NovelToon NovelToon

เกิดใหม่เป็นองค์รัชทายาท

จุดเริ่มต้น!!

ครั้งหนึ่งในชีวิตมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นกับตัวผม มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคิดว่ามันจะเกิดขึ้นแต่…มันเกิดขึ้นแล้วย้อนไปในวันที่เกิดเหตุ ในตอนที่ผมเดินทางกลับจากโรงเรียนของผมแบบทุกๆวันใครมันจะไปคิดว่าวันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้มาโรงเรียนแห่งนั้น… ในขณะที่ผมเดินทางกลับบ้านจู่ๆก็เกิดลมพายุโหมกระหน่ำ ท้องฟ้าเริ่มมืด นกพากันบินกลับแตกรัง ร้านค้าพร้อมใจกันปิดเพื่อป้องกันความเสียหายจากพายุ แต่ตัวผมเองก็ยังคงเดินหน้าต่อไปหวังเพียงให้ถึงบ้านก่อนพายุฝนจะลงเม็ด… แน่นอนไม่ได้มีแต่ผมที่ต้องการเดินทางกลับบ้านแต่ยังมีผู้คนอยู่อีกมากที่ต้องการเดินทางกลับบ้านของตัวเอง อีกทั้งก็ยังมีผู้คนอีกมากที่หวังให้คนที่ออกมาทำธุระนอกบ้านกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย… แต่แล้วฝนก็เริ่มลงเม็ดทำให้พื้นถนนในการเดินทางกลับบ้านของผมนั้นยากลำบากมากขึ้น ตัวผมเองไม่สามารถหยุดหาที่หลบฝนได้จึงทำได้แค่เดินหน้าต่อไปเสื้อของผมก็ค่อยๆเปียกขึ้นเรื่อยๆจนเปียกชุ่มไปหมดจนเห็นเรือนร่างภายในของผมไดอย่างชัดเจน ตอนนั้นผมหนึกขอบคุณที่กางเกงนักเรียนเป็นสีดำ…ในขณะที่ผมกำลังค่อยๆเดินฝ่าพายุฝนอยู่นั้นก็มีรถคันหนึ่งพุ่งมาด้วยความเร็วสูง…ซึ่งถ้าฝนไม่ตกนั้นคงอาจเบรกทันแต่ด้วยตอนนั้นฝนตกลงมาเป็นเวลานานแล้วจึงทำให้ถนนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนซึ่งทำให้รถคันนั้นเบรกไม่ทันเสียหลักชนเข้าที่ผมอย่างจัง…ในขณะที่สติผมกำลังเรือนรางผมขอแค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ได้ใช้ชีวิตอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นฐานะอะไรก็ตามซึ่งมันเป็นคำขอที่โง่มาก เพราะมันเป็นคำขอที่เป็นไปไม่ได้บริเวณนั้นเลือดสีแดงสดค่อยไหลไปตามน้ำจนเป็นวงกว้างขนาดใหญ่ก่อนที่สติของผมจะดับไป…

.

.

.

แสงแดดที่แสนอบอุ่นสอดส่องผ่านหน้าต่างในยามเช้า ลมเบาๆพัดผ้าม่านให้ลอยพริ้วไปตามลม เสียงนกร้องเจี๊ยวจ้าวเสียงดังแสนไพเราะ ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทันทีที่รู้สึกตัวผมก็รับรู้ได้ทันที่ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของผม ผมค่อยๆลืมตาแล้วปรับสายตาให้ชัดเจนก่อนจะหันซ้ายหันขวาสำรวจรอบตัวว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ผมก็ดูไม่ออกเลยว่าที่นี่คือที่ไหนทุกสิ่งทุกอย่างดูไม่น่าใช่ของที่ใช้กันในปัจจุบัน ทุกสิ่งมันดูย้อนยุคไปหมด

“แอ๊ด~~~”

ทันทีที่เสียงเปิดประตูดังขึ้นผมก็หลับตาลงทันทีเพื่อที่จะคอยสังเกตุไปก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วที่นี่คือที่ไหนแล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง…

“เฮ้! เจ้ายังไม่ตื่นอีกรึเหตุใดเจ้าจึงได้หลับเป็นตายเช่นนี้~”

เดี๋ยวก่อนนะคนๆนี้เค้าใช้คำว่า“เจ้า”อย่างนั้นเหรอนี่เรามาอยู่ที่ไหนกันถึงได้ใช้คำศัพท์โบราณแบบนี้ผมไม่มีทางเลือกเพราะถ้าผมอยากรู้เรื่องทั้งหมดสิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือทำให้เค้ารู้ว่าผมตื่นแล้วไม่อย่างนั้นอาจทำให้เค้าสงสัยได้…

ผมค่อยๆลืมตาขึ้นพร้อมหันไปจ้องมองคนที่นั่งมองผมอยู่ข้างเตียง ผมมองหน้าเค้าอยู่สักพักก่อนที่เค้าจะเอยว่า

“นี่เจ้าเป็นอะไรกัน ทำหน้าเช่นนี้เจ้าจำศิษย์พี่ของเจ้ามิได้รึ?”

ผมยังคงทำหน้างงอยู่ครับทำได้แค่นอนอยู่นิ่งๆที่เตียงแล้วจ้องมองคนตรงหน้าและพยายามคิดหาวิธีที่จะเนียนไปกับเหตุการณ์นี้…ผมนอนจ้องคนตรงหน้าอยู่สักพักผมก็เริ่มสังเกตเห็นความแปลกในตัวของเค้า บุคคลตรงหน้าผมนั้นมีผมยาวเรียบสีออกน้ำเงินเข้มยิ่งสะท้อนแสงแล้วทำให้สวยงามเหลือเกินงามจนเทียบเทียมกับสตรีเลยที่เดียว แต่ทว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ก็ทำให้ทราบทันที่ว่าบุคคลตรงหน้าผมนั้นเป็นบุรุษ… ชายผู้นี้เกล้าผมขึ้นสูงมีปิ่นปักผมปักไว้ไม่ให้ผมหลุดลงมา…แน่นอนผมก็ไม่พลาดที่จะสังเกตชุดแต่งกายของบุคคลตรงหน้า บุคคลตรงหน้าของผมนั้นแต่งกายด้วยชุด “ฮั่นฝู” [ฮั่นฝู คือ ชุดโบราณของจีนซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงมีผู้คนใส่ในบางสถานที่ส่วนมากผู้ที่ใส่จะเป็นชาวบ้านเก่าแก่ตามเมืองต่างๆ] ชุดฮั่งฝูของชายตรงหน้านั้นมีสีขาวและออกฟ้าอ่อนมีกระบี่สีขาวอยู่ในมือข้างซ้าย ช่างเป็นกระบี่ที่งดงามจริงๆผิวของฝักกระบี่มีความมันวาวเมื่อสะท้อนกับแสงแดดที่สอดส่องเข้ามาในห้องนั้นทำให้เป็นประกายแสงสวยงามเลยที่เดียว…. ในขณะที่ผมกำลังสังเกตบุคคลตรงหน้านั้นผมก็หันมามองตัวเองเช่นกันตัวผมเองก็ไม่ได้ใส่ชุดแต่งกายที่แตกต่างจากบุคคลคนผู้นี้เลยต่างกันแค่ของผมเป็นสีแดงสดข้างซ้ายมือของผมก็มีกระบี่สีดำสนิทวางอยู่บนแท่นวางกระบี่

“นี่หลงจื่อ เจ้าจะจ้องหน้าข้ออีกนานมั้ย หน้าข้ามีอะไรติดรึวันนี้เจ้าเป็นอะไรไปข้าว่าเจ้าดูแปลกๆนะ รึว่าเป็นเพราะเมื่อวานเจ้าไปรบกับพวก โจรทมิฬ มาจึงทำให้เจ้าบาดเจ็บจนขยับร่างกายมิได้ อีกทั้งยังสูญเสียความทรงจำอีกนะ?!”

เดี๋ยวนะ?!เมื่อกี้นี้ชายคนนี้เรียกผมว่า “หลงจื่อ” งั้นเหรอเป็นไปได้ยังไงกันมันเป็นไปไม่ได้ผมชื่อ “ถังซาน” นะทำไมคนๆนี้ถึงเรียกเราว่า “หลงจื่อ” แถมยังพูดอะไรแปลกๆเต็มไปหมดเลย แต่ก็นะโชคดีที่คนๆนี้พูดถึงการสูญเสียความทรงจำ ผมคงต้องเนียนตามเหตุการณ์ไปนั่นแหละเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี…

“ท่านเป็นใครรึ แล้วหลงจื่อที่ท่านเรียกนั้น หมายถึงข้ารึ มันเกิดอะไรขึ้นกับข้ากันท่านบอกข้าได้รึไม่?”

แน่นอนผมต้องเรียนแบบภาษาพูดของคนตรงหน้าเพื่อไม่ให้เค้าสงสัยเรื่องนี้ แต่คนตรงหน้าของผมนั้นมองผมด้วยสายตางงๆเหมือนจะสื่อว่าเป็นไปได้ยังไงที่ผมจะจำอะไรไม่ได้ผมต้องทำยังไงให้ความไม่แตกว่าผมนั้นไม่ใช่คนที่นี่แต่ผมมาจากอีกยุคสมัย ยุคที่เทคโนโลยีก้าวไกลกว่าที่จะมาถือกระบี่เดินไปเดินมาตามท้องถนน และ มีภาษาที่ก้าวหน้ากว่าที่จะมาใช้สรรพนามแทนกันแบบนี้….

“เอาแล้วไงถ้าท่านพ่อรู้ต้องแย่แน่…ข้าจะอธิบายกับท่านพ่อว่าไงดีเนี่ย!😱”

ผมนอนมองคนตรงหน้าที่มีท่าทีลุกลี้ลุกลนอยู่สักพักก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งแต่ว่า…ทำไมกันนะทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บไปหมดทั้งตัวเลย…. พอผมค่อยๆสังเกตตามตัวก็พบว่าตัวเองมีแผลตามตัวเต็มไปหมดนี่คงเป็นสาเหตุของความรู้สึกเจ็บทั่วทั้งตัวแต่ว่า…มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันละ…แผลพวกนี้ดูไม่เหมือนแผลโดนรถชนเลยสักนิดมันเหมือน… “รอยโดนมีดกรีด”

“เออตกลงท่านเป็นใครรึ แล้วข้าเป็นใครงั้นรึ แล้วมีนเกิดอะไรกับข้าท่าช่วยเล่าให้ข้าฟังได้รึไม่…” ผมพูดกับคนตรงหน้าด้วยความสงสัยแล้วอยากรู้อยากเห็น และผมหวังว่าเค้าจะอธิบายผมตามคำขอครับ…และแน่นอนมันได้ผลครับเค้าค่อยๆเล่าให้ผมฟังที่ละเรื่อง ในสิ่งที่ผมอยากรู้…

“อ่าข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง ข้าชื่อ “ เว่ย เฉินหมิง ” ข้าเป็นศิษท์พี่ของเจ้ารวมถึงเป็นพี่ชายแท้ๆของเจ้าด้วย ส่วนตัวเจ้านั้นชื่อ “ เว่ย หลงจื่อ ” เจ้าเป็นศิษย์น้องของข้าและเป็นน้องชายแท้ๆของข้า และเจ้ายังเป็นองค์รัชทายาทของวังมังกรเพลิงแห่งนี้…”

ทันทีที่ผมได้ยินคำว่า “องค์รัชทายาท” ผมก็อึ้งจนพูดอะไรไม่ถูกเลยที่เดียว….

ส่วนเรื่องที่สภาพเจ้าเป็นเช่นนี้นะเป็นเพราะเจ้าออกไปด้านนอกของวังในยามวิกาลยังไงละข้าเตือนเจ้าหลายครั้งแล้ว แต่เจ้าไม่ฟังข้าแถมยังแอบออกไปอีกจนไปเจอพวกโจรทมิฬเข้า…. ดีนะที่ข้ากับ อาจารย์จัวชื่อ พบเจ้าเข้าจึงโดนแค่ปล้นไปเล็กน้อยกับโดนมีดเฉือนผิวไปเล็กน้อย ถ้าเจ้าโดนมากกว่านี้เจ้าเหลือเพียงแค่ชื่อเท่านั้น…”

นี่มันอะไรกัน…เหตุการณ์แบบนี้มัน มันไม่น่าเป็นไปได้ อย่าบอกนะว่าเรื่องที่ผมขอตอนก่อนสติจะดับไปเป็นจริงแต่ เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้จริงๆนะเหรอที่คนที่ตายไปแล้วจะมาเกิดใหม่ที่อีกโลกนะ ผมคิดว่าผมอยู่ในการ์ตูนซะอีก… แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง🤔 เฮ้อ~เอาเถอะผมคงต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปสักพักละ ก่อนที่จะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ติดตามตอนต่อไป

ทุกคนยินดีต้อนรับสู่โลกนิยายของผมนะครับ^^

Ep.1

“แอ๊ด!! \~\~\~\~”

ท่ามกลางความเงียบของพวกผม จู่ๆก็มีชายอีกคนหนึ่งเปิดประตูแล้วเดินเค้ามาในห้อง มองดูจากรูปร่างของเค้าแล้วผมคาดว่าเค้าคงมีอายุไม่ต่ำกว่า25ปี ชายผู้นี้มีรูปร่างสูงใหญ่ มีผมสีดำตาลเข้ม ใส่่ชุดฮัวฝูสีดำ มีลายแถบสีออกเหลืองทอง มีซ้ายถือกระบี่สีขาวแซมทองสวยงาม เค้าค่อยๆเดินเข้ามาหาผมช้าๆมันช่างดูสง่าเหลือเกิน…

“ ท่านพ่อ! อ่าท่านๆมาทำอะไรที่นี้รึ คือ ข้ากำลังคุยกับน้องพอดีเลยขอรับ😂 ”

ผมที่ได้ยินเสียงของเฉินหมิงนั้นก็รู้ได้เลยทันทีว่าเค้ามีความกังวลมากเพียงไหน แต่ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชายร่างสูงที่กำลังจ้องมองผมนั้นคือคนผู้เป็นพ่อ หน้าของชายผู้นี้ดูแล้วเหมือนยังหนุ่มๆอยู่เลย

“ อืม เดี๋ยวพ่อมีเรื่องต้องคุยกับน้องเจ้าหน่อย… หลงจื่อ เจ้ารู้ตัวใช่รึไม่ว่าทำอะไรผิดไป…ข้าคิดว่าเจ้าคงโตพอทีจะเข้าใจอะไรเองได้แล้วนะ… ”

ทันทีที่สิ้นเสียงของชายผู้นี้หัวของผมจู่ๆก็รู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุจนผมต้องยกมือขึ้นมากุมหัวทันที แต่ในขณะเดียวกันนั้นมันกลับมีภาพบางอย่างเกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรมันเรือนลางไปหมด…ผมเห็นเพียงเหงาของใครสักคนที่กำลังยืนมองผมอย่างนิ่งเฉย…

“ หลงจื่อ?! เจ้าเป็นอะไรไปเหตุใดถึงกุมหัวเช่นนั้น เจ้า…เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ! เฉินหมิง!! น้องเจ้าเป็นอะไรเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!! เจ้าเล่าให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้!!! ”

เสียงของชายผู้เป็นพ่อตะโกนถามจนสุดเสียงในขณะที่ผมเอามือกุมหัวด้วยความเจ็บปวดจนเกือบจะร้องครวญครางออกไปแต่ก็ทำได้เพียงข่มเสียงตนเองไว้…เฉินหมิงที่ถูกชายผู้นี้ถามไถ่ก็ทำได้เพียงค่อยๆเล่าเรื่องราวให้ฟังรวมถึงบอกเรื่องที่ว่าผมสูญเสียความทรงจำถึงจะไม่ได้เสียเถอะ…ทันทีที่ผู้เป็นพ่อฟังเรื่องราวจนจบ ถ้วยชาที่วางอยู่ข้างเตียงนั้นก็ถูกเขวี้ยงลงพื้นเป็นเสี่ยงๆผมที่นั่งกุมหัวอยู่เมื่อได้เห็นแบบนั้นจึงหันไปมองเฉินหมิง… เฉินหมิงเองก็ได้แต่ยืนกุมมือก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยม…แต่แล้วจู่ๆสีท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนไป ค่อยๆมือทึบลงเรื่อยๆ…จนมองอะไรบนท้องฟ้าไม่เห็น…พี่เฉินหมิงเห็นแบบนั้นจึงรีบจุดตะเกียงที่ข้างเตียงทันที…

“ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน…เป็นรางร้ายรึ…” เฉินหมิงกล่าว

ผ่านไปสักครู่จู่ๆก็มีแสงสว่างราวกับสายฟ้าผ่าลงมา…ท่านพ่อเห็นเช่นนั้นก็รีบวิ่งออกไปทันที ตัวพี่เฉินหมิวเองก็รีบถือตะเกียงวิ่งตามออกไปแต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาห้ามปรามไม่ให้ผมออกไป…แต่ทำไงได้ละคนมันอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมหยิบกระบี่บนแท่นข้างเตียงแล้วค่อยๆพยุงตัวเองเดินตามทั้งสองคนออกไปทันที… ผมค่อยเปิดประตูเล็กน้อยเพื่อแอบมองด้านนอกแต่ทว่าภาพที่ผมเห็นคือพี่เฉินหมิงกำลังพยุงท่านพ่อที่ดูแล้วเหมือนได้รับบาดเจ็บผมรับรู้ได้เพราะท่านพ่อนั้นกุมมือไว้ตรงหน้าอกอีกทั้งยังมีเลือดออกที่มุมออกอีกด้วย…

“ กลับไปซะ!! ข้าไม่มีวันยกชีวิตหลงจื่อให้เจ้าเด็ดขาดแม้ว่าต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม!! ”

สิ้นเสียงของท่านพ่อชายปริศนาที่ยืนประจันหน้ากับท่านพ่อและพี่เฉินหมิงก็ค่อยๆชักกระบี่ออกมาจากฝักแล้วพุ่งเข้าหาท่านพ่อกับพี่หลงจื่อทันที่ผมที่ทนเห็นไม่ได้จึงหลับตาเพื่อไม่ต้องการเห็นภาพเช่นนี้…. ผมที่หลับตาอยู่นั้นทำไมพอลืมตาขึ้นมาอีกทีคือผมเป็นฝ่ายถูกแทงละ…

“ แอ๊ด\~\~\~” ประตูที่ผมตอนแรกเปิดเพียงเล็กน้อยตอนนี้มันค่อยๆเปิดเปิดออกจนทำให้ท่านพ่อกับพี่เฉินหมิงเห็นผมถูกแทงอย่างเห็นได้ชัด…

“ อึก!! แค่กๆ!! ” การแทงของชายปริศนาผู้นี้ไม่ธรรรมดาเลยทีเดิมผมเองถึงกลับกระอักเลือดออกมา

“ เจ้า!!! เจ้าทำอะไรลูกข้า!!! ไอ้ปีศาจเลวทรามต่ำช้า!!! ”ท่านพ่อกล่าว

ผมเหลือบตาไปมองพี่เฉินหมิว…พี่คงกลัวมากสินะ ภาพที่ผมเห็นคือพี่เฉินหมิงมือสั่นไปหมด น้ำตาค่อยๆไหลลงอาบแก้ม และค่อยๆทรุดลงไปคุกเข่ามองผมกับพื้น…ผมเองตอนนี้รู้สึกเจ็บไปหมดทั้งแผลใหม่และแผลเก่า…ตัวผมเองนั้นค่อยเงยหน้ามองชายตรงหน้าผมสามารถมองเห็นใบหน้าของเค้าเพราะเค้าปิดใบหน้าด้วยผ้าสีดำสนิท แต่ดวงตาของเค้าไม่ได้มีอะไรปิดบังจึงเห็นได้อย่างชัดเจน ดวงตาของเค้านั้นมีสีน้ำเงินเข้มออกแซมแดงเล็กน้อยมันช่างเป็นสีที่สวยงามจริงแต่เหตุใดจึงกระทำความผิดเช่นนี้… ผมที่ยังสงสัยว่าทำไมชายตรงหน้าผมถึงต้องการชีวิตของผม ในขณะที่สติผมกำลังจะเลือนหายไปผมก็ไปเอ่ยถามออกไปว่า…

“ เหตุใด…เหตุใดท่านจึงมาเอาชีวิตข้า ข้าไปทำอะไรให้ท่านรึ… ” ชายตรงหน้าของผมขำในลำคอเบาๆแล้วค่อยมากระซิบข้างหูของผมว่า…

“ ข้ามาตามสัญญาที่เคยให้ไว้เชกับเจ้าในอดีตยังไงละ…ข้ามาวันนี้มิได้มาเอาชีวิตเจ้าครานี้ข้าแค่มาเตือนเจ้าเท่านั้นคราหน้าชีวิตของเจ้าต้องไม่พ้นมือของข้า…เจ้าลองไปคิดเอาว่าข้าคือใคร…ล้างคอรอไว้ได้เลย… องค์รัชทายาท😏… ”

สิ้นเสียงชายตรงหน้าผมก็หมดสติไปทันที…ผมได้ยินเสียงคนเรียกชื่อผมไม่หยุดหย่อนผมคาดว่าคงเป็นพี่เฉินหมิงและท่านพ่อ…แต่ผมก็ไม่สามารถขยับหรือแม้แต่จะตื่นไปมองพวกเค้าได้…

ผมเองที่กำลังหลับไหลอยู่นั้นจู่ๆก็มีเหตุการณ์มากมายผุดขึ้นมาในหัว…เหตุการณ์เหล่านั้นมันมีอะไรบ้างนะ เหรอ…เรื่องมันมีอยู่ว่า…

.

.

.

.

.

.

ย้อนไปในอดีตที่แสนยาวนาน ผมลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางแสงอรุณยามเช้า แสงแดดอ่อนๆนั้นช่างอบอุ่นยิ่งนักผมมีนามว่า เว่ย หลงจื่อ [นามรอง หลงจื่อ] ผมเป็นองค์รัชทายาทลำดับที่2 ของวังมังกรเพลิงแห่งนี้…

“ ปึก ปึก ปึก … ปึก ปึก ปึก ” [ เสียงเคาะประตู ]

“ เว่ย หลงจื่อ!! เจ้าตื่นรึยังท่านพ่อจะกินหัวข้าอยู่แล้ว!!! ”

ผมที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นแต่งกายด้วยชุดสีดำแถบแดงเล็กน้อย เกล้าผมขึ้นสูง แล้วเดินไปหยิบกระบี่ข้างกายสีดำสนิทที่วางไว้บนแท่นวางกระบี่ที่ข้างเตียง แล้วเดินไปเปิดประตูทันที

“ แอ๊ด\~\~ ” [ เสียงเปิดประตู ]

“ ข้าตื่นแล้วใยท่านพี่ต้องโหวกเหวกโวยวายด้วยเล่า ” ผมกล่าวไป

“ เพราะท่านพ่อจะกินหัวข้าอยู่แล้วยังไงละ😤 ”

ผู้ที่โหวกเหวกโวยวายคนนี้คือ “ เว่ย เฉินหมิง ” [นามรอง เฉินหมิง ] เป็นพี่ชายแท้ของผม เป็นพี่ที่ขี้โวยวายยิ่งนัก ชอบดุข้าไปซะหมด ไม่ว่าข้าจะทำอะไรท่านพี่ก็มักจะดุผมตลอด บางที่ผมก็คิดว่าท่านพี่จะเป็นท่านแม่อยู่แล้ว😒

“ ไปรีบไปหาท่านพ่อกับท่านแม่ได้แล้ว ท่านพ่อกับท่านแม่รอเจ้ามาทานข้าวอยู่ ”

เมื่อท่านพี่พูดจบท่านพี่ก็เดินนำไปยังห้องอาหารทันที ตัวข้านั้นก็ไม่รีรอเดินตามท่านพี่ไปอย่างว่าง่าย…

.

.

.

ทันที่ที่เดินเข้าไปในห้องอาหารทุกสายตาก็จ้องมองมาที่ผมกับพี่เฉินหมิง ทั้งผู้อาวุโส ทั้งศิษย์ในสำนัก…

“ เหตุใดเจ้าจึงมาสายเช่นนี้ หลงจื่อ…”

ผู้ที่กำลังนั่งทานอาหารท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น จะเป็นใครไปได้เล่านอกเสียจากท่านพ่อของข้า…. ท่านพ่อของข้ามีนามว่า… “ เว่ย เฮ่าเทียน ” ส่วนท่านแม่ของข้าที่นั่งอยู่ข้างๆท่านพ่อนั้นมีนามว่า “ เว่ย หลิงหลิง” ตัวผมเองทำได้แค่โค้งเคารพให้ท่านพ่อแล้วเดินไปนั่งทานข้าวพร้อมกับท่านพี่เฉินหมิงโดยที่ทิได้ตอบไป …

“ หลงจื่อ เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่าท่านพ่อนั้นส่งเจ้ากับเฉินหมิงไปฝึกที่สำนักถัง…” [เว่ย หลิงหลิง กล่าว]

ติดตามตอนต่อไป

Ep.2

ผมชะงักไปชั่วขณะทันทีที่ได้ยินคำว่า… “สำนักถัง” สำนักถังนั้นเป็นสำนักที่มีนักวิทยายุทธ์แข็งแกร่งจากหลายตระกูล อีกทั้งยังมีเหล่าผู้สืบทอดของสำนักต่างๆเข้ามาเรียนรู้วิทยายุทธ์กับสำนักถัง ซึ่งการเป็นศิษย์ของสำนักถังนั้นจะต้องแบ่งออกเป็นระดับตามความสามารถและค่าพลังยุทธ์ มีทั้งหมด 5 ระดับ ได้แก่…ศิษย์ยุทธ์ ค่าพลัง 0-20/ อาจารย์ยุทธ์ ค่าพลัง 20-40 / ปรมาจารย์ยุทธ์ ค่าพลัง 41-60 / มหายุทธ์ ค่าพลัง 61-80 และ พรมยุทธ์ ค่าพลัง 81 ขึ้นไป… โดยความแข็งแกร่งจะเรียงจากค่าพลังน้อยไปมากตามลำดับ ในโลกนี้นั้นมีเพียงไม่กี่คนที่มีพลังระดับพรมยุทธ์ โดยระดับพลังนั้นเพิ่มได้จากประสบการณ์ของแต่ละบุคคล…

ทุกคนในโลกนี้เมื่อมีระดับของค่าพลังถึงขั้นอาจารย์ยุทธ์นั้น จะต้องหาสัตว์เลี้ยงวิญญาณ 1 ชนิด เพื่อช่วยในการฝึกฝนค่าพลังยุทธ์ให้แข็งแกร่งขึ้น โดยที่โลกแห่งนี้ไม่นับถือกันตามอายุแต่กลับนับถือตามค่าพลัง ซึ่งยิ่งมีระดับค่าพลังมากก็จะยิ่งมีแต่คนนับถือ…ไม่ว่าจะมีอายุเท่าไหร่ก็ตาม… ในโลกนี้เมื่อเด็กมีอายุถึง 12 ปี ผู้ที่เป็นคนในครอบครัวก็ต้องพาไปสมัครเข้าสำนักยุทธ์ต่างๆเพื่อฝึกฝนพลังยุทธ์… ผู้ที่ไม่มีพลังยุทธ์ในโลกนี้นั้นถือว่าเป็นเพียง “ชนชั้นต่ำ” เท่านั้น เพราะไม่มีใครต้องการคนอ่อนแอ…

ซึ่งตอนนี้ผมก็มีอายุ 12 ปีแล้ว ด้วยเหตุนี้ท่านพ่อกับท่านแม่จึงสมัครข้าเข้ายังสำนักถังสินะ… ส่วนศิษย์พี่ของข้านั้นมีอายุ 16 ปีแล้วและท่านพี่นั้นได้ทำการฝึกฝนกับสำนักถังอยู่เป็นเวลาถึง 4 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงอยู่ระดับศิษย์ยุทธ์ ท่านพี่นั้นมีค่าพลังยุทธ์อยู่เพียง 10 เท่านั้น… แต่ทว่าถือว่าเป็นยอดฝีมือที่ใช้เวลาเพียง 4 ปีค่าพลังถึงเพิ่มขึ้นมาขนาดนี้นับว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว…

“สำนักถังอย่างนั้นหรือขอรับ…” [ผมถาม]

“ใช่…เจ้ามีปัญหารึไม่…” [ท่านพ่อถาม]

“มิมีขอรับ…ท่านพ่อว่าเช่นข้าว่าตามขอรับ…” [ผมตอบ]

“อืม…ดี…งั้นหลังจากพวกเจ้าทานข้าวกันเสร็จก็กลับไปเตรียมของให้เรียบร้อย…เข้าใจนะ” [ท่านพ่อถาม]

“ขอรับ…” [ผมกับพี่เฉินหมิงตอบ]

.

.

.

หลังจากที่พวกผมรับประทานอาหารเสร็จผมกับพี่เฉินหมิงก็ปลีกตัวออกมาจากห้องอาหารเพื่อไปเตรียมความพร้อมตามที่ท่านพ่อได้เอ่ยสั่งไว้เมื่อสักครู่… พี่เฉินหมิงนั้นแลมีความสุขที่จะได้กลับไปที่สำนักถัง มันต้องมีอะไรแน่ๆ… รอยยิ้มที่ดูดีใจของพี่เฉินหมิงนั้นมันดูสดใสกว่าทีควรจะเป็น

“พี่ครับ…ทำไมพี่ถึงดีใจที่จะได้ไปสำนักถังละครับ เค้าไม่ได้เข้มงวดหรอกหรือ…” [ผมเอ่ยถาม]

“ไม่นะ…พี่ว่า\~สำนักถังค่อยข้างใจดีระดับนึงเลยละ แม้นว่ากฎเกณฑ์จะเยอะก็ตาม😅” [พี่เฉินหมิงตอบ]

“…อ่อ ครับ” [ผมตอบก่อนจะเดินเข้าห้องไปเก็บของที่จำเป็นใส่ถุงผ้าให้เรียบร้อย]

ตัวผมเองนั้นยังต้องเรียนรู้อะไรๆอีกมากไม่ว่าจะเป็นวิชากระบี่ วิชายุทธ์ ลมปรานภายใน…ผมกลัว…กลัวว่าจะทำให้ตระกูลเราต้องขายหน้า…กลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาดหรือหลงผิดไปในที่ๆไม่ควร ประพฤติอะไรที่ไม่สุภาพหรือเหมาะสม ผมกลัวไปหมด… แต่ผมก็หลีกเลี้ยงออกจากมันไม่ได้เพราะมันคงต้องเรียกว่าเป็นชะตากรรมที่ผมต้องยอมรับและรวมถึงเป็นหน้าที่ ที่ผมองค์รัชทายาทต้องรับผิดชอบ!!

อ่อผมคงลืมบอกกับทุกคนไป การแบ่งระดับยุทธ์นั้นมันไม่ได้มีแค่นี้ มันมีแบบย่อยกว่านั้นอีกนั้นก็คือธาตุ มี สวรรค์ อัสนี อัคคี วารี วายุ ธรณี ความแข็งแกร่งตามลำดับ ซึ่งแถบไม่เคยมีนักวิทยายุทธ์คนไหนเคยมีธาตุเกิน 2 ธาตุตั้งแต่กำเนิด ธาตุที่มีความหายากมากที่สุดคือ สวรรค์ และ อัสนี เพราะเป็นธาตุชั้นสูง…ซึ่งผู้ที่เคยมีนั้นได้รับความทุกข์ทรมานในการควบคุมธาตุทั้ง2ชนิดนี้ ว่ากันว่าธาตุ2ชนิดนี้เมื่อผู้ใดมีผู้นั้นจะมีค่าพลังมากในอนาคตอีกทั้งธาตุ2ชนิดนั้นยังนำความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้มาสู่ผู้ใช้งาน…

ในขณะที่ผมเก็บของนั้นท่านพี่เก็บของเสร็จแล้วเดินมาหาผมด้วยท่าทางที่มีความสุข ซึ่งมันบ่งบอกว่าพี่เฉินหมิงนั้นดีใจสุดๆ… ผมก็รับรีบเก็บของให้เรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้องพร้อมพี่เฉินหมิง… ในขณะที่กำลังเดินไปยังห้องโถงนั้นมีขุนนางในวังเดินสวนกับพวกผมค่อนข้างมาก และแน่นอนเค้าจ้องมองผมด้วยสายตาดูถูกเพราะอะไรผมเองก็ไม่ทราบผมทำได้แค่เดินต่อไปแบบไม่สนใจอะไร…

“ เจ้ามองน้องข้าทำไม…” [เฉินหมิงเอ่ย]

ผมหันกลับไปมองตามเสียงของท่านพี่ทันที…ผมถึงกลับอึ้งไปเลยที่เดียวเพราะภาพที่ผมเห็นคือกระบี่ที่อยู่ในมือท่านพี่นั้นมันกำลังจี้ที่คอของขุนนางคนหนึ่ง…

“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!! ” [ขุนนางคนนั้นหัวเราะ]

ขุนนางผู้นั้นมิได้แสดงอาการเกรงกลัวหรือสำนึกผิดแต่กลับขำออกมาด้วยเสียงที่ชวนขนหัวลุก ท่านพี่ที่เห็นเช่นนั้นเลยจิ้กระบี่เข้าไปใกล้คอของขุนนางผู้นั้นยิ่งขึ้นจนเห็นเลือดไหลออกมาตามกระบี่เล็กน้อย…

“ ท่านพี่! พอเถิดท่านอย่าให้มือของท่านต้องเปื้อนเลือนของคนพวกนี้เลยข้ามิเป็นอะไร ข้าชินแล้วละ…” [ผมเอ่ย]

“ เจ้าก็เป็นซะแบบนี้แหละ พวกมันถึงได้กำเริบต่อเจ้าเช่นนี้ เจ้ามิเห็นรึขนาดข้าเอากระบี่จี้คอเยี่ยงนี้ ยังไม่วายที่จะสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย เจ้าจะปล่อยคนเยี่ยงนี้ไปงั้นหรือ?” [ท่านพี่เฉินหมิวเอ่ย]

“…”

ผมไม่ได้ตอบพี่เฉินหมิงกลับไป พี่เฉินหมิงหลังจากเอ่ยถามผมเสร็จก็หันกลับไปหาขุนนางผู้นั้นอีกคราว ท่านพี่คงแค้งเคืองยิ่งนักที่ข้าโดนกำเริบเสิบสานมานานเช่นนี้ แต่ก็อย่างว่าเราไม่ใช่ที่รักของทุกๆคน มีคนรักก็ย่อมมีคนเกลียด คนหมั่นไส้… ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ทำอะไรให้ก็ตาม…

“ ปึก ปึก ปึก…” [เสียงฝีเท้า]

ในขณะที่พวกเรากำลังมีปัญหาหาอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น…มันดังขึ้นเรื่อยๆ ที่มาของเสียงก็คือเสียงฝีเท้าของท่านพ่อนั้นเองท่านพ่อคงเห็นว่าผมกับท่านพี่หายไปนานจึงมาตาม…แต่ทว่าเมื่อท่านพ่อเห็นพี่เฉินหมิงจี้กระบี่ที่คอของคุณนางแบบนั้นจึง เข้าไปห้ามปรามพร้อมถามเหตุผลที่ท่านพี่ทำเช่นนั้น…เมื่อท่านพี่อธิบายให้ท่านพ่อฟังจนจบขุนนางคนนั้นก็เริ่มแสดงอาการหวาดกลัวขึ้นมาทันที พร้อมยกมือไหว้กราบที่พื้นเพื่อของอภัยโทษจากท่านพ่อแต่แน่นอนวังแห่งนี้มีกฎเกณฑ์ที่ว่าห้ามลบหลู่ราชวงศ์ ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต… ด้วยเหตุนี้ขุนนางผู้นั้นจึงมีโทษประหารชีวิตในวันพรุ่งนี้ เมื่อมีโทษประหารเหล่าทหารพระราชวังก็มาลากตัวขุนนางผู้นี้ไปทันที…

“ ท่านพี่…ท่านไม่น่าโกรธขนาดนั้นนะครับ…” [ผมเอ่ย]

“ เป็นใครย่อมโกรธ เพราะเค้ามาว่าร้ายหรือดูหมิ่นน้องชายข้า… เจ้าอย่าใจดีมากเถิด…” [ท่านพี่ตอบ]

“ ขอรับ…”

เมื่อพวกผมกับท่านพ่อคุยเรื่องปัญหาจบก็เดินไปยังท่าเรือเพื่อเดินทางไปยังสำนักถังพร้อมกับท่านพ่อโดยท่านแม่จะดูแลวังจนกว่าท่านพ่อจะกลับมา…ท่านพ่อนะท่านพ่อเหตุใดถึงมิบอกข้าว่าจะไปสำนักถังวันนี้ช่างใจร้ายเสียจริง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านพี่ถึงดูมีความสุขแบบแปลกๆ ผมคิดไว้แล้วเชียวว่ามันจะต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดา แล้วมันก็มีจริงๆด้วยสินะ😩 นี่ถ้าไม่ติดว่าผมอยู่ที่นี่นะผมคงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงนิยายหรือการ์ตูนนะเนี่ย\~🤔 เฮ้อ\~\~เอาเถอะทีนี้ผมก็ต้องไปใช้ชีวิตต่อที่สำนักถังสินะผมคงคิดถึงบ้านน่าดู…

“ เอาละ…มุ่งหน้าไปยังสำนักถังได้…” [ท่านพ่อเอ่ย]

“ ขอรับ!!!” [ทหารเรือกล่าว]

เอาละนี่คือชะตากรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ผม…ต้องทำมันให้ดีที่สุด เพื่อลบความสบประมาทจากใครหลายๆที่ว่าผมอ่อนแอให้ได้!!😤

ติดตามตอนต่อไป

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!