ดับแค้นวันสิ้นโลก ตอนที่1 ยังไม่ตาย
ปีค.ศ.2030
ณ ประเทศญี่ปุ่น เมืองโตเกียว กลางย่านชิบูย่า
ท้องฟ้าที่ดูสดใสและไร้มลพิษจากการหายไปของมนุษย์ เมฆาเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติอย่างชัดเจนแม้ไร้หมู่นก กลับดูหมองหม่นเมื่อมองมันสลับกับเบื้องล้าง
กลิ่นอันสุดแสนจะน่าอ้วกของซากศพและหนองเลือด ลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วทุกที่ ซากศพของเหล่าคนตาย นอนแน่นิ่งอยู่บนท้องถนนอย่างสะเปะสะปะทั่วทั้งเมือง
ถนนที่แตกระแหงจนไม่เหลือเคราโครงเดิม พื้นถนนบางส่วนที่ยกตัวขึ้น บางส่วนที่ยุบตัวลง ตึกร้างที่ขาดแคลนคนดูแลมาเนิ่นนาน กระจกหน้าต่างแตกกระจายออกเป็นช่องว่างแทบทุกเรือน ที่นี่ไรัซึ่งผู้คนสันจรไม่เหมือนกับในอดีตที่มีกันพรุ่งพรั่งเต็มไปหมด
แต่ตอนนี้ที่นี่มันกลับเต็มไปด้วยฝูงผีดิบบ้าเลือดที่มีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว บางส่วนของร่างกายฉีกขาดบางส่วนก็มีกระดูกโผล่ออกมาให้เห็น หลายตัวก็ถึงกับกลายพันธุ์มีดวงตาแขนขาหรืออวัยวะผิดแปรกงอกออกใหม่ ถึงพวกมันบางตัวจะดูอ่อนจากท่าทางการเดินแต่พละกำลังของพวกมันก็เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาอยู่มาก หากไม่ใช้อาวุธหรือพลัง โจมตีไปที่สมองของพวกมันแล้วล่ะก็ มนุษย์ธรรมดาคงจะไม่สามารถจัดการมันได้โดยง่ายแน่
ตอนนี้พวกมันมีกันนับพันตัวทั่วเมือง และที่สำคัญคือพวกมันนับพันตัวนั้นกำลังพุ่งเป้าไปที่เขา!! มนุษย์เพียงคนเดียวที่อยู่ท่ามกลางฝูงซอมบี้เหล่านั้น
ชายหนุ่มวัยกลางคน รูปร่างสูงกำยำ ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ปูดโบนออกมาอย่างสวยงามจากเนื้อผ้า มีบาดแผลทั่วร่าง แสดงให้เห็นถึงการผ่านมาของการฝึกฝนที่หนักหน่วงหรือการต่อสู้อย่างโชกโชน เขาใส่เสื้อแขนกุดรัดรูปกับกางเกงขายาวสีดำพร้อมกับรองเท้าแบบนายพรานไว้สำหรับเดินป่าโดยเฉพาะ
แม้ฝูงซอมบี้นับไม่ถ้วนกำลังกรูกันเข้ามาหวังเปิดกระโหลกกินสมองเขา แต่เขาก็ยังคงยืนผูกผมอยู่กลางถนนอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ
'ฉันคงเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวแล้วหล่ะในเมืองแห่งนี้ เผลอๆอาจจะเหลือแค่คนเดียวก็ได้ในโลกที่แสนบัดซบนี่'
เขาคิดขึ้นในหัวอย่างเศร้าหมองราวกับว่าตัวตนของเขานั้นได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวมาเนิ่นนาน พร้อมดึงเชือกที่มัดผมจนแน่น ผมสีดำที่พาดยาวไปจนสุดหลังโบกสบัดอย่างพลิ้วไหวแม้ไร้แรงลม แสดงให้เห็นถึงอำนาจลี้ลับบางอย่างที่แผ่ออกจากตัวของเขา
ดวงตาที่บอดสนิทของเขาถูกปิดไว้ด้วยผ้าผันแผลสีขาว ใบหน้าของเขาเปื้อนเลือด ในมือกระชับดาบที่มีรูปร่างแปรกประหลาดนั้นไว้แน่น เส้นเลือดบูดขึ้นตามแขนและมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลนานา
ใบหน้าที่ฉีกยิ้มกว้างอย่างขมขื่นราวกับว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้ทำแบบนี้ ความรู้สึกที่ซับซ้อนและเรื่องราวความทรงจำต่างๆก็เริ่มผุดขึ้นในหัว
เรื่องราวของครอบครัว เพื่อน ผู้รอดชีวิต การสูญเสีย และคนรัก เหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่เขาเริ่มจำความได้ ปรากฏขึ้นในหัวของเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
'ตอนนี้ฉันมีพลังอยู่แค่5% มันคงจะทำให้ฉันฆ่าไอ้เวรพวกนี้ได้สักพันตัวก่อนตาย'
เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือดิจิตอลที่ไม่ได้ขึ้นเวลากับเขา แต่มันกลับขึ้นเป็นตัวเลข5%แทน
'ถ้าฉันยังมีพลังอยู่สัก70%เหมือนเมื่อตอนนั้นล่ะก็ แค่ซอมบี้ไม่กี่พันตัวคงไม่คนามือฉันหรอก'
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ด้วยดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ของเขา พร้อมด้วยท่าทางที่สงบนิ่งดูสุขุมและเลือดเย็น
ด้วยประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิตถึงแม้ที่นี่จะมีซอมบี้เป็นพันก็ไม่อาจทำให้เขาหวาดหวั่นได้เลยแม้แต่น้อย มันแสดงให้เห็นอีกว่าเขาผ่านอะไรมามากมายแล้วก่อนเขาจะมาถึงจุดนี้ ซึ่งอาจจะมีความสิ้นหวังอันเป็นที่สุดก็เป็นได้
'แต่ว่าตอนนี้ก็คงได้เวลาแล้ว เวลาที่ฉันจะไปพบเธอในโลกหลังความตาย'
เขาปลดปล่อยพลังออกมาถึงขีดสุดมันกระจายไปทั่วทั้งดาบและแขนทั้งสองข้างของเขา แรงกดขี่ของพลังที่เข้มข้นพุ่งพรวดขึ้นเรื่อยๆจากสีฟ้าอ่อนก็แปลเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ส่วนที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังดูราวกับว่าเป็นอำนาจที่เหนือธรรมชาติสุดแสนจะยิ่งใหญ่ดุจแสงแห่งไฟนรกสีแดงฉานที่มิอาจดับได้แม้โดนน้ำ
"เอาหล่ะ!! ทำให้ฉันสนุกไปจนตายหน่อยเถอะ ไอ้พวกเวรตะไร ก่อนที่ฉันจะไปเจอกับเธอ"
เสียงของเขาดังลั่นขึ้นท่ามกลางเสียงแฮ่ๆของฝูงซอมบี้ เสียงที่ฟังแล้วก็รู้สึกถึงความสิ้นหวังเสียงที่ทำให้คิดได้ถึงเรื่องราวแห่งความสุขมากมายที่มิอาจเป็นไปได้อีกแล้ว
ทั่วทุกทิศรอบกายของชายหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่ที่ดูน่าเวทนา มีเหล่าสัตว์ประหลาดน่าเกลียดกำลังกระโจนเข้าใส่ด้วยความหิวกระหายราวกับว่าอดอยากมาเป็นแรมปี
ด้วยสัญชาตญาณอันว่องไวดุจสััตว์ป่า เขากวัดแกว่งดาบออกไปในทุกๆทิศทางอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเส้นแสงสีแดงส่องสว่างวาบออกมาในทุกๆครั้งที่เขาเหวี่ยงแขน
เลือดที่พุ่งกระฉูด หัวของซอมบี้ที่ขาดกระเด็นขึ้นฟ้า และคลืนดาบที่ตัดผ่านอากาศจนเกิดเป็นเสียงกรีดร้อง กลิ่นคาวของเลือดกระเด็นใส่จมูกของชายหนุ่มผู้คุ้นเคยเป็นอย่างดีกับกลิ่นนี้
อวัยวะภายในต่างๆไม่ว่าจะเป็น ลำใส้ ปอด สมอง หัวใจ พร้อมทั้งไขมันกระดูกและเศษชิ้นส่วนของเนื้อหนัง ต่างกระเด็นกระดอนไปทั่วทั้งบริเวณ ของเหลวในกายซึ่งไม่ว่าจะเป็นสีฟ้า สีม่วง สีดำและสีแดงอันเป็นเลือดของพวกมันพุ่งกระฉูดลอยขึ้นฟ้าและตกลงมาราวกับสายฝนพร้อมทั้งกลิ่นของสารเคมี บ้างก็สิ่งปฏิกูล ที่ปนเปื้อนอยู่อยู่กับอากาศให้ความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียนเป็นที่สุด
ไร้ซึ่งเสียงกรีดร้อง ไร้ซึ่งคำโอดครวญนี่แหละคือสัตว์ประหลาดที่กัดกินมนุษยชาติ
ดาบเหล็กอันแข็งกล้าทำการพุ่งผ่านเนื้อหนังมังสาของพวกมันอย่างพริ้วไหวและง่ายดายราวกับตัดเต้าหู้ แต่ผู้ที่บังคับทิศทางของใบดาบกลับเริ่มเหงื่อตกและเหนื่อยล้าลงเรื่อยๆ
ถึงแม้เพียงแค่1การฟาดฟันของเขาก็ทำให้สัตว์ประหลาดดับดิ้นไปแล้วนับสิบ แต่นี่เขาเล่นกวัดแกว่งดาบไม่หยั่ง จนซากศพของซอมบี้ในตอนนี้มันพุ่งขึ้นเกินพันเข้าไปแล้ว แต่พวกมันก็ไม่มีท่าทีว่าจะลดน้อยถอยลงเลยด้วยซ้ำ กลับกันมันยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นไปอีก
ตัวเลขเปอร์เซ็นต์บนข้อมือดิจิตอลเริ่มลดลงเรื่อยๆแล้วตามพลังที่ถดถอย
การต่อสู้เป็นไปอย่างรวดเร็วไม่นานนักเขาก็ล้มลงไปนอนกองอยู่กับซากศพที่โดนเขาฆ่า
พวกซอมบี้ที่เห็นทีว่ามนุษย์นั่นมันได้ล้มลงไปแล้ว ก็พร้อมเพรียงกันเข้าห้อมล้อมในทันใด และทำการฉีกกระชากร่างของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี
"เราจะได้เจอกันแล้วนะ"
เสียงที่สิ้นหวังแต่กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนได้ดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมด้วยนัยน์ตาที่หม่นหมองเป็นที่สุดนั้นที่ดับลงเช่นกัน
ในจังหวะสุดท้ายของชีวิตนั้น เขาได้ยื่นมือขึ้นไปราวกับว่าจะคว้าจับใบหน้าหญิงสาวผู้เป็นที่รักของเขาไว้
"เมย์"
้เมื่อสิ้นสุดเสียงที่แหบพร่านั่น ร่างของเขาก็แน่นิ่งไม่ไหวติง ลมหายใจสุดท้ายได้สิ้นลงและตามมาด้วยเสียงของเหล่าซอมบี้ที่เทะและกัดกินศพของเขาจนหมดสิ้น..
.....
ในยามรุ่งเช้าของวันหนึ่ง
"เมย์!!"
เด็กหนุ่มตื่นขึ้นอย่างฉับพลันพร้อมละเมอตะโกนสุดเสียง
"นี่ฉันยังไม่ตายงั้นเหรอ"
ตอนที่2 ไม่รอช้า
ดับแค้นวันสิ้นโลก ตอนที่2 ได้เวลาเริ่มการแก้แค้นแล้ว
ภายในห้องนอนส่วนตัวขนาดไม่กว้างนักห้องหนึ่ง
เขาตื่นขึ้นมาบนเตียงที่คุ้นเคยกับฉากเบื้องหน้าที่จำได้เป็นอย่างดี ทั้งโทรศัพท์ ทั้งชุดนอน และคอมพิวเตอร์ ทุกสิ่งชั่งน่าคิดถึงเป็นอย่างมากสำหรับเขา
เขาเปิดโทรศัพท์ขึ้นตอนนี้เวลา03:14แล้ว และวันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่3 เมษายน ปี2020
ตามความทรงจำของเขาวันนี้คือวันก่อนที่เหล่าซากศพเดินได้จะปรากฏตัวและทำการแพร่กระจายเชื้อไวรัสกลายพันธ์ู ที่จะคร่าชีวิตของประชากรโลกไปเกิน90%
ตลอดห้วงเวลาแห่งหายนะนั้นเขาแทบไม่มีความสุขเลยในโลกที่โสมมนั่น จนกระทั่งเขาได้พบกับเมย์ หญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง ที่ทำให้เขาในตอนที่กำลังซึมเศร้าที่สุด ได้กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง
แต่แล้วเหล่าซอมบี้ก็พรากเธอไปจากเขาอย่างไม่ใยดี เขาจะโทษใครได้ละ ผู้สร้างไวรัสงั้นเหรอ ซอมบี้งั้นเหรอ ผิดแล้วกล่ะในตอนนั้นสิ่งที่เขาควรโทษมากที่สุดก็คือความอ่อนแอ่ของตัวเองต่างหากหล่ะที่ไม่สามารถช่วยเธอได้
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มตั้งมั่นและฝึกฝนพัฒนาในพลังที่เขามีให้ถึงที่สุด แล้วไล่ล่าเหล่าซอมบี้อีกครั้ง
จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเขารู้สึกตัวอีกทีทุกคนที่อยู่เคียงข้างเขาก็ได้ล่มหายตายจากไปหมดแล้ว
ึความรู้สึกที่โกรธเคือง ความรู้สึกที่โศกเศร้าเริ่มถูกบั่นทอนลงจนมันทำให้เขาเป็นคนเย็นชา
แต่เมื่อเขาได้กลับมาอีกครั้งในชีวิตนี้ ชีวิตเดิมของเขา ความรู้สึกที่เคียดแค้นของเขาก็กลับมาอีกครั้ง ความรุ่มร้อนที่มีอยู่ภายในเริ่มปะทุขึ้น เลือดทำการสูบฉีดอย่างรุนแรงแม้ไม่ได้ออกกำลังกาย ความรู้สึกที่อยากฆ่าและล้างแค้นเริ่มกลืนกินสมอง ความมุ่งมั่นที่อยากจะช่วยเหลือคนในครอบครัว เพื่อน และคนรักพุดขึ้นพร้อมกับความหวังอันล้นเหลือที่พกมากับประสบการณ์แสนมากล้น
...
"ฉันจะไม่ยอมให้มันเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว"
ชายหนุ่มกำหมัดแน่น พร้อมด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแต่เบื้องลึกก็แฝงไว้ด้วยไฟแค้นที่ต้องการจะชำระ
เขาพูดขึ้นจากก้้นบึ้งในจิตใจที่ทั้งเกรียดชังและโศกเศร้า แต่น้ำเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยความหวังและความมุ่งหมั่น
ถึงจะอีกแค่1วันก่อนที่เหตุการณ์โลกาวินาศจะเกิดขึ้น แต่เชื่อไวรัสก็เริ่มแพร่กระจายมาเป็นเดืิอนๆแล้ว
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าควรทำอย่างไรบ้างในชีวิตนี้ จึงไม่รอช้าทำการตั้งสมาธิเพ่งจิตในทันที วิธีนี้จะช่วยให้เขาทำการควบคุมพลังที่มาจากการกลายพันธุ์ได้ และมันจะทำให้เขาวิวัฒนาการเร็วขึ้นด้วย
มันเป็นวิธีที่ไม่ได้ยากแต่อย่างไร มีแต่เพียงเวลาเท่านั้นที่ต้องใช้ เขาทำการนั่งสมาธิ เริ่มขั้นตอนรวบรวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียว ตามเทคนิคที่ได้เรียนมาจากอาจารย์เมื่อชีวิตก่อน ตั้งจิตไว้ให้หมั่นกับอากาศธาตุในร่างกาย กำหนดลมหายใจเข้าออกเพื่อปรับสมดุลในการใหลเวียนของพลังที่มากับอากาศ
และเนื่องด้วยหัวใจที่เต้นระรัวแรงจึงทำให้โลหิตที่สูบฉีดอย่างพรุพรั่งนั้น นำพาเชื่อไวรัสให้ไหลเวียนไปกับของเหลวสีแดงข้นในร่าง ตัวไวรัสรูปร่างประหลาดเริ่มกระจายและแทรกซึมเข้าไปทุกที่ในร่างทำการเพิ่มพูนพลังงานให้แก่เซลล์เพื่อเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์ แต่มนุษย์ผู้รอบรู้อย่างเหล่านักวิจัยจะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้กับมนุษย์ที่ไม่กลายร่างเป็นซอมบี้ว่าการวิวัฒนาการ
เซลล์นับล้านในสมองได้รับการวิวัฒนาการไปอีกขั้น เซลล์ในส่วนต่างๆของร่างทำการขับเคลื่อนและวิวัฒนาการเช่นกัน จากเซลล์บางเซลล์ที่จากเดิมที่ควรจะตายแล้วกลับฟื้นคืนอย่างผิดปกติ ไวรัสที่แสนมหัศจรรย์นี้ถ้าอยู่ในมือของนักวิจัยแสนปราดเปรื่องละก็ด้วยผลคือเซลล์ที่ไม่มีวันตายและฟื้นคืนชีพได้มีหรือจะไม่สามารถสร้างมนุษย์ที่เป็นอมตะนับล้านได้
แต่ก็คงจะสายไปแล้วหล่ะเพราะไวรัสที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้ได้แพร่กระจายไปก่อน มันจึงไม่มีหวังแล้วที่จะทำแบบนั้นได้ในขณะที่วิ่งหนีซอมบี้ไปด้วย
การวิวัฒนาการของเซลล์นั้นมีส่วนช่วยแค่ในเรื่องของพละกำลังด้านกายภาพเท่านั้น ซึ่งในเชื้อไวรัสนั้นยังมีอีกหลายสิ่งที่ถูกผสมเข้ามาด้วยซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมอบความสามารถให้แก่ผู้วิวัฒนาการได้อย่างแท้จริง ซึ่งมันจะทำให้บุคคลธรรมดากลายเป็นผู้ใช้พลังพิเศษได้เลยหล่ะ...
...
การตั้งสมาธิเพ่งจิตในแรกเริ่มนั้นสีหน้าของชายหนุ่มสื่ออารมณ์ของความแค้นออกมาอย่างเจ็บปวด ซึ่งความเจ็บปวดนี้ย่อมไม่ได้มาจากแค่ตรรกะความคิดอย่างแน่นอน ซึ่งมันมาจากการที่ร่างกายของเขาเริ่มกระตุกเป็นระยะๆจากการกระตุ้นอย่างไม่เป็นจังหวะของเซลล์ในร่าง
มันกำลังทำให้กล้ามเนื้อในส่วนต่างๆพร้อมทั้งเส้นเลือดปูดโบนขึ้นและยุบลงสลับไปมาทั่วทั้งร่าง ซึ่งความทรมานนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าเพียงแค่เขารอตัวเซลล์มันทำการกระตุ้นเองตามกาลเวลา กลับกันเขาดันรีบไปกระตุ้นการวิวัฒนาการมันจึงทำให้เขาเจ็บปวดอยู่อย่างนี้
การตั้งสมาธิเพ่งจิตเป็นไปอย่างยาวนานพร้อมกับความทรมานอย่างเจ็บปวดนี้ เมื่อสายธารแห่งกาลเวลาได้หลั่งไหลไปเรื่อยๆตอนนี้ความเจ็บปวดได้เริ่มเลือนหายไปหมดแล้ว ความรู้สึกที่จำได้ถึงพลังที่คุ้นเคยนี้ได้กลับมาอีกครั้ง เมื่อลมหายใจเริ่มผ่อนคลายลงไปพร้อมกับสีหน้าท่าทางที่สงบลง ในที่สุดการวิวัฒนาการก็เสร็จสมบูรณ์ มนุษย์ผู้มีวิวัฒนาการ ขั้น1 ปรากฏแล้ว.. อ่า~เสร็จสักที..
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ขยับเขยื้อนร่างกายเลยแม้แต่น้อย ในตอนนั้นนั่นเองก็ได้มีเสียงๆหนึ่งได้ดังมาจากทางฝั่งหน้าประตูห้องนอนของเขา
"ก็อกๆ~ พี่กานต์ วันนี้วันจันทร์แล้วนะอย่ามัวแต่นอนขี้เซาอยู่ ลงมากินข้าวได้แล้ว "
ความรู้สึกที่คุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง เสียงใสแสนน่ารักของเธอนั้น มันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมากที่ได้ยินเสียงนี้อีกครั้งหลังจากเหตุการณ์นั้น... นี่คือเสียงของหญิงสาวอีกคนนึงที่เขารักไม่แพ้กับแฟนของเขา เสียงของยัยน้องสาวสุดรักสุดหวงของเขาพีช
ภาพความทรงจำแสนอบอุ่นอันเจืองปนไปด้วยความสุข เริ่มหลั่งใหลเข้ามาในหัวเขา ภาพของเด็กหญิงแสนซนที่มักหกล้มอยู่บ่อยๆด้วยความซุ่มซ่าม ภาพของเด็กหญิงขี้แงที่ชอบร้องไห้อยู่บ่อยๆกับเรื่องไม่เป็นเรื่องและก็จะมีเด็กชายคนหนึ่งที่มักเข้าไปปรอบเธอเสมอ ซึ่งไม่ว่าเธอจะเครียด จะทุกข์ จะเศร้า หรือจะมีอะไรไม่สบายใจต่างๆ เด็กชายคนนั้นก็จะไปปลอบเธอทุกเมื่อ นี่คือภาพความทรงจำในวัยเด็กของกานต์และพีชน้องสาวของเขา
"รู้แล้วจ่า เดี๋ยวลงไป"
เขาทำการควบคุมอารมณ์ที่รู้สึกถึงความผิดพลาดร้ายแรงของตนเองที่ไม่อาจจะให้อภัยได้ พร้อมกับพยายามตอบออกไปอย่างปกติเหมือนๆทุกครั้ง
ใช่เขามีความสุขที่ได้เจอน้องสาวอีกครั้งแต่เขากลับไม่กล้าแม้ที่จะสบตาเพราะเหตุการณ์ในอดีตนั้น ซึ่งในช่วงชีวิตก่อนตลอดทั้งชีวิตของเขา เขาคิดว่าคนที่เขาพบเจอทั้งหมดมีเพียงน้องสาวของเขานี่แหละที่พบกับชะตากรรมที่โหดร้ายมากที่สุด และคนที่ทำให้เธอเป็นอย่างนั้น คนๆนั้นแหละคือคนที่เขาอยากจะกลับมาล้างแค้นมากที่สุด..
"จ้าๆ งั้นหนูไปก่อนนะ"
เมื่อสิ้นสุดการสนทนาพีชน้องสาวของกานต์ก็เดินบันใดลงไปรับประทานอาหารตรงชั้นล่าง
ส่วนกานต์ที่พึ่งตื่นจากการตั้งสมาธิเพ่งจิต ก็สังเกตุเห็นบางอย่างที่ข้อมือข้างขวา ซึ่งมันไม่น่าจะใช่ของที่ในยุคนี้ควรจะมี มันเป็นนาฬิกาดิจิตอลที่ไม่ได้บอกเวลาสีดำ ที่สร้างด้วยวัสดุที่คงทนยิ่งกว่าเหล็กและยืดหยุ่นได้ไม่ต่างจากยาง ใช้แล้วหล่ะมันคือNox เครื่องวัดพลังจากในชีวิตก่อนของกานต์
เมื่อเหล่าซอมบี้เริ่มกลายพันธุ์เข้าระดับ2และ3มากขึ้น มีหรือที่มนุษย์ที่เหลือจะปล่อยไว้เฉยๆ
ส่วนเหล่ามนุษย์เองก็วิวัฒนาการจากไวรัสเพิ่มขึ้นเช่นกัน นี่จึงเป็นเหตุให้พวกนักวิจัยต้องทำการสร้างNox เพื่อตรวจสอบพลังของมนุษย์ที่วิวัฒนาการได้ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อที่จะเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาใช้พลิกแพลงกับการสร้างอาวุธ และยาที่ไว้สำหรับเพิ่มพลัง
หน้าจอของมันในตอนนี้ปรากฏแค่1%เท่านั้น แต่เมื่อมันอยู่ในมือของมนุษย์ผู้เคยมีค่าเปอร์เซ็นต์สูงสุดแบบนี้ เชื่อได้เลยว่ามันจะไม่หยุดอยู่แค่ตัวเลขเดิมอย่างแน่นอน...
ชายหนุ่มไม่ได้ใส่มากนักกับเรื่องนี้แต่ก็อดสงสัยไม่ได้เช่นกันว่ามันมาได้ยังไง?...
หลังจากที่เขาแต่งตัวและรับประทานอาหารเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินทางไปโรงเรียนโดยหวังว่าจะได้ไปหาเพื่อนเก่าของเขาที่ไม่ได้เจอกันนาน แต่ในปัจจุบันนี้มันไม่ใช้อย่างนั้น เขายังคงเจอเพื่อนอยู่เสมอตลอดที่เขายังไปโรงเรียน
แต่นั่นมันเป็นเป้าหมายรองเท่านั้น เป้าหมายของเขาตอนนี้คือพวกตรงหน้านี้ต่างหาก...
ณ ซอยๆหนึ่งซึ่งติดกับถนนที่ไม่ค่อยมีผู้คนสันจร
อยู่ระหว่างตึกร้างสูง2ตึกที่ไม่มีใครใช้การแล้ว และทางเดินระหว่างตึกก็กว้างพอสำหรับให้รถยนต์คันนึงผ่านไปได้ แต่มันต้องชนสื่งนั้นแน่ๆถ้าจะผ่านไป มันคือถังขยะขนาดใหญ่สีเขียวที่ถูกทิ้งและไม่ได้แล้ว ตรงผนังของตึกทั้ง2เต็มไปด้วยภาพกราฟิกตี้ที่มีคนมาผ่นเอาไว้อย่างสวยงามแต่มันก็มีบางส่วนที่เริ่มจางหายกับโดนฝุ่นเคลอะทับ
กลิ่นเหม็นของบุหรี่โชยเข้าจมูกพร้อมด้วยควันสีเทาที่ลอยอย่างคละคลุ้ง
มีกลุ่มนักเรียนท่าทางนักเลงยืนพิงกำแพงกันอยู่ บางคนก็นั่งบนขยะสีเขียวขนาดใหญ่นั้น บางคนก็ถือไม้หน้า3พาดบ่าทำเป็นเท่ พวกมันขวางกั้นปิดพื้นที่นี้ราวกับว่าเป็นเจ้าถิ่น
ชาวบ้านธรรมดาที่ต้องการจะผ่านทางก็ต้องหลบไปทางอื่นด้วยความกลัวและหลีกเลี่ยงการเจ็บตัว เพราะด้วยข่าวลือที่ว่านักเลงพวกนี้มักจะออกจี้เงินชาวบ้านกับรังแกพวก้ขาเป็นประจำ ส่วนที่ตำรวจไม่เข้าไปยุ่งเพราะหนึ่งในพ่อของพวกมีนเป็นตำรวจนายใหญ่หนุนหลัง..
ชายหนุ่มเดินมาถึงหน้าซอยที่มีพวกมันกำลังนั่งอัดบุหรี่กันอยู่ พร้อมกับในมือที่ถือท่อนเหล็กที่น่าจะมาจากไซต์ก่อสร้างที่อยู่ใกล้ๆ
เมื่อได้มาเห็นพวกมันอีกครั้งอารมณ์แห่งความโกรธแค้นของชายหนุ่มก็ปะทุขึ้น และภาพของเรื่องราวต่างๆที่สุดแสนจะน่าชิงชังของพวกมันก็ผุดตามมาอีกนับไม่ถ้วน
สีหน้าของกานต์ในตอนนี้กลายเป็นเย็นชาสุดขั้ว สีของนัยน์ตาเริ่มหม่นหมองลง ไฟแห่งราคะเริ่มลุกโชน
"ตอนนี้ได้เวลาเริ่มการแก้แค้นแล้ว"
ตอนที่3 ในตัวเมือง
ดับแค้นวันสิ้นโลก ตอนที่3 สัตว์ประหลาด
ปัจจุบัน
ณ สถานที่อันคุ้นเคยในชีวิตก่อน ในชีวิตที่ต้องโดนย่ำยีและโดนเหยีดหยามนั้น ซอกตึกร้างแห่งหนึ่งที่ให้ความรู้สึกปราดเปรียวถ้ามาคนเดียว แต่ตอนนี้มันราวกับว่ามีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าผีสางนางไม้อยู่ทีื่นี่แล้ว วิญญาณแค้นยังต้องหลบทาง ยมทูตถึงกับต้องเหลียวมองกับการมาของชายผู้นี้ ที่มากับแรงกดดันอันแปลกประหลาดที่ทวีคูณเพิ่มขึ้นในทุกๆเก้าที่เขาก้าว...
"เฮ้ย!.. นั่นมันไอ้เด็กกระเป๋าเงินเรานี่หว่า"
ชายหนุ่มที่มีหน้าตาเจ้าเหล่และดูแล้วน่าจะเป็นหัวโจกของแก๊งที่นั่งอยู่บนถังขยะสีเขียวในกลุ่มนักเลงพูดขึ้นทันที เมื่อเห็นชายหนุ่ม เพราะทุกๆครั้งที่เขาพบกับชายหนุ่มเขาก็มักจะโฉบเงินชายหนุ่มไม่ให้เหลือทุกครั้งแล้วมาปันแบ่งกับคนอื่นๆ
"วันนี้เอาเงินมารึเปล่าหล่ะ"
ชายหนุ่มที่รูปร่างค่อนข้างผอมพร้อมกับใบหน้าที่เป็นรูปไข่ใส่แว่นดำ ซึ่งชายคนนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากชายคนก่อนนักเขาเพราะเขาหวังจะปล้นเงินไม่ต่างจากชายคนเมื่อกี้เลย ซึ่งในกรณีที่ชายหนุ่มไม่ให้มันนี่แหละที่จะเป็นคนเปิดฉากการรุมกระทืบทุกครั้ง
"อยากได้โทรศัพท์อีกสักเครื่องหว่ะทำไงดี"
"มันถือเหล็กมาด้วยหว่ะ คิดจะจัดการพวกเรางั้นเหรอ!?"
"น่ากลัวจัง...
และอีกหลากหลายคำพูดที่เปรียบเสมือนลมปากสำหรับชายหนุ่มได้ดังขึ้นจากคนในแก๊ง ซึ่งคนเหล่านี้สำหรับเขามันก็เหมือนกับเดรัจฉานไม่หยั่งคิดหยั่งทำสำหรับเขาเท่านั้นในขณะนี้ ถึงความแค้นยังคงอยู่แต่ความสุขุมก็ยังตามมา
พวกที่ต้องการอวดเบ่งโชว์เท่เช่นนี้มันมีดีตรงไหน ทั้งการไปกลั่นแกล้งคน ปล้นทรัพย์ จี้ชาวบ้าน ไล่ตะเพิดคน.. หรืออะไรต่่างๆ ซึ่งพวกมันควรคิดได้แล้วกระมั้งว่าการกระทำเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้พวกมันสูงส่งขึ้นเลย เพียงแต่พาพวกมันลงเหวเท่านั้น ทั้งกฎหมายบ้านเมืองที่จะคอยมาระรานพวกพวกมัน ทั้งสถานพินิจที่รอพวกมันอยู่ ทั้งการตอกย้ำจากสังคม แต่คงไม่จำเป็นที่จะถึงมือตำรวจหรือผู้ใดอีกแล้วในตอนนี้ เพราะตอนนี้ตัวตนที่ราวกับยมทูตได้มาเยือนพวกมันแล้ว...
พวกมันพูดคุยเยาะเย้ยกานต์กันอย่างขบขัน ถึงจะเห็นท่อนเหล็กที่อยู่ในมือ ก็ไม่แม้นจะกลัวเลยแม้แต่น้อย
มันอาจจะเพราะลักษณะที่อ่อนแอของเขาก็เป็นได้ที่ทำให้พวกมันไม่กลัว หรืออาจเป็นเพราะเขาคอยก้มหัวหรือคอยรับใช้พวกมันอยู่ตลอดเลยทำให้พวกมันคิดอย่างนั้น
ในขณะนั้นนั่นเองก็มีชายร่างอ้วนคนนึงก็เดินเข้าไปใกล้ๆกานต์อย่างท้าทายด้วยท่าทีที่เย้ยหยัน
ชายหนุ่มที่เห็นใบหน้าที่น่ารังเกียจนั่นเข้า เขาก็จำได้ถึงเหตุการณ์นั้น เหตุการณ์ที่เป็นตราบาปแก่ตัวเขา...
"ฉันขอหล่ะ.. อย่าทำแบบนี้่" เสียงออดอ้อนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น ชายร่างอ้วนกดหัวชายหนุ่มที่ร่างเปลือยอยู่นั้นให้กระทบกับผนังของห้องอับๆห้องหนึ่งจากข้างหลัง พร้อมกับมืออีกข้างที่จับที่สะเอวจนเกิดรอยมือแดง"รุมกระทืบฉันดีกว่าถ้าจะทำแบบนี้่.. อ๊ากกกกกก" เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นขึ้นด้วยความขมขื่นอันเป็นที่สุด...
นั่นคือตราบาปที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อชีวิตก่อนที่ได้โดนไอ้เวรนี่ทำเอาไว้ หน้าของชายหนุ่มเย็นชาขึ้นอย่างฉับพลันพร้อมกับรอบกายที่ปรากฏคลื่นพลังงานบางอย่าง
ชายร่างอ้วนที่เดินมานั้นเขาได้เดินมาหยุดที่ใกล้ๆชายหนุ่มพร้อมกระซิบข้างหูเบาๆ
"หน้าตาแกก็ใช้ได้นี่นา ฉันว่าเสร็จจากตรงนี้ฉันจะจัดให้นายสักน้ำสนป่าวล่ะ ฉันจะให้นายขึ้นสวรรค์เลยนะ..."
เหตุการณ์ คำพูด ท่าทาง สิ่งเหล่านี้เขาจำมันได้เพราะมันวนลูปมาเหมือนเดิมไม่มีผิดและถ้าเขาไม่เปลี่ยนมัน มันก็จะจบลงเหมือนคืนนั้นในห้องที่เหม็นคาวนั่น ความรู้เจ็บ ทรมานและเป็นตราบาปฝังใจนั้นที่ถูกปลดปล่อยแล้วจากการผ่านเรื่องราวการฆ่าล้างซอมบี้กว่าหลายปี แต่ความโกรธแค้นก็ยังอยู่ ศักดิ์ศรีนั้นไม่สำคัญสำหรับเขาและชีวิตที่เขาจะกำหนดมันจะต้องขึ้นอยู่ดับเขาไม่ใช่คนอื่น...
ไม่ทันได้พูดจบเสียงของท่อนเหล็กที่กรีดผ่านอากาศกระทบเข้ากับหน้าก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของชายร่างอ้วนนั้น
"โอ๊ยยยยย..แกนะแก มาทำกับฉันแบบนี้อย่าหวังว่าจะรอดไปได้เลยย! "
เข้าล่มลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด พร้อมโอดครวญขึ้นเสียงดังด้วยความแค้น
"แค่นี้มันยังไม่เท่ากับสิ่งที่แก่ทำ!! "
เขาเหยียบไปที่ร่างของมันพร้อมจ้องมองด้วยสายตาที่เหยียดหยาม และคำพูดที่ราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ก็รู้สึกถึงได้ถึงความแค้นที่ปล่อยออกมาผ่านจิตสังหาร
'ในอนาคตแก่ทำฉันเกือบตายหลายรอบแถมยังมีที่แกทำฉันในคืนนั้นอีก ในวันนี้ถ้าแกยังไม่ตายพร้อมพักพวกของแกล่ะก็ฉันคงไม่มีอารมณ์ไปฆ่าพวกซอมบี้ที่กำลังจะมาแน่'
ภาพเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆในชีวิตที่เกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ปรากฏขึ้นในหัวของเขาเต็มไปหมดพร้อมด้วยอารมณ์ความโกรธแค้นที่พุ่งพรวดขึ้นราวภูเขาไฟที่กำลังปะทุ
"ตายซะเถอะ"
เสียงที่ไร้อารมณ์ดังขึ้นพร้อมกับมือทั้งสองที่จับท่อนเหล็กแน่นง้างขึ้นสุดแขนและทำการใส่ไม่หยั่งไปที่หน้าของมัน
"ปล่อยแม่งไว้ไม่ได้แล้ว มันทำร้ายไอ้เหี้ยอ้วน พวกเราจัดการ" อีกด้านหนึ่ง คนที่ดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าแก๊งตะโกนขึ้นสุดเสียง
เหล่าพักพวกที่เหลือเมื่อเห็นสถานการณ์ข้างหน้า ที่เพื่อนของตนกำลังโดนขี้ข้าที่พวกมันเคยกลั่นแกล้งมาทำร้ายก็เกิดน้ำโหขึ้น พวกมันพุ่งมาทางกานต์ด้วยอาวุธ บางคนก็ไม้หน้าสาม บางคนก็มีดพก พวกมันทุกคนเข้ามาหวังจะทำร้ายให้ปางตายกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
'หึ.. วันนี้จะเป็นวันตายของพวกแก ชีวิตที่ฉันต้องทนใช้อย่างขมขื่นได้เวลาแล้วที่ฉันจะหวนคืนมันกลับให้แก่คนอย่างพวกแก'
กานต์ยังกระหน่ำเหวี่ยงท่อนเหล็กโจมตีอยู่อย่างนั้น แม้หันไปแสยะยิ้มให้กับพวกมันที่เหลือราวกับว่าเขาคือปีศาจที่สุดแสนจะอมหิตที่จ้องมองเหยื่อของมัน พร้อมปลดปล่อยพลังออกมา
เหล่าคลื่นพลังสีขาวห้อมล้อมอาวุธของเขา พร้อมด้วยแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจนสีหน้าของพวกมันที่เข้ามาใกล้เริ่มแย่ลงอย่างน่าประหลาด
"อะไรกัน ความรู้สึกถึงอันตรายนี้"
พวกมันหลายคนเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ควรเข้าใกล้ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร จนกระทั่งสายไปซะแล้วไม่มีทางจะหลีกหนี ตอนนี้พวกมันทุกคนได้เข้ามาในรัศมีการโจมตีของชายหนุ่มแล้ว
Noxที่สวมอยู่ก็มีการเพิ่มขึ้นของเปอร์เซ็นต์จาก1%ตอนนี้มีอยู่3%แล้ว
แต่จู่ๆ
หน้าจอของNoxก็ถูกเลื่อนราวกับว่ามีใครไปสัมผัสมัน ในอีกหน้าจอนั้น มันได้ขึ้นเลข0แต่ไม่ขึ้นเปอร์เซ็นต์ และตอนนี้เลข0นั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเลขของมันเริ่มพุ่งขึ้นจากทีแรกที่ขึ้นอย่างช้าๆไปยังเลขหลักสิบตอนนี้มันพุ่งอย่างรวดเร็วไปอยู่ที่หลักร้อยและไปหยุดนิ่งอยู่ที่976และเมื่อตัวเลขหยุดนิ่ง บนจอด้านขวาล่างก็ปรากฏตัวเลข-500ขึ้นตาม
ตามความทรงจำของกานต์ตัวเลขตรงกลางในฝั่งนี้ของเข้าที่ผ่านไปสิบปีมันอยู่ที่หลักล้านซึ่งเทียบไม่ติดเลยกับตอนนี้..
ตุบ.ตุบ.ตุบ..เสียงเหล็กที่กระทบเข้ากับเนื้อดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน
"ฉันขอหล่ะปล่อยฉันไปเถอะ" คำโอดครวญที่แสดงถึงความหลาดกลัวอันเป็นที่สุดดังขึ้นในขณะที่ท่อนเหล็กนั้นยังคงกระทบกับเนื้อของเขา
'หึ ในตอนที่พวกแกเป็นฝ่ายลงมือพวกแกยังไม่แม้นจะฟังคำขอของฉันเลย แล้วตอนนี้กลับมาพูดอ้อนวอนงั้นเหรอ ฟันไปเถอะ!! '
เขาง้างอาวุธที่อยู่ในมือสุดแขนพร้อมฟาดลงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเข้าไปในอีกศึกนึงที่ต้องเผชิญ คือกลุ่มของพวกมันที่กำลังวิ่งกรูกันเข้ามาพร้อมกับอาวุธเตรียมสู้..
พวกมันหลายคนที่ตอนแรกมีใจฮึดเหิมด้วยความโกรธ ตอนนี้เกิดมีความกลัวมาครอบง่ำจนแทบจะขยับตัวไม่ได้ นี่อาจจะไม่ใช่แค่ความกลัวก็เป็นได้ มันอาจจะเป็นอำนาจบางอย่างของพลังในตัวชายหนุ่มก็เป็นได้ที่ได้ทำให้พวกมันเป็นเช่นนี้
เพื่อนๆเริ่มโดนทุบตีไม่หยั่งเริ่มล่มลงไปทีละคนๆ บางคนก็เริ่มสำนึกผิดและทำการโอดครวญขอร้องทั้งน้ำตา แต่ก็สายไปสะแล้วเพราะตอนนี้คนตรงหน้ามาเพื่อคิดจะฆ่าโดยเฉพาะไม่ได้มาเพื่ิอจะให้อภัยแต่อย่างไร
พื้นที่ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นกลับถูกย้อมด้วยเลือด ผนังที่เคยมีสีสันจากพวกกราฟิตี้ที่มาพ้นสีเล่นก็โดนแทนที่ด้วยสีของโลหิต
นักเลงอีกสองสามคนที่ล้าถอยออกมาก็เริ่มตัวแข็ง พวกมันยืนมองเหล่าเพื่อนพ้องที่นอนกองอยู่กับพื้นด้วยเลือดที่ชุ่มตัวกับขี้ข้าตรงหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นอสูรกายบ้าเลือด
"พะ.. พะ.. พวกเรายอมแล้ว ปล่อยเราไปเถอะ" พวกมันอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนอีกจนกระทั่งเหล่าเพื่อนๆที่โดนทุบก็แน่นิ่ง
พวกมันแน่ใจเลยว่าเขาได้ตายไปแล้ว ตายเพราะน้ำมือของคนที่พวกมันเคยปล้น เคยกลั่นแกล้ง และเคยทำให้เขาต้องทรมาน
ตอนนี้ความรู้สึกสำนึกผิดก็ฝังลึกเข้าไปในก้นบึ้งของจิตใจแล้ว
ท่อนเหล็กที่ถูกย้อมด้วยโลหิตหยุดลงมือ กานต์ที่ตอนนี้ได้ระบายความรู้สึกที่สั่งสมมานานก็เริ่มรู้สึกว่าตนเป็นคนที่เลวทรามมากที่ทำแบบนี้ลงไป
แต่แล้วยังไงล่ะ เมื่อพวกซอมบี้เริ่มมาระรานพวกมันก็ใช้ผู้คนธรรมดามาเป็นโล่ให้ซอมบี้กัดกินแล้วตัวเองก็หนี แถมยังคร่าชีวิตมนุษย์ด้วยกันเองนับสิบนับร้อยเพื่อปล้นอาหารมาเป็นของตัวเอง
ถึงเขาจะเลวทรามต่ำช้ายังไงเขาก็ไม่คิดจะปล่อยให้คนพวกเวรนี่รอดไปได้หรอก เพราะแค้นนี้ต้องชำระ..
ตอนนี้หัวใจของเขาเย็นช้าจนถึงขีดสุดแล้ว เขาโยนท่อนเหล็กที่ถืออยู่ทิ้งไป เหล่าพลังเริ่มห้อมล้อมที่มือของเขา
เขาทำการเจาะกระโหลกพวกมันทีละคนๆ จากนั้นก็หยิบสิ่งนึงออกมาจากกระโหลกและทำการกินมันด้วยหน้าตาที่ไร้อารมณ์ของเขา ใช่แล้วหล่ะมันคือสมอง
สามคนที่เห็นการกระทำของกานต์ก็ฟุบลงกับพื้นทันใดและมองบุคคลตรงหน้าที่ทำการกินสมองของเพื่อนตนเอง
ราวกับพวกเขากำลังมองซอมบี้ที่หิวโหยทำการกินซากศพมนุษย์ที่ตายแล้วอย่างมูมมาม
เสียงของหัวใจที่เริ่มสั่นระรัว เม็ดเหงื่อผุดพราย ดวงตาเบิกกว้าง
"นี่มันสัตว์ประหลาด.. นี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ"
ตอนที่4 ผู้ที่ถูกย้อนเวลากลับมาอีกคน
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!