บทที่ 1 อนาตาเซีย
เมืองฮาเดน
ค่ำคืนอันมืดมิดในเมืองเล็กๆแสงไฟส่องสว่างตามทางไปทั่วบริเวณท้องถนน ยังมีสถานที่อันน่าจดจำของใครหลายคนนามว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามอเฟรนด์ บ้านอันเก่าแก่ของเด็กที่ไร้ซึ่งที่พักพิง และเป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนของหลายคน
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าปัจจุบันมีความทรุดโทรมและเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ผนังกำแพงมีฝุ่นและไยแมงมุมหน้าเตอะ ผนังรอบข้างมีรอยผุพังส่งผลให้น้ำรั่วไหลเปียกชื่นไปทั่วพื้นห้อง ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเก่าจนแทบจะใช้ไม่ได้และเหลือเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
เด็กกำพร้าหลายคนถูกส่งตัวมาที่นี่เพื่อเข้ารับการดูแล เนื่องจากเขาเหล่านั้นประสบปัญหาครอบครัว เช่นครอบครัวสูญหาย เสียชีวิต แยกทางกัน หรืออื่นๆ ทำให้ไม่มีใครต้องการพวกเขา อีกทั้งยังถูกมองว่าเป็นภาระ ทำให้เด็กส่วนใหญ่ที่ไม่มีผู้ปกครองจึงลงเอยด้วยการเป็นเด็กกำพร้าของที่นี่ แม้ว่าจะยังมีทางเลือกอื่นที่เด็กเหล่านั้นสามารถทำได้ซึ่งก็คือการออกไปเป็นเด็กเร่ร่อนใช้ชีวิตตามยถากรรม หาเศษอาหารประทังชีวิต หรือขอทาน ส่วนใหญ่ไม่นานเมื่อพวกเขาออกมาใช้ชีวิตแบบนั้นเด็กๆจะจบลงด้วยการเป็นขโมย ทำงานผิดกฎหมาย หรืออาจถูกหลอกไปขาย
อนาตาเซีย เด็กหญิงอายุ 13 ปี เธอคือหนึ่งในรายชื่อเด็กกำพร้าของที่นี่ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าตนจะเจอกับอะไรบ้าง ทำให้เธอเองก็มองไม่เห็นเส้นทางอนาคตของตนว่าจะเป็นเช่นไร อนาตาเซียสาวน้อยน่ารักคนนี้เธอมีผมสีน้ำตาลเข้มประกายแดงยาวสลวยถึงบ่า ดวงตาสีดำรัตติกาล ปากสีแดงเข้มเหมือนผลเชอรี่สุก ผิวขาวใสดุจหิมะ จมูกเล็กเป็นสันและใบหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ซื่อไร้เดียงสา อนาตาเซียมีรูปร่างผอมบางและตัวเล็กแต่เธอกลับมีนิสัยที่ขยันขันแข็ง ตั้งใจทำงานและพยายามมองหาลู่ทางสำหรับอนาคตตัวเองเสมอถ้าเป็นไปได้
ตอนนี้อนาตาเซียเป็นเด็กรับจ้างในร้านขายของชำเล็กๆแห่งหนึ่งในเมืองฮาเดน เธอตั้งใจทำงานและเก็บเงินเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น เพื่อให้ตัวเองไม่ลำบากมาก โชคดีที่เมืองแห่งนี้มีกฎหมายที่ไม่เข้มงวดเท่าไหร่ทำให้ชายเจ้าของร้านรับเธอเข้าทำงาน
.
.
.
.
เช้าวันสดใสอันธรรมดาร้านขายของชำเล็กๆเปิดให้บริการตามปกติ สาวน้อยตัวเล็กยืนปัดฝุ่นทำความสะอาดและจัดของบนชั้นตามปกติ เสียงชายแก่อายุราว 50 ปี เจ้าของร้านชำเรียกเด็กหญิงลูกจ้างมาทำหน้าที่ส่งหนังสือพิมพ์ในยามเช้า
“อนาตาเซีย ไปส่งหนังสือพิมพ์ตามแผนที่นี้นะ ส่งเสร็จแล้วมาจัดของในร้านด้วยล่ะ อย่าลืมปัดฝุ่นทำความสะอาดของให้ดีๆเสร็จแล้วฉันจะไปตรวจดูงานว่าเรียบร้อยดีไหม”
“ค่ะ”
ชายชราเปิดร้านแห่งนี้มานานหลายสิบปีปัจจุบันมีลูกค้ามากหน้าหลายตามาซื้อของในร้านแห่งนี้เป็นประจำ งานของอนาตาเซียที่ทำตลอดคือส่งหนังสือพิมพ์ไปยังร้านค้าย่อยต่างๆทุกๆเช้า และทำงานเล็กๆน้อยๆในร้าน อนาตาเซียทำงานที่นี่ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ เธอเริ่มจากการปัดกวาดเช็ดถูร้านจนตอนนี้เธอก็อายุ 13 ปีแล้ว ดังนั้นเธอจึงมีหน้าที่ส่งหนังสือพิมพ์เพิ่มเข้ามาอีก 1 อย่าง ส่งผลให้เธอเริ่มยุ่งกับงานมากขึ้น
การทำงานในร้านขายของชำ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่มีใครรู้มาก่อนอีกทั้งพวกเขายังไม่ได้ให้ความสนใจ ทำให้อนาตาเซียต้องคอยระมัดระวังและปิดเรื่องนี้เอาไว้ เนื่องจากเธอเองก็ไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องการทำงานของเธอ เพราะอาจจะมีปัญหาตามมาที่หลัง ดังนั้นเธอจึงตื่นตี 3 เพื่อมาจัดร้าน และเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อเช้า กลางวัน เย็น เธอจะรีบวิ่งกลับไปทานอาหารให้พร้อมกับทุกคนตามกฎของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
เย็นวันหนึ่งในสถามเลี้ยงเด็กกำพร้าเด็กหลายสิบคนนั่งเรียงแถวด้วยความเป็นระเบียบขณะรอทานอาหารค่ำ พร้อมพี่เลี้ยง 2 คนคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
“เด็กๆนั่งให้เรียบร้อยได้เวลาทานอาหารค่ำแล้วนะจ๊ะ”
เสียงผู้ดูแลกล่าวด้วยน้ำเสียงเอ็นดูพร้อมส่งยิ้มให้ทุกคนที่นั่นรออาหารอย่างใจจดใจจ่อ ขณะนั้นผู้ดูแลได้สะดุดตากับบางอย่างทำให้เธอรู้สึกสงสัยและถามเด็กๆทันที
“เอ่อ...…เด็กๆอนาตาเซียหายไปไหน”
ผู้ดูแลถามและมองไปยังเด็กทุกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของตนด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยแต่ขาดเพียงอนาตาเซียคนเดียวเท่านั้น
“พวกเราไม่เห็นอนาตาเซียตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายแล้วครับ ก่อนหน้านี้ผมเห็นเธอเดินเล่นอยู่คนเดียวตรงม้านั่งที่สนามหญ้า” เสียงเด็กคนชายคนหนึ่งตอบ
“ถ้าคนไม่ครบก็ยังทานข้าวไม่ได้นะเด็กๆ พวกเธอก็รู้กฎใช่ไหม ต้องตรงต่อเวลา”
ขณะที่ผู้ดูแลกำลังกล่าวเตือนเด็กอยู่นั้นเด็กคนหนึ่งได้หันไปพบกับเด็กสาวรูปร่างคุ้นเคยกำลังเดินตรงมายังห้องอาหาร ส่งผลให้เด็กๆร้องออกมาด้วยความดีใจ
“นั่นไง ! อนาตาเซียมาแล้ว” เด็กหญิงนั่งอยู่บนเก้าอี้กล่าวและชี้ไปยังประตูทันที
“อนาตาเซียทำไมเธอมาช้าอีกแล้ว รู้รึเปล่าว่าทำให้ทุกคนต้องรอทานอาหารค่ำช้าไปด้วย” ผู้ดูแลกล่าวตำหนิและแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาทันที “รีบมานั่งที่เตรียมตัวทานอาหารค่ำ ทานเสร็จแล้วไปหาฉันที่ห้องทำงาน”
“ค่ะ”
ห้องทำงาน
“ทำไมเธอชอบออกไปข้างนอกคนเดียวแล้วกลับมาตอนหัวค่ำทุกวัน เธอคงไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม” ผู้ดูแลพูดด้วยความสงสัยและคาดเดาคำตอบ “เฮ้อ !!! มีเด็กกำพร้าหลายคนที่อยู่ที่นี่แล้วชอบลักเล็กขโมยน้อย จริงๆ ตอนนี้เธอก็อายุมากพอสมควรสำหรับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเรา เพราะเธอสามารถรับผิดชอบชีวิตด้วยเองได้แล้ว ตอนนี้ทางเรากำลังจะส่งตัวเธอออกไปจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพร้อมกับเด็กคนอื่นๆ ที่อายุเท่าๆกับเธอ เราจะหางานให้พวกเธอทำเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวฉะนั้นอย่าสร้างเรื่องอะไรให้เดือดร้อนมาถึงที่นี่ก็แล้วกัน” ผู้ดูแลกล่าว เตือน “เอาล่ะ เธอไปได้แล้ว”
“ค่ะ”
อนาตาเซียกล่าวและเดินออกจากห้องของผู้ดูแลด้วยท่าทีเศร้าใจ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหลายคนมักจะตัดสินคนจากประสบการณ์ของตัวเอง สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กหลายคนรู้สึกกดดันที่ต้องพบกับสถานการณ์แบบนี้ หลังจากที่สาวน้อยถูกผู้ดูแลอบรมเสร็จเรียบร้อยเธอตรงไปห้องนอนของตัวเองและพักผ่อนทันที
ในความเป็นจริงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามอเฟรนด์ไม่ได้เป็นสถานที่ใหญ่มาก ดังนั้นเด็กที่เป็นผู้ชายและผู้หญิงจะต้องนอนแยกกันอยู่คนละฝั่ง ฝั่งซ้ายเป็นของผู้หญิงและฝั่งขวาเป็นของผู้ชาย ภายในห้องมีเตียงนอนคนละเตียงยาวไปจนสุดทางและในหนึ่งห้องบรรจุคนได้ 30 คน แบ่งฝั่งละ 15 เตียง โดยการหันปลายเตียงเข้าหากัน เพราะสถานที่ค่อนข้างแคบอีกทั้งยังเก่าและทรุดโทรมมาก ทางภาครัฐไม่สามารถให้ความช่วยเหลือไก้เต็มที่ ดังนั้นความเป็นอยู่ของทุกคนจึงค่อนข้างลำบากและไม่ค่อยสบายนัก ยิ่งสุขอนามัยไม่ต้องพูดถึง ลำพังเงินเดือนผู้ดูแลก็ได้มีมากและเงินช่วยเหลือเด็กก็น้อยนิด สภาพชีวิตของเด็กที่นี่จึงค่อนข้างขัดสนและอยู่เพื่อมีชีวิตรอดเท่านั้น
ดินแดนแห่งเวทมนตร์(โลกเวทมนตร์)
กระทรวงช่วยเหลือพ่อมดแม่มดกำพร้าหรือผู้ไม่รู้ว่าตนเป็นพ่อมดแม่มด เจ้าหน้าที่ในกระทรวงมีหน้าที่ช่วยเหลือสายเลือดแห่งดินแดนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งเวทมนตร์เพื่อกลับไปฝึกพลังของตนให้แข็งแกร่งและร่วมมือกันพัฒนาดินแดนให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ขณะนั้นเองหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินตรงไปหาพนักงานของตนและมอบหมายหน้าที่ให้แก่เขาและเธอเพื่อไปตามสายเลือดของดินแดนกลับทันที
“แลนดา ปีนี้มีเด็กหลายคนอยู่รวมกับมนุษย์ประมาณ 50 คน การพาสายเลือดดินแดนแห่งเวทมนตร์กลับมาเป็นหน้าที่ของเธอ”
หญิงสาวผู้ดูแลกระทรวง (ภูติสันติแห่งดินแดนแห่งเวทมนตร์)กล่าวกับตัวแทนในกระทรวง ในที่นี้เธอมีอำนาจสูงสุดและสามารถตรวจจับพ่อมดแม่มดในโลกมนุษย์นี้ได้โดยใช้ความสามารถพิเศษของตน
“อีกอย่างนะแลนดา จำเอาไว้ว่า เด็กๆทุกคนจะต้องเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อเรียนรู้การใช้พลังอย่างถูกต้อง ฉะนั้นเธอต้องทำทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนวันเปิดภาคเรียน อย่าลืมเอาประวัติพื้นฐานครอบครัวให้พวกเขาดูเพื่อที่เขาจะได้รู้ความเป็นมาของตัวเอง ถึงยังไงตอนนี้ทางกระทรวงได้มีการดูแลพ่อมดแม่มดกำพร้าค่อยข้างดีฉะนั้นไปทำหน้าที่ให้ดีล่ะ เข้าใจใช่ไหม”
“ค่ะ ภูตสันติ” แลนดาตอบแล้วเดินจากไป
ในดินแดนแห่งเวทมนต์มนุษย์ที่มีสายเลือดของเผ่าพันธุ์ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งเวทมนต์ อาจเป็นพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งที่มาจาก ดินแดนนี้ ขอแค่มีสายเลือดของเผ่าพันธุ์แห่งนี้เด็กเหล่านั้นก็จะถูกส่งตัวไปยังดินแดนแห่งเวทมนตร์ทันทีเมื่อถึงวัยอันสมควร โดยเมื่อถึงเวลานั้นเด็กทุกคนจะต้องมาดินแดนแห่งเวทมนตร์เพื่อเรียนรู้การใช้พลังของตัวเองและควบคุมมัน
เช้าวันหนึ่งในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ แลนดา วินซ์ มีจดหมายมาจากกระทรวงทางตอนใต้ของเมืองฮาเดน เพื่อมารับตัวเด็กหญิง ชื่ออนาตาเซีย กริมส์”
แลนดากล่าวกับผู้ดูแลสถานเลี้ยงเด็กด้วยท่าทีน่าเคารพและส่งยิ้มให้ผู้ดูแลด้วยความเป็นมิตร
“คุณเป็นญาติของเด็กหรอคะ หรือต้องการรับอุปการะ” ผู้ดูแลถาม
“นี้เป็นจดหมายจากทางกระทรวงพลเรือนของเราเมื่ออ่านจบแล้ว คุณน่าจะเข้าใจ”
แลนดาตอบและส่งจดหมายจากกระทรวงให้ผู้ดูแล หลังจากผู้ดูแลอ่านจบเธอก็พยักหน้ารับทราบทันที
“ต้องการพาตัวเด็กไปเมื่อไหร่คะ”
“เรามารับตัวเด็กไปวันนี้ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น รอสักครู่นะคะ”
ผู้ดูแลตอบ และบอกผู้ช่วยให้ไปตามอนาตาเซียมาทันที หลังจากนั้นเด็กสาวก็เดินเข้ามาในห้องทำงานด้วยความระมัดระวังพร้อมกับตรงไปยังโต๊ะของผู้ดูแลด้วยความงุนงง
“อนาตาเซีย คุณแลนดามาจากกระทรวงทางตอนใต้ เธอคือพลเรือนของพวกเขาและพวกเขาก็มาที่นี่เพื่อพาตัวเธอไป”
“หนูต้องเดินทางไปเมื่อไหร่คะ”
“วันนี้จ่ะ นี้คือจดหมายการรับตัวจากทางกระทรวง เธอไม่จำเป็นต้องเอาอะไรไป แล้วก็เรามีประวัติครอบครัวคร่าวๆของเธอเธออยากจะดูไหม”
แลนดาถามอนาตาเซียด้วยรอยยิ้มก่อนยื่นเอกสารสีน้ำตาลและจดหมายรับตัวให้อนาตาเซียดู อนาตาเซียสาวน้อยผู้น่ารักสดใสรับซองจดหมายแล้วเปิดอ่านประวัติครอบครัวของตัวเองทันที ในนั้นมีแค่ชื่อกับประวัติเล็กน้อย พร้อมรูปถ่ายพ่อแม่ของเธอ
ประวัติ : โทมัส กริมส์ บิดา
: อมันด้า กริมส์ มารดา
สถานะ : หายสาบสูญ
“ขอบคุณค่ะ คุณจะพาหนูไปที่ไหนคะ”
“ไปกระทรวงทางตอนใต้ที่นั่นจะมีสิ่งจำเป็นที่เธอจะต้องเรียนรู้และเตรียมตัวในการเข้าโรงเรียน ฉะนั้นเธอคิดว่าเราเดินทางกันเลยดีไหมจ๊ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น อนาตาเซียจึงหันหน้าไปมองผู้ดูแล ด้วยความกังวล
“ไม่ต้องกังวลนะอนาตาเซีย คุณแลนดาคือคนจากกระทรวงทางตอนใต้เชื่อถือได้จ่ะ”
หลังจากได้ยินผู้ดูแลกล่าวอนาตาเซียจึงเดินทางไปพร้อมกับแลนดาทันที
ระหว่างทาง
“นอกจากประวัติครอบครัวแล้วเรามีบางสิ่งจะให้เธอ” แลนดากล่าว ก่อนยื่นสร้อยลวดลายเส้นสีทอง ซึ่งมีจี้เป็นผลึกคริสตัลสีแดงหนึ่งเส้นให้แก่อนาตาเซีย “นี้เป็นสร้อยของแม่เธอ กระทรวงของเราเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี แล้วก็เรามีบางอย่างที่จะบอกกับเธอ เธออาจจะไม่เชื่อหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่รับรองได้ว่าสิ่งที่ฉันพูดเป็นความจริง เธอคือหนึ่งในสายเลือดแม่มดของดินแดนแห่งเวทมนตร์ ฉันมาจากกระทรวงพ่อมดแม่มดทางตอนใต้ มีหน้าที่มารับบุคคลในดินแดนแห่งเวทมนตร์ที่กำพร้าหรืออาศัยอยู่กับมนุษย์กลับดินแดน
สิ่งที่เธอต้องรู้คือกระทรวงของเรามีประวัติของทุกคนถึงแม้พวกเขาจะจากไปก็ตาม และกระทรวงที่คอยดูแลเรื่องทรัพย์สินก็ยังคงทำหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีในการดูแลทรัพย์สินจนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร ที่ทายาทจะมาดูแลต่อหรือถ้าไม่มีทายาททรัพย์สินก็จะถูกเก็บเข้าคลังเป็นสมบัติส่วนรวม”
“เอ่อ......เดี๋ยวนะคะ แม่มดหรอ หนูว่ามันต้องมีการเข้าใจผิด หนู หนูไม่ใช่แม่มด หนูเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งพวกคุณอาจจะตามหาผิดคน”
หลังจากได้ยินแลนดารับรู้ถึงความไร้เดียงสาและนึกถึงตัวเองในอดีตทันที
“ไม่หรอกสาวน้อย ตอนที่ฉันอายุเท่าเธอฉันก็พูดแบบนี้แหละ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะพิสูจน์ให้ดู เอามือของเธอมาวางไว้ที่มือฉันสิแล้วหลับตาลง”
อนาตาเซียทำตามที่แลนดาบอกด้วยความใส่ซื่อเธอหลับตาและได้ยินเสียงแลนดาพูดอะไรบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ หลังจากนั้นเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น”
“มาซิสเพอริอัส” เสียงแลนดาร่ายคาถาลงบนมือของนาตาเซียเสร็จเรียบร้อยไม่นานก็ควันมากมายปรากฏขึ้นที่มือทั้งสองข้างของเธอ ภาพครอบครัวค่อยๆปรากฏออกมาอย่างแปลกประหลาดเหมือนกับความฝัน เธอมองเห็นตัวเองกำลังนั่งทานข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา มีภาพคุณพ่อนั่งอยู่ข้างๆและอ่านหนังสือพิมพ์รายวัน เขาหันมาส่งยิ้มให้อนาตาเซีด้วยความเอ็นดู ส่วนคุณแม่ของเธอเดินมาหอมแก้มแล้วพูดกับเธอด้วยถ่อยคำอ่อนโยน “ลูกรักทานเยอะๆนะ” พร้อมส่งยิ้มหวานที่เธอแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นมาก่อนนั้นให้กับเธอ ภาพเหล่านี้ล้วนปรากฏอยู่เพียงในความฝันของเธอเท่านั้น เหตุการณ์นี้ทำให้อนาตาเซียรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและรับรู้ถึงเวทมนตร์ทันที
“ที่คุณทำเมื่อกี้คืออะไรหรอคะ”
อนาตาเซียถามแลนดาด้วยความอยากรู้
“มันก็แค่เวทมนตร์พื้นฐานที่พ่อมดแม่มดทุกคนต้องเรียน เมื่อร่ายคาถานี้ มันจะปรากฏความปรารถนาของเธอที่อยู่ในใจออกมา ยังมีอีกหลายเวทมนตร์ที่เธอต้องเรียน อนาตาเซียพ่อแม่ของเธอเป็นนักเรียนที่โรงเรียนสตาเดเฟียฉะนั้นฉันหวังว่าเมื่อเธอไปที่นั่นเธอจะตั้งใจเรียนเพื่อเป็นแม่มดที่ดีในอนาคต”
แลนดาพูดพร้อมส่งยิ้มให้อนาตาเซีย
ถึงแม้สาวน้อยจะยังไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อนาตาเซียก็ตัดสินใจเดินทางไปยังกระทรวงทางใต้เพราะยังไงเธอก็เป็นเด็กกำพร้าจะอยู่หรือไปคงไม่ต่างกัน มันไม่มีใครสนใจเด็กกำพร้าอยู่แล้ว ดังนั้นสาวน้อยวัยกำลังโตจึงเริ่มออกเดินทางไปยังสถานที่ที่ตนไม่เคยไปทันที
ทั้งคู่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงในที่สุดก็มาถึงกระทรวงทางตอนใต้ แลนดานำเธอไปรวมกับเด็กคนอื่นที่มาถึงก่อนแล้ว และส่งให้ผู้ดูแลในกระทรวงจัดการต่อ หลังจากมาถึงอนาตาเซียพบว่าที่นั่นมีเด็กที่เป็นกำพร้าเหมือนเธอหลายคนและพวกเขาก็พึ่งมาที่นี่ครั้งแรกเช่นกัน ทุกคนถูกจัดให้อยู่ในส่วนที่กำลังจะถูกส่งตัวไปยังดินแดนแห่งเวทมนตร์ดังนั้นทุกคนจึงต้องทำความเข้าใจกับการใช้ชีวิตใหม่ในดินแดนแห่งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เด็กทุกคนฟังทางนี้ พวกเธอคงจะพอรู้ประวัติคร่าวๆของครอบครัวเกี่ยวกับสายเลือดของพวกเธอมาบ้างแล้ว ตอนนี้พวกเราจะแบ่งพวกเธอทุกคนทั้ง 50 คนออกไปอยู่โรงเรียนตามพื้นเพครอบครัว โดยมีทั้งหมด 5 เมือง 5 โรงเรียน นี้คือแผนที่ของดินแดนแห่งเวทมนตร์” เสียงผู้ดูแลกล่าวเธอมีหน้าที่กล่าวอธิบายเกี่ยวกับดินแดนแห่งเวทมนตร์ให้เด็กทุกคนฟัง ก่อนจะใช้เวทมนตร์อันมหัศจรรย์ของตนเสกแผนที่ของดินแดนให้ปรากฏยังกลางห้อง
“ว้าวว”
เสียงเด็กร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นและประหลาดใจ
“วันนี้ฉันจะอธิบายให้เธอทุกคนฟังคร่าวๆเริ่มจาก
1.อาณาจักรกลางเมืองสตาทิส โรงเรียนสตาเดเฟีย
2.อาณาจักรเหนือเมืองมาธิออคัส โรงเรียนมาธีออซ
3.อาณาจักรใต้เมืองอาร์ทิต โรงเรียนอาดิเคส
4.อาณาจักรตะวันออกเมืองจูคาเดียน โรงเรียนจูดิคัส
5.อาณาจักรตะวันตกเมืองฮาเมอร์ลิน โรงเรียน ฮาดิเกน
ในดินแดนแห่งเวทมนตร์จะมีโรงเรียนแค่ 5 โรงเรียนนี้เท่านั้น โดยชื่อโรงเรียนได้ตั้งตามอักษรตัวแรกของเมือง พวกเธอต้องเข้าเรียนในโรงเรียนตามที่ครอบครัวของเธอเคยอยู่ แต่การย้ายโรงเรียนก็สามารถดำเนินได้ หากมีความจำเป็น หลังจากนี้พวกเธอจะต้องไปขึ้นเรือเเฟรี่ เพื่อเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ขอให้ทุกคนโชคดี”
หลังจากสิ้นสุดการแนะนำเมืองทุกคนถูกแบ่งออกไปตามเมืองต่างๆ โดยเมืองแต่ละเมืองจะส่งคนมารับเด็กไปยังเทมพรอตหรือสถานที่พักชั่วคราวสำหรับนักเรียนใหม่ ที่นั่นมีเด็กที่ต้องเตรียมตัวเข้าเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์มากมายซึ่งเด็กทุกคนที่ทางกระทรวงแต่ละที่พามาจะต้องไปรวมกันที่เทมพรอตเสมอ อนาตาเซียเองก็เช่นกัน เธอมีต้นกำเนิดมาจากอาณาจักรกลางดังนั้นเธอจึงต้องเตรียมตัวไปเรียนที่ โรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟียตามกลุ่มของตัวเอง
“เร็วเข้าๆเจอป้ายเมืองของตัวเองแล้วรีบขึ้นเรือเลย เร็วเข้าๆทุกคนเร็วเข้า”
เสียงคนถือป้ายตะโกนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวพวกเขากวักมือเป็นสัญญาณให้เด็กๆรีบเดิน
“สตาเดเฟียมาทางนี้”
เสียงชายวัยรุ่นถือป้ายโชว์ชื่อเมืองสตาทิสพูดขึ้น เขามองมายังเด็กหลายคนที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมา และป้ายโชว์นี้ก็ดึงดูดให้เด็กผู้มีต้นกำเนิดมาจากอาณาจักรกลางทยอยเดินไปยังเรือและต่อแถวลงเรืออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อเด็กลงเรือกันครบหมดแล้ว ทุกคนจึงเริ่มออกเดินทาง
“สวัสดีทุกคน ฉันเป็นรุ่นพี่ฝ่ายดูแลนักเรียนที่โรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟียวันนี้อาจารย์ฝ่ายรับนักเรียนไม่อยู่ ฉันจึงมารับพวกเธอแทน พวกเธอเรียกฉันว่ารุ่นพี่มาควิสก็ได้”
เสียงผู้ดูแลนักเรียนกล่าวแนะนำตัวด้วยความเป็นมิตร
“ค่ะ/ครับ รุ่นพี่มาควิส”
ระหว่างทางเดินเรือ
“เรือนี้สวยมากเลยเธอว่าไหม” เสียงเด็กหญิงคนหนึ่งกล่าวทักทายเพื่อนใหม่ เธอมีดวงตาสีเขียว ผมบอนด์ทองยาวถึงหลัง ผิวขาวเหมือนดอกเดซี่ ริมฝีปากอมชมพูดั่งผลแอปเปิล จมูกโด่งเป็นสัน และรูปร่างผอมบางเหมือนกับอนาตาเซีย เธอเดินเข้ามาทักทายอนาตาเซียด้วยน้ำเสียงสดใส
“เอ่อ……ใช่ เรือสวยมาก วิวทะเลที่นี่ก็สวย สวัสดี ฉันชื่ออนาตาเซีย กริมส์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ฉันชื่อลูเซีย ฮาร์เอน ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน เธอเคยอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหรอ ฉันเคยเห็นเด็กใส่เสื้อแบบนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า” ลูเซียถาม
“ใช่ ! แล้วเธอล่ะ”
“อ๋อ……ฉันเองก็เสียพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก อารับฉันมาเลี้ยง ตลกนะว่าไหมทำไมคนที่รับเรามาเลี้ยงมักจะปฏิบัติกับเราไม่ดี ฮะๆ” เสียงลูเซียหัวเราะด้วยความขมขื่น ทำให้อารมณ์มากมายถ่าโถมเข้ามาบนใบหน้าของเธอจนไม่อาจปิดบังเอาไว้
“ทำไมหรอ”
เมื่อไม่กี่เดือนก่อนฉันหนีออกจากบ้านตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาทำร้ายร่างกายของฉันทุกครั้งที่หงุดหงิด โมโห หรือมีปัญหากับที่ทำงาน ทุกวันเขาใช้งานฉันจนเกินกำลังของเด็ก ฉันทนจนไม่อาจทนได้………คืนนั้นฝนตกหนักฉันหนีออกมาจากที่นั่น หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่ขาสองข้างของฉันจะไปได้ ตั้งแต่นั้นฉันก็กลายเป็นคนไร้บ้าน ขอเศษเงินอยู่ข้างถนน มันดูแย่มากใช่ไหมที่กลายมาเป็นคนไร้บ้าน”
“ก็ไม่ขนาดนั้น”
“สำหรับฉันตั้งแต่ที่หนีออกมาได้ฉันไม่เคยคิดอยากกลับไปที่นั่นอีกเลย ฉันรู้สึกว่าการอาศัยนอนอยู่ตามถังขยะยังมีอิสระมากกว่าการกลับไปบ้านหลังนั้นซะอีก อย่างน้อยฉันก็สามารถทำงานบ้านได้ ทำอาหารได้ สามารถหาเงินได้เล็กๆน้อยๆจากงานนี้ ถึงอย่างนั้นฉันก็ใช้ชีวิตข้างถนนได้ไม่นานอยู่ๆก็มีคนไปหาฉันแล้วพาฉันมาที่นี่ เหมือนปาฏิหาริย์เลย ตอนแรกฉันนึกว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล แต่พวกเขาก็พิสูจน์ให้ฉันดูพร้อมกับให้ประวัติครอบครัว หลังจากนั้นฉันเลยตัดสินใจมาที่นี่ ไม่คิดว่าแม่ของฉันที่หลายคนบอกว่าไม่มีหัวนอนปลายเท้าจะเป็นแม่มด อีกอย่างไม่คิดว่าที่นี่จะน่าสนุกและตื่นเต้นอย่างนี้”
“เสียใจด้วยนะที่เจอเรื่องเลวร้ายแบบนั้นของฉันพ่อแม่หายสาบสูญ ฉันเลยต้องมาอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่มีครอบครัวเหมือนกันสินะ”
“คงงั้น”
“เอาหล่ะเด็กๆ เมื่อผ่านหมอกสีขาวตรงนั้นเราก็จะเข้าเขตเมืองสตาฟิตแล้วเตรียมตัวให้ดี”
เสียงมาควิสกล่าว และหันหัวเรือตรงไปยังหมอกตรงหน้าทันที
เมืองสตาทิส
“ว้าวววว สวยจัง”
เสียงเด็กบนเรือพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นเมื่อพวกเขาพบกับเมืองสตาฟิตที่กว้างใหญ่ อลังการ บนท้องฟ้ามีสีสันสดใสสวยงามหลากสี พร้อมเรือบินหลายลำลอยไปมาอวดความสวยสู้กับเหล่านกน้อยบนท้องฟ้า ภายในทะเลสาบเรือสำเภาลำใหญ่เดินทางไปมาจอดเทียบท่ากันไม่ขาดสายสร้างความรุ่งโรจน์ให้กับเมืองนี้ไม่น้อย บ้านและสถานที่แปลกตาเรียงรายไปทั่วบริเวณ นอกจากนั้นแล้วบนถนนยังมีผู้คนหลากหลายเผ่าสัญจรไปมา ซึ่งสิ่งแปลกประหลาดนี้ทำให้พวกเด็กๆยิ่งตื่นเต้นมากกว่าเดิม
“ลงเรือแล้วเดินเกาะกลุ่มกันไว้ พวกเราใกล้จะถึงเทมพรอตแล้ว”
มาควิสพูดและเดินนำทางทุกคนไป
“เทมพรอตยินดีต้อนรับเด็กๆทุกๆคนนะจ๊ะ” หญิงวัยกลางกล่าวต้อนรับ เธอเดินนำเด็กไปยังห้องโถงสีทองเหลืองอร่ามที่กว้างใหญ่และหรูหรา “เด็กๆเดินมาทางนี้ ก่อนอื่นพวกเธอทุกคนจะต้องมีภูตประจำตัวชั่วคราวก่อน ซึ่งภูตประจำตัวจะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงพาเธอไปเตรียมของใช้ที่จำเป็นก่อนไปโรงเรียนเวทมนตร์ ภูติประจำตัวชั่วคราวจะจากไปก็ต่อเมื่อพวกเธอขึ้นรถไฟเรียบร้อยแล้ว คนแรกเดินไปหยิบตลับที่วางอยู่บนโต๊ะ เธอสามารถเลือกได้ตามใจชอบเลยนะเด็กๆ”
เด็กคนแรกเดินตรงไปยังโต๊ะวางและหยิบตลับสีทองลวดลายสวยงามมา 1 ชิ้น หลังจากเปิดตลับเขาพบภูติตัวจิ๋วบินออกจากตลับภูตินี้มีรูปร่างเหมือนคนแต่มีปีกบินได้เหมือนนางฟ้าตัวเล็ก
“สวัสดีฉันคือภูติประจำตัวชั่วคราวเธอสามารถเรียกฉันว่า ภูติจิ๋วได้” เสียงภูติจิ๋วกล่าวทักทาย และคนถัดไปก็เดินมาหยิบตลับต่อไปทันที เมื่อทุกคนเลือกตลับครบแล้วก็แยกย้ายกันไปซื้อของตามสถานที่ต่างๆด้วยตนเองทันที
“อนาตาเซียสิ่งที่เธอจะต้องซื้อเพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนมีดังนี้ฟังนะ” ภูติจิ๋วกล่าวและเตรียมตัวอ่านรายชื่อของที่จำเป็นทันที แต่กลับถูกอนาตาเซียขัดขึ้นด้วนความรวดเร็ว
“เดี๋ยวก่อน ! ฉันไม่มีเงินพอที่จะซื้อของ ฉันมีเงินเก็บแค่เล็กน้อยไม่กี่เหรียญเท่านั้น” อนาตาเซียกล่าวกับภูติจิ๋วของตน
“อนาตาเซียเรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง เธอพอจะรู้ประวัติครอบครัวของเธอใช่ไหม เธอสามารถไปติดต่อกับคลังทรัพย์สินเพื่อขอดูทรัพย์สินที่พ่อแม่ของเธอทิ้งเอาไว้ให้ได้ แล้วก็เขาจะจัดแจงส่งเงินเดือนให้เธอทุกเดือนตามความเหมาะสม ส่วนเงินที่มนุษย์ใช้ ใช้กับที่นี่ไม่ได้เธอเก็บเอาไว้เผื่อไปเที่ยวที่นั่นเถอะ เอาเป็นว่าเราไปติดต่อที่คลังทรัพย์สินกันก่อนก็แล้วกัน”
ภูติจิ๋วกล่าวและบินนำเธอไปทันที
คลังทรัพย์สิน
เวลาผ่านไปสักพักหลังจากที่อนาตาเซียมาติดต่อกับคลังทรัพย์สิน
“เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะคุณอนาตาเซีย ทางเราจะส่งถุงเงินเดือนทุกเดือนให้โดยส่งผ่านสัตว์เลี้ยงส่งของของคุณค่ะ”
เจ้าหน้าที่คลังทรัพย์สินกล่าว
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” อนาตาเซียกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่และเดินออกจากคลังทรัพย์สินทันที
“ภูติจิ๋วไม่คิดว่าเงินที่นี่จะแตกต่างกับที่ฉันเคยอยู่ขนาดนี้”
“แน่นอนอยู่แล้ว ที่นี่ไม่ใช้เหรียญแบบนั้นหรอก ดินแดนแห่งนี้สิ่งที่มีค่าคือผลึกศิลา ตอนนี้เธอก็มีเงินแล้วเราไปซื้อของกันเถอะ สิ่งจำเป็นต้องใช้เมื่ออยู่ที่สตาเดเฟีย อย่างแรก คือชุดนักเรียนและก็อย่าลืมฮู้ดยาวของแม่มดด้วยล่ะ ถ้าไม่ใช้ผ้าคลุมการบินบนอากาศจะมีปัญหา” ภูติจิ๋วอธิบาย
“ภูติจิ๋วนอกจากซื้อชุดนักเรียน ซื้อสัตว์เลี้ยง หนังสือเรียนกับตั๋วรถไฟแล้ว ฉันต้องออกเดินทางพรุ่งนี้ตอนเช้าเพื่อไปโรงเรียนสตาเดเฟีย แค่นี้ก็หมดแล้วใช่ไหม” อนาตาเซียถามภูติจิ๋ว
“ใช่ แล้วเธออยากได้อะไรเป็นสัตว์เลี้ยงมี แมว นกฮูก งู หนูแฮมเตอร์แล้วก็แมงมุม”
“แมว” อนาตาเซียตอบด้วยความมั่นใจ
“แน่ล่ะเพราะดูแล้วเธอค่อนข้างชอบสัตว์มีขน จะเอาแมวสีอะไร” ภูติจิ๋วถาม
“ฉันชอบแมวสีส้ม”
“ได้เลยไปร้านสัตว์เลี้ยงกัน” ภูติจิ๋วตอบและบินตรงไปยังร้านสัตว์เลี้ยงทันที
ร้านสัตว์เลี้ยง
“ติ้งต่อง” เสียงกริ๊งดังส่งสัญญาณว่าลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน ทำให้ชายเจ้าของร้านรีบทักทายต้อนรับลูกค้าทันที
“สวัสดีสาวน้อย ต้องการสัตว์เลี้ยงแบบไหนตัวไหนสามารถบอกฉันได้เลยนะ”
“คือฉันต้องการแมวส้ม ตาสีเขียวค่ะ”
“สักครู่นะครับ” ชายเจ้าของร้านกล่าวก่อนจะเดินไปนำแมวที่มีคุณสมบัติตามที่อนาตาเซียต้องการมาให้ “นี่เป็นแมวส้ม ตาสีเขียวตามที่ต้องการครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“นอกจากแมวแล้วไม่ทราบว่าต้องการอะไรเพิ่มไหมครับ ร้านเรานอกจากจะขายสัตว์เลี้ยงแล้วฝั่งซ้ายยังขายของชำเล็กๆน้อยๆ แล้วก็มีหนังสือนอกบทเรียนอีกมากมายอยากไปเดินชมไหมครับ” พ่อค้าพูดเชิญชวน
“ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ เราต้องการแค่แมว” อนาตาเซียตอบแล้วเดินจากไป
“ตอนนี้เราก็ได้ของครบแล้วเรากลับไปเทมพรอตกันเถอะ” ภูติจิ๋วกล่าว
“ตกลง กลับกันเลย” อนาตาเซียตอบแล้วเข็นรถที่เต็มไปด้วยสิ่งของกลับไปยังเทมพรอต
เช้าวันรุ่งขึ้นหน้าสถานีรถไฟ
“เร็วเข้าอนาตาเซียรถไฟจะออกตอน 09:30 น.” ภูติจิ๋วกล่าวเตือนแล้วบินตรงไปส่งที่รถไฟ
“ฉันไปแล้วนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะภูติจิ๋ว หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะคะ”
อนาตาเซียกล่าวลาและส่งยิ้มให้ภูตจิ๋ว ก่อนเดินขึ้นรถไฟไปยังที่นั่งของตน ไม่นานรถไฟก็เดินทางมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนสตาเดเฟียด้วยความรวดเร็ว
บทที่ 2 เรียนรู้การใช้ชีวิตของแม่มด
โรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟียตั้งสูงเด่นบนเทือกเขาใหญ่ มีหมู่เกาะตั้งอยู่รอบข้าง ล้อมรอบด้วยทะเลสาบ บนพื้นดินผู้คนมากมายอาศัยอยู่ที่นี่มานานหลายร้อยปี สภาพอากาศในบริเวณนี้มีหิมะปกคลุมแทบตลอด มีฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น อาณาจักรกลาง(เมืองสตาทิส)เป็นเมืองริมทะเลสาบหิมะที่สวยที่สุดของดินแดนแห่งเวทมนตร์ และมีดวงดาวที่สวยที่สุดในยามค่ำคืน
เมื่อเวลาเปิดภาคเรียนมาถึง นักเรียนมากมายต่างเตรียมตัวเข้าเรียนด้วยความตื่นเต้น รวมถึงนักเรียนใหม่ที่พึ่งเข้ามาก็เริ่มเดินสำรวจพื้นที่ในโรงเรียนด้วยความสนใจ
“เด็กใหม่ทุกคนเดินตามฉันมาทางนี้”
หญิงสาววัยกลางคนกล่าว เธอคือศาสตราจารย์มาลีน ดอนซี่ อาจารย์สอนเวทมนต์พื้นฐานของโรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟีย เธอมีหน้าที่นำเด็กใหม่มายังห้องโถงใหญ่เพื่อรับไม้กายสิทธ์ ตอนนี้มีนักเรียนอีกหลายชั้นปีที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวและทุกคนต่างเตรียมตัวต้อนรับน้องใหม่ที่กำลังจะเข้ามาในโรงเรียนด้วยความตื่นเต้น
“ทุกคนรวมกลุ่มกันไว้อันดับแรกพวกเธอทุกคนต้องมีไม้กายสิทธิ์ก่อนโดยไม้กายสิทธิ์จะเป็นคนเลือกเจ้าของเอง ไม้กายสิทธิ์ของทุกคนในที่นี้เกิดจากรากคริสตัลของต้นโอ๊ควิเศษ ซึ่งรากคริสตัลจะมีสีแตกต่างกันตามรูปแบบพลังของพวกเธอ ดังนั้นเธอทุกคนจะต้องฟังรายชื่อที่ฉันอ่านและเดินออกมาทีละคน ถ้ารากคริสตัลลอยขึ้นและเปลี่ยนรูปร่างเป็นไม้กายสิทธิ์แสดงว่ามันได้เลือกเธอเป็นเจ้าของแล้ว เอาล่ะ คนแรก มาคัส เจมส์”
มาคัส เจ้าของชื่อก้าวเท้าออกมาจากแถวด้วยความระมัดระวัง เขาเดินตรงไปยังแท่นวางรากคริสตัล ไม่นานรากคริสตัลสีน้ำตาลเริ่มมีปฏิกิริยาลอยขึ้นช้าๆก่อนจะเปลี่ยนรูปจากรากไม้ธรรมดาเป็นไม้กายสิทธิ์ด้วยความรวดเร็ว มาคัสหนุ่มน้อยค่อยๆเอื้อมมือรับไม้กายสิทธิ์และโค้งตัวทำความเคารพก่อนเดินกลับมาที่เดิมของตน
“ต่อไป ลูเซีย ฮาร์เอน”
สาวตัวเล็กหลังจากได้ยินชื่อก็เดินไปยังแท่นศิลาด้วยความมั่นใจ แต่ไม่ทันที่เธอจะเดินถึงแท่นนั้น รากคริสตัลสีเขียวมรกตค่อยๆลอยขึ้นอย่างรวดเร็วแสดงให้เห็นถึงพลังมากมายในตัวเธอ ทำให้รากคริสตัลเปลี่ยนเป็นไม้กายสิทธิ์ในชั่วพริบตา
“คนต่อไป พีน่า ราฮิอัส”
รายชื่อมากมายถูกประกาศออกมาเรื่อยๆ ตามลำดับ รวมถึงเสียงปรบมือที่ดังอย่างต่อเนื่องจนไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ไม่นานการคัดเลือกดำเนินมาถึงอนาตาเซีย คนสุดท้ายของชั้นปี เมื่อเธอเดินไปถึงแท่นศิลารากคริสตัลสีแดงปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนเป็นไม้กายสิทธิ์ประจำตัวเธอทันที เสียงปรบมือมากมายและเสียงร้องต้อนรับนั้นก็ทำให้อนาตาเซียรู้สึกตื่นเต้นและดีใจกับการคัดเลือกไม้กายสิทธิ์ครั้งนี้มาก
หลังจากการประกาศสิ้นสุดนักเรียนมากมายปรบมือด้วยความยินดีเหมือนเช่นเคย ทุกอย่างดำเนินผ่านไปเป็นที่เรียบร้อย เด็กทุกคนต่างเดินไปนั่งที่ด้วยความเป็นระเบียบ ถึงเวลาที่ผู้อาวุโสของโรงเรียนต้องลุกขึ้นกล่าวต้อนรับนักเรียนใหม่ตามประเพณีแล้ว
“ยินดีต้อนรับเด็กใหม่ทุกคน ขอให้ทานอาหารค่ำให้อร่อย”
ลอร์ดมาเชลล์อธิการบดีของโรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟียกล่าว เขาสั่นกระดิ่งในมือของตนดังสนั่นไปทั่วห้องโถง ทันทีที่เสียงกระดิ่งสิ้นสุด อาหารมากมายปรากฏขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์เด็กใหม่หลายคนตื้นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นและชื่นชอบเวทมนตร์อันมหัศจรรย์ในดินแดนแห่งนี้ทันที
“เชิญทุกคนทานอาหารกันตามสบาย” ลอร์ดมาเชลล์กล่าวและนั่งลงทานอาหารด้วยความคุ้นชิน ลอร์ดมาเชลล์อธิการบดีแห่งโรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟีย เขาคือชายรูปร่างสมส่วน ผมสีเงินประกายมุกยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าคมคายหล่อเหลาไร้ที่ติ หากมองดูรูปร่างภายนอกแล้วลอร์ดมาเชลล์เปรียบเสมือนชายวัยสามสิบต้นๆเท่านั้น แม้ว่าแท้จริงแล้วเขาจะมีอายุหลายร้อยปีแล้วก็ตาม
โรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟียถูกตั้งมานานหลายชั่วอายุคน มีสถาปัตยกรรมโบราณมากมาย บางส่วนของโรงเรียนทำด้วยหินอ่อนสีขาว มีความมันวาว โอ่อ่า อลังการ เป็นแบบอย่างและศิลปกรรมก่อสร้างที่งดงามอย่างมากของดินแดนแห่งเวทมนตร์ ทำให้ทุกคนต่างภูมิใจที่ดินแดนของตนที่มีสิ่งล้ำค่าอันนี้อยู่
“นักเรียนปี 1 ฟังทางนี้หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จเรียบร้อย พวกเธอจะต้องไปที่พักของตัวเอง ซึ่งรุ่นพี่ปี 3 จะเป็นคนพาเธอไปที่พักเตรียมตัวได้แล้ว” อาจาร์ยมาลีนกล่าว
“ปี 1 มาทางนี้ ฉันคือรุ่นพี่ปี 3 ชื่อเดเนียล จะพาพวกเธอทุกคนไปยังบ้านพัก มาทางนี้เลย” เดเนียลกล่าวพร้อมเดินนำนักเรียนชั้นปี 1 ไป “บ้านพักที่นี่มีทั้งหมดมี 2 บ้านใหญ่ เดินตามฉันมาเลย บ้านหลังที่ 1 คือบ้านสำหรับปี 1-3 เรียกว่า เอเดิลพัฟฟี่ ส่วนบ้านหลังที่ 2 เรียกว่า มิดเดิลชิป เป็นบ้านของปี 4-6 บ้านแต่ละหลังจะมีสัญลักษณ์ประจำคือ 1 ฟินิกซ์ 2 สฟิงซ์ โดยชั้น 2 คือที่พักของปี 1 ชั้น 3 ปี 2 และชั้น 4 ปี 3 ส่วนชั้นแรกคือที่นั่งเล่นสำหรับทุกคน โดยพวกเธอสามารถดูชั้นปีได้จากเข็มกลัดบนเสื้อ ปี 1 เข็มกลัดเป็นรูปต้นไม้ ปี 2 ผลแอปเปิล ปี 3 กริช ก่อนที่พวกเธอจะไปถึงหน้าประตูบ้าน พวกเธอทุกคนจะต้องเดินเข้าไปในกระจกเงาบานใหญ่ตรงต้นโอ๊ค 1000 ปีนั่น กระจกเงาจะส่งเธอไปยังหน้าประตูบ้านและสิ่งที่พวกเธอทุกคนห้ามทำหายก็คือกุญแจบ้าน ถ้าเธอเข้าไปถึงประตูบ้านแต่ไม่มีกุญแจเธอก็เข้าบ้านไม่ได้ กุญแจหนึ่งดอกสามารถเข้าไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น ทุกคนเดินมาหยิบกูญแจคนละ 1 ดอก แล้วเดินไปที่กระจกเงา กุญแจจะสลักชื่อของเธอเองอัตโนมัติ ส่วนที่พักผู้ชายประตูอยู่ทางขวา ผู้หญิงอยู่ทางซ้าย ทุกคนรับทราบ”
“ครับ/ค่ะ”
เด็กหลายคนต่างทยอยเดินเข้าไปในกระจกเงาอย่างเป็นระเบียบ ด้านหลังกระจกเงาคือคฤหาสน์หลังใหญ่ล้อมรอบด้วยรั้วสีขาวอันใหญ่ที่แข็งแรงและธรรมชาติพอประมาณที่ทำให้ทุกคนรู้สึกสดชื่น คฤหาสน์หลังนี้คือบ้านของปี 1-3 ภายในนี้มีห้องมากมายหลายร้อยห้องพร้อมชั้น 1 ที่เอาไว้สำหรับนั่งเล่นโดยเฉพาะ ชั้นนั่งเล่นมีมุมให้เลือกแตกต่างกันออกไปให้ทุกคนได้พักผ่อน หลังจากทุกคนมาถึงบ้านพักเด็กหลายคนเริ่มเลือกห้องของตัวเองทันที
“อนาตาเซีย อยู่ห้องด้วยกันไหมหนึ่งห้องต้องอยู่ 2 คน” ลูเซียพูดชักชวน
“ได้สิ” อนาตาเซียตอบ แล้วทั้สองคนก็เดินเข้าไปในห้องว่างทันที
“เธอเลี้ยงสัตว์อะไร” ลูเซียถามด้วยความอยากรู้ขณะเตรียมจัดของในห้อง
“ฉันเลี้ยงแมว เธอล่ะ”
“ฉันเลี้ยงงู มันชื่อฟรองซัว เธอดูสิมันสวยมากเลยเธอว่าไหม”
ลูเซียกล่าวและชี้ไปที่กล่องกระจกสี่หลี่ยมสำหรับเลี้ยงงู ซึ่งตอนนี้มันกำลังหลับอยู่
“ใช่ มันก็สวยดี แมวฉันชื่อกาลาฟีน่า ว่าแต่เธอจะเอาเตียงตรงไหนระหว่างผนังกับหน้าต่าง”
“เอาตรงผนังฉันไม่ชอบหน้าต่าง” ลูเซียตอบ “ห้องใหญ่มากพวกเราคงต้องใช้เวลาจัดห้องนานแน่เลย”
“ใช่”
เวลาผ่านไปสักพักจนในที่สุดทั้งสองก็จัดห้องจนเสร็จเรียบร้อยและนั่งพักทันที
“เธอจัดของเสร็จ เรามาลองฝึกเวทย์กันดูไหม”
ลูเซียถามอนาตาเซียที่กำลังนั่งพักผ่อนอยู่บนเตียง
“ได้สิฉันก็อยากลองเหมือนกัน”
อนาตาเซียตอบพร้อมเดินไปหยิบไม้กายสิทธิ์บนโต๊ะทันที
“เรามีเวลาทำความคุ้นเคยกับสตาเดเฟียประมาณ 5 วัน ก่อนสตาเดเฟียจะเปิดเรียนวันแรก ถ้าอย่างนั้นอย่างแรกเลย เรามาช่วยกันฝึกเวทย์กันเถอะ” ลูเซียออกความคิดเห็น
“แล้วเราจะเริ่มฝึกเวทย์อะไรก่อนดี”
“อืมมมม เธอชอบกินบราวนี่ช็อกโกแลตไหม”
“ชอบ ฉันชอบขนมหวาน” อนาตาเซียตอบและแสดงท่าทีตื่นเต้นปรากฏนัยน์ตาอันเปล่งประกายออกมา
“นี่เป็นวัตถุดิบสำหรับทำบราวนี่ช็อกโกแลต ตามหนังสือบอกว่าเมื่อมีอุปกรณ์ครบแล้วก็ร่ายคาถา “โมดิตัสอาเมอเนีย” ในหนังสือบอกไว้ว่าควรโบกไม้กายสิทธิ์เบาๆค่อยๆควบคุมเรื่อยๆจนเสร็จ เราก็จะได้บราวนี่ช็อกโกแลต เสร็จแล้วเธอลองชิมดูสิ” ลูเซียกล่าว พร้อมยื่นบราวนี่ให้อนาสตาเซีย
อนาตาเซียหยิบบราวน์นี่จากมือของลูเซีย เธอเริ่มลิ้มลองรสชาติของบราวนี่ทันที
“อร่อยมากเลยลูเซีย เธอเก่งจัง” อนาสตาเซียกล่าวและกัดกินบราวนี่ในมือไปเรื่อยๆจนหมด
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกเธอชมเกินไปแล้ว” ลูเซียตอบและส่งยิ้มให้กับเธออย่างเป็นมิตร “ฉันแค่อ่านหนังสือแล้วก็ทำตามน่ะ เธอดูสิหนังสือคู่มือพ่อมดแม่มดฝึกหัดสอนละเอียดมากเลยนะ ไหนเธอลองร่ายคาถาบ้างสิ ฉันอยากเห็น”
“เอ่อ......เอาเป็นคาถานี้ก็แล้วกัน รันดูเอล” อนาตาเซียร่ายคาถาพร้อมยกไม้กายสิทธ์ชี้ขึ้น ด้านบนปรากฏเป็นพลุหลากหลายสีแตกกระจายและร่วงลงมาเป็นกลีบดอกไม้ตกลงบนพื้น จากนั้นกลีบดอกไม้ก็ค่อยๆสลายหายไปไม่เหลือร่องรอยอะไรเลย
“ว้าวววว สวยมากเลย สงสัยจะเอาไว้ใช้ในงานเลี้ยง อนาสตาเซียเธอเก่งมาเลย”
ลูเซียชมและปรบมือ ดังแปะๆ
ทั้งคู่นั่งฝึกเวทย์กันเกือบทั้งคืน ทั้งลองผิดลองถูกร่ายถูกบ้างผิดบ้างจนเวลาล่วงเลยมาถึงตี 2 เมื่อเริ่มเหนื่อยล้าแล้ว ทั้งคู่จึงแยกย้ายกันไปยังเตียงของตนเองทันที
“ฉันชอบที่นี่จัง”
ลูเซียพูดก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียง
“ใช่ ! ฉันก็ชอบ พรุ่งนี้เราไปเดินเที่ยวรอบสตาเดเฟียกันเถอะ”
อนาสตาเซียกล่าแล้วผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เช้าวันรุ่งขึ้น
อนาตาเซียตื่นขึ้นมาแต่เช้า เธอแต่งตัวเพื่อเตรียมที่จะออกไปเดินเล่นรอบโรงเรียนด้วยความตื่นเต้น ตอนแรกเธอคิดว่าจะชวนลูเซียไปด้วย แต่ลูเซียกลับหลับไม่ตื่น เมื่อเห็นเพื่อนหลับสนิทเธอจึงเลือกที่จะออกไปเดินเล่นคนเดียว
ในโรงเรียนมีเด็กใหม่มากมายออกมาเดินเล่นเหมือนกับอนาตาเซีย พวกเขาต่างทักทายกันและเดินสำรวจไปทั่วโรงเรียน อนาตาเซียเดินมาเรื่อยๆจนถึงห้องโถง ตอนนี้ในห้องโถงมีอาหารเช้าพร้อมเสริฟให้นักเรียนที่กลับมาแล้ว กลิ่นอาหารนั้นทำให้อนาตาเซียเดินเข้าไปในห้องโถงเพื่อลิ้มลองรสชาติอาหารข้างในโดยไม่ลังเล ปกติเด็กๆในโรงเรียนจะกลับมาก่อนการเปิดภาคเรียนประมาณ 10 วันเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเปิดภาคเรียนแรกของปี ทำให้ในห้องโถงมีพ่อมดแม่มดมากมายต่างนั่งทานอาหารเช้ากันอย่างครึกครื้นพร้อมเสียงดนตรีที่บรรเลงอยู่ตลอดเวลา และบรรยากาศในห้องที่มีเสียงผู้คนคุยกันอย่างสนุกสนาน สิ่งนี้ทำให้ห้องโถงยิ่งดูมีสีสันมีชีวิตชีวามากขึ้น
นอกจากอาหารในห้องโถงแล้วที่นี่ยังมีร้านอาหารเล็กๆอีกหลายที่สำหรับนักเรียนหรืออาจารย์ที่อยากทานอาหารอื่นๆนอกเหนือจากในห้องโถงหรืออาจต้องการพื้นที่ส่วนตัว
โรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟียเปรียบเสมือนโรงเรียนและบ้านของเด็กหลายคน เพราะมีสถานที่อันร่มรื่นและเงียบสงบทั้งทะเลสาบสีฟ้า ต้นไม้ ทุ่งหญ้าและสิ่งอื่นอีกมากมาย เทือกเขาสูงที่งดงามแห่งนี้เป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนเวทมนตร์ หากมองจากเทือกเขาอันเป็นพื้นที่ตั้งของโรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟียด้านล่างจะพบเหล่าพ่อมดแม่มดคนมากมายหลายชีวิตที่ใช้ชีวิตอยู่บนเกาะด้านล่าง ทำให้อนาตาเซียเห็นการใช้ชีวิตของพวกเขาในดินแดนแห่งเวทมนตร์นี้ว่าเป็นอย่างไร
อนาตาเซียพบว่านักเรียนหลายคนมีกิจกรรมแปลกๆทำมากมาย รวมถึงอาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งอื่นๆอีกหลายอย่างที่แปลกใหม่มากสำหรับเธอ ซึ่งตอนนี้เธอยังต้องค่อยๆเรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มขึ้นเพื่อที่จะอาศัยอยู่ที่นี่
อนาตาเซียเดินผ่านผู้คนหลายกลุ่มหลายคน จนมาหยุดอยู่หน้าศาลาริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง เธอเห็นผู้หญิงสวมฮู้ดสีม่วงลวดลายปักด้วยด้ายทองนั่งปรุงยาคนเดียวอยู่ริมทะเลสาบ เมื่อเห็นดังนั้นอนาตาเซียจึงเดินเข้าไปใกล้แล้วถามด้วยความอยากรู้ทันที
“คุณปรุงยาอะไรอยู่หรอคะ”
สิ้นเสียงสาวน้อย เมื่อหญิงสาวได้ยินเสียงทักทายเธอจึงเงยหน้าขึ้นมองอนาตาเซียด้วยความประหลาดใจและตอบคำถามของอนาตาเซียทันที
“ปรุงยารักษาบาดแผลน่ะ”
“เอ่อ……ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ ฉันชื่ออนาตาเซีย กริมส์ ยินดีที่ได้รู้จัก ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรหรอคะ” อนาตาเซียถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ฉันชื่อเบลินด้า ไม่มีนามสกุล เธอพึ่งเข้ามาใหม่ใช่ไหม มาจากตระกูลกริมส์หรอ” เบลินด้าถาม
“คือมันก็เป็นแค่นามสกุลค่ะ ฉันไม่มีครอบครัวหรอก พ่อแม่หายสาบสูญ ส่วนนามสกุลนี้มีคนใช้อีกตั้งเยอะ ฉันไม่ถึงขนาดมีวงตระกูลหรอกค่ะ” อนาตาเซียตอบ
“เสียใจด้วยนะเรื่องครอบครัวของเธอ ฉันเป็นผู้ดูแลป่ามาเดเฟียของสตาเดเฟีย ว่างๆเลยมาปรุงยารักษาสำหรับสัตว์ที่บาดเจ็บ”
เบลินด้ากล่าวพร้อมใส่วัตถุดิบลงไปในหม้อดินเผา
“คุณอยู่ป่ามาเดเฟียตรงนั่นหรอ” สาวน้อยถามด้วยแววตาไร้เดียงสาและชี้ไปยังป่าแถวนั้น
“ใช่”
“ในป่ามีสัตว์อะไรบ้างหรอคะ
“ก็มีสัตว์ธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ แล้วก็มีต้นไม้ใบหญ้าตามปกติ เอาเป็นว่าในฐานะผู้ดูแลป่าฉันจะเล่าเรื่องป่าของที่นี่ให้เธอฟังคร่าวๆก็แล้วกัน สตาเดเฟียมีป่าใหญ่ 3 แห่ง ล้อมรอบโรงเรียนเอาไว้เรียกว่า
1.ป่ามาเดเฟีย
2.ป่าเฮอร์คัส
3.ป่าต้องสาป
ป่าทั้งสามมีผู้ดูแลแตกต่างกันไปตามความสามารถของแต่ละคนเพื่อคอยช่วยเหลือสัตว์ที่บาดเจ็บ และป้องกันสัตว์ป่าไม่ให้ออกมาทำร้ายนักเรียน ป่ามาเดเฟีย คือฉันที่คอยดูแล ป่าเฮอร์คัส คือเอลลี่ เอาเป็นว่าถ้าเธอไปแถวนั้นก็จะได้พบกับเอลลี่เอง ส่วนคนสุดท้าย คือคาเล็บ เขาเป็นคนดูแลป่าต้องสาป”
“ทำไมถึงได้มาดูแลป่าหรอคะ”
“ก็……จะพูดยังไงดี ป่าในเขตโรงเรียนจำเป็นต้องมีผู้พิทักษ์เพื่อดูแลความปลอดภัยของเด็กในโรงเรียนป้องกันสัตว์หลุดลอดออกมา ดังนั้นมันจึงจำเป็นที่ต้องมีผู้พิทักษ์ป่าไง แล้วคนที่จะมาดูแลป่าได้มีกฏอยู่ 3 ข้อ
1.ต้องเป็นเอลฟ์หรือมีเชื้อสายเอลฟ์
2.ต้องมีเวทย์แข็งแกร่งพอที่จะควบคุมสัตว์ได้
3.ต้องได้รับตราผู้พิทักษ์ป่าจากคณะกรรมการจากเมืองทั้ง 5 ในดินแดนแห่งเวทมนตร์ก่อนจึงจะสามารถเป็นผู้ดูแลป่าได้
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เป็นเอลฟ์หรอคะ”
“ใช่ ! ฉันเป็นเอลฟ์ ดังนั้นฉันจึงไม่มีนามสกุลยังไงล่ะ”
เบลินด้าตอบพร้อมถอดหมวกฮู้ดออกเผยให้เห็นใบหน้าของตนเบลินด้ามีใบหน้ากลมรูปไข่ เธอมีใบหูยาวตามแบบฉบับของเอลฟ์สาว มีผิวขาวผ่อง ดวงตาสีทองอร่าม และผมสีเงิน
“ว้าวววว คุณสวยมากเลย” อนาตาเซียกล่าวชมด้วยความตะลึง “คุณเป็นเอลฟ์คนเดียวที่นี่หรอคะ” อนาตาเซียถามด้วยความอยากรู้
“เปล่าหรอก ที่นี่มีเอลฟ์อีกหลายคน รวมถึงนักเรียนที่นี่ก็มีเอลฟ์”
“แล้วทำไมไม่ไม่มีใครที่มีหูเหมือนคุณล่ะคะ” อนาตาเซียถามต่อ
“เธอเห็นลอร์ดมาเชลล์แล้วใช่ไหม เขาคือพ่อมดครึ่งเอลฟ์ดังนั่นเขาจึงไม่แก่ ในดินแดนแห่งเวทมนตร์จะมีเพียงแค่เอลฟ์กับแวมไพร์เท่านั้นที่ไม่มีวันแก่ ส่วนเผ่าอื่นๆถึงจะมีอายุยืนนานแต่ก็จะแก่ชราตามช่วงวัยเรื่อยๆ เอลฟ์ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นลูกครึ่งผมสพ่อมดแม่มดหูถึงไม่แหลมไงล่ะ ส่วนเอลฟ์ที่มีหูแหลมคือเอลฟ์ที่ไม่มีสายเลือดอื่นผสม จริงๆที่นี้ก็มีสายเลือดผสมอีกหลายอย่างถ้าเธออยากรู้มากกว่านี้ก็ต้องไปอ่านประวัติการกำเนิดเผ่า มีอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียน”
เบลินด้าอธิบาย ทำให้อนาตาเซียกเริ่มเข้าใจทันที
“เป็นอย่างนี้นี่เอง”
“เอาล่ะฉันต้องไปแล้วแต่ฉันจะมาปรุงยาที่นี่ในทุกๆ 2 วัน หรือไม่ บ้านฉันตั้งอยู่กลางป่าเธอสามารถเดินตามเส้นทางได้เลย ถ้าเธออยากมาก็มาเจอฉันได้ตลอด แล้วก็เอาไว้ถ้ามีเวลาฉันจะพาเธอไปเที่ยวในป่าก็แล้วกัน” เบลินด้ากล่าวก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
บทที่ 3 งานเลี้ยงน้ำชา
หลังจากเบลินด้าจากไป อนาตาเซียสาวน้อยที่ยังสงสัยเกี่ยวกับดินแดนแห่งเวทมนตร์เธอเดินตรงไปยังห้องสมุดสตาเดเฟียอย่างรวดเร็ว และเดินไปทั่วห้องสมุดเพื่อหาประวัติดินแดนแห่งเวทย์มนต์ สาวน้อยเดินไปมาชั้นแล้วชั้นเล่าหยิบหนังสือออกมาจากชั้นหลายเล่มก่อนจะนั่งอ่านหนังสือในมุมสงบมุมหนึ่งของห้องสมุดพร้อมเริ่มอ่านเกี่ยวกับสิ่งที่ตนอยากรู้ด้วยความสนใจ สาวน้อยวัยกำลังเรียนรู้เธอพบว่าที่นี่มีสิ่งสำคัญมากมายอันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินกว่าที่ตัวเองจะเข้าถึง แต่การหาความรู้เพิ่มเติมก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่เข้าใจไปเสียหมด อนาตาเซียอ่านหนังสืออย่างเงียบสงบนานหลายชั่วโมงจนเย็น และสิ่งที่ทำให้เธอเริ่มเข้าใจโลกนี้มากขึ้นคือในดินแดนแห่งเวทย์มนต์นี้ยังมีเผ่าอื่นที่สำคัญอีก 4 เผ่า ที่สำคัญเหมือนกับพ่อมดแม่มด ซึ่ง 4 เผ่านี้ถือเป็นเผ่าที่มีอิทธิพลต่อดินแดนแห่งเวทย์มนต์มากที่สุดมี
1 เอลฟ์
2 เงือก
3 แวมไพร์
4 ปีศาจ
เผ่าต่างๆในดินแดนกระจายกันอาศัยอยู่ตามอาณาจักรต่างๆมาตลอด จนเวลาผ่านไปหลายศตวรรษมีการทำสงครามรบกันหลายครั้งหลายหนทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในดินแดนเปลี่ยนไป ส่งผลให้ในปัจจุบันเผ่าอื่นที่นอกเหนือจากแม่มด ที่เคยสำคัญ 4 เผ่านั้นลดลงเหลือเพียง 3 เผ่า คือ เอลฟ์ เงือก และแวมไพร์
ซึ่งแต่ละเผ่าก็ใช้ชีวิตกันตามปกติ มีการเข้าเรียนในโรงเรียนเวทย์มนต์เหมือนกับพ่อมดแม่มด มีการทำงานของตัวเองเช่นกัน เพียงแต่อาจจะมีบางอย่างที่แตกต่างกันไปทั้งในห้องเรียนและการงาน ส่วนใหญ่จะมีการแบ่งแยกการสอนและการทำงานตามความสามารถของเผ่านั้นๆ แม้ว่าอาจมีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป
พ่อมดแม่มดจำเป็นต้องเรียนโดยใช้ไม้กายสิทธิ์เป็นสื่อกลางในการเสกคาถาส่วนเผ่าอื่นไม่จำเป็นต้องใช้สื่อกลาง เพราะเผ่าอื่นสามารถร่ายคาถาได้เอง แต่ถึงแม้ทุกเผ่าจะต้องเลือกรากไม้กายสิทธ์แต่ไม้กายสิทธิ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นของใช้ประจำกายแทน
รากไม้นั้นจะใช้เวลา 1 วันในการดูดซับพลังของคนคนนั้นแล้วเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับพลังของผู้ครอบครองโดยอัตโนมัติ เช่น
เอลฟ์จะเปลี่ยนจากไม้กายสิทธิ์เป็นเข็มกลัดใบไม้ติดเสื้อคลุมฮู้ดซึ่งมันทำให้พวกเขามีตัวเบาเหมือนสำลี
เผ่าเงือกจะเปลี่ยนไม้กายสิทธิ์เป็นกำไรประจำกายเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำและสามารถอยู่บนบกได้โดยไม่จำกัดเวลา
ส่วนแวมไพร์เผ่าพันธุ์อันแข็งแกร่งนี้ไม้กายสิทธิ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นแหวนค้างคาวเพื่อให้ตนสามารถอยู่กลางแสงแดดได้โดยไม่ต้องกินยาแก้ทุกวัน
การเรียนของแต่ละเผ่ามีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแม้ว่าจะมีเพียงบางคาบเท่านั้นที่จะได้เจอกับเผ่าอื่น เช่น ปรุงยา ร่ายเวทย์ การเรียนเพื่อควบคุมพลังของตนเอง การย้ายสิ่งของและอื่นๆ สิ่งเหล่านี้คือหนึ่งในความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ในดินแดน
หลังจากอนาตาเซียรู้เรื่องราวมากมายในดินแดนแห่งเวทมนตร์ตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาเย็นพอดี เธอจึงออกจากห้องสมุดเพื่อกลับห้องของตน ใจจริงเธอตั้งใจจะแวะไปทานอาหารเย็นที่ห้องโถง แต่ระหว่างนั้นอนาตาเซียได้เจอกับลูเซียพอดีทั้งสองจึงทักทายและคุยกัน
“อนาตาเซียเธอหายไปไหนมาทั้งวันฉันตามหาเธอไม่เจอเลย ที่นี่ใหญ่มากจนฉันหลงทาง” ลูเซียพูดกับอนาตาเซียด้วยความแปลกใจ
“พอดีว่าฉันไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด”
“อ๋อออ เป็นอย่างนี้นี่เองวันนี้ฉันเดินหาเธอไปทั่วจนเหนื่อย บังเอิญไปเจอที่เที่ยวเล่นมามีที่เล่นสนุกๆเยอะเลย เอาไว้พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปก็แล้วกัน”
ลูเซียกล่าวพร้อมเอื้อมมือจูงแขนอนาตาเซียเพื่อนของตนตรงไปห้องโถงและนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อทานอาหารเย็น วันนั้นทั้งสองพูดคุยกันในห้องโถงอย่างสนุกสนานก่อนจะกลับห้องไปพักผ่อน
.
.
.
.
.
.
4 วันผ่านไป
ในบ้านเอเดิลพัฟฟี่ขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อนช่วงเที่ยงในระหว่างวันหยุดอันแสนสงบก่อนเปิดภาคเรียน เวลานั้นเสียงประกาศจากคณะกรรมการโรงเรียนดังไปทั่วบ้านพักสร้างความสนใจแก่นักเรียนในบ้านเป็นอย่างมาก โดยมีการประกาศว่าในคืนพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงน้ำชาถูกจัดขึ้นในโรงเรียนสตาเดเฟีย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรุ่น ดังนั้นจึงต้องการแจ้งให้เด็กทุกคนทราบเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานนี้ ส่วนบัตรเชิญมีผู้นำไปไว้ในกล่องจดหมายหน้าห้องเรียบร้อยแล้ว หวังว่านักเรียนทุกคนจะให้ความร่วมมือเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ ในระหว่างที่เสียงประกาศกำลังพูดอยู่นั้นอนาตาเซียที่กำลังทดลองฟังเสียงวิทยุอยู่ได้ยินเสียงประกาศไม่ถนัด เธอจึงต้องหันไปถามลูเซียที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในขณะนั้น
“ลูเซียเมื่อกี้เสียงประกาศอะไรหรอ พอดีฉันได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่”
“พรุ่งนี้มีงานลี้ยงน้ำชาจัดขึ้นต้อนรับนักเรียนใหม่ และเพื่อให้เด็กใหม่ได้รู้จักกับรุ่นพี่ นี่บัตรเชิญของเธอส่วนนี่ของฉัน” ลูเซียกล่าวแล้วยื่นบัตรเชิญให้อนาตาเซีย “ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราออกไปซื้อชุดกันเถอะ เร็วเข้ารีบแต่งตัว” ลูเซียพูดและวิ่งไปยังตู้เสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนจะเลือกชุดที่ดีทีสุดเพื่อไปร้านชุดราตรี
ร้านชุดราตรี
“อนาตาเซียเธอว่าชุดนี้เป็นไง”
ลูเซียถามอนาตาเซียที่กำลังเดินเลือกชุดบนราว พร้อมหมุนตัวไปมาขณะยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่
“ก็สวยดี เธอใส่อะไรก็สวยอยู่แล้ว”
อนาตาเซียหันไปตอบลูเซียพร้อมเลือกเสื้อผ้าในราวต่อไป
“ไม่รู้สิชุดเยอะจนเลือกไม่ถูกเลย” ลูเซียสาวผมลอนสีทองอร่ามกล่าวกับเพื่อนด้วยความสับสน
“ค่อยๆเลือกก็ได้ เรายังมีเวลาอีกเยอะ”
ภายในร้านชุดราตรีตอนนี้นักเรียนมากมายทยอยเดินทางมาซื้อชุดกันอย่างหนาแน่น ส่งผลให้ตลอดทางเดินแถวนี้ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ พร้อมเสียงผู้คนดังเป็นระยะๆตามถนน ร้านชุดราตรีแห่งนี้ก็เช่นวันนี้ผู้คนเลือกซื้อชุดกันจนเต็มร้านไปหมดทำให้เหลือทางเดินในร้านเพียงน้อยนิด
“อนาตาเซียเธอไปลองชุดบ้างสิ ฉันเห็นเธอเดินเลือกอย่างเดียวไม่ลองชุดเลย” ลูเซียกล่าวและเลือกชุดต่อไป
“ฉันเลือกได้แล้ว ฉันเอาตัวนี้”
อนาตาเซียตอบ เธอหยิบชุดราตรีสีม่วงแขนยาว ประดับด้วยลวดลายลูกไม้สีทอง มีกากเพชรหรูหราประดับอยู่บนชุดเล็กน้อย เนื้อผ้าของชุดหนาพอประมาณใส่แล้วสบายตัว ช่วงเอวนั้นถูกประดับด้วยริ้บบิ้นและกระโปรงที่ยาวถึงข้อเท้า
“ทำไมเธอถึงเลือกเร็วจัง ฉันยังตัดสินใจไม่ได้เลย อืมมมม……เธอคิดว่าสองตัวนี้ตัวไหนสวย” ลูเซียถามและยกเสื้อสองตัวขึ้นให้อนาตาเซียดู “เธอว่าสีชมพูกับสีเหลืองตัวไหนเหมาะกับฉันมากกว่ากัน”
“แล้วเธอชอบอันไหนมากกว่ากันล่ะ” อนาตาเซียถามกลับ
“ฉันชอบทั้งสองเลือกไม่ได้เลย”
ลูเซียตอบพร้อมมองเสื้อสองตัวด้วยสายตาสับสน
“สำหรับฉันเธอใส่ตัวไหนก็สวยหมด เธอเลือกเถอะว่าอยากได้ตัวไหน”
“อืมมม เอาตัวนี้แล้วกันสีชมพูอ่อนเข้ากับสีผมของฉันดี”
ลูเซียกล่าวพร้อมยื่นเสื้อให้เจ้าของร้าน
หลังจากเลือกเสื้อผ้าเสร็จแล้วทั้งคู่ก็ตรงมายังร้านเครื่องประดับทันที ทั้งสองอยู่ร้านเครื่องประดับสักพักไม่นานก็เดินออกมาโดยมีเพียงลูเซียเท่านั้นที่ได้เครื่องประดับกลับมา
“อนาตาเซียเธอแน่ใจหรอว่าจะไม่ซื้อเครื่องประดับ”
“ไม่ล่ะ ฉันจะใส่สร้อยของแม่ ส่วนเครื่องประดับอย่างอื่นจะไปดูในกล่องเครื่องประดับที่เคยซื้อมาว่ามีอะไรพอใส่ได้บ้าง”
.
.
.
เย็นวันนั้นงานเลี้ยงน้ำชาถูกจัดขึ้นตั้งแต่เวลา 18:00 น.เป็นต้นไปโดยมีนักเรียนทุกชั้นปีทยอยเดินเข้ามาในงานเลี้ยงอย่างไม่ขาดสาย ทุกคนในงานต่างคึกคักและตื่นเต้นกันมากโดยเฉพาะนักเรียนที่พึ่งเข้ามาใหม่ล้วนเข้าร่วมงานกันอย่างสนุกสนาน
“ขอให้นักเรียนทุกคนสนุกกับงานเลี้ยงน้ำชาในคืนนี้ ลอร์ดมาเชลล์ อธิการบดีแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ลุกขึ้นกล่าวเปิดงานและปล่อยให้เด็กๆสนุกกับงานเลี้ยงครั้งนี้ ภายในงานมีอาหารเลิศรสมากมายถูกนำขึ้นมาเสริฟอย่างไม่ขาดสายพร้อมเครื่องดื่มหลากหลายรสชาติอันมีความพิเศษเฉพาะในดินแดน ดนตรีบรรเลงขับกล่อมเรื่อยๆด้วยความไพเราะอย่างไร้ที่ติ นักเรียนหลายคนลุกขึ้นเต้นรำตามจังหวะทั้งช้าและเร็วตามช่วงเวลา สร้างความสนุกสนานให้แก่ทุกคนรวมถึงลูเซียกับอนาตาเซียเด็กสาวจากดินแดนมนุษย์เองก็ออกไปเต้นรำทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่อีกหลายคนเช่นกัน
“อนาตาเซียไม่ไปเต้นต่อแล้วหรอ” สาวผมทองถามเพื่อนของตน
“ไม่ล่ะฉันเต้นไม่ไหวแล้ว เธอไปเต้นต่อเถอะ”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันไปเต้นต่อนะ” ลูเซียกล่าวก่อนเดินหายเข้าไปในกลุ่มนักเรียนที่กำลังเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน
เวลาผ่านไปสักพักสาวน้อยนักเรียนใหม่แห่งโรงเรียนเวทมนตร์เริ่มอยากรู้อยากเห็นเธอรู้สึกเบื่อที่ต้องนั่งดูคนเต้นรำไปเรื่อยๆ จึงตัดสินใจออกไปข้างนอกเพื่อสูดอากาศ ดังนั้นเธอจึงเดินออกจากงานเลี้ยงและเดินไปเดินมารอบๆบริเวณโรงเรียนทันที สาวน้อยเดินผ่านเส้นทางหลายเส้นจนเริ่มสับสน เธอมองหาทางกลับเดิมของตน แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังไม่สามารถจำเส้นทางได้และยังสับสนอยู่ดี สาวน้อยเดินมาเรื่อยๆนานหลายชั่วโมงเพื่อหาทางกลับเข้างาน แต่ก็ยังหาทางกลับไม่ได้จนเดินมาหยุดอยู่ที่เขตป่าต้องสาป
“นี่มันป่าต้องสาป” อนาตาเซียสาวน้อยวัยใสพูดกับตัวเองด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าการเดินหลงทางจะทำให้เธอหลงมาอยู่ที่ป่าต้องสาปแห่งนี้ “เราเดินมาไกลขนาดนี้เลยหรอ ดูท่าคงจะหลงทางเข้ามาไม่ถูกที่ซะแล้วสิ” อนาตาเซียพูดพร้อมลูบแขนตัวเอง “ทำไมถึงตั้งชื่อว่าป่าต้องสาปนะ แต่ก็ช่างเถอะ เลิกสงสัยได้แล้ว ตอนนี้เราควรรีบออกไปให้ไกลจากที่นี่ดีกว่า” สาวน้อยพูดเตือนสติตัวเองพร้อมเตรียมตัวหันหลังกลับไปยังทางเดิมอย่างรวดเร็ว
ขณะที่หญิงสาวกำลังจะเดินทางกลับอยู่ๆก็มีเสียงแววเข้ามาในหูของเธอ เสียงนั่นพยายามเรียกร้องให้เธอหยุด พร้อมกับพยายามเรียกร้องความเห็นใจจากสาวน้อย
“อนาตาเซีย อนาตาเซีย อย่าพึ่งไป หยุดก่อนอนาตาเซีย”
เสียงปริศนาจากด้านหลังดังอย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆเรียกร้องทำให้อนาตาเซียที่กำลังจะไปต้องหันกลับมาทันที
“ใคร ใครอยู่ตรงนั้น ออกมานะ” อนาตาเซียตะโกนหาเจ้าของเสียงด้วยความสงสัย เธอพยายามมองเข้าไปในป่าต้องสาปแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่ทันไรเสียงปริศนาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“อนาตาเซียมองมาทางนี้ พ่อกับแม่ไง”
เสียงปริศนาดังขึ้นอีกครั้งพร้อมหมอกควันมากมายหนาขึ้นเรื่อยๆ หมอกควันนั้นปรากฏภาพพ่อแม่ยืนอ้าแขนรอรับอนาตาเซียอยู่ เมื่อเห็นภาพครอบครัวอนาตาเซียก็อดไม่ได้ที่จะดีใจและวิ่งเข้าไปในหมอกควัน
“พ่อ แม่” อนาตาเซียร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นเธอเตรียมตัววิ่งไปหาพ่อแม่ของเธออย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทันที่เธอจะก้าวขาไปได้ก็ถูกดึงแขนเอาไว้
“อนาตาเซีย หยุด”
เสียงเตือนดังห้ามปรามสาวน้อยเอาไว้ แต่แทนที่เธอจะเชื่อฟังกลับดื้อดึงที่จะไป สาวน้อยตัวเล็กไม่เคยพบพ่อแม่มาก่อนปรารถนาจะได้อ้อมกอดนั้นให้ได้ เธอพยายามดึงดันเข้าไปในป่า พร้อมสะบัดแขนออกอย่างไม่ใยดี
“ปล่อย ปล่อยนะ พ่อ……แม่”
“อนาตาเซีย หยุด ! ตั้งสติก่อนมันคือภาพลวงตาๆ เธอดูสิ…ดู…มันเป็นภาพลวงตา”
สาวผู้หวังดีกล่าวเตือนสติทำให้อนาตาเซียรู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นแท้จริงแล้วคืออะไร
“เห็นไหมไม่มีอะไร มันหายไปแล้ว”
อนาตาเซียที่พบเหตุการณ์ไม่คาดฝันนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะตั้งสติแล้วมองไปยังภาพก่อนหน้านี้และค้นพบความจริง “จริงด้วยมันจางหายไปแล้ว” อนาตาเซียตอบและเผยใบหน้าเศร้าออกมาอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะหันไปถามหญิงสาวผู้หวังดี “เบลินด้า คุณมาที่นี่ได้ยังไง” อนาตาเซียถามเบลินด้าที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ฉันควรจะถามเธอมากกว่าว่าเธอมาอยู่ที่นี่ยังได้ไง” เบลินด้ากล่าวก่อนจูงมืออนาตาเซียเตรียมตัวเดินออกจากเขตป่าต้องสาป แต่ไม่ทันที่ทั้งสองจะเดินจากไปเบลินด้าก็มียินเสียงคุ้นหูดังออกมาจากที่ไหนสักแห่งใกล้ๆบริเวณนั้น
“ดูสิ...วันนี้มีแขกมาเยี่ยมฉันที่นี่ด้วย”
เสียงชายปริศนากล่าวทักทายทั้งสองขณะที่เขากำลังยืนอยู่บนต้นไม้ ชายปริศนาสวมฮู้ดสีดำ และมีท่าทีลึกลับ หลังจากทักทายทั้งสองเขาก็ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองด้วยความรวดเร็ว พร้อมถอดฮู้ดที่ใส่อยู่ออกทันที ชายลึกลับคนนี้มีผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีเหลือง สันจมูกโด่งได้รูป สง่างามและสูงพอตัว เขากระโดดลงมาจากต้นไม้ใหญ่สูงริบและเดินไปยืนอิงโขดหินใกล้กับทั้งสองพร้อมกับนกฮูกคู่ใจหนึ่งตัวเกาะอยู่บนไหล่
“คาเล็บนายนั้นเอง ฉันบังเอิญผ่านมาก็เท่านั้นไม่ได้มาเยี่ยม” เบลินด้าตอบแบบ
“ใจร้ายจังเลยนะอยู่มาเป็นร้อยปีเคยพูดแบบไหนก็พูดแบบนั้นไม่คิดจะมาเยี่ยมฉันบ้างรึไง” คาเล็บกล่าวด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
“ไม่คิด ถ้านายไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนนะพอดีไม่ว่าง” เบลินด้าตอบและเตรียมตัวหันหลังกลับไปทันที
“ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวไม่มีเพื่อนทำไมเธอใจร้ายแบบนี้ อยู่คุยกับฉันอีกหน่อยก็ไม่ได้” คาเล็บพูดด้วยความน้อยใจ
“นายอยู่ที่นี่ก็คุยกับภูตผีในป่าไปสิ แล้วก็สัตว์มืดมีตั้งเยอะแยะไม่ได้อยู่คนเดียวซะหน่อยไหนจะนกฮูกสัตว์เลี้ยงนายอีก” เบลินด้าตอบ
“แหม่...ไม่เหมือนกันซะหน่อยใช่ไหมบิลล์” คาเล็บตอบ ก่อนหันไปคุยกับนกฮูกของตน “ว่าแต่บอกเพื่อนตัวจิ๋วของเธอด้วยว่าอย่าออกมาเดินทะเล้อทะล้าบ่อยๆ ครั้งหน้าอาจจะไม่โชคดีแบบนี้ก็ได้” คาเล็บกล่าว ก่อนกระโดดขึ้นต้นไม้สูงและจากไปทันทีเหลือเพียงสองสาวที่ยืนอยู่ด้วยกันทำให้เบลินด้าต้องพาอนาตาเซียเดินไปที่บ้านของตน
“เอาล่ะ เธอไปทำอะไรที่นั่นอนาตาเซีย”
เบลิด้าถามอนาตาเซียด้วยความสงสัย
“ฉันออกมาเดินเล่นแล้วหลงทาง หลังจากนั้นมันก็เป็นอย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ” อนาตาเซียตอบ
“เธอจำไว้นะ ห้ามเข้าใกล้ป่าต้องสาปเพราะมันอันตรายมาก” เบลินด้าเตือน
“ทำไมหรอคะ” อนาตาเซียสาวน้อยขี้สงสัยถามเบลินด้าด้วยความอยากรู้
“ป่าต้องสาปมีแต่สิ่งที่เป็นอันตราย ภูตผีวิญญาณและสัตว์มืด พวกนี้ล้วนต้องการพลัง วิญญาณที่นั่นมีสิ่งเดียวที่ต้องการคือดูดเอาพลังชีวิตของคนอื่นเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่มันแข็งเกร่งพอ มันจะได้ออกมาจากที่นั่น เพราะที่นั่นคือที่จองจำพวกมันเอาไว้”
“เข้าใจแล้ว ต่อไปฉันจะระวังตัวจะไม่เข้าใกล้ที่นั่นอีก ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วย” อนาตาเซียกล่าวขอบคุณก่อนหันไปสดุดตากับหนูแฮมเตอร์ในกรง “หนูแฮมเตอร์ของคุณน่ารักมากเลยนะคะมันชื่ออะไรหรอ”
“นีล” เบลินด้าตอบ
“จะว่าไปตอนนี้ก็ดึกมากแล้วฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“ได้ กลับดีๆล่ะ”
บ้านเอเดิลพัฟฟี่
แอ๊ด……เสียงเปิดประตูดัง ส่งสัญญาณว่ามีบุคคลเข้ามาในห้องทำให้สาวน้อยผมบลอนในชุดนอนรีบปรี่ไปที่ประตูทันที
“อนาตาเซียเธอหายไปไหนมาฉันตามหาเธอแทบแย่”
“ฉันออกไปเดินเล่นมา”
“เธอนี้ชอบทำให้ฉันเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย” ลูเซียออกมาด้วยความกังวลและนั่งลงบนโซฟาในห้องอย่างระมัดระวัง
“ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ดึกมาแล้วฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ” พูดจบอนาตาเซียก็เดินตรงไปที่ห้องอาบน้ำทันที หลังจากอนาตาเซียอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็นั่งคุยกันบนเตียงด้วยความตื่นเต้น
“ผ่านไปกี่วันก็จะเปิดภาคเรียนแรกแล้วรู้สึกตื่นเต้นจังเลย” ลูเซียพูดพร้อมล้มตัวนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าเนื่องจากเต้นรำในช่วงค่ำเป็นเหตุ
“ใช่ ไม่รู้ว่าเข้าเรียนวันแรกจะเป็นยังไง รู้สึกตื่นเต้นจัง ฉันยังไม่รู้เลยว่าเข้าเรียนวันแรกในดินแดนแห่งเวทย์มนต์จะมีชีวิตที่น่าตื่นเต้นแบบไหนอีก” อนาตาเซียกล่าวเสริมด้วยความตื่นเต้นปนกลังวล
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะได้รู้แล้ว ฮ่าๆๆมันคงสนุกน่าดู” ลูเซียตอบพร้อมออกมาหัวเราะด้วยความดีใจ
“ใช่ฉันก็คิดแบบนั้น”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!