงจุดไหนก่อนดี ผมก็ชนคนๆหนึ่งเข้าจนผมล้มลง
แต่ผมก็ไม่ได้เป็นไรหรอกนะ จนกระทั่งผมได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า มันถึงกับทำให้นัยน์ตาของผมนั้นเบิกกว้างและมีสีหน้าที่ซีดลงอย่างฉับพลันราวกับเห็นผีพร้อมเหงื่อที่พุดพรายออกมาแม้อากาศรอบข้างจะหนาวเย็น
ร่างของเขาสูงประมาณ190 ค่อนข้างบึกบึน เขามาพร้อมกับพ้องเพื่อนอีกหลายคนที่แต่งกายคล้ายๆกันนั่นคือกางเกงสีดำแบบสั่งตัดพิเศษที่ผมเคยเห็นมาจากที่ไหนสักแห่งแต่ก็จำไม่ได้ว่าเห็นมาจากไหน และเมื่อผมได้เห็นถึงสัญญาลักษณ์รูปไม้กางเขนแล้วมีหัวกระโหลกอยู่ตรงกลางมันยิ่งทำให้ผมตกใจขึ้นไปอีก และสิ่งที่ทำให้ผมนั้นตกใจมากที่สุดคือสิ่งที่อยู่ข้างหลังของเขาที่ถูกปิดด้วยเสื้อโค้ทหนาๆนั่นก็คือ
"อาวุธสงคราม"
ความทรงจำร้ายๆในอดีตเริ่มกลับมาอีกครั้งจนทำให้ร่างของผมนั้นถึงกับสั่นสะท้านพร้อมกับจิตใจของผมที่เริ่มสั่นคลอนและอ่อนแรงอย่างฉับพลันลงราวกับว่าจะลุกไม่ขึ้น
"ขอโทษครับ"
ผมรีบกล่าวขอโทษทันทีที่สายตาที่ดุดันนั้นจ้องเขม็งมองมาทางผม
"แกไม่เป็นไรใช่ไหมไอ้หนู"
เขายื่นมือออกมาเพื่ิอที่จะช่วยให้ผมลุกขึ้น
"คะ.ครับ.. ผมไม่เป็นไร"
ผมจับมือของเขาแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวอย่างตะกุกตะกัก ผมพยายามเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะมองดูพวกเขาอีกครั้ง แต่เมื่อผมได้เห็นสายตานั้นที่มองมาทางผมราวกับจะฆ่า ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมาและทำการหลบหน้าหนีในทันที
"คราวหน้าคราวหลังระวังด้วยหล่ะ"
น้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ก็รู้สึกได้ถึงความเย็นชาสุดขั้วก็ถูกกล่าวออกมาจากเขา โดยที่ผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขากล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่เป็นยังไงแต่ที่แน่ๆคือไม่ใช่สีหน้าที่กำลังมีความสุขอยู่
"ครับผม"
ผมตอบกลับไปพร้อมจ้องมองรองเท้าคู่สีดำนั้นของพวกเขาด้วยอารมณ์ที่กำลังสั่นคลอนได้เดินห่างออกไปเรื่อยๆจนลับไป
เฮ้อ~
ผมถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และคิดว่าคนพวกนั้นน่าจะรู้อยู่แล้วว่าผมต้องเห็นของที่พวกมันพามาแน่ๆ แต่ที่พวกมันไม่จัดการผมมันก็ง่ายๆเลยคือที่นี่มีคนเยอะเกินไปที่จะลงมือ
หรือไม่ก็ไม่ได้สนใจผมเลยด้วยซ้ำว่าจะเห็นหรือไม่แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงล่ะก็ มีความเป็นไปได้สูงมากที่คนอย่างพวกนั้นคิดจะปิดปากผมทีหลังที่มีโอกาส
แต่มันอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่านั้นก็เป็นได้ถ้าผมจำไม่ผิดล่ะก็เกี่ยวกับสัญญาลักษณ์ที่กางเกงของพวกมันจะต้องเป็นของสิ่งนั้นแน่ๆ และก็ใช่จริงๆด้วย
ผมเปิดโทรศัพท์ขึ้นและเข้าไปในแอพพิเคชั่นแอพหนึ่งที่เป็นสีดำสนิทไม่มีอะไรเลยแม้แต่ชื่อ และทำการพิมพ์เข้าในที่ช่องค้นหาว่า "DarkTube" และสิ่งแรกที่ผมเห็นนั้นมันก็ทำให้ผมรู้ในทันทีว่าพวกมันนั้นคิดที่จะทำอะไร
ภาพปกคลิปปรากฏเป็นส่วนต่างๆของห้างแห่งนี้ฉายให้เห็นถึงผู้คนที่เดินไปมาอยู่อย่างปกติ คลิปวิดีโอที่มีชื่อว่า'ตะลุยห้างดัง'ปรากฏขึ้นมาเป็นคลิปแรกพร้อมกับมีสถานะบอกว่ากำลังไลฟ์สดอยู่ขึ้นตรงมุมคลิปและมีเวลาที่บอกอยู่ว่ามันพึ่งผ่านมาได้เพียง5นาทีเท่านั้น
"ยังเหลืออีก25นาที"
ผมกล่าวออกมาลอยๆก่อนที่หัวใจของผมนั้นมันจะตื่นเต้นขึ้นอีกครั้งแต่แตกต่างไปจากเดิม ตุบๆ ตุบๆ ตุบๆ~ และก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ความรู้สึกที่คุ้นเคยนี้มันได้กลับมาอีกครั้งหลังจากที่หายไปเป็นเดือน...
"นี่มันน่าสนุกสุดๆไปเลยไม่ใช่เหรอที่พวกเราได้มาอยู่ในที่จัดรายการของพวกมัน"
ตอนนี้อีกตัวตนหนึ่งของผมได้ตื่นขึ้นมาแล้วและเขาก็พูดออกมาเบาๆจากร่างกายๆนี้ซึ่งมันเป็นของผมแต่! มันกันเป็นของเขาด้วยเช่นกัน...
อาชญากรก้องโลก
บทที่1ก่อการร้าย
ตอนที่2 ชายคนนั้นที่คุ้นเคย
ตอนนี้เขาก็กลับเข้าไปในร่างแล้วหลังจากพูดประโยคนั้นออกมา
"อย่าบอกนะว่านี่นายจะทำมันอีกครั้ง"
ผมกล่าวด้วยสีหน้าที่ซีดอยู่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ถึงแม้ว่าจะมีร่างกายเดียวกันแต่เขากับผมก็เหมือนจะแยกจากกันด้วยอะไรบางอย่าง
ผมทำได้เพียงแต่เดาส่งๆไปว่าเขาจะทำอะไรบ้างเพราะยังไงร่างกายนี้ก็เป็นของผมถ้าเขาคิดจะทำอะไรขึ้นมามันก็ไม่น่าจะเกินกว่าสิ่งที่ผมคิดมากนักหรอก และที่ผมกลัวมากที่สุดในตอนนี้ก็คือกลัวว่าเขาจะทำเหมือนเรื่องในอดีตนั้นอีกครั้ง
ภาพที่เต็มไปด้วยความมืดสนิทกับมือของผมที่กำลังเปื้อนน้ำอะไรบางอย่างที่เหนียวเหนอะซึ่งมันน่ากลัวมากทุกครั้งที่ผมนึกถึงมันก็คือทุกครั้งที่เขาโผล่ออกมา...
หลังจากผ่านมาได้สักระยะนึงตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว และได้ทำอย่างที่คิดไว้เมื่อก่อนหน้านี้ ผมได้เดินมาถึง ณ ห้องประชาสัมพันธ์และได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ชายคนหนึ่งถึงกระเป๋าตังที่ผมทำหายพร้อมบอกลักษณะออกไป
"ถ้าเป็นกระเป๋าอันนั้นล่ะก็..." เขาทำท่าทางครุ่นคิดสักพักพร้อมกล่าวต่อ"เจ้าหน้าที่ที่ดูแลตรงส่วนห้องควบคุมเอาไป แล้วเขาก็บอกฉันอีกว่าถ้ามีคนมาตามหากระเป๋าใบนั้นให้เขาไปที่นั่นหน่ะ"
เมื่อเขากล่าวจบความสงสัยก็บังเกิดขึ้นแก่ตัวผม
'ใครกันนะ'
"แล้วที่นั่นอยู่ตรงไหนงั้นเหรอครับ"
ผมถามออกไปทันทีเพื่อที่จะได้รับคำตอบพร้อมกวาดสายตามองเขาอย่างละเอียดจนเห็นอะไรบ้างอย่างที่เขากำลังกำไว้อยู่ในมือ
'นั่นมันใช่สิ่งนั้นรึเปล่านะ'
ความสงสัยเริ่มค่อยๆเพิ่มมากขึ้นพร้อมกับความรู้สึกเย็นวาบที่เกิดขึ้นตรงกลางหลังและมีเหงื่อไหลออกมาจากลำคอ
"เดินตรงไปที่ห้องน้ำตรงนั้น แล้วเธอจะเห็นเอง"
เขาชี้นิ้วไปในทิศทางๆหนึ่งพร้อมกล่าวด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยจึงบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆคือเขากำลังแอบจ้องมาที่ผมอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ที่ผมเริ่มเข้ามาแล้ว
มันจึงทำให้ผมไม่ค่อยอยากจะสนทนากับเขาสักเท่าไหร่เพราะบรรยากาศในขณะที่กำลังคุยกันนั้นมันเต็มไปด้วยความตึงเครียดอย่างบอกไม่ถูก ไม่ก็ผมก็อาจจะคิดไปเองหรือเป็นเพราะผมกำลังหวาดระแวงอยู่ก็เป็นได้
"ขอบคุณครับ"
ผมรีบกล่าวเพื่อเป็นมารยาทและเดินไปทางนั้นแทบจะทันทีจนได้มาถึงตรงหน้าทางเข้าห้องน้ำ ผมได้เจอเข้ากับประตูบานหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นห้องควบคุมอย่างที่พนักงานคนนั้นบอก ถึงจะมีความลังเลอยู่บ้างที่จะเข้าไป แต่ด้วยความรีบร้อนผมก็เคาะประตูไปซะแล้ว
และความกังวลก็บังเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อผมหันไปเห็นรองเท้าคู่สีดำคู่นั้นที่คุ้นเคย มันถึงกับทำให้ผมนั้นแทบจะหัวใจวายเมื่อขาอีกข้างได้เก้าออกมาพร้อมกับสัญญาลักษณ์นั่นที่ห้อยอยู่ตรงกางเกงความรู้สึกเมื่อกี้ที่พึ่งหายได้กลับมาอีกครั้ง
สีหน้าของผมเริ่มซีดลงแล้วซีดลงอีก แต่เมื่อผมได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นความโล่งใจก็บังเกิดมาได้เปราะนึงแต่ว่าด้วยความลนลานมันจึงทำให้ผมเข้าไปในห้องและสดุดเข้ากับขาตัวเองจนล้มลง ผมหันกลับไปพร้อมจ้องมองดวงตาคู่เดิมที่มองมาทางผมอีกครั้งจนผมแทบอยากจะกรีดร้องออกมาเสียงดังว่าช่วยด้วย แต่ผิดกับเสียงภายในใจของอีกตัวตนหนึ่งที่กำลังหัวเราะอยู่อย่างสยดสยอง
จากนั้นประตูก็ถูกปิดเข้ามา
"นี่พ่อหนุ่มเป็นไรไหม"
น้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงได้ถูกกล่าวออกมาจากทางประตู
"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เป็นไร"
ผมพยายามยิ้มเพื่อแสร้งกลบเกลื่อนสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหันพร้อมหันกลับไปมองที่เขาและลุกขึ้น
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ว่าไงคิลไม่เจอกันนานเลยนะ ยังซุ่มซ่ามเหมือนน้าเธอไม่เปลี่ยนเลยนะ"
น้ำเสียงที่คุ้นหูได้ถูกกล่าวออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งอย่างร่าเริงจนมันทำให้ผมที่จิตใจที่แปรปรวนกลับมาสงบลงอีกครั้ง
"เอ่อคือ.. น้าวินใช่ไหมครับ"
ผมจ้องมองไปที่ใบหน้าที่เปี่ยมสุขนั้นด้วยท่าทีที่เก้ๆกังๆ
"นี่ยังจำฉันได้อีกงั้นเหรอ"
"จะลืมไปได้ยังไงล่ะครับ ก็พี่ชายเอาแต่จีบน้าผมจนผมแทบไม่ได้เรียนไรเลยอะ"
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอานี่กระเป๋าตังนายใช่ไหม?"
เขาหัวเราะออกมาพร้อมโยนกระเป๋าสีดำอันคุ้นเคยนั้นให้ผม
"ครับใช่ ขอบคุณที่เก็บให้นะครับ"
ผมรับกระเป๋าตังนั้นมาพร้อมหยิบของบางอย่างที่เมื่อเห็นมันก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นเขากระเป๋ากางเกงข้างหนึ่งและใส่กระเป๋าตังไว้ในกางเกงอีกข้างหนึ่ง
"ไม่เป็นไรหรอกคนกันเอง แล้วน้านายเป็นไงบ้างหล่ะ"
เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับลูบหัวผม
"ก็ยังสบายดีอยู่ครับ"
"งั้นเหรอ แล้วเรื่องที่ว่าน้านายเป็นหน่วยสืบสวนของ...."
ผมขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมครุ่นคิดขณะที่ฟังอยู่แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ดังลั่นออกมาขัดจังหวะจนความคิดนั้นถูกตัดขาดลง
กลิ๊ง~!!
ไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวจบคำถามเสียงออดก็ดังสนั่นขึ้นพร้อมไฟสีแดงที่กระพริบตามขึ้นมาในทันที
"มันเกิดอะไรขึ้น อย่าบอกนะว่ามีไฟไหม้"
เขากล่าวขึ้นอย่างจริงจังเมื่อเสียงนั้นหยุดลงพร้อมรีบเข้าไปดูที่กล้องวงจรปิดบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
"เปล่าครับหัวหน้ามีคนไปเปิดมัน"
ชายอีกคนที่นั่งอยู่รีบกล่าวออกมาทันทีพร้อมเปิดภาพของกลุ่มคนใส่ชุดดำท่าทางน่าสงสัยกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากห้องกระจายเสียง
"ดูนั่นสิครับหัวหน้ามีใครก็ไม่รู้กำลังมาทางประตูหน่ะ"
ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่นั่งใกล้ๆกันรีบกล่าวอย่างตกใจพร้อมชี้นิ้วไปที่หน้าจอที่มีกลุ่มคนที่คาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่ออกมาจากห้องกระจายเสียง
"ฉันออกไปดูเอง"
เขาหันหลังกลับไปทันทีด้วยสีหน้าที่งงงวยพร้อมรีบมุ่งไปทางประตูที่ตอนนี้มีเสียงเคาะดังออกมา
"เดี๋ยวก่อนหัวหน้าพวกมันมี..."
สีหน้าของเขาและคนอื่นๆเปลี่ยนไปเป็นซีดลงในทันทีเมื่อได้เห็นอะไรบ้างอย่างที่เกิดขึ้นบนหน้าจอ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวจนจบประโยค...
ผมที่ยืนอยู่ไม่ห่างนักกับชายที่ตอนนี้กำลังจะเปิดประตูก็ได้หันกลับไปดูบนหน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นว่ามีอะไรมันจึงทำให้ผมแทบอยากจะบ้าตายและได้หันกลับไปที่เขาในทันที
ปังๆๆๆๆๆๆ!!
เสียงรั่วของกระสุนปืนดังลั่นออกมาจากหน้าทางเข้า
จนผมในตอนนี้ใบหน้านั้นยิ่งกว่าคนเห็นผีความกลัวและความกังวลได้เข้าปกครุมจิตใจนี้จนหมดสิ้น นัยน์ตาของผมนั้นเบิกกว้างจนสุดพร้อมมองออกไปที่แผ่นหลังของชายคนนั้นที่มีของเหลวสีแดงกระจายออกมา หูของผมเริ่มอื้ออึงเพราะเสียงปากของผมเริ่มอ้าออกมาจนค้าง ร่างของผมทรุดลงกับพื้นและทำอะไรไม่ถูก...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!