NovelToon NovelToon

หลินหลางเทียนยอดคนพลิกโลก

ปฐมบท

…….การเดินหมากก็เหมือนกับชีวิตคน พลาดครั้งเดียวก็อาจหมายถึงชีวิต จึงมีคนมักจะเปรียบเปรยเช่นนี้อยู่ สถานการณ์เช่นนั้นจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ หรือว่าจะเป็นตนเองก็ไม่เเปลกเลยเเม้เเต่น้อย

……. เพราะว่าเรื่องทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เขากำลังเจอกับตนเองเลย

ชายหนุ่มผมสีดำยาวเผยรอยยิ้มเเห้งๆ เมื่อกลับไปมองดูกองเอกสารที่พะเนินเทินทึกเบื้องหน้า เหงื่อสีขาวใสไหลย้อยจากใบหน้าสู่ลําคอก่อนจะไหลต่อไปเรื่อยๆ ความรู้สึกกดดันกำลังเเผ่ซ่านจากกองเอกสารที่อยู่ตรงหน้า

เขาคิดว่ามันช่วยไม่ได้ที่บริษัทปิดเพราะไวรัส แต่ว่าไหงงานที่น่าจะมีคนอื่นช่วยทำด้วย กลับมีเเต่ตนเองเพียงลําพังละ?

บริษัทของเขาเป็นบริษัทผลิตอาวุธรายใหญ่ในประเทศ เป็นอาชีพที่ค่อนข้างได้เงินเดือนดีทีเดียวละ ส่วนหน้าที่ของเขา เป็นแผนกออกแบบอาวุธ แม้จะมีวันดีคืนดีที่ตนเองต้องเข้าไปช่วยในแผนกผลิตบ้างเป็นครั้งคราวก็ตาม

ตนเองเริ่มลงมือจัดการกองเอกสารตรงหน้าที่เล็กทีละน้อย เพียงไม่กี่นาทีแผ่นแรกก็เสร็จเเละเริ่มเขียนเเผ่นต่อไปทันที ต้องขอขอบคุณประสบการณ์ภาคสนามจริงๆ ไม่เช่นนั้นมีหวังเขาได้หืดขึ้นคอแน่

“ เราเป็นกำแพงด่านสุดท้ายอย่างนั้นหรอขำไม่ออกจริงๆแฮะ"

เขายกยิ้มที่มุมปากอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะลงมือคิดและเขียนต่อ คุณเกิดจากผลงานของเขาที่ทำงานตั้งแต่เข้าบริษัทมาละมั้ง สภาพเจียนตายเป็นสิ่งที่เห็นอยู่ได้เป็นปกติ จนเขาที่เป็นหน้าใหม่เมื่อปีที่แล้วยังชิน

 ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาหรือเปล่านะ แต่หลังจากที่เขาเข้ามางานอะไรต่างๆมันก็ลุล่วงไปได้ด้วยดี งานน้อยใหญ่ที่สามารถช่วยได้เขาก็จะช่วย ถึงจะไม่ค่อยมีโบนัสติดปลายนวมให้เลยก็เถอะ แต่หากไม่ช่วยมันก็ส่งผลมาถึงตนเองเหมือนกัน

หลินหลางเทียนมิใช่คนโง่งม ที่เห็นเงินเป็นทุกสิ่งจนปิดหูปิดตาเหมือนหลายคน ก่อนจะมารู้ตัวอีกทีว่าตอนนั้นได้ทำผิดอย่างใหญ่หลวงไปแล้ว ไม่อาจกลับไปแก้ไขได้

เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบที่ว่ามาขึ้น ตนเองจึงระลึกไว้เสมอว่าอย่าได้คิดตื้นๆป็นอันขาด

ในขณะที่ช่วงเวลาแห่งการทำงานกำลังดำเนินต่อไป เสียงเคาะประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้น ทําให้หลินหลางเทียนต้องตื่นจากภวังค์ความคิด

“อื้อ เข้ามาได้เลย”

หลินหลางเทียนร้องบอก โดยไม่ได้ถามว่าเป็นใคร หากมาในเวลาแบบนี้ก็พอเดาได้

“….เอาข้าวมาให้ครับ”

เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่ฟังดูเย็นชาเสียจนเหมือนมาจากขั้วโลกเหนือ เเต่ก็ฟังออกว่าเป็นใคร เเม้ไม่ต้องหันไปหลินหลางเทียน ก็รู้เเก่ใจว่าเป็นเสียงของ 'ซิ่งเสอ' พนักงานฝึกหัดที่มาฝึกกับตนเอง เพื่อรอบริษัทเปิด

“วางไว้ตรงนี้นะครับ”

ซิ่งเสอวางถุงใส่อาหารลงข้างๆโต๊ะทํางานของหลินหลางเทียน

“โอ้ขอบคุณนะ….”

เขากล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม แตกต่างจากอีกฝ่ายนึงที่หน้ามุ่ย ที่เหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง กระนั้นเขาก็ไม่คิดจะว่าอะไร ซิ่งเสออยู่กับเขามาเกือบเดือน จึงรู้นิสัยใจคอของเจ้าตัวระดับหนึ่ง

ใบหน้านิ่งสงบเสียจนเป็นใบหน้าของปลาตาย อันกำลังจัดแจงเอกสารต่างๆอยู่บนโซฟา

เขามองดูเจ้าตัวอยู่สักพักนึงก่ก่อนพลางคิด เจ้าตัวดูจะมีการพัฒนาเรื่องความปฏิสัมพันธ์ขึ้นมาหน่อยละมั้ง เมื่อลองนึกย้อนไปตอนที่เจอเจ้าตัวใหม่ๆ นิสัยเป็นหนักกว่านี้เยอะ เเทบไม่พูดไม่จาอะไรเลย

หลินหลางเทียนเเบมือขึ้น มองดูอย่างเหนื่อย….. เห็นทีจะไม่ถึงห้าประโยคต่อวันละมั้ง จะบอกว่านับนิ้วได้เลยคงไม่แปลก

“ซิ่งเสอเอานี่ไปตรวจดูทีนะ"

 แม้จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่เรื่องที่ว่าเจ้าตัวเป็นผู้ช่วยที่ดีมากนั้นไม่อาจปฏิเสธได้เลย

“……”

 ซิ่งเสอพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับก่อนจะรับมา โดยมีดวงตาว่าอีกเเล้วของหลินหลางเทียนมองส่ง เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไรอย่างที่คิด รับไปอย่างเงียบๆเหมือนทุกที

“….ช่างเถอะ”

หลินหลางเทียนถอนหายใจออกมาฝืดใหญ่ ต่อความเย็นละเยือกของซิ่งเสอ ก่อนจะหันมาดูเอกสารในมือตนอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากนั้นภายในห้องก็เกิดบรรยากาศที่เงียบสงัดขึ้น เงียบเสียจนได้ยินเสียงแมลงวันบิน…..

“ขอบคุณ..”

“……”

เขาขอบคุณซิ่งเสอที่ยกกาแฟมาให้พลางยกขึ้นดื่ม

“อื้ออร่อยมากเลยละ”

“……..”

ไม่พูดไรเหมือนเคย พลางเดินไปทํางานต่อ

บางที แค่บางทีก็ได้เจ้าตัวอาจเป็นคนเอาใจคนอื่นเก่งเกินคาด เขายิ้มขึ้น วันดีคืนดีมีแบบนี้บ้างก็ดีเหมือนกัน….

เวลาแบบนี้มันก็ไม่เลวนัก…

หลินหลางเทียนพลางอมยิ้มอย่างอบอุ่น แม้จะไม่ได้ห้อมล้อมด้วยความสุขทุกประการ แต่ความสุขน้อยๆแค่นี้ก็เกินพอสำหรับนักวิศวกรเช่นตน ซิ่งเสอเองก็อาจจะคิดเช่นเดียวกัน

   ……. เขาคิดว่ากวางตกเช่นนี้คงอยู่อีกยาวนาน แต่แท้จริงแล้วความทุกข์นั้นอยู่บนเส้นด้ายที่พร้อมจะขาดไม่ขาดแหร่ตลอดเวลา

ลมหนาวเปล่าเปลี่ยวพัดเข้าหาท้องทุ่งกว้างที่มีแท่งหินนับพันยืนตะหง่าน…

 เขาไม่อาจทำใจยอมรับ แต่กระนั้นก็มีแต่ต้องทำใจยอมว่ามันเป็นเรื่องจริง ที่ไม่อาจจะหนีพ้นได้ เบื้องหน้าของตนเองที่ยืนอยู่คือหลุมศพของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง…..ซิ่งเสอ

หลังจากในวันนั้นผ่านไปได้สองถึงสามเดือน เขาก็ได้ข่าวร้ายที่ไม่อยากได้ยินมากที่สุด..ซิ่งเสอติดเชื้อไวรัสร้ายแรง จนสิ้นใจตายคาโรงพยาบาลของเมืองเสิ้นโจ ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่มีลางบอกก่อนหน้า

 เขานึกย้อนกลับไปเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนพบว่าเจ้าตัวนั้นขอลาออกจากการทำงาน โดยเจ้าตัวบอกเหตุผลแก่ตนเองว่าได้งานที่ดีกว่าแล้ว จึงขอตัวตอนนั้นเลย แน่นอนว่าตนลองโทรไปเค้นถามกับเจ้าตัวก่อนแล้ว แต่เจ้าตัวบอกปัดบ้างหรือวางสายไปบ้างอะไรบ้าง 

จนท้ายที่สุดก็มารู้ความจริงเมื่อวาน……วันที่ซิ่งเสอสิ้นลมหายใจ

“ ไปจริงๆแล้วอย่างนั้นเหรอ ซิ่งเสอ”

 ทำไมถึงไม่เคยฉุกคิดกันนะ ทำไมกัน…..หลินหลางเทียนกําหมัดในมือตนเองแน่น ต่อความโง่เขาเบาปัญญาของตนเองที่เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้ ทั้งๆที่มันก็ไม่ใช่ความผิดที่จะว่ากล่าวตนเองได้แท้ๆ ก่อนจะคลายมือออกทางคุกเข่าลง….

“ ขอโทษที่ฉันมาไม่ทันกาลนะ เพื่อนเอ๋ย”

ไม่มีคำพูดอื่นใดนอกจากนี้อีกแล้ว เม็ดหยดน้ำสีใสค่อยๆร่วงหล่น แต่หาให้น้ำตาแห่งความเศร้าไม่ แต่เป็น น้ําทิพย์แห่งเมฆาที่โปรยสาทลงมาห่าใหญ่ ร่างกายของดินหลังเพียงนั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนที่ตกลงมา แต่ก็ไม่ได้ไหวติงจากตรงนั้นแม้เพียงน้อย…

หลินหลางเทียนหลับตาลงเป็นเวลาหลายวินาที ก่อนที่จะพาร่างของตนเองลุกออกจากสถานที่แห่งนั้นด้วยแววตาสงบนิ่ง อยากจะบรรยายความรู้สึก

…….ฉันจะมาเยี่ยมอีกนะซิ่งเสอ

 เขาพูดกับตนเองเช่นนั้นในใจ แม้จะไม่รู้ว่าจะไปถึงอีกฝ่ายหรือเปล่าก็ตาม

 

 

 

บทนํา

 

 

เบื้องหน้าคือทุ่งหญ้าโล่งที่ไม่ค่อยมีสิ่งใดโดดเด่นนัก นอกจากทุ่งหญ้าสีทองอันกว้างใหญ่ไพศาลสุดสายตา...

ผู้ใดก็ตามที่มาเป็นครั้งแรกจะต้องตะลึงงันเมื่อเห็นทิวทัศน์สุดสวยงามอลังการตื่นตาตื่นใจตรงหน้า เเต่ในสายตาของหลินหลางเทียนกลับรู้สึกว่าธรรมดาสามัญยวดยิ่ง

คงเป็นเพราะหลินหลางเทียนมองเห็นมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเป็นเเน่ จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี จวบจนกระทั่งหลายปีผ่านพ้น เนิ่นนานเข้ามันจึงรู้สึกคุ้นเคยกับภาพที่เห็นจนชินตา ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

เขาลงหลักปักฐานอาศัยอยู่ที่นี่ร่วมสี่ปีเเล้ว...จะไม่ให้รู้สึกคุ้นชินกับทัศนียภาพตรงหน้าที่เห็นอยู่ทุกวันได้อย่างไรกัน

ช่วงเวลาสี่ปีที่พำนักกินอยู่ที่นี่ ทุกวันมีเเต่เรื่องน่าปวดเศียรเวียนเกล้ามิหยุดมิหย่อน วันเวลาที่มิต้องอนาทรร้อนใจหรือกังวลสิ่งใดๆ นั้นจะมีโอกาสมาถึงหรือเปล่านะ...

"หึ หึ หึ ช่างเถอะ ให้สวรรค์เป็นคนเลือกเเล้วกัน " เขาหัวเราะเสียงดังเพื่อผ่อนคลายความอัดอั้นตันใจ พร้อมคิดว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เมื่ออารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว จึงหันกลับไปมองดูทิวทัศน์เบื้องหน้าอีกครา

ซึ่งความจริงทุ่งรวงทองอันไพศาลแห่งนี้(คือมณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามดั่งภาพวาด เสมือนเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของจิตรกรฝีมือชั้นหนึ่งที่ทํามันออกมาอย่างเต็มที่ ด้านหนึ่งเป็นทุ่งหญ้าสีทองกว้างใหญ่ไพศาล อีกด้านโอบล้อมด้วยทิวเขาสูงหลายสิบลูกตระหง่านสลับซับซ้อนไปมา ตรงกลางเป็นทะเลสาบที่ผิวน้ำราบเรียบดุจกระจกเงา ส่องสะท้อนดวงตะวันที่กำลังสาดแสงแรงกล้ากลางเวหา เกิดเป็นภาพแปลกพิสดารคล้ายดั่งโลกหล้ามีพระอาทิตย์สองดวงก็มิปาน

ภูมิทัศน์สวยงามเช่นนี้หาดูได้ยากยิ่งในยุคสมัยปัจจุบันของเขา ที่มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสิ้นเปลืองเเบบไม่บันยะบันยัง เเละตัดไม้ทำลายป่ากันอย่างมโหฬาร ขุดดินรื้อภูเขาลูกเเล้วลูกเล่า ทําเหมืองเเร่หรือไม่ก็โรงงานอุตสาหกรรมบ้างจนภูเขาลดจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ หลินหลางเทียนเข้าใจเรื่องนี่ดีที่สุด เพราะในสมัยก่อนตน มีงานคล้ายๆเเบบนั้น

แม้ทิวทัศน์เบื้องหน้าจะสวยงามเพียงใด แต่เพราะวันเวลายาวนานร่วมสี่ปีทำให้มันชินชากับทัศนียภาพตรงหน้าที่มองเห็นอยู่ทุกวันนี้เสียเเล้ว

เวลานี้ที่เขามองไปข้างหน้า สีหน้าช่างเรียบเฉยคล้ายกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ซึ่งความจริงแล้วเขามิได้คิดสิ่งใดอยู่ทั้งสิ้น และเขานั้นมิเคยสงสัยเส้นทางที่ตนเลือกนั้นถูกต้องหรือไม่ เนื่องเพราะมันไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกตั้งแต่ต้นแล้ว...

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ใบหญ้าโชยมาแตะจมูกพร้อมสายลมละมุนเหนือทุ่งรวงทองสีทองอร่าม สร้างความสดชื่นเพลินตาเจริญใจจนหลินหลางเทียนรู้สึกผ่อนคลายมิน้อย

บรรยากาศเงียบสงบ แต่มันคล้ายความสงบเงียบก่อนที่มหาวาตะพายุคลั่งหน้ามรสุมจะโหมพัดซัดกระหน่ำ มันจะมาเเบบซํ้าเเล้วซํ้าเล่าอย่างไม่มีสิ้นสุด

หลินหลางเทียนพลันหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต เเม้ว่าจะผ่านมานานหลายปีดีดักแล้ว ก็ตามเเต่ในความทรงจำของเขาทุกอย่างยังคงแจ่มชัดอย่างยิ่ง ราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง...

สี่ปีก่อน...

หลินหลางเทียนวัยสิบเก้าปีทำงานในตำแหน่งวิศวกรช่างฝ่ายออกแบบอาวุธยุทโธปกรณ์ ของบริษัทผลิตอาวุธแห่งหนึ่งในเมืองเสิ่นเจิ้น รวมไปถึงขั้นกระบวนการทําอีกด้วย

ช่วงนั้นเขาซึ่งกำลังไฟแรงตลุยทํางานหามรุ่งหามค่ำเช่นคนเสียสติมาร่วมอาทิตย์เพื่อให้งานเสร็จตามกำหนด นี่คือวิถีชีวิตของมนุษย์เงินเดือน ที่หลายๆ คนต้องประสบพบเจอเมื่อมีออเดอร์เร่งด่วนที่ผลตอบแทนสูงเข้ามาอย่างกะทันหัน

หลังส่งมอบงานเรียบร้อยพร้อมรับคำชมจากหัวหน้า เขาก็ได้รับการอนุญาตให้ลาพักได้

หลินหลางเทียนมองดูเหล่ามัจฉาแหวกว่ายไปมาในทะเลสาบขณะเรียบเรียงความคิด เรื่องราวในอดีตหลั่งไหลดุจสายนํ้าดั่งกำลังกรอเทปกลับ ความหลังวนเวียนในความทรงจำเช่นความฝันที่คล้ายจริงดั่งมายา มีทั้งเรื่องราวที่อยากจำและอยากลืม

ชีวิตผู้คนแปลกอย่างยิ่ง บางครั้งสิ่งที่อยากลืม (เพราะเป็นความประทับใจที่ไม่ดีสร้างความเจ็บปวดทุกครั้งที่หวนไปคิดถึงมัน) กลับจำฝังใจประทับแน่นในความทรงจำมิสามารถลืมเลือนได้ นับเป็นเรื่องที่อับจนปัญญาจริงๆ

และกาลเวลานั้นก็ประหลาดอย่างยิ่ง ยามผู้คนตกอยู่ในห้วงโศกเศร้าทุกข์ระทมและรู้สึกทรมานขมขื่น (เพราะพลาดหวังในรักหรือผิดหวังเศร้าใจเพราะการพลัดพรากจากกันทั้งชั่วคราวระยะสั้นๆ และการจากกันชั่วนิรันดร์) จะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเชื่องช้ายิ่ง จนมีคนกล่าวว่าผ่านวันเวลายาวนานเช่นผ่านปี

ผิดกับช่วงเวลาที่มีความสุขสดชื่นสมหวัง (เช่น ยามที่ได้อยู่ร่วมกับบุคคลอันเป็นที่รักหลังการพลัดพรากจากกันนานเป็นต้น) เวลากลับผ่านไปรวดเร็วยิ่งนักราวกับติดปีก จนผู้คนปรารถนาที่จะหยุดช่วงเวลาดีๆ นั้นให้คงอยู่เป็นนิรันดร์ และเกิดคำพูดที่ว่า "เวลาในห้องหอมีค่าดั่งทองคำ" ท่านว่ากาลเวลานั้นประหลาดหรือไม่

ช่วงเวลาที่ลาพักเขาตั้งใจจะลาพักสักสามวัน แต่แล้วต้องหยุดพักอยู่กับบ้านอย่างไม่มีกำหนด เพราะประจวบเหมาะกับที่ทางการมีคำสั่งห้ามมิให้ออกนอกบ้านและห้ามการชุมนุมตลอดจนการรวมกลุ่มเล่นไพ่นกกระจอก สืบเนื่องมาจากการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของไวรัสมรณะอันน่าสะพรึงกลัว

กล่าวกันว่าไวรัสดังกล่าว อาจเป็นอาวุธชีวภาพมหาประลัยของมหานครฝ่ายตรงข้ามที่ส่งมาก่อกวนสร้างความปั่นป่วนโกลาหลก็เป็นได้ เท็จจริงประการใดมิมีผู้ใดทราบ

 

วสันตฤดู...

อากาศกำลังดีมิร้อนหรือหนาวเกินไป ท้องฟ้าสีครามปลอดโปร่งปุยเมฆบางตา เหมาะที่จะเป็นช่วงวันหยุดพักผ่อนอย่างสบายใจ

แต่ทว่าบรรยากาศทั่วไปกลับตึงเครียดเพราะการระบาดของไวรัสมหาภัย ระบบขนส่งมวลชนหยุดให้บริการ การคมนาคมกลายเป็นอัมพาต ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งเวลาล้วนหยุดชงักลง ทั้งเมืองเงียบสงบไร้สรรพเสียงสำเนียงรบกวนใดๆ ไม่มีรถราวิ่งไปมาจนการจราจรติดขัดเช่นปกติ

ทางการมีคำสั่งห้ามออกนอกเคหสถาน ทุกคนจึงต้องอยู่แต่ในบ้าน งดการเดินทางและยุติการไปมาหาสู่กันชั่วคราว เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะ...

เวลารุ่งอรุณ...ที่สายลมอ่อนพัดมาเฉื่อยฉิว

เพราะอยู่ว่างมิผิดคนตกงาน หลินหลางเทียนจึงมักนอนตื่นสายเป็นประจำมาหลายวันแล้ว

หลังตื่นนอนอาบน้ำแต่งตัวทานอาหารเช้าเสร็จ ขณะที่หลิงหลางเทียนเอนกายลงนอนเพื่ออ่านหนังสือบนโซฟากลางห้องโถง เป็นเวลาเดียวกับที่ปรากฏเเสงสีขาวสว่างเจิดจ้าขึ้นตรงหน้า แสงประหลาดพิสดารปริศนาที่ไม่อาจระบุแหล่งที่มานี้เข้มข้นสว่างกว่าแสงอาทิตย์ไม่รู้กี่เท่า มันพุ่งเข้าใส่อย่างกะทันหันโดยมิทันตั้งตัว !!!

ชายหนุ่มรู้สึกคล้ายถูกแสงไฟจากสปอร์ตไลท์ขนาดมหึมาสาดส่อง แสงไฟนั้นเจิดจ้าจนเขาลืมตาไม่ขึ้น ต้องยกสองมือขึ้นปกป้องโดยสัญชาตญาณ

หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกหนังตาหนักอึ้งง่วงเหงาหาวนอนยิ่งนักจนต้องผลอยหลับไป..ช่างเป็นความฝันอันแปลกประหลาดพิสดารยิ่งนัก.....

 

ใจกลางป่าอุดมสมบูรณ์ ณ บริเวณใต้ต้นไม้อันร่มรื่นใกล้ทะเลสาบ ชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนเอกเขนกอยู่ครู่ใหญ่ๆ แล้ว

ดวงตาสีนํ้าเงินเข้มของตนกำลังมองไปรอบทิศ ชายหนุ่มแสดงสีหน้าตื่นตระหนกระคนพิศวงงวยงงเมื่อเห็นทิวทัศน์ในสถานที่อันแปลกตาแห่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้านล้วนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจนหมดสิ้น ผิดแผกแตกต่างกับสถานที่ในความทรงจําของมัน

ผมสีดําสนิทที่ยาวประบ่าดูยุ่งเหยิง ทว่าใบหน้าอันหล่อเหลากลับสะอาดสะอ้าน เเววตาสดใสกระจ่างเปี่ยมสติปัญญาชาญฉลาดทันคน พิศดูคล้ายบัณฑิตคงแก่เรียนดั่งคุณชายตระกูลใหญ่ก็มิปาน หากแต่เสื้อผ้าอาภรณ์การแต่งกายของมัน...

ไม่ทราบว่ามันคือผู้ใด มาจากแห่งหนตำบลใด...

เขามิใช่ใครอื่น เขาคือหลินหลางเทียน วิศวกรหนุ่มที่กำลังอยู่ว่างมิผิดคนตกงาน

เพราะอยู่ว่างหลินหลางเทียนจึงมักนอนตื่นสาย แต่เช้าตรู่วันนี้แปลกประหลาดพิศวงยิ่งนัก ที่อยู่ๆ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตนมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้ว เหลียวมองทัศนียภาพอันแปลกตาเบื้องหน้าแล้วให้รู้สึกสับสนงวยงงยิ่งนัก

หากจํามิผิดเขาจะต้องอยู่บนโซฟากลางห้องโถงด้านหน้าบนชั้นสองของอาคารพาณิชย์กลางเมืองเสิ่นเจิ้นอันแออัดที่ยามปกติการจารจรคับค้่งรถติดเกือบทั้งวัน ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าล้วนเเตกต่างกับที่เขาเคยเห็นโดยสิ้นเชิง

ทำไมจึงเป็นสถานที่เเห่งนี้? เเละสถานที่แห่งนี้คือที่ใด? หากนี่เป็นเพียงความฝัน เขาปรารถนายิ่งนักที่จะตื่นขึ้นโดยเร็ว...

หลินหลางเทียนลองหยิกตัวเองและพยายามอีกสารพัดวิธีเพื่อให้ตนเองตื่น แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เขาเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติและไม่ชอบมาพากลแล้ว

 

ในที่สุด...

"ลองสำรวจดูหน่อยดีกว่า อาจเจอใครบ้างก็ได้" เขาลุกขึ้นก้าวเท้าเดินดูไปทั่วบริเวณโดยรอบ บางทีอาจเจอบ้านคนสักหลัง

ทว่าเมื่อลองเดินอยู่นานกว่าหนึ่งก้านธูปแล้ว กลับไม่พบบ้านคนแม้แต่หลังเดียวหรือแม้แต่ถนนเส้นทางสัญจรสักสาย

สีหน้าเขาดูยํ่าเเย่อย่างยิ่ง สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก สัญชาตญาณเตือนว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว

"ไฉนเราจึงให้รู้สึกว่า เหตุร้ายกำลังมาเยือนเรา" ทุกครั้งที่ก่อนจะเจอเหตุร้ายหรือช่วงวิกฤติ จิตใจของเขามักว้าวุ่นเช่นนี้ จึงทำให้เขาอดรู้สึกวิตกกังวลมิได้

"ก่อนอื่นต้องหาบ้านคนให้เจอก่อน" เขาตัดสินใจทำสิ่งสำคัญและเร่งด่วนก่อน เเม้ว่าความหวังนั้นจะดูริบหรี่

หลินหลางเทียนเริ่มเคลื่อนไหวอย่างฉับไว ตลอดเช้านี้ที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าคือป่าไม้และทุ่งหญ้าไพศาลสุดสายตา มิอาจรู้ได้ว่าจะไปสิ้นสุดลงตรงที่ใด

สายลมพัดเอื่อยเฉื่อยฉิวตลอดเวลา เส้นผมสีดํายาวสบัดไหว อากาศที่บริสุทธิ์ไร้มลภาวะใดๆ ช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นและผ่อนคลายลงไม่น้อย

"ไม่มีเลยเหรอเนี่ย" เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าที่แห่งนี้คือสถานที่ใด?

ขณะที่กำลังเดินอยู่กลางทุ่งหญ้าอย่างไร้จุดหมายปลายทาง เขาก็สังเกตเห็นบางอย่าง อะไรบางอย่างที่คล้ายบ้านคน เเต่มันไม่ได้สร้างขึ้นด้วยการก่ออิฐถือปูน มันถูกสร้างขึ้นอย่างลวกๆ ด้วยไม้ไผ่ มองดูเก่าคร่ำคร่าและซอมซ่อยิ่งนัก จนดูเหมือนว่ามันพร้อมจะพังทลายราบลงได้ทุกเมื่อ

"เข้าไปดูหน่อยดีกว่า..."

ครู่เดียวต่อมา หลังจากตะโกนเรียกแล้วคาดว่าไม่มีใครอยู่ หลินหลางเทียนจึงตัดสินใจถือวิสาสะเปิดประตูที่จะพังมิพังเเหล่เข้าไป

"เก่าจริงๆ เลยนะเนี่ย" หลินหลางเทียนมองเข้าไปด้านในบ้านพลางสำรวจตรวจตรา

ตอนนั้นเอง สายตาของเขาก็ได้สังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้า นั่นคือร่างของบุรุษในชุดจีนโบราณเเปลกตาที่เขาเคยเห็นแต่ในซีรีย์หรือละครทีวี กำลังนอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้า

ตอนแรกชายหนุ่มตื่นตระหนกจนแข้งขาสั่น เมื่ิอตั้งสติได้จึงรีบเข้าไปดูอาการของชายผู้เคราะห์ร้าย

"ยังไม่ตาย..แต่ก็ร่อแร่เต็มที..."

เขารีบดูว่ามีอะไรที่พอจะห้ามเลือดได้บ้าง ภายในบ้านหลังนี้แม้ไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ก็พอมีอาภรณ์เก่าๆ เสื้อผ้าฉีกขาดที่ไม่ใช้แล้วทิ้งเอาไว้ เขาจึงรีบนํามาพันบาดแผลเพื่อห้ามเลือด

บาดแผลมากมายส่วนใหญ่เกิดจากคมดาบแทบทั้งสิ้น มีทั้งรอยแผลใหม่และเก่า สังเกตได้จากรอยแผลตกสะเก็ดที่หลงเหลือรอยแผลเป็นให้เห็นจำนวนไม่น้อย

สังเกตจากรูปร่างอันบึกบึนแข็งแรงเปี่ยมพลัง เต็มไปด้วยมัดกล้ามไร้ไขมันส่วนเกิน อันเป็นลักษณะของผู้ฝึกวิทยายุทธ์ที่เชี่ยวชาญทั้งกำลังภายในและภายนอก ชายผู้นี้คงเป็นผู้มีทักษะวิทยายุทธ์สูงล้ำและมีความเป็นมาไม่ธรรมดา...

ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม ภารกิจของหมอจำเป็นมือสมัครเล่นก็สำเร็จ หลินหลางเทียนสามารถยื้อชีวิตชายวัยกลางคนไว้ได้อย่างเฉียดฉิว

 

การพยาบาลคนป่วย(ในวิชาสุขศึกษา)ที่ตนร่ำเรียนมาอย่างไม่ตั้งใจนักบวกกับคอร์สพิเศษช่วยคนยามฉุกเฉินที่บริษัทส่งไปอบรมกลับสามารถนำมาใช้อย่างได้ผลในครั้งนี้ เขาช่วยอีกฝ่ายทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเพราะถือคติว่า ช่วยชีวิตคนประเสริฐกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น

"เอาล่ะ คาดว่าคงไม่เป็นไรแล้ว นอนพักก่อนดีกว่า"

ใกล้เที่ยง หลินหลางเทียนก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงขยับตัวของคนเจ็บ เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่ผิด ด้วยพื้นฐานวิทยายุทธ์พลังฝึกปรืออันสูงส่งชายผู้นี้สามารถฟื้นคืนสติสัมปชัญญะอย่างรวดเร็ว เห็นมันลุกขึ้นนั่งและเดินลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ เพียงครู่เดียวสีหน้าที่ซีดขาวก็เริ่มกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง แสดงว่าอาการบาดเจ็บทุเลาดีขึ้นแล้วไม่น้อย

 

ครู่ใหญ่ๆ ต่อมา...

"ที่นี่..ที่ไหนกัน...?" เสียงถามขึ้นอย่างเนือยๆ ของชายแปลกหน้าที่เพิ่งทุเลาจากอาการบาดเจ็บสาหัสปางตาย

"เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้รึ?" ชายวัยกลางคนถามพลางก้มมองบาดแผลทั่วตัวที่ถูกผ้าพันไว้ หากมิได้ผ้าเหล่านี้ช่วยห้ามเลือดให้หยุดไหลอย่างทันท่วงที ป่านนี้เขาคงไปรายงานตัวที่ยมโลกแล้ว

"อื้อ ทำนองนั้นแหละ ท่านจอมยุทธ์" เขาได้แต่พยักหน้าตอบไปตามตรง

ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาโดยแรง ก่อนจะประสานมือคารวะกล่าวขอบคุณเขาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม

"เจ้าหนุ่ม ข้าขอขอบคุณเจ้ามาก ที่ช่วยชีวิตข้าไว้" แม้สําเนียงจะฟังดูแปลกอยู่บ้าง ทว่าเขาก็ทราบว่าอีกฝ่ายขอบคุณเขาอย่างจริงใจ

หลินหลางเทียนมองชายตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ เขามีรูปร่างที่สมส่วนบึกบึนสูงใหญ่ แข็งแรงเปี่ยมพลัง ใบหน้ารับกับหนวดเครายาวมองดูภูมิฐานมีสง่าราศรี คาดว่าคงมีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดาทีเดียว

ชายหนุ่มนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ จึงรีบถามว่า...

"ท่านจอมยุทธ์ ที่นี่คือสถานที่ใด?"

ชายวัยกลางคนมองเขาอย่างประหลาดใจ "เจ้าคงเป็นคนต่างถิ่นที่หลงทางมา อาภรณ์ที่สวมใส่จึงดูแปลกตายิ่งนัก ที่นี่คือแคว้นฉิน..."

 

แม้ว่าหลินหลางเทียนจะศึกษาและจบคณะวิศวกรรมศาสตร์มา แต่เขาก็สนใจวิชาประวัติศาสตร์มาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติศาสตร์ราชวงค์ต่างๆ ในสมัยโบราณซึ่งเขาชอบอ่านและศึกษาค้นคว้ามาไม่น้อย

มหานครแคว้นฉินเป็นหนึ่งในเจ็ดแว่นแคว้นยุคสมัยชุนชิวจ้านกว๋อ มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ดินแดนที่บรรพบุรุษใช้เลือดเนื้อหลั่งเลือดเลียคมดาบแลกมา และปกป้องรักษาด้วยชีวิตจวบจนสามารถผงาดขึ้นเป็นรัฐที่แข็งแกร่งมั่นคงยิ่งเลื่องลือไปทั่วหล้า

หลินหลางเทียนฟังแล้วอดที่จะตื่นตระหนกมิได้ หากที่นี่เป็นรัฐฉินสมัยก่อนคริสต์ศักราชซึ่งเป็นยุคที่เกิดสงครามนองเลือดมากที่สุดในประวัติศาสตร์แล้วละก้อ...แสดงว่า...

สวรรค์!!! นี่ข้า..ย้อนเวลานับพันปี..ย้อนอดีตมายังสมัยชุนชิวจ้านกว๋อ ยุคสมัยที่เต็มไปด้วยการรบพุ่งไฟศึกสงครามลามเลียไปทุกหย่อมหญ้าสุดแสนอันตรายโดยไม่รู้ตัวกระนั้นเรอะ..ไม่ได้การ..เรื่องนี้จะให้ผู้ใดทราบมิได้เด็ดขาด...

 

หลินหลางเทียนพยายามเก็บความรู้สึกที่ตื่นตระหนก กระนั้นสายตาชายตรงหน้าดูเหมือนจะล่วงรู้ถึงความนึกคิดภายในใจของเขา

สีหน้าที่ตกใจของเขาไม่สามารถรอดพ้นสายตาคมกริบของชายวัยกลางคน ทำให้เขารู้สึกจิตใจหนักอึ้งอย่างแปลกประหลาด แม้มิใช่สายตาข่มขู่คุกคาม แต่ทำไมนะเขาจึงรู้สึกอึดอัดเพราะความกดดันจากรังสีอำมหิตทั้งที่อีกฝ่ายนิ่งเฉยมิได้ทำสิ่งไรเลย

กล่าวกันว่า ต้องเป็นจอมยุทธ์วรยุทธ์สูงส่งที่หลั่งเลือดเลียคมคมดาบผ่านศึกน้อยใหญ่มาอย่างโชกโชน โค่นล้มบรรดาคู่ประลองยุทธ์ฝีมือสุดแสนร้ายกาจ และสังหารคู่ต่อสู้มามากมายนับมิถ้วน จนแข็งแกร่งตบะแก่กล้าจึงสามารถแผ่รังสีอำมหิตจิตสังหารอันดุดันดุจพยัคฆ์ร้ายดั่งอสรพิษเช่นนี้ได้

ชายวัยกลางคนมองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากถามว่า

"ข้ายังมิทราบชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าเลยนะ เจ้าหนุ่ม"

คำพูดของชายเบื้องหน้าทำให้เขาสดุ้งโหยง ก่อนหันมาตอบด้วยสําเนียงที่เคยดูมาจากละครโทรทัศน์

"ข้าเเซ่หลิน ชื่อหลางเทียน หลินหลางเทียน แล้วท่านจอมยุทธ์ล่ะ?"

"ข้าหวังเจี่ยน ผู้นำตระกูลหวังคนปัจจุบัน รั้งตำแหน่งเเม่ทัพหน่วยรบประจัญบานรัฐฉิน" หวังเจี้ยนตอบกลับด้วยเสียงทุ้มตํ่า แต่ชายหนุ่มต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจราวกับโดนผีหลอกกลางวันเเสกๆ

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!