NovelToon NovelToon

กาลเก่าข้าขอลืม

กระบี่เหินฟ้า 1

...บทที่ 1...

...กระบี่เหินฟ้า 1...

รัชศกเหยียนลี่ที่สอง

ในแคว้นเหยียนที่กว้างใหญ่กำลังจัดงานรื่นเริงไปทั่วถนนทุกสายในเมืองเชิน เมืองทางตอนเหนือของแคว้นที่ทรงอำนาจเรื่องการค้าขาย เป็นที่หนึ่งของหอการค้า ที่หนึ่งของรสสุรา และที่หนึ่งของการร่ายรำ

เสียงตะโกนโหวกเหวกเสียงดังทั่วทุกสารทิศในเมืองเชิน ผู้คนหนาแน่นบ้างเดินเป็นคู่ บ้างเดินเป็นหมู่คณะ บ้างชมการละเล่นตามความเป็นอยู่โดยปกติของชาวบ้านแถบนี้ ทว่าในเวลานี้กลับแตกต่างจากเก่าเมื่อมีบุคคลชั้นสูงมาร่วมงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นทพเซียน ปีศาจ มาร หรือแม้กระทั่งผู้ฝึกเซียนต่างมารวมตัวกันในงานเเสนรื่นเริงนี้โดยมิได้นัดหมาย

โคมไฟประดับตกแต่งกำลังส่องสว่างคล้ายเป็นปกติของงานเลี้ยง แต่ก็มิอาจปกติโดยแท้เมื่อโคมไฟเหล่านั้นเต็มไปด้วยไอมาร ประดับใต้แสงจันทร์สีเลือดสดก็ยิ่งทำให้ไอมารแข็งแกร่ง

พลังหยินรุนแรงเกินไป ส่วนหลังหยางกลับเจือจางจนเหล่าเทพเสียเปรียบ

เทพกับมารขัดแย้งกันมาโดยตลอด เนื่องจากเหล่าเทพทนงตนยกย่องลำพองตนเหนือเผ่าอื่น ส่วนเผ่ามารกลับชอบกระทำชั่วร้ายยึดถือหลักผู้ใดอ่อนแอก็เพียงต้องทิ้งชีวิตไว้ และเผ่าปีศาจเป็นเผ่าที่ชมชอบกับการอยู่ในเมืองมนุษย์อยู่แล้ว พวกมันชอบงานรื่นเริง ชอบความสวยงาม ชอบความมีเสน่ห์และมิชอบสงครามยกเว้นเผ่าวิหค

เผ่าวิหคใกล้เคียงกับเทพมากที่สุดจนอยู่เหนือเผ่าปีศาจทั้งๆที่ก็เป็นเผ่าปีศาจ แต่พวกเขากลับแยกตัวออกมาโบยบินบนนภาต่างจากปีศาจเผ่าอื่น และตอนนี้ยอดเขาที่สูงเสียดฟ้าเทียมสวรรค์ดูแล้วก็คงจะมีแต่ยอดเขาวิหคเวหา แต่ตอนนี้กลับปิดตายไม่มีผู้พบเห็นคนจากเผ่าวิหคมานานนับตั้งแต่ที่เจ้าวิหคถล่มฟ้ารวบสามโลกเข้าด้วยกัน 

คงผ่านมาเป็นหลักร้อยปีแล้วกระมั้ง สักห้าร้อยปีได้

...'เหนือสุดของเหยียน ล้วนเรียกว่าเชิน'...

...'ใต้สุดของเหยียน ล้วนเรียกว่าชาง'...

...'เชินชางคงอยู่ แคว้นเหยียนรุ่งเรือง'...

...'เชินชางสาปสูญ แคว้นเหยียนล่มสลาย'...

"ใครๆก็รู้จักเพลงบทนี้ในบทเพลงแห่งแคว้นเหยียน ที่รวบเอาเมืองอันดับหนึ่งแห่งการค้ามาเป็นประตูด่านเหนือคอยสร้างความมั่งคั่ง และเอาเมืองอันดับหนึ่งแห่งสำนักศึกษาศาสตร์ต่างๆมาเป็นประตูด่านใต้" 

นักเล่าเรื่องในหอน้ำชาหยวนชิวเอ่ยเล่าเรื่องของบทเพลงที่ผู้คนบนท้องถนนกำลังโห่ร้อง 

บุรุษกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดคล้ายมาจากสำนักฝึกเซียนจึงตะโกนเอ่ยถาม "ไฉนเมืองหลวงจึงไม่ถูกเล่าขานในเพลงบ้างเล่า" ผู้คนที่ได้ยินต่างสนใจประเด็นนี้เหมือนกันจึงหันมาจ้องชายชราผู้เล่าเรื่อง เขากระแอมไอเล็กน้อยเมื่อถูกจ้องมอง หากสังเกตให้ดีในหอน้ำชายังมีบุคคลที่แปลกประหลาดอยู่ผู้หนึ่ง สวมเพียงชุดสีเหลืองอ่อนใบหน้ามีหมวกสานผ้าคลุมอยู่ 

คนผู้นี้คล้ายเคาะโต๊ะเป็นจังหวะรอคำตอบเช่นกัน

"ก็เพราะแคว้นเหยียนเราไม่มีเมืองหลวง" 

พอสิ้นประโยคคนที่มาจากต่างแคว้นตกตะลึงคลับคล้ายเจอเรื่องเหลือเชื่อ แต่มันก็เหลือเชื่อนั่นแหละเพราะแคว้นที่ไม่มีเมืองหลวงถือเป็นแคว้นที่ไร้ซึ่งจักรพรรคดิ 

ชายชราเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของเด็กหนุ่มที่ถามตนจึงพูดเสริมขยายความให้ "เพราะฮ่องเต้มิชมชอบการอยู่ในวัง พระองค์ทรงพักอยู่ได้ทุกที่ดังนั้นทุกที่จึงเป็นเมืองหลวง หนำซ้ำยังชมชอบศาสตร์ทุกแขนงของสำนักศึกษาและยึดหลักทหารต้องเดินด้วยท้อง ความรู้คือปัจจัยและเสบียงคือแรงขับเคลื่อน" 

แปะ แปะ แปะ การอธิบายคล้ายเป็นที่ชื่นชมนักเมื่อผู้ที่สวมหมวกสานคลุมหน้านั้นลุกขึ้นปรบมือเสียงดังทั่วหอน้ำชาหยวนชิว

"เล่าได้ดี เล่าได้ดียิ่ง" ผู้คนเพ่งมองบุรุสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บนชั้นสอง ร่างนั้นสูงโปร่งหุ่นคลับคล้ายคุณชายผู้อ่อนปวกเปียก ทว่าเสียงเมื่อกี้กลับเยือกเย็นราวก้อนน้ำแข็ง ชายชราโค้งตัวเล็กน้อยเป็นการตอบรับคำชม

"แต่มีสิ่งหนึ่งไม่ถูกต้อง ขอทราบอายุขององค์จักรพรรดิได้หรือไม่"

นักเล่าเรื่องขมวดคิ้วแต่ก็ยอมตอบโดยดี "ย่อมได้อยู่แล้ว พระองค์อายุเพียงยี่สิบสาม ว่าแต่มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือ"

เสียงโห่ดังขึ้นอีกครั้ง อายุเพียงเท่านี้กลับมีความคิดก้าวไกลยิ่งนัก สมกับเกิดมาเป็นโอรสสวรรค์ของปวงประชา ทว่าในความคิดของบุรุษชุดเหลืองกลับมิใช่ เขามองว่าช่างเป็นฮ่องเต้ที่ไร้ผลงานสิ้นดี..แต่ใยมนุษย์จึงโง่เขลา เหลากระบาลได้ง่ายดายนัก 

"ย่อมไม่มี ล้วนเป็นข้าที่มีใจแอบคิดสงสัยเบื้องสูงขอทุกท่านโปรดอภัย" คล้อยหลังจบประโยคเขาโยนก้อนเงินออกมาให้นักเล่าเรื่องแล้วยกยิ้มมุมปาก ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าฮ่องเต้ที่ชนชาวแคว้นเหยียนยกย่องจะเดินทอดน่องออกจากโรงน้ำชาหยวนชิง

... ล้วนเป็นเขาที่มีคำถามต่ออายุของตน...

...ล้วนเป็นเขาที่มองว่าไม่ถูกต้อง...

ในมือกำกระบี่แน่นเดินผ่านผู้คนกลมกลืนจนดูมิออกว่าแท้จริงแล้วเป็นถึงเจ้าแคว้น ทว่าจู่ๆไหล่ขวากลับถูกแรงผลักจนร่างสูงเซถอยเกือบหงายหลัง หมวกสานตกลงพื้นเผยให้เห็นใบหน้างามของเจ้าแคว้น โชคยังดีที่ร่างกายของเจ้าแคว้นอย่างเขาพอจะมีลมปราณใหลผ่านอยู่บ้างจึงทรงตัวไว้ได้ 

"ขออภัยคุณชาย ข้ารีบร้อนเกินไปจึงมิทันเห็น" บุรุษใบหน้าหล่อเหลาทักเขาพร้อมสีหน้าเรียบนิ่ง ดูก็รู้ว่ามิมีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อยเจ้าแคว้นอย่างเขาถอนหายใจออกทันที เมื่อก่อนใจร้อนไปบ้างเลยทำทุกสิ่งย่ำแย่ด้วยมือตน ตอนนี้เขาจึงต้องรู้จักใจเย็นอย่างไรเสียคนเหล่านี้ล้วนอยู่ใต้ปกครองเขาทั้งนั้น

"ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ อุบัติเหตุล้วนมิมีผู้ใดจงใจกระนั้นข้าขอตัว" เอ่ยตัดบทสนทนาเดินทอดน่องต่อบนท้องถนนราวกับกำลังโบยบิน โดยหลงลืมหมวกสานของตนไว้ตรงที่มันตกหล่น หากมันมีชีวิตคงจะต่อว่าเจ้าแคว้นไปแล้วกระมั้งที่หลงลืมง่ายดายนัก

"ช่างแปลกประหลาด ดูคล้ายจะเกิดโทสะแต่กลับมิเผยมันออกมา น่าชื่นชมยิ่งที่ยังมิเกิดโทสะเมื่อเห็นใบหน้าข้า" คนผู้นั้นแค่นหัวเราะคล้ายจะร่ำไห้เมื่อตนก่อกวนไม่สำเร็จ เขาเป็นศิษย์เอกในสำนักทินชาที่สำเร็จวิชาล่อลวงหุบเขาแต่วิชานี้กลับดูไร้ค่านักเมื่อบุรุษชุดเหลืองมิหลงกล

ทั้งที่จริงๆควรจะตกหลุมพรางตั้งแต่เห็นใบหน้าเขา

"ข้าจะต้องกลับไปบอกอาจารย์แน่ ว่ามีคนผู้หนึ่งหลุดรอดจากวิชาอันร้ายกาจนี้ได้!" บุรุษชุดลายครามสลับขาวก้มลงหยิบหมวกสานขึ้นมา ไอลมปราณเบาบางปะทะมือเขา ก่อนจะสับเท้าอย่างรวดเร็วไปยังหนทางเส้นเดิม

ทางด้านของผู้เป็นเจ้าแคว้นกำลังเดินชมนกชมไม้ผ่านหมู่มวลสรรพสิ่ง กลิ่นไอบางอย่างกับเตะเข้าจมูกเขา ทั้งร่างสั่นไหวคล้ายจะหมดแรงเมื่อกลิ่นนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น

"ใยข้าจึงดื้อด้านต่อตนถึงเพียงนี้" เขากำกระบี่แน่นราวกับเก็บกลั้นความปวดหนึบตรงกลางใจ 

โคมไฟดับลงทุกดวงอย่างน่าอัศจรรย์สำหรับผู้คนธรรมดานี่นับว่าเป็นสิ่งน่าลุ้นระทึก แต่สำหรับสำนักฝึกเซียนแล้วมันคือสัญญาณเตือนภัย กลับกันกับเทพและปีศาจที่รับรู้โดยทั่วกันว่าค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวงแดงก่ำนี้เหล่ามารจะออกมาบุกเมืองมนุษย์ 

วันนี้พวกมันแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ลำพังเผ่าเทพที่ถูกลดทอนความสูงส่งคงมิอาจต้าน

ก็ใครใช้ให้โลกหล้าโง่เขลาผลิตคนชั่วมากกว่าคนดีกันล่ะ

เหยียนลี่สกิดเท้าคราหนึ่งเพื่อตามไอพลังสีแดงที่ลอยมาไปแล้วสบถอย่างหัวเสีย

"เพ้ย! เหตุใดจึงต้องเลือกแคว้นเหยียนด้วยเล่า"

ผู้เป็นเจ้าแคว้นหยัดกายลุกกระโจนกลับหนทางเดิม มารร้ายกำลังจะบุกบ้านเขา เหยียนลี่ชักกระบี่ในมือฟาดเข้าใส่เงาดำที่กำลังจะกระโจนเข้าใส่ตัวเขา แสงจากด้ามกระบี่ส่องประกายภายใต้ความมืดมิดของค่ำคืนจันทร์สีเลือด

มารอีกสองตนที่ยังไม่สามารถกลายร่างได้กระโจนเข้าใส่ร่างเขาอีกครั้ง เหยียนลี่ถอยหลังหลบอย่างรวดเร็วก่อนจะใช้ด้ามจับของกระบี่แทงใส่ต้นไม้บริเวณนั้นจนใบร่วงหล่นลงมา เหยียนลี่เพียงตวัดกระบี่เขียนอักขระตัวหนึ่งออกมา จังหวะนั้นชั่วพริบตาใบไม้กลับกลายเป็นมีดแหลมคมพุ่งเข้าเฉือนลำคอของมารสองตนนั้นอย่างแม่นยำ 

ทุกท่วงท่าล้วนสง่างามสมกับเป็นเจ้าแคว้นถึงร่างจะบอบบางไปหน่อยก็ตาม 

"มารชั้นต่ำ!" เหยียนลี่ตวัดกระบี่ในมือใส่มารที่กำลังล้อมเขา เพียงไม่นานเขาก็สังหารพวกมันจนหมดแล้ววิ่งไปยังหอน้ำชา แต่พอไปถึงก็เห็นว่าผู้ฝึกตนกำลังต้านรับอยู่ สำนักฝึกเซียนพวกนั้นอาจยังพอต้านทานมารชั้นต่ำพวกนี้ได้

คิดเช่นนี้ตนก็มุ่งหน้าตามกลิ่นที่ทำให้ตนสั่นไหวนั่นไป เพราะเขาคลาดกับไอสีแดงนั่น

ไอมารแผ่ทั่วเมืองตอนเหนือของแคว้นเหยียน บทเพลงดับลงกลางความมืดมิดทดแทนด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนปนเสียงร่ำไห้ เมืองเชินกำลังร่ำไห้และเหล่าผู้ฝึกเซียนจากเมืองชางกำลังปกป้อง จิตใจของผู้เป็นเจ้าแคว้นคล้ายจะร่ำไห้เชินชางอาจสิ้นลงเพียงชั่วค่ำคืน

หรืออาจแค่พริบตาเดียวหากเจ้าแห่งมารย่างกรายขึ้นมาในเวลานี้

คราวนี้เขาคงได้แต่โทษเจ้าวิหคผู้นั้นเสียแล้วที่พังสวรรค์ลดพลังเทพให้เปรียบเผ่ามารที่พวกเยอะกว่า แต่ก็ยังหวังเล็กน้อยว่าเผ่าปีศาจจะยื่นมือมาช่วยเมืองที่แสนงดงามแห่งนี้

กระบี่ข้างกายถูกชักออกมาอีกครั้งเมื่อเจอมารชั้นที่สูงขึ้นมาจากเดิม เหยียนลี่ใช้ท่าทางและวิชาดูลึกลับราวกับมือสังหารแต่ก็มีความอ่อนโยนคล้ายสำนักฝึกเซียนสำนักหนึ่งที่ผู้ชมดูนึกไม่ออก

ปลายกระบี่อาบไปด้วยเลือดสีดำสกปรกแต่ตัวของมันกลับยังส่องสว่าง เลือนเเสงสีขาวบริสุทธิ์ส่องประกายทั่วบริเวณเมื่อเจ้าของจับมันชี้ฟ้าแนบกลางอก ไอพลังสีเหลืองอ่อนๆลอยออกมาจากกลางอกเขาพร้อมต่อยาวเป็นตัวหนังสือเพียงชั่วพริบตารอบบริเวณก็ฟุ้งไปด้วยคาวสกปรก ผู้คนที่เห็นแสงสว่างนั้นบ้างก็ทราบบ้างและมิทราบบ้างว่ามาจากผู้ใด

แต่ใต้หล้านี้กลับมีเพียงผู้เดียวที่จะใช้กระบวนท่านี้ได้ เคล็ดวิชากระบี่เหินฟ้า

"เห็นทีข้าคงทำได้เพียงแต่ชมดูแล้วแหละกระมั้ง"

...///////////////////////////////////...

นักเขียน : ฉันชอบวิชานี้ของเหยียนลี่มากเลยค่ะ คงจะถามใช่ไหมคะว่าเขาคือใคร? เขาคือเจ้าแคว้นผู้ว่างงานที่ท่องเที่ยวไปทั่วแคว้นของตนนั่นเองค่ะ (นี่คือคำบอกใบ้แล้ว?) พยักหน้า:-:

กระบี่เหินฟ้า 2

...บทที่ ๑...

...กระบี่เหินฟ้า ๒...

หลังจากแผ่นฟ้าเกิดประกายแสงขึ้นเหล่าผู้ฝึกเซียนต่างลอบถอนหายใจ คล้ายกับว่าเรื่องราวนั้นเป็นเครื่องตัดสินว่าเมืองเชินรอดพ้นจากเงื้อมือของมารร้ายแล้ว 

ที่ใดมีมือกระบี่มายาที่นั่นล้วนปลอดภัยจากมารร้าย

คำกล่าวนี้ยังคงหยิบยื่นมาใช้ได้เสมอตลอดสิบปีมานี้

ไอมารผสมปนเปกับไอพลังบริสุทธิ์ เหล่าเทพต่างช่วยกันสังหารมารทิ้งด้วยความสะใจ ทว่ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงแว่วมาแต่ไกลแผ่ทั่วทั้งเมืองเชิน อำนาจร้ายกำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ศพมารที่ถูกสังหารกำลังลอยขึ้นรวมร่างกันปะปนกับศพมนุษย์ธรรมดากลายเป็นอสูรตัวใหญ่ ดวงตาแดงก่ำประกอบเหมาะกับดวงจันทร์ค่ำคืนนี้ยิ่ง ทั้งร่างมีเส้นลมปราณสีแดงเด่นชัดส่องประกายราวอัญมณีนับล้านมารวมกัน

"วิชาหลอมรวมโลหิต" หนึ่งในเทพตะโกนขึ้นเสียงดังกลางลานกว้าง

"จอมมารฟื้นขึ้นมาแล้ว! เกรงว่าเพียงมือกระบี่มายาคงมิอาจต้าน" เทพอีกคนตะโกนบอกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เวลานี้ประมุขสวรรค์ยังคงมุ่งมั่นหลอมรวมหกฝ่ามือของสวรรค์เพื่อหลอมประตูสวรรค์ขึ้นใหม่ เหล่าเทพสงครามก็เหลือเพียงเทพฉงหยางที่มาร่วมงานในเมืองเชิน

สถานการณ์ดูย่ำแย่ลงเมื่อจอมมารฟื้นคืน

เมื่อกาลก่อนเจ้าวิหคกับสหายเคยปราบจอมมารจนต้องเข้าสู่การนอนหลับร้อยปี ทว่าเพียงห้าร้อยปีผ่านมาใยจึงดูดุร้ายกว่าเก่า..หรือเพราะสวรรค์ทำสิ่งที่ไม่ควรลงไป ใครอาจไม่รู้แต่จอมมารย่อมรู้ดี การลงมือเมื่อห้าร้อยปีก่อนผู้เกี่ยวข้องต้องชดใช้

"ยืนนิ่งอยู่ใย เป็นถึงเทพไฉนไม่ลงมือ" เสียงหนึ่งวิ่งผ่านสายลมมาแต่ไกล เป็นคล้ายแซ่ที่ความเร็วสูงเสียดใจผู้ฟังยิ่งนัก 

เหยียนลี่ไม่รีรอรีบตวัดกระบี่ฟาดสายฟ้าลงมาผ่าร่างมารอสูรตาแดงตนนั้นเมื่อพูดจบท่ามกลางความตกตะลึงของเทพบริเวณนั้น ตามมาด้วยร่างเทพสูงส่งสวมชุดเกราะรัดรูปสีเงิน ในมือจับทวนแน่ เหยียนลี่หันมองเล็กน้อยก่อนจะลงมือต่อ

ทหารเมื่อขาดแม่ทัพก็คล้ายขยะกองโต

แต่เมื่อมีแม่ทัพกลับเป็นกองกำลังที่น่าทึ่ง เทพฉงหยางแข็งแกร่งแค่ไหนทุกคนใต้บัญชาย่อมรู้ กำลังใจกลับสู่เทพอีกครั้งจนมารร้ายค่อยๆสูญไป เหยียนลี่รีบรุกไปตามกลิ่นนั้น ไม่ผิดแน่ว่าเจ้ากลิ่นที่รวดเร็วนั่นกำลังไล่ตามไอพลังนั่นไป เจ้าแคว้นสกิดปลายเท้าคราหนึ่งตรงที่ยืนอยู่ก็เหลือเพียงไอพลังสีเหลืองอ่อนจางๆ

เพียงลืมตาขึ้นก็ปรากฏสถานที่หนึ่งขึ้น เหยียนลี่มองไปรอบๆก็รับรู้ถึงกลิ่นไอที่ตนวิ่งตามมา เงาร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีขาวกลางหลังใหญ่มีรูปปีกนกเล็กๆอยู่บนเสื้อสีขาวสะอาด ผมยาวสลวยพริ้วลงมาถึงบั้นท้าย แผ่นหลังนี้ทำเอาเหยียนลี่สั่นไหวไปทั้งร่าง

เลยผ่านบุรุษชุดขาวกลับกลายเป็นบุรุษใบหน้าหล่อคมดูชั่วร้ายผู้หนึ่ง ชุดสีดำสลับขาวในมือสวมกำไลสีแดงสด เหยียนลี่รีบหลบเข้าเงามืดทว่ากลับลืมไปเสียสนิทว่าตนสวมชุดสีเหลืองอ่อนจึงยังสว่างอยู่บ้าง แต่จอมมารหรือจะสนใจสิ่งอื่นนอกเหนือจากเจ้าวิหคผู้นั้น

"บัดซบ! แคว้นเหยียนของข้าหาใช่สนามแข่งชิงรักของพวกเจ้า" เหยียนลี่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่มีหรือที่สองหนุ่มจะไม่ได้ยิน ทว่าทั้งสองกลับยังยืน นิ่งสนใจเพียงคนที่ตนยืนประจันหน้า

เสียงรอบข้างพลันเงียบลงเมื่อเผ่าวิหคลงมา เผ่าปีศาจทั้งหมดล้วนยืนอยู่ข้างความถูกต้อง หรืออีกประการอาจเรียกได้ว่าพวกเขาต่างมิชอบเผ่ามาร

"หากตอนนั้นข้าไม่เสียท่าวันนี้เขาอาจยังอยู่" จอมมารเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเรื่องย้อนรำลึกความหลัง ใบหน้าของเจ้าวิหคกระตุกทีหนึ่งก่อนจะเรียบตึงดังเดิม จอมมารยกยิ้มจ้องมองจี้หยกเลือดตรงกลางอกนั้นก่อนจะลงมือฉกชิงมัน การรุกรวดเร็วจนเหยียนลี่ยังมองแทบจะไม่ทันทว่าเจ้าวิหคกลับทำเพียงแค่เบี่ยงหลบอย่างอ่อนโยน

ทั้งสองเริ่มประมือกันหนึ่งรวดเร็วรุนแรงดั่งพายุอีกหนึ่งรวดเร็วอ่อนโยนดั่งลมอากาศ กระบวนท่าไม่เป็นท่าหรืออาจเรียกได้ว่าไร้กระบวนเพียงแต่รุกเข้าหาจุดตายตลอด เจ้าวิหคไม่รุกกลับทำเพียงหลบคล้ายยอมให้อีกคนระบายแค้น 

"หากปกป้องมิได้จะยึดไว้ข้างกายเพื่ออันใด"

"..." เจ้าวิหคยังคงนิ่งเฉยทั้งกิริยาและท่วงท่ารวมถึงใบหน้า จอมมารทุ่มสุดแรงในหมัดเดียวซัดใส่แผ่นอกที่เจ้าของยังยืนนิ่งรับอย่างไม่คิดจะหลบ ทว่าหมัดนั้นกลับหยุดลงโดยเจ้าของก่อนจะชิดเนื้อผ้าสีขาวนั้น เหยียนลี่มองอย่างไม่เข้าใจ

บทจะแรงก็แรง บทจะยอมก็ยอมเขาล่ะงงงวยยิ่งนัก 

หรือจริงๆจอมมารจะเป็นคนรักเก่าของเจ้าวิหค..ช่างฟุ้งซ่านนัก "คิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง อาจารย์ข้าสอนมาว่ามันเรียกว่าสิ้นคิด" เทพฉงหยางเดินมาตบไหล่ของเหยียนลี่ เจ้าตัวถึงกับสะดุ้งโหยงไม่กล้าหันมองเพียงแต่หลบหน้าอีกฝ่าย ยามนี้เขามิได้สวมหน้ากากหรือแม้กระทั่งปลอมโฉมหน้า

เหยียนลี่สกิดเท้าเพียงครั้งเดียวก็หายวับไปกับสายลม เทพฉงหยางเห็นอีกคนชิ่งหนีจึงมิรู้จะอยู่เพื่ออันใด เขาจึงสะบัดฝ่ามือสองคราก่อนจะหายวับไปอีกคน

เรื่องระหว่างจอมมารกับเจ้าวิหคล้วนไม่เกี่ยวกับพวกเขา เหยียนลี่เห็นสถานการณ์สงบลงจึงรีบไปหาหมวกสานใส่และเพิ่งจะจำได้ว่าหมวกสานของตนยกหายไปตอนไหน "ตำนานว่ากล่าวเรื่องราวมิอาจหวนคืน ใยสองคนนั้นจึงได้โง่งมยิ่งนัก" เขาสับเท้าเข้าโรงเตี๊ยมหาที่พัก ความเสียหายวันนี้ก็ค่อยแก้ไข้ชดเชยพรุ่งนี้

ในลานกว้างที่ล้อมรอบด้วยต้นท้อมีสองหนุ่มยืนจดจ้องกัน "ใยมิสู้เราร่วมมือกันฆ่าล้างพวกมัน"

"ไม่" 

"อย่างไรเสียเรา.." จอมมารคล้ายมีความคิดดีๆจะเสนอแต่ก็ถูกเจ้าวิหคปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมคำขู่

"หรือจะต้องให้ข้าสะกดเจ้าอีกพันปี"

"หงจวิ้นเฉิง บัดนี้ข้าหาได้โอนอ่อนให้เหมือนแต่ก่อน" เจ้าของชื่อยกยิ้มเล็กน้อยตรงมุมปากก่อนจะตวัดสายตาสีฟ้ามองผู้พูด "ข้าไม่กลัวเจ้า"

"เจ้าวิหคช่างองอาจแท้" รอยยิ้มพลันเยือกเย็นขึ้นจากเดิม "มิกลัวข้าแต่กลับกลัวสวรรค์ยอมให้พวกนั้นพรากเขาไป มิอายตัวเองบ้างเลยหรือ"

ประโยคท้ายเสียดสีใจผู้ฟังยิ่งนัก ราวกับต้องการตอกย้ำว่าเจ้าวิหคเคยพลั้งพลาดสิ่งใดไป คนถูกเหน็บแหนมเพียงแค่นหัวเราะทีหนึ่ง ใบหน้าก็กลับไปเรียบนิ่งดังเดิม ในมือไร้อาวุธแต่สายตากลับกราดเกรี้ยวมินิ่งเหมือนใบหน้า จอมมารเดินอ้อมหลังเขาแล้วเพ่งมองลวดลายบนเสื้ออีกฝ่าย

"หากจำมิผิด เสื้อตัวนี้เขาเป็นคนปัก บิดเบี้ยวยิ่งกว่าจิตใจข้าเสียอีก" เอ่ยจบก็หัวเราะเสียงดัง บ่งบอกได้ว่าภายในใจแหลกสลายเพียงใด "หากไม่ทำร้ายข้าจนสลบเข้าสู่การหลับยาวนับร้อยปีข้าจะยืนข้างเขา ข้าเถียนจิ้งจะพาเขาหนีทว่าเขากลับมิให้โอกาสนั้นแก่ข้า"

"แต่เจ้า!" เสียงตวาดดังลั่นจนต้นท้อสั่นไหวลมพายุแรงขึ้น หลงเหลือเพียงสิ่งเดียวที่แนบนิ่งคือร่างสูงโปร่งของเจ้าวิหค

"เจ้าที่มีโอกาสกลับทอดทิ้งเขา! หงจวิ้นเฉิงชาตินี้ข้าไม่มีวันให้อภัยเจ้า!"

"อดีตควรเลือนหาย เจ้าจะแค้นเช่นไรก็เรื่องของเจ้าแต่ผู้บริสุทธิ์หาเกี่ยวข้อง" น้ำเสียงราบเรียบทว่าพลังในกายกลับลุกโชน ไอสีฟ้าปนขาวก่อตัวกันรายล้อมรอบตัวเจ้าวิหค นัยน์ตาสีฟ้าที่ผิดแผกจากเดิมเริ่มแข็งกร้าวต่อสรรพสิ่ง จอมมารก็มิน้อยหน้าขับไอสีแดงเข้มค่อยไปทางดำออกมาข่ม ไม่มีการปะทะใดๆแต่กลับมีขุมพลังก่อตัวขึ้นอย่างมหาศาลหากลงมือสู้กันจริง

แคว้นเหยียนอาจเหลือเพียงชื่อ

เจ้าวิหคเหยียดยิ้มมุมปากเล็กน้อยทำเอาใจของจอมมารกระตุกวูบหนึ่ง สถานการณ์ดูผิดแผกจนน่าใจหาย มือกระบี่ที่พวกเขาคิดว่าปล่อยปะละเลยการประลองครั้งนี้ไปแล้วกลับเดินมาคั่นกลาง 

"แยกแยะมิเป็นก็มิสมควรเป็นใหญ่ เป็นถึงจอมมารกับเจ้าวิหคกลับทำตัวราวกับตัวบัดซบตัวหนึ่ง เมืองมนุษย์หาใช่ที่ระบายอารมณ์ของพวกท่านไม่" จอมมารหน้าดำมืดหรี่ตามองบุรุษที่ตัวเตี้ยกว่าตน เขาสัมผัสได้ถึงลมปราณอันโอนอ่อนที่ก่อตัวราวกับจะดับสูญลง 

"มือกระบี่ของพวกมนุษย์งั้นหรือ? ใยข้าจึงคิดว่าเจ้าคล้ายเพียงขยะ" เหยียนลี่ไม่พูดจาตอบโต้แต่กลับสกิดเท้าคราเดียวแล้วกระโดดตบกระบาลจอมมารผู้สูงส่ง เจ้าวิหคมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยแต่แค่วูบเดียวสีหน้าก็ราบเรียบดังเดิม เขารู้ตัวว่าถูกอีกฝ่ายตามมาตั้งแต่ก่อนถึงโรงน้ำชาเสียด้วยซ้ำ

แต่ก็ไม่คิดว่าจะใจกล้าถึงขั้นแหย่จอมมารด้วยการตบหัว

"เจ้า!"

เพี้ยะ! ฝ่ามือที่รวดเร็วฟาดลงบนโหนกแก้มของจอมมาร ราวกับต้องการจะก่อกวนเล่น เจ้าวิหคยืนนิ่งมองการต่อสู้ที่ดูรวดเร็วโจมตีน้อยแตากลับทำให้คู่ต่อสู้หงุดหงิดใจ เขากักเก็บพลังกลับสู่กายอีกครั้งแล้วยืนนิ่งคล้ายรูปปั้น

มือกระบี่ชักกระบี่ที่เรืองแสงออกมาก่อนจะตวัดมันใส่ชุดของจอมมาร่วงหล่นทีละเล็กทีละน้อย จนสภาพของจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ดูราวกับยาจกข้างถนน เหยียนลี่เห็นเจ้าวิหคยืนนิ่งจึงตั้งใจจะแหย่อีกฝ่ายเล่นด้วยการพุ่งปลายกระบี่เข้าหากลางอกของอีกฝ่าย

แต่ดวงใจที่เต้นช้าราวกับจะหยุดนิ่งนั้นดันทำให้เกิดความผิดแปลกในใจเขา ปลายกระบี่หยุดลงแล้วกระโดดม้วนตัวตวัดกลับไปทางจอมมารอย่างบ้าคลั่ง ท่วงท่าจับทางมิได้ ทั้งรวดเร็วและสวยงามจนจอมมารเองยังหาช่องโหว่เข้าปะทะมิได้

"ไม่ทราบว่าเคยพบกันมาก่อนหรือไม่"

"ข้าเกินก่อนท่านจะออกมาเพียงไม่กี่ปีใยต้องถามมากด้วยเล่า แอบได้ยินว่าเขาทำให้ท่านต้องนอนไปถึงห้าร้อยปี" คำพูดระหว่างต่อสู้เสียดสีใจคู่ต่อสู้จนจอมมารอยากสังหารมือกระบี่ปากดีผู้นี้ทิ้งเสีย แต่ก็แอบสงสัยมิได้ว่าเหตุใดมือกระบี่ธรรมดาผู้หนึ่งจะรู้จุดอ่อนของเขาได้ถึงเพียงนี้

"โตมาเป็นถึงจอมมารควรดูแลคนใต้บัญชาหาใช่มาก่อเรื่องที่เมืองมนุษย์ บิดามารดาอาจารย์ของท่านคงเสียใจมิน้อยที่ดูแลมาอย่างดีแต่บัดนี้กลับโตมาราวตัวบัดซบตัวหนึ่ง"

หนึ่งประโยคพลันทำเจ้าวิหคสะดุ้งโหยงเมื่อมือกระบี่ดันไปกระตุกความมืดบอดของจิตใจจอมมารผู้นี้เข้าอย่างจัง

"เจ้า! ใครใช้ให้มาพูดถึงบิดามารดาและอาจารย์ของข้า เป็นเพียงขยะของโลกหล้าใยจึงปากดีนัก!"

"ก่อนจะว่าข้าเป็นขยะท่านควรมองตัวเองก่อนกระมั้งท่านจอมมาร" น้ำเสียงยียวนแต่ท่วงท่ายังคงมั่นคงและรวดเร็วมิเปลี่ยน เขาสร้างบาดแผลให้ร่างกายกำยำนั่นสองแผลตรงแขนซ้ายและแขนขวา แต่ทั้งตัวของเหยียนลี่ยังคงพริ้วไหวไม่บาดเจ็บแม้แต่ปลายเล็บ

เจ้าวิหคที่ยืนชมอยู่ได้แต่อึ้งแล้วอึ้งอีกที่มนุษย์ธรรมดาจะเก่งกาจถึงเพียงนี้

สมแล้วที่เทพกับผู้ฝึกเซียนจึงนับถือมือกระบี่มายา เพราะแม้แต่จอมมารยังโดนเล่นงานจนงัดพลังและวิชามากมายออกมาใช้มิถูก

"อ่อนหัดถึงเพียงนี้ มิน่าล่ะกาลก่อนถึงพ่ายแพ้ให้เจ้าวิหค"

"เจ้าาา!" จอมมารที่กักเก็บอารมณ์ไม่ไหวจึงระเบิดออกมาลำแสงสีแดงแผ่เป็นวงกว้าง เจ้าวิหคเพียงสะบัดมือก็เกิดปราการคุ้มครองตนไว้ ส่วนมือกระบี่ผู้ที่มีลมปราณสุดจะเลือนลางกลับสกิดเท้าวิ่งวนเป็นวงกลมหนึ่งรอบแล้วสะบัดฝ่ามือเขียนอักษรกลางอากาศ

'เหินฟ้าล่องเวหา กระบี่มายากล่อมผู้คน'

กลอนบทหนึ่งลอยขึ้นกลางอากาศแล้วทั้งร่างของบุรุษหมวกสานก็หายไปกับหมอกควันสีเหลืองใส 

จอมมารที่ถูกทุบตีจนใบหน้าช้ำจึงรีบพุ่งตามลำแสงสีเหลืองอ่อนๆนั่นไป ในวินาทีนั้นเขาเองก็เพิ่งรู้ถึงความอัปยศที่แท้จริง กระบี่มายาล่อลวงได้สมชื่อยิ่งนัก!

"ดูท่าเจ้าคงจะถูกภาพมายาลวงหลอกเอาเสียแล้ว" เจ้าวิหคยิ้มขำกับความเดือดดาลของจอมมาร ทั้งสองจึงรามือจากกันโดยดีแต่สิ่งเดียวที่เจ้าวิหคหมายหมั่นปั้นใจว่าจะลงมาเมืองมนุษย์บ่อยขึ้นก็คงจะเป็นการตามหาคนผู้หนึ่ง

นักเขียน : เหยียนลี่ห้าวมากค่ะ ฉันชอบเขามากที่สุดในเรื่องเลย แต่จริงๆฉันก็ชอบจอมมารนะเขาดูเป็นคนหัวร้อนง่ายน่าแกล้งดี><

กระบี่เหินฟ้า ๓

...บทที่ ๑...

...กระบี่เหินฟ้า ๓...

ยามราตรีที่มืดมนและเหน็บหนาวคละคลุ้งไปด้วยเลือดจบสิ้นลง ร่างกายที่นั่งขัดสมาดไอเป็นเลือดออกมา เหยียนลี่เพิ่งใช้วิชากระบี่มายาไปหนำซ้ำยังอยู่ห่างกันมากจึงใช้พลังไปเยอะ เลือดสีแดงสดค่อยๆกลายเป็นสีเหลืองอ่อนแล้วจางหายเกิดเป็นดอกบัวสีเหลืองเรียงราย เหยียนลี่เหยียดยิ้มฝืนกายลุกขึ้นพิงกำแพงห้องพัก

เขามองหยดเลือดพวกนั้นแล้วพลันนึกถึงเรื่องราวที่เคยผ่านมา ลำธารสีสวยยังคงอยู่ในความทรงจำเสมอ เจ้าแคว้นกำกระบี่ในมือแน่นแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดานก่อนจะข่มตาหลับกดข่มอาการบาดเจ็บ เขาสะบัดมือคราหนึ่งกระบี่ทั้งเล่มก็หายกลางอากาศก่อนจะขึ้นไปบนเตียงแล้ววางตาข่ายรอบห้องป้องกันภัยร้าย 

แสงสีเหลืองอ่อนประกายวับก่อนจะค่อยๆจางลง เงาดำนั้นจึงค่อยๆล้มตัวนอนหลับไป

แสงยามเช้าอ่อนๆทอดผ่านบานหน้าต่างที่ปิดไม่สนิท แสงแยงตาจนร่างผอมเพรียวนั้นต้องหยัดกายลุก พอนั่งขัดสมาดเหยียนลี่ก็รีบโคจรพลังภายในให้คงที่ แต่เนื่องจากปราณของเขาเบาบางจนสัมผัสได้เลือนลางจึงเกิดความยากลำบากเล็กน้อย

เหยียนลี่นั่งโคจรอยู่ราวหนึ่งชั่วยามร่างกายจึงค่อยๆดีขึ้น ดอกบัวเมื่อคืนหายไปหมดเเล้ว ร่างสูงโปร่งจึงแต่มแต้มใบหน้าด้วยสมุนไพรแปลงโฉมหน้าแล้วสวมหมวกสานอีกครั้งก่อนจะออกจากห้องไป สถานการณ์ของเมืองเชินดูย่ำแย่นักเมื่อผ่านพ้นวิกฤตคืนจันทร์สีเลือดมาได้

สองเท้าทอดน่องเดินไปทั่วเมืองเพื่อคำนวณความเสียหายและค่าชดเชย เห็นทีต้องไปทวงจากจอมมารเสียแล้ว

"ข้าหาได้ร่ำรวย คงต้องตามไปทวงจากเจ้าแล้วกระมั้งเถียนจิ้ง"

เหยียนลี่เดินลัดเลาะไปตามตรอกซอยน้อยใหญ่จนโผล่พ้นในทางลับทางหนึ่ง ปากทางเป็นโพรงไม้ใหญ่ๆที่ดูลึกลับยิ่ง ผู้เป็นเจ้าแคว้นเพียงประทับมือลงไปบนลำต้นที่กว้างขวางนั้นประตูบานหนึ่งก็ปรากฏออกมา ข้างในกลวงโหวเป็นทางเดินทะลุไปยังอีกที่หนึ่งซึ่งแตกต่างจากเมืองมนุษย์โดยสิ้นเชิง

เพราะที่นี่คือเผ่าปีศาจ ดินแดนแห่งความสวยงามและดนตรีอันเป็นเลิศ 

และในบริเวณเขตนี้เป็นพื้นที่ของเผ่าปีศาจค้างคาวที่ขึ้นชื่อเรื่องคำทำนาย เหยียนลี่เหลือบมองสถานที่แห่งหนึ่งตรงทางผ่านไปยังป่าขจี เรือนหลังเล็กยังตั้งตระหง่านอยู่ที่เดิมแต่สิ่งที่แปลกไปคือป้ายหน้าเรือน

'ชิงหยวน'

"เนิ่นนานมาแล้วใยต้องอาลัย" เหยียนลี่ส่ายหน้าสลัดความคิดนั้นทิ้ง เขาทอดน่องเดินตามท้องถนนที่ผู้คนโชกโชนวุ่นวายมิต่างจากเมืองมนุษย์ แม้จะมีปีศาจบางตัวที่ยังกลายร่างมิได้แต่พ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่ล้วนสวมร่างมนุษย์มาอวดโฉมกัน ในท้องถนนแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยคนหน้าตาดีมีเสน่ห์

ผ่านตลาดทะลุไปยังป่าขจีเป้าหมายปลายทางของเขาคือยอดเขาขจี ผู้ทำนายดวงชะตา

ทว่ากว่าจะขึ้นถึงยอดเขาต้องผ่านด่านถึงสามด่านและแต่ละด่านก็หาได้ง่ายดาย เพราะด่านแรกก่อนผ่านจะต้องสู้กับค่ายกลค้างคาวแดง ค้างคาวพวกนี้จะสูบเลือดสูบเนื้อมนุษย์ แต่ด่านนี้ไม่ใช่ปัญหาเมื่อเลือดของเหยียนลี่ไม่ใช่เลือดธรรมดา ทว่าด่านที่สองเหมือนจะเป็นปีศาจหยูชวีเป็นค้างคาวหมื่นปีที่มีอนุภาครุนแรง จะสังหารก็ผิดกฏของยอดเขาขจีดังนั้นจึงต้องตะล่อมหลอกล่อให้มันกลับเข้าถ้ำเพื่อจะผ่านด่าน

และด่านสุดท้ายเหมือนจะเป็นค่ายกลขั้นบันไดที่ทอดยาวขึ้นสู่ยอดเขาขจี ทว่าปลายทางกลับมีเป็นร้อยเมื่อเลือกขั้นบันไดผิดและหากพลาดพลั้งอาจตกสู่บ่อโคลนของค้างคาวดินได้นั่นเท่ากับว่าเอาชีวิตไปทิ้งไว้เสียเปล่า

เหยียนลี่ก้าวขาไม่ออกเมื่อกำลังจะถึงค่ายกลค้างคาวแดง มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล สิ่งที่เขาไม่เคยรู้ว่ามีอยู่กำลังเคลื่อนไหวมาทางเขา นัยน์ตาปีศาจมากมายกำลังจดจ้องมาที่ร่างกายของเขา กระบี่เรืองแสงถูกชักออกมาท่ามกลางสถานการณ์น่าหวั่นวิตกนี้ เพียงชั่วพริบตาหนอนปีศาจก็พุ่งออกมารุมร่างเขาเป็นหมื่นตัว

อีกด้านหนึ่งของยอดเขาขจี บุรุษหนุ่มสวมชุดแพรสีฟ้าผู้ที่มัดผมครึ่งหัวแล้วสวมกำไลสีขาวขุ่น ในมือถือเพียงภาพวาดของบุรุษผู้หนึ่งที่สวมชุดสีเหลือง ใบหน้าถูกปกปิดมิดชิดด้วยหมวกสานกับผ้าแพรเบาบางนั่น ในมือถือกระบี่ที่เปล่งลำแสงสว่างรูปร่างบอบบาง

ผู้ที่ถือภาพวาดลดมันลงม้วนเก็บไว้ดังเดิม สายตาพลันวูบไหวเล็กน้อยเมื่อเดินมาถึงเรือนเล็กๆหลังหนึ่ง เขาทอดมองป้ายหน้าเรือนแล้วขมวดคิ้วก่อนจะคลายออกมุ่งหน้าไปยังป่าขจี

ทว่าก้าวขาไปได้ไม่นานก็เห็นผู้ที่อยู่ในภาพวาดแสดงความสามารถอีกครั้ง วิชากระบี่เหินฟ้าถูกใช้ติดต่อกันถึงสามครั้ง เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าหน้ากระตุกรับรู้ถึงภัยร้ายที่อีกฝ่ายเจอจึงรีบรุกไปช่วย เขาจึงจำต้องแปลงกายเป็นนกอินทรีแล้วโผยบินอย่างรวดเร็วไปยังด่านแรกของป่าขจี

เจ้าวิหคเร่งกลับร่างเป็นมนุษย์แล้วซัดเกราะคุ้มกันไว้ครอบคลุมร่างสูงโปร่งของบุรุษชุดเหลือง 

"ขอบคุณ" เหยียนลี่ที่ยืนหยัดด้วยปลายกระบี่เอ่ยขึ้นพร้อมทรุดลงชันเข่าหนึ่งข้าง กระบี่แทงพื้นดินไว้แน่นคล้ายเจ้าของจะหมดแรง เจ้าวิหคเห็นดังนั้นจึงรีบถ่ายโอนพลังปราณเข้าร่างที่ชันเข่าอยู่นั้น ทว่ากลับมีพลังบางอย่างสะท้อนกลับคืนมาใส่เขาราวกับถูกพลังซัดหน้า

"ปราณของเจ้าวิหคดูแล้วคงสูงส่งเกินกว่าร่างกายอันต่ำต้อยของข้าจะรับไหว"

"หุบปากเจ้าเสีย นรกอยู่ตรงหน้ายังจะมาปากดีใส่ข้าอีกหรือ" น้ำเสียงเรียบนิ่งเยือกเย็นดุจธารน้ำแข็งตอบกลับทันที เจ้าวิหคไม่รีรอรีบจัดการกับหนอนปีศาจที่ปล่อยตัวอ่อนบินโปรยผงพิษไปทั่วบริเวณ แต่กลับถูกลำแสงสีฟ้าทลายจนสิ้น

ดอกบัวสีฟ้าสลับขาวลอยลิ่วร่วงลงมารอบกายคนทั้งสอง ปราณบริสุทธิ์ขุมหนึ่งถูกดึงออกมาใช้ฟาดใส่ศัตรูจนนิ่งค้าง มือกระบี่หยัดกายลุกแหงนหน้ามองหนอนปีศาจที่ถูกสกด เขาเอามือทาบอกตนเองแน่นเมื่อก้อนเนื้อข้างในบีบตัวแรงอีกครั้ง 

เจ้าวิหคหันมองคนด้านข้างแล้วขมวดคิ้ว ดูท่ามือกระบี่ผู้นี้จะบาดเจ็บหนักกว่าที่เขาคิด 

"ลงมือสิ" เจ้าวิหคพยักหน้าเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ไหวจึงเป็นฝ่ายเรียกกระบี่ของตนออกมา จำได้ว่าเขาใช้มันครั้งสุดท้ายเมื่อพันปีที่แล้วแต่พอหยิบจับแล้วกระบวนท่าก็พลันแล่นมาเอง กวัดแกว่งเพียงสามกระบวนท่าหนอนปีศาจก็ถูกหั่นเป็นสองท่อนเรียงรายบนพื้น มือกระบี่ลอบจดจำท่วงท่าทุกกระบวนไว้ในสมองอย่างเงียบๆ

และเพียงเสี้ยวลมหายใจกระบี่หยกงามสีฟ้าอ่อนก็กลายเป็นละอองฝุ่นไป เจ้าวิหคเดินเข้ามาใกล้ๆมือกระบี่เพื่อจะตรวจชีพจรแต่อีกฝ่ายกลับก้าวถอย "อย่าเข้ามาใกล้ข้า" คำห้ามปรามคล้ายมิเป็นผลเมื่อเจ้าวิหคไม่เคยอยู่ใต้บัญชาใครมาก่อน เขายื่นมือไปจับแขนตรวจชีพจรของมือกระบี่โดยไม่สนใจเรื่องมารยาท 

ในวินาทีนั้นเหยียนลี่แทบทรุดลงพื้นเมื่อกลิ่นกายรุนแรงขึ้น เขาอยากบอกเลยเกินว่าเขาพ่ายแพ้ต่อกลิ่นนี้ของเจ้าวิหค 

"ดูท่าเจ้าคงจะต้องพักผ่อนเสีย.."

"ไม่ ข้าจะขึ้นยอดเขา" มือกระบี่สลัดมือเจ้าวิหคทิ้งแล้วเรียกเก็บกระบี่ เขากำลังจะลุกแต่เมื่อวิหคหนุ่มยืนอยู่ใกล้ๆกลับทำให้เหยียนลี่ลุกไม่ขึ้น พลังบางอย่างกำลังกดทับเขาและขับเคลื่อนให้ก้อนเนื้อข้างในบีบแน่นยิ่งขึ้น

"ทำหน้าเช่นนั้นทำไม?" เหยียนลี่สบตาเจ้าวิหคที่มองเขาแล้วขมวดคิ้วไม่หาย

"เหมือนเจ้าจะลุกไม่ไหว" สิ้นคำกล่าวร่างสูงก็ชันเข่าลงข้างหนึ่งกำลังจะพยุงมือกระบี่แต่กลับโดนปัดป้องด้วยแรงอันน้อยนิด เหยียนลี่ไม่ทันทัดท้วงทั้งร่างก็หมดแรงเสียก่อนเจ้าวิหคจึงเปลี่ยนจากพยุงเป็นอุ้มเขาขึ้นอย่างสบายๆ บุรุษอุ้มบุรุษใยจึงเป็นเรื่องที่น่าขันยิ่งนักสำหรับมือกระบี่มายาเยี่ยงเขา

เจ้าวิหคเหาะเหินโดยอาศัยการเหยียบกลีบบัวไปเรื่อยๆจนถึงปากทางด่านแรก เจ้าวิหคก็หาที่พักให้พวกเขาก่อนจะผนึกปากถ้ำไว้ป้องกันภัย หรืออีกทางก็คือป้องกันเหยียนลี่หนี

ช่างสรรหายิ่งนัก สมแล้วที่จะไม่เหลือใคร หยิ่งทะนงเกินงามผู้คนต่างหมั่นไส้

"ปากแข็งแต่กลับยังใช้มัน เด็กน้อยเสียจริงไอ้ลูกนก" 

เหลียนลี่นั่งบ่นเมื่อร่างกายฟื้นตัวขึ้นจากเดิมด้วยความเย็นของถ้ำ และเจ้าวิหคที่หายไปตั้งแต่กักขังเขาไว้ เหยียนลี่เลยใช้โอกาสนี้นั่งคิดหาวิธีที่จะไม่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บจนเลือดตกยางออก มิเช่นนั้นความลับอาจมิใช่ความลับอีกต่อไป

เพราะหากดอกบัวสีเหลืองปรากฏบัวสีฟ้าผู้นั้นคงไม่แคล้วจำต้องสงสัยเขาเป็นแน่

ใครต่างก็รู้ว่ามีเพียงเทพวิปลาสที่จะมีวิชาบัวหมื่นเหล่ากับฝนบัวทิพย์ และทั่วทั้งสามโลกย่อมรู้เป็นหนึ่งว่าเทพผู้นี้มีศิษย์สามคน หนึ่งอ่อนโยนงดงาม หนึ่งร้อนรุ่มดั่งไฟ และอีกหนึ่งเยือกเย็นปานน้ำแข็ง ทว่ากลับมิมีผู้ใดทราบว่าแท้จริงแล้วใบหน้าของเทพวิปลาสเป็นเช่นไร หรือมีศษย์จริงๆทั้งหมดกี่คน แต่สิ่งเดียวที่ผู้คนทราบก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่าเทพผู้นี้หายสาปสูญไปกับบ่อบัวสวรรค์เมื่อพันปีก่อน

จึงเหลือเพียงศิษย์สามคน แต่ตกตายไปแล้วหนึ่ง ทั่วหล้ารับรู้ว่าเมื่อห้าร้อยปีก่อนจ้าวซานอิงศิษย์เอกของเทพวิปลาสถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ เนื่องจากคำทำนายว่าเขาจะเป็นผู้ทำลายสามโลกให้สูญสิ้น และนั่นก็ดันกลายเป็นคำทำนายเดียวกันกับอาจารย์ของเขาที่สาปสูญไปเมื่อพันปีก่อน

เจ้าวิหคโกรธถึงขั้นพังสวรรค์ จอมมารคลั่งจนโลกมนุษย์เดือดร้อน

เหยียนลี่นึกถึงครั้งอดีตแล้วแค่นหัวเราะ เนิ่นนานมาแล้วถึงห้าร้อยปีบุรุษสองผู้นั้นก็ยังคงเหมือนเดิม กัดกันเก่งยิ่งกว่าสนุขบ้านเสียอีก

"กลิ่นนี้มัน..สวรรค์ยังลงโทษข้าไม่พออีกหรือเนี่ย" หัวใจเริ่มบีบแน่นอีกครั้ง

กลิ่นกายอันเยือกเย็นกำลังมุ่งมาทางเขา เหยียนลี่รีบพยุงกายกระถกหนีห่างจากร่างสูงที่มุ่งตรงมา เจ้าวิหคหรี่ตาเฉียงขึ้นทอดมองมือกระบี่ที่พยายามเว้นระยะห่าง ความองอาจตอนตบกระบาลจอมมารหายไปสิ้นเหลือเพียงมนุษย์ตัวน้อยที่กำลังหวาดกลัว

แต่สิ่งที่สงสัยก็คือคือเขาในตอนนี้เขาดูน่ากลัวมากกระนั้นหรือ?

"กลัวข้าหรือ?" เหยียนลี่ส่ายหน้า

"ข้าเพียงต้องการพื้นที่ส่วนตัวในการโคจรพลัง ขอท่านเจ้าวิหคโปรดอย่าเข้ามาใกล้"

"ข้ามิใคร่จะเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน"

"ท่านมิเคยได้ยินหรือว่าข้าวิปลาสเพียงใด" เจ้าวิหคครุ่นคิดแล้วก็ยอมถอยออกแต่โดยดี หัวใจที่บีบแน่นกลับมาเต้นตามปกติ เลือดลมโคจรได้สะดวกยิ่งขึ้นเมื่อกลิ่นกายเย็นเยือกนั้นจางลง

เหยียนลี่นั่งโคจรพลังตามความจริงและตามมาด้วยการลอบมองเจ้าวิหคที่นั่งนิ่งหลับตาราวรูปปั้นเป็นระยะ แข็งกระด้างราวหินผา เยือกเย็นดังก้อนน้ำแข็ง คำนี้ยังคงบรรยายเกี่ยวกับเจ้าวิหคผู้นี้ได้ครอบคลุมเช่นเคย บรรยากาศเริ่มร้อนระอุเมื่อจู่ๆเจ้าวิหคก็ใช้พลังจุดไฟขึ้นในถ้ำที่หนาวเหน็บนี้

เหมือนจะลืมไปเสียสนิทว่าจุดไฟแรงขนาดนี้ในถ้ำที่ประตูถูกปิดจะเป็นการรมควันและเผาพวกเขาทั้งเป็น ใยเจ้าวิหคจึงสิ้นคิดยิ่งนัก

"ดับก่อนดีรึไม่ อีกไม่กี่เค่อท่านอาจเป็นนกย่างส่วนข้าคงเป็นซากมนุษย์"

"ร้อนหรือ?" ไม่ตอบแต่กลับถาม เหยียนลี่กุมขมับอยากหลั่งน้ำตาออกมาดับไฟพวกนี้ให้สิ้นลง เผื่อเจ้าวิหคจะรับรู้ว่าเขารู้สึกเช่นไร!

"ท่านคงลืมกระมั้งว่าที่นี่ปิดตาย"

"แล้ว?"

"ท่านเคยอยู่ในถ้ำหรือไม่" อีกฝ่ายนิ่งคิดแล้วส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะเอ่ยปากบอกอย่างภาคภูมิใจว่า "ปกติข้าอยู่บนเขาสูง ต้นไม้ และพื้นหญ้ากับท้องนภา"

แปะ เหยียนลี่ตบกระบาลตนเองหนึ่งทีแล้วรีบถ่ายพลังบางอย่างออกมาดับไฟกองนี้ แต่คนดื้อด้านอย่างเจ้าวิหคกลับกระแอมไอออกมาเมื่อไม่ว่าเขาจะดับอย่างไรไฟก็มิยอมดับ เหยียนลี่มองผู้ที่ลูบคางตัวเองแก้เขินแล้วยิ้มๆผิดวิสัยของก้อนน้ำแข็งเดินได้ดังเดิมก็ต้องเตรียมใจไว้ ชะตากรรมของเขาต้องย่ำแย่เป็นแน่

"แม้แต่ข้ายังดับมันมิได้เลย เพราะมันมีอายุตั้ง.." เขานับนิ้วของตนไปเรื่อยๆจนถึงนิ้วที่หกแล้วจึงค่อยๆพูดต่อว่า "สิบสองชั่วยาม หากครบกำหนดมันย่อมจะดับเอง"

"หงจวิ้นเฉิง! เจ้ามันตัวบัดซบจริงๆ!!" มือกระบี่หมดความอดทนอีกต่อไปจึงตะโกนด่าเจ้าวิหคออกไปเสียงดังจนถ้ำสั่นสะเทือน

สิบสองชั่วยามเขาคงต้องไปกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน เพราะแค่ชั่วยามเดียวก็คงโดนรมควันตายแล้ว เจ้าวิหคสมองทื่อหรือเพียงอยากกลั่นแกล้งเขากันแน่! เหยียนลี่คาดโทษผู้กระทำผิดไว้แต่มีหรือก้อนน้ำแข็งจะสั่นสะเทือน

น้ำแข็งก็น้ำแข็งเถอะ รนไฟเสียหน่อยเดี๋ยวก็เหลวเป็นน้ำอยู่ดี!

นักเขียน : ก้อนน้ำแข็งน่ารักมาก>< คาแร็คเตอร์ของเจ้าวิหคนั้น ใช่ค่ะ เขาเป็นเพียงก้อนน้ำแข็งที่แข็งทื่อฉลาดเรื่องต่างๆขาดสนเพียงทักษะชีวิต

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!