จ้าวชิงเหยา!
เสียงเรียกที่แหลมเล็กบาดแก้วหูดังขึ้น พร้อมกับแรงเขย่าที่ต้นแขน จ้าวชิงเหยา หรือชื่อเดิมว่า เหยาชิง ศัลยแพทย์ประสาทแถวหน้าของโลกปัจจุบัน รู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวราวกับลอยอยู่ในน้ำ มือที่คุ้นเคยกับการถือมีดผ่าตัดกลับรู้สึกหนักอึ้งอย่างประหลาด
วินาทีสุดท้ายในความทรงจำคือแสงสว่างจ้าของไฟหน้ารถบรรทุกขนาดใหญ่ที่พุ่งเข้าชนอย่างจังเมื่อเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน แต่ตอนนี้... เธอไม่ได้เจ็บปวด
“คุณหนูเจ้าคะ! ได้เวลาแล้วเจ้าค่ะ ต้องออกเรือนแล้ว!”
เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆ เปิดขึ้น สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสดที่ปักลายมงคลอย่างประณีต แต่บรรยากาศโดยรอบกลับหนาวเย็นยิ่งกว่าฤดูเหมันต์
เหยาชิงลุกพรวดขึ้นนั่งด้วยสัญชาตญาณแพทย์ที่ต้องประเมินสถานการณ์ เธอพบว่าตนเองอยู่ในห้องที่ตกแต่งด้วยผ้าแดงมงคล แต่เฟอร์นิเจอร์โดยรอบกลับดูเก่าแก่และขาดการดูแลอย่างดี ห้องนี้เต็มไปด้วยความเงียบสงบจนน่าขนลุก ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นห้องวิวาห์อย่างสิ้นเชิง
“คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ?” สาวใช้ร่างเล็กคนหนึ่งซึ่งมีดวงตาใสซื่อเหมือนดวงจันทร์น้อย (เสี่ยวเยว่) ร้องถามอย่างตกใจ ใบหน้าเล็กนั้นเต็มไปด้วยความสงสารและตื่นตระหนก
ชิงเหยาใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการประมวลผลข้อมูลในสมอง... จ้าวชิงเหยา ลูกสาวขุนนางผู้ถูกหมายหัวว่าเป็นตัวซวย ถูกบีบให้แต่งงานกับ ฉินอ๋อง หลี่จ้าน อ๋องผู้พิการที่ถูกลดอำนาจลง นี่คือพิธีวิวาห์ที่ถูกจัดขึ้นอย่างอับอายเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกำจัดทั้งคู่
นี่ฉัน... ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของคนยุคโบราณงั้นหรือ?
"เสี่ยวเยว่... ตอนนี้กี่โมงแล้ว และขบวนแห่ถึงไหนแล้ว?" จ้าวชิงเหยาใช้โทนเสียงที่นิ่งและหนักแน่นจนเสี่ยวเยว่เบิกตากว้าง ด้วยความประหลาดใจที่เห็นคุณหนูมีสติและเยือกเย็นถึงเพียงนี้
"ข-ขบวนแห่มาถึงจวนฉินอ๋องได้พักใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ผู้คนกำลังมองเราด้วยความสงสาร... และดูแคลน" เสี่ยวเยว่กระซิบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "คุณหนูต้องสวมผ้าคลุมแล้วเดินเข้าห้องหอเจ้าค่ะ"
จ้าวชิงเหยายื่นมือออกไปรับผ้าคลุมสีแดงเลือดหมูนั้นมา แต่ก่อนจะสวมใส่ เธอสวมสติของ แพทย์ศัลยกรรมประสาทผู้ฉลาดหลักแหลม เข้าไปแทนที่ความหวาดกลัวของเจ้าของร่างเดิม
ไม่ว่าจะไปอยู่ไหน ภารกิจหลักของฉันคือการเอาชีวิตรอดและใช้ความสามารถที่ฉันมีให้เป็นประโยชน์ ถ้าถูกส่งมาเป็นเบี้ยการเมือง งั้นฉันก็จะเป็นเบี้ยที่แข็งแกร่งที่สุด!
ขบวนขันหมากที่ควรจะโอ่อ่าสมเกียรติอ๋องกลับเงียบเหงาเกินกว่าจินตนาการ จวนฉินอ๋องนั้นใหญ่โตโอ่อ่าตามฐานะ แต่กลับมีผู้คนน้อย เงียบสงบจนน่าขนลุก ทำให้รู้สึกเหมือนเป็น คุกทองคำ ที่ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ กำแพงและต้นไม้สูงใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ ทำให้ภายในจวนมีแสงสลัวๆ พื้นที่ส่วนใหญ่มักอยู่ในความมืดครึ้ม สื่อถึงความไม่แน่นอนและความลับที่ซ่อนอยู่
ชิงเหยาเดินเข้าสู่ห้องหอของตนอย่างสง่างาม แม้จะมีผ้าคลุมปิดบังใบหน้า แต่ท่าทางที่มั่นคงของเธอก็ทำให้ผู้ที่แอบมองอยู่รอบข้างรู้สึกประหลาดใจ
ภายในห้องหอถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน บรรยากาศเน้นความเรียบง่าย ไม่มีการประดับประดาที่บ่งบอกถึงความรักเลยแม้แต่น้อย
ฉินอ๋อง หลี่จ้าน ประทับอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลักอย่างโดดเดี่ยว ร่างกายกำยำของอดีตแม่ทัพใหญ่ถูกปิดซ่อนไว้ภายใต้ชุดแต่งงานสีแดงเข้ม ทว่าออร่าของความ เย็นชา เก็บตัว และหวาดระแวง ก็แผ่ออกมาอย่างชัดเจน ใบหน้าของเขาถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดของแสงสลัว สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือความเงียบงันและความไม่ยินดียินร้ายในพิธีวิวาห์ครั้งนี้
ที่ข้างกายอ๋องมีชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งยืนนิ่งราวรูปปั้น หลิ่งเฟิง องครักษ์เงาผู้ภักดี ใบหน้าของเขาเย็นชาและไร้อารมณ์ใด ๆ ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวกำลังจับจ้องชิงเหยาอย่างไม่ละสายตา ความระแวง ชัดเจนราวกับประกาศว่าเธอคือบุคคลภายนอกที่จู่โจมเข้ามาใกล้เจ้านายที่เขาปกป้อง
พิธีการที่ไม่สำคัญถูกตัดออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเวลาที่ทุกคนต้องออกจากห้องหอ...
“ไม่ต้องยุ่งยาก” เสียงทุ้มต่ำที่แฝงความเย็นยะเยือกของหลี่จ้านดังขึ้น ทำให้ชิงเหยารู้สึกสะท้านเล็กน้อย “เจ้าออกไปได้แล้ว”
เขาพูดกับนางกำนัลที่กำลังจะเสิร์ฟสุราวิวาห์ และหันมาทางชิงเหยาที่ยืนนิ่งอยู่
ชิงเหยาปลดผ้าคลุมหน้าออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าสง่างามที่มีสติและเหตุผล ดวงตาของเธอไม่ได้มีความหวาดกลัวหรือความอับอายอย่างที่ควรจะเป็น แต่มันเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้ของ แพทย์ผู้กำลังวินิจฉัยอาการ
“จ้าวชิงเหยา” หลี่จ้านเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงเฉยเมย "เจ้าคงรู้ดีว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเพียงแผนการของอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง พวกเขามองว่าข้าเป็นอ๋องขาพิการที่กำลังจะหมดอำนาจ ส่วนเจ้าคือคุณหนูผู้ถูกหมายหัวว่าเป็นตัวซวย พวกเขาต้องการ กำจัดเราทั้งคู่ ด้วยการมัดรวมกัน"
เขาพยายามขยับขาที่ไร้ความรู้สึก ทำให้น้ำเสียงเย็นชาขึ้นไปอีกขั้น "ข้า หลี่จ้าน ปฏิเสธที่จะแตะต้องหรือพูดคุยกับเจ้า ในสายตาข้าเจ้าเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น และ... ข้าสั่งห้ามเจ้าก้าวข้ามเขตของตัวเองเด็ดขาด"
หลี่จ้านชี้ไปที่ฉากกั้นไม้ฉลุที่แบ่งห้องหอออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน นั่นหมายความว่าชิงเหยาถูกจำกัดให้อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง สื่อถึงความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน
“เข้าใจแล้ว” ชิงเหยาตอบรับอย่างเรียบง่าย ทำให้หลี่จ้านและหลิ่งเฟิงที่เตรียมใจฟังคำอ้อนวอนหรือคำโต้แย้งต้องชะงัก
“เจ้า...ไม่คิดจะพูดอะไรอีกหรือ?” หลี่จ้านถาม
ชิงเหยาเดินอย่างช้า ๆ ไปที่ฉากกั้นตามที่เขาชี้ ก่อนจะหันมามองเขาอย่างตรงไปตรงมา เธอไม่กลัวอำนาจหรือฐานะ
“ท่านอ๋องทรงตรัสได้ถูกต้องที่สุดเพคะ” ชิงเหยายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แต่ดวงตาของเธอกำลังสำรวจร่างกายช่วงล่างของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน "ข้าถูกบีบให้แต่งงาน ท่านก็ถูกบังคับ เราต่างตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ดังนั้นข้าจะทำตามหน้าที่ของชายา... ในแบบของข้า"
เธอไม่สนใจคำขู่ แต่ใช้เวลาในการสังเกตอาการบาดเจ็บที่ขาของหลี่จ้าน เธอเห็นอาการฝ่อลีบที่ไม่สมมาตรของกล้ามเนื้อ และท่าทางการนั่งที่ไม่เป็นธรรมชาติ
ไม่ใช่แค่ความพิการทั่วไป... จ้าวชิงเหยา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมประสาทแถวหน้าของโลกปัจจุบัน วินิจฉัยอย่างรวดเร็ว อาการบาดเจ็บนี้ส่งผลต่อ ระบบประสาทส่วนปลาย ที่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว... มันสามารถรักษาได้!
“ท่านอ๋อง” เธอตัดสินใจพูดขึ้นอีกครั้งโดยไม่ได้รับอนุญาต "ข้าไม่ใช่เบี้ยที่ไร้ค่า... ข้าเป็นแพทย์ และตอนนี้... ภารกิจของหมอจึงเริ่มต้นขึ้น"
คำประกาศกร้าวที่เยือกเย็นและมั่นใจของชิงเหยา ทำให้หลี่จ้านถึงกับขมวดคิ้วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ภารกิจของหมอ? เขาไม่ได้ต้องการแพทย์ แต่ต้องการความสงบ
หลิ่งเฟิงก้าวเข้ามาด้านหน้าทันที “ชายา! โปรดระวังวาจา! หากเจ้าคิดจะวางแผนร้ายใด ๆ ข้าจะ—”
“หลิ่งเฟิง” หลี่จ้านยกมือขึ้นห้ามองครักษ์ของตน ดวงตาของเขาจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเคลือบแคลงสงสัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หญิงสาวผู้นี้นิ่งและฉลาดหลักแหลมเกินกว่าจะเป็นคุณหนูที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวซวย
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร... เป็นแพทย์? เจ้าจะใช้สมุนไพรโบราณที่ไร้ประโยชน์นั่นมาหลอกลวงข้าอีกคนงั้นหรือ?” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความดูถูกและบาดแผลจากความผิดหวังในอดีต
“ข้าไม่ได้ใช้แค่สมุนไพรโบราณเพคะ” ชิงเหยาเดินเข้าสู่เขตของเธออย่างไม่เร่งรีบ ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงที่เย็นชืด
เธอหันมามองเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดฉากกั้น "ข้าใช้ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ ที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บทางระบบประสาทที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ได้ ท่านอ๋องขาพิการผู้นี้... จะกลับมาเดินได้อีกครั้ง”
คำพูดของเธอเต็มไปด้วยความ เด็ดขาดและจริงใจ
เมื่อฉากกั้นถูกปิดลง แสงสว่างสลัวก็ถูกบดบัง ชิงเหยาถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของตนเอง ทว่าในความมืดครึ้มนั้น เธอกลับไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป
เอาล่ะ! เธอคิด ไม่ว่าเจ้าของร่างเดิมจะถูกส่งมาเพื่อเป็นเหยื่อหรือไม่ แต่ตอนนี้ฉันคือ จ้าวชิงเหยา แพทย์ศัลยกรรมประสาท! เป้าหมายแรกคือ รักษาขาของท่านอ๋อง เพื่อความอยู่รอดทางการเมืองของฉันเอง และแน่นอน... ต้องหาวิธีสร้างห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ของตัวเองในคุกทองคำแห่งนี้
ในพื้นที่ส่วนตัวของอ๋อง หลี่จ้านยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาที่เต็มไปด้วยบาดแผลทางใจ จ้องมองไปยังฉากกั้นไม้
“ท่านอ๋อง...” หลิ่งเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “นางไม่น่าไว้ใจ ข้าขอให้ข้าจับตามองนางอย่างใกล้ชิดทุกฝีก้าว”
หลี่จ้านไม่ได้ตอบ เขานำมือไปแตะที่ขาที่ตายด้าน ก่อนจะกระซิบกับตัวเองอย่างแผ่วเบา... “อาการบาดเจ็บทางระบบประสาท... มีแพทย์คนใดในใต้หล้าเคยกล่าวเช่นนี้มาก่อน...”
ดวงตาของ ฉินอ๋อง หลี่จ้าน ผู้แสนเย็นชา เปล่งประกายวูบหนึ่งของ ความสนใจ ที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้
ความเงียบงันภายในห้องหอของฉินอ๋องนั้นหนักอึ้งราวกับอากาศที่ถูกแช่แข็ง แม้จะกั้นด้วยฉากไม้ฉลุลายเมฆมงคลแล้ว แต่จ้าวชิงเหยาก็ยังรับรู้ได้ถึงรัศมีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง หลี่จ้าน ไม่ได้เดิน เขาเคลื่อนไหวบนเก้าอี้รถเข็นด้วยความเงียบเชียบและรวดเร็ว ราวกับว่าต้องการหลีกหนีจากความเป็นจริงและจากชายาผู้แปลกหน้าของตน
ชิงเหยานั่งลงบนเตียงไม้ที่แข็งกระด้าง เธอไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวต่อคำขู่หรือคำสั่งห้ามของท่านอ๋องเลยแม้แต่น้อย ความสนใจของเธอมุ่งไปที่เรื่องอื่น— การเอาชีวิตรอด
สิ่งแรกที่ต้องทำคือการสำรวจทรัพยากร
ชิงเหยาไม่ได้ทะลุมิติมาพร้อมกับระบบอัจฉริยะหรือมิติพิเศษใดๆ มีเพียงสมองของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมประสาทเท่านั้นที่เป็นอาวุธ เธอจึงต้องประเมินสภาพแวดล้อมและหาทางสร้างอุปกรณ์ที่จำเป็น
“เสี่ยวเยว่” เธอเรียกสาวใช้ที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างเตียง
เสี่ยวเยว่รีบเข้ามาหาด้วยความกังวล “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอ๋อง... ท่านอ๋องโกรธแล้ว ท่านควรทำตัวอ่อนน้อมกว่านี้เจ้าค่ะ”
“ความอ่อนน้อมไม่ช่วยให้เราเอาชีวิตรอดในคุกทองคำแห่งนี้ได้” ชิงเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นที่ชวนให้เสี่ยวเยว่ขนลุก “เจ้าจำสิ่งที่ข้าพูดไว้ให้ดี ตอนนี้เราต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด”
ชิงเหยาลุกขึ้นเดินสำรวจพื้นที่ที่ถูกแบ่งให้เธอ นี่คือห้องขนาดกลางที่เชื่อมต่อกับห้องแต่งตัวและห้องน้ำเล็กๆ ที่ขาดความสะดวกสบายตามมาตรฐานสมัยใหม่
“ภายในห้องของเรา มีอะไรที่พอจะหามาใช้เป็น เข็มขนาดเล็ก และ เชือกด้ายที่เหนียวแน่น ได้บ้างหรือไม่?” เธอถาม
เสี่ยวเยว่สับสนกับคำถาม "เข็มเย็บผ้าและด้ายปักผ้าเจ้าคะ? มีอยู่ในหีบเสื้อผ้าเจ้าค่ะ แต่... ท่านจะนำมาทำอะไรหรือเจ้าคะ?"
ชิงเหยาไม่ตอบ เธอเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งไม้โบราณและสำรวจวัสดุต่าง ๆ อย่างละเอียด ในสายตาของศัลยแพทย์ประสาท เหล็กกล้าที่ใช้ทำเข็มเย็บผ้า อาจเป็น เข็มฝังเข็ม ชั้นดี หรือ ด้ายปักผ้าไหมที่เหนียวแน่น อาจกลายเป็น ไหมเย็บแผล หากได้รับการฆ่าเชื้อที่เหมาะสม
“ไปเอาหีบเครื่องมือของเจ้าของร่างเดิมมาให้ข้า” ชิงเหยาสั่ง
ขณะที่เสี่ยวเยว่ไปรื้อค้นข้าวของ ชิงเหยาใช้เวลาว่างในการสำรวจร่างกายของตนเอง เธอค้นพบว่าเจ้าของร่างเดิมคือ คุณหนูผู้บอบบาง และ ขี้โรค อย่างแท้จริง ร่างกายอ่อนแอ ผิวซีด และมีร่องรอยของการถูกกดดันทางจิตใจอย่างหนักที่ทำให้สุขภาพทรุดโทรม
ถ้าฉันจะช่วยคนอื่นได้ ฉันต้องรักษาร่างกายนี้ให้แข็งแรงก่อน
ค่ำคืนนั้นดำเนินไปอย่างช้าๆ ในความเงียบที่น่าสะพรึงกลัว หลี่จ้านไม่ได้ออกมาจากเขตของตนเอง และชิงเหยาก็ไม่ได้พยายามก้าวข้ามเส้นที่เขาขีดไว้ เธอใช้เวลาทั้งคืนในการปรับปรุงเครื่องมือพื้นฐาน
เธอเอาเข็มเย็บผ้ามาลับให้ปลายแหลมขึ้น และใช้ไฟจากตะเกียงฆ่าเชื้อซ้ำ ๆ เพื่อเตรียมชุดเครื่องมือสำหรับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านไม่นอนหรือ?” เสี่ยวเยว่ที่เฝ้ารับใช้อยู่ถามอย่างงงงวย
“นอนไม่ได้” ชิงเหยาตอบ “สมองของข้ายังทำงานอยู่” เธอพูดพลางหยิบกิ่งไม้แห้งเล็กๆ มามัดรวมกันแน่น เพื่อทำเป็น ที่หนีบ ชั่วคราว
ขณะที่ชิงเหยากำลังจดจ่ออยู่กับการสร้าง 'ห้องปฏิบัติการ' ขนาดย่อมของตนเอง เสียงเคลื่อนไหวที่เงียบเชียบก็ดังขึ้นจากอีกฟากของฉากกั้น หลิ่งเฟิง องครักษ์เงาของฉินอ๋องกำลังเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด
หลิ่งเฟิงประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาคิดว่าชายาผู้ถูกบีบให้แต่งงานจะร้องไห้คร่ำครวญ หรืออาจจะพยายามติดต่อกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังเพื่อวางแผนร้าย แต่นางกลับนั่ง... ลับเข็ม และ เผาเชือก อย่างตั้งใจ
นี่นางคิดจะวางแผนร้ายอะไรกันแน่? ความสงสัยในตัวชายาใหม่ยิ่งเพิ่มขึ้น
รุ่งเช้าของวันถัดมา จวนฉินอ๋องดูไม่แตกต่างจากวันวาน ยังคงเป็นสถานที่ที่เย็นชาและไร้ชีวิตชีวา
ชิงเหยาถูกปลุกให้ตื่นแต่เช้าเพื่อเข้ารับการคารวะจากคนในจวน ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่มาร่วมพิธีต้อนรับชายาใหม่นั้นมีน้อยนิดและเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ นี่คือความอับอายทางการเมือง ที่ตระกูลจ้าวและฉินอ๋องต้องแบกรับ
หลี่จ้านปรากฏตัวในชุดสีเข้มที่เรียบง่าย เขาถูกผลักออกมาโดยหลิ่งเฟิง ใบหน้าของเขายังคงเย็นชาและว่างเปล่า ไม่แม้แต่จะสบตาชายาของตน
ในระหว่างที่ชิงเหยากำลังรินชาเพื่อคารวะสามีอย่างเป็นทางการตามมารยาท พ่อบ้านชราผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของอ๋อง ลุงฟู่ ที่ดูแลจวนมาอย่างยาวนาน ก็เดินสะดุดบันไดขั้นสุดท้ายและล้มลง
เพล้ง!
เสียงดังสนั่นพร้อมกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของลุงฟู่ ทันใดนั้นเลือดสีแดงก็ไหลซึมออกมาจากศีรษะที่กระแทกพื้นและข้อเท้าที่บิดผิดรูป
ความโกลาหลเกิดขึ้นทันที! คนรับใช้กรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก หลิ่งเฟิงรีบเข้าประคองลุงฟู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะนี่คือผู้ที่เปรียบเสมือนครอบครัวของอ๋อง
“ท่านอ๋อง! รีบเรียกหมอหลวง!” หลิ่งเฟิงรีบเสนอ
แต่ก่อนที่หลี่จ้านจะสั่งการ จ้าวชิงเหยาก็เคลื่อนไหวแล้ว
เธอเคลื่อนไหวด้วยสัญชาตญาณของแพทย์ที่เห็นผู้ป่วยฉุกเฉิน
ชิงเหยาไม่ได้รอคำอนุญาต เธอพุ่งเข้าไปทันที โดยไม่ได้สนใจว่าการกระทำของตนเป็นการ ก้าวข้ามเขต และละเลยคำสั่งของฉินอ๋อง
เธอคุกเข่าลงข้างลุงฟู่อย่างรวดเร็ว มือที่เคยถือมีดผ่าตัดก็เริ่มทำงานทันที
“เสี่ยวเยว่! ผ้าพันแผลสะอาด! เร็วเข้า!” ชิงเหยาสั่งเสียงเด็ดขาด
เธอประเมินอาการบาดเจ็บของลุงฟู่อย่างรวดเร็ว: ศีรษะมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ต้องห้ามเลือดทันที, ข้อเท้าหัก
“ข้อเท้าหักงอผิดรูปอย่างรุนแรง ถ้าขืนเคลื่อนไหวผิดวิธีจะทำให้บาดเจ็บถาวร!”
หลี่จ้านที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น จ้องมองการกระทำของชายาด้วยความประหลาดใจ หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้ดูเหมือนคุณหนูผู้บอบบาง แต่กลับเป็น ผู้บัญชาการ ที่เปี่ยมไปด้วยความเด็ดขาด
“เจ้ากำลังทำอะไร! ถอยไป!” หลิ่งเฟิงร้องห้ามด้วยความไม่ไว้วางใจ “อย่าได้คิดจะวางยาพิษลุงฟู่เด็ดขาด!”
“วางยาพิษ? ข้ากำลังจะช่วยชีวิตเขา!” ชิงเหยาตอบกลับอย่างไม่ลดละ ดวงตาของเธอมุ่งมั่น “ถ้าอยากให้เขาพิการถาวร เจ้าก็ดึงเขาออกไปตอนนี้!”
เธอหันไปหยิบผ้าสะอาดที่เสี่ยวเยว่ยื่นให้ จากนั้นก็ใช้เทคนิคการกดแผลที่รวดเร็วและแม่นยำเพื่อห้ามเลือดที่ศีรษะ
“ท่านอ๋อง! ข้าต้องทำการจัดข้อเท้าเข้าที่ และห้ามเลือดก่อนที่บาดแผลจะติดเชื้อ!” ชิงเหยาร้องขออย่างหนักแน่น “ข้าขอไม้ดามที่เรียบ และผ้าพันแผลสะอาดให้มากกว่านี้!”
หลี่จ้านจ้องมองใบหน้าของชิงเหยาอย่างไม่กะพริบตา เขาสัมผัสได้ถึง ความจริงใจ และ ความสามารถ ที่แผ่ออกมาจากเธออย่างแท้จริง สายตาที่มุ่งมั่นและมือที่เยือกเย็นนั้น... ทำให้เขานึกถึงแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่
"หลิ่งเฟิง..." หลี่จ้านพูดเสียงต่ำ "ทำตามที่ชายาบอก"
หลิ่งเฟิงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ แต่เขาไม่เคยขัดคำสั่งของอ๋อง เขาจึงรีบทำตามอย่างรวดเร็ว
ชิงเหยาไม่รอช้า เธอใช้วิธีการจัดข้อเท้าเข้าที่แบบเร่งด่วน โดยใช้เทคนิคที่แม่นยำตามหลักศัลยกรรมกระดูก แม้จะไม่มีเครื่องมือที่สมบูรณ์ แต่เธอก็ทำได้อย่างรวดเร็ว
“อ๊ากกก!” ลุงฟู่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“อดทนไว้นะลุงฟู่” ชิงเหยากระซิบเบาๆ แต่การเคลื่อนไหวของมือกลับรวดเร็วและเด็ดขาด
เมื่อข้อเท้าถูกจัดเข้าที่อย่างเรียบร้อยและพันผ้าดามไว้แล้ว ชิงเหยาลุกขึ้นยืนอย่างเหนื่อยหอบ เธอหันไปหาหลี่จ้านที่ยังคงนั่งมองเธออย่างประเมินค่า
“บาดแผลที่ศีรษะไม่ลึกนัก แต่จำเป็นต้องเย็บและฆ่าเชื้อ! ส่วนข้อเท้า ข้าได้จัดเข้าที่แล้ว แต่จำเป็นต้องพักฟื้นและได้รับยาที่ถูกต้อง มิเช่นนั้นจะพิการได้”
เธอไม่ขอโทษสำหรับการละเลยคำสั่งห้าม แต่เธอใช้ผลงานพิสูจน์ตนเอง
หลี่จ้านเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแต่แฝงความสนใจ: “พาเขาไปพักในเรือนที่เงียบสงบที่สุด จัดหา สิ่งของทั้งหมดที่ชายาต้องการ โดยห้ามมีผู้ใดขัดขวาง และ... ชายาจ้าว”
หลี่จ้านชี้ไปยังฉากกั้นที่ถูกเธอเดินผ่านไปอย่างไม่แยแสเมื่อครู่ “หากเจ้าก้าวข้ามเส้นในสถานการณ์ที่ ไม่จำเป็น ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า”
ชิงเหยาเข้าใจดีว่านี่คือการ ให้อิสระทางการแพทย์ แลกกับ การเชื่อฟังทางการเมือง
เธอโค้งคำนับเล็กน้อย “ข้าจะรักษาลุงฟู่ให้ดีที่สุด เพื่อแสดงความสามารถของข้าต่อท่านอ๋อง”
ทันใดนั้น ดวงตาของชิงเหยาก็เหลือบไปเห็นรอยแผลเป็นเก่าที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของหลิ่งเฟิง รอยเย็บที่ไม่สมบูรณ์ และ การติดเชื้อเรื้อรัง ที่เป็นบาดแผลเก่าจากสนามรบ
นี่แหละ... ทางเข้าของฉัน
ชิงเหยาส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจไปยังหลี่จ้าน ก่อนจะรีบพาเสี่ยวเยว่ไปยังห้องของลุงฟู่ ทิ้งให้หลี่จ้านอยู่กับหลิ่งเฟิงที่ยังคงตกตะลึงกับการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและเด็ดขาดของชายาที่เพิ่งมาถึง
“ท่านอ๋อง...” หลิ่งเฟิงเอ่ยอย่างไม่สบายใจ “นาง... ดูไม่เหมือนคนที่พวกเขาส่งมาเพื่อวางแผนร้าย”
หลี่จ้านเงยหน้ามองหลิ่งเฟิง ดวงตาของเขาเผยความลับที่ซ่อนอยู่ “ไม่ว่านางจะมาด้วยเจตนาใด... นางทำให้ข้าเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เคยเห็น คือ ทักษะทางการแพทย์ที่แท้จริง แต่... หลิ่งเฟิง เจ้าจงจับตามองนางให้ใกล้ชิดที่สุด อย่าปล่อยให้สายตาของเจ้าคลาดเคลื่อนไปจากนางแม้แต่วินาทีเดียว”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
หลี่จ้านมองไปยังทิศทางที่ชิงเหยาจากไป เขาสัมผัสได้ถึง ความกดดันทางการเมือง ที่เพิ่มขึ้น การที่อ๋องพิการได้รับชายาที่เป็นตัวซวยไม่ได้ทำให้ศัตรูพอใจ แต่มันทำให้พวกเขาระแวงถึงแผนการที่ซ่อนอยู่ และการปรากฏตัวของแพทย์ผู้แปลกประหลาดนี้... จะทำให้สถานการณ์วุ่นวายขึ้นอย่างแน่นอน
ไม่ว่าอย่างไร... ข้าจะใช้ความสามารถของนางให้เป็นประโยชน์สูงสุด ก่อนที่นางจะเป็นอันตรายต่อข้า หลี่จ้านคิดด้วยรอยยิ้มเยียบเย็นที่มุมปาก
เหตุการณ์วุ่นวายเมื่อเช้านี้ทำให้บรรยากาศในจวนฉินอ๋องเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากความเงียบสงบที่น่าขนลุก กลายเป็นความระแวงที่เข้มข้นขึ้น
ชิงเหยาและเสี่ยวเยว่ได้รับอนุญาตให้ดูแล ลุงฟู่ พ่อบ้านชราในเรือนที่อยู่ห่างจากห้องหอของอ๋องไม่มากนัก เรือนแห่งนี้แม้จะดูสะอาด แต่ก็ขาดอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับแพทย์สมัยใหม่
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านอ๋องทรงอนุญาตให้คุณหนูใช้สมุนไพรและเครื่องมือได้ตามต้องการแล้วเจ้าค่ะ แต่...ดูเหมือน องครักษ์หลิ่งเฟิง จะไม่วางใจเลย” เสี่ยวเยว่กระซิบด้วยความกลัวขณะบดสมุนไพร
ชิงเหยาไม่แปลกใจ หลิ่งเฟิง คือองครักษ์ผู้จงรักภักดีที่สุดของหลี่จ้าน ความระแวงของเขาคือเกราะป้องกันที่สำคัญที่สุดของท่านอ๋อง
“ไม่จำเป็นต้องให้เขาไว้ใจ แค่ทำให้เขาไม่มีข้อโต้แย้งก็พอ” ชิงเหยาตอบอย่างใจเย็น
เธอใช้ความรู้ทางการแพทย์ปัจจุบันในการจัดยาที่เหมาะสมสำหรับลุงฟู่ และที่สำคัญที่สุดคือ การฆ่าเชื้อ ชิงเหยาพยายามอธิบายหลักการเรื่อง 'เชื้อโรค' ให้เสี่ยวเยว่เข้าใจอย่างง่ายที่สุด โดยใช้น้ำร้อนและไฟในการต้มและฆ่าเชื้อผ้าพันแผลและเครื่องมือที่เธอประดิษฐ์ขึ้นอย่างเร่งด่วน
“เสี่ยวเยว่ เจ้าจำไว้ให้ดี” ชิงเหยาสั่งอย่างจริงจัง “สิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านี้อันตรายยิ่งกว่านักฆ่าที่ซ่อนตัวอยู่เสียอีก ก่อนจะแตะต้องบาดแผลใดๆ ต้องล้างมือด้วยน้ำต้มสุกเสมอ”
หลิ่งเฟิงซุ่มอยู่บนหลังคาเรือนนั้นตั้งแต่เช้าจรดเย็น ดวงตาคมกริบของเขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของชายา ไม่ว่าจะดื่มน้ำสักจิบ หรือเดินไปที่มุมใดของห้อง ทุกอย่างอยู่ภายใต้การจับตามองของเขา
สิ่งที่หลิ่งเฟิงเห็นคือความผิดปกติ
จ้าวชิงเหยา ไม่ได้สวดมนต์บูชาเทพเจ้า ไม่ได้ใช้หลักการแพทย์โบราณ แต่ใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘การฆ่าเชื้อ’ และคำสั่งที่แปลกประหลาด
ทำไมต้องต้มน้ำจนเดือดซ้ำ ๆ เพื่อล้างมือ?
ทำไมต้องนำเข็มเย็บผ้าไปเผาไฟจนแดง?
ในสายตาของหลิ่งเฟิง การกระทำเหล่านี้คล้ายกับ พิธีกรรมทางไสยศาสตร์ มากกว่าการรักษา แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่กล้าลงมือขัดขวาง คือ บาดแผลของลุงฟู่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่ผ่านไปหนึ่งวัน อาการไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว บาดแผลที่ศีรษะไม่มีหนอง และข้อเท้าดูมั่นคงขึ้น
ขณะที่ชิงเหยากำลังผสมยาสมุนไพรชนิดหนึ่ง เธอก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่บนหลังคา
เขาคงตามดูมานานแล้วสินะ
ชิงเหยาตัดสินใจที่จะไม่สนใจ แต่กลับใช้โอกาสนี้ในการ สร้างความเชื่อใจ อย่างมีชั้นเชิง
“เสี่ยวเยว่” ชิงเหยาพูดเสียงดังพอที่คนบนหลังคาจะได้ยิน “บาดแผลของลุงฟู่รักษาไม่ยาก ที่ยากกว่าคือ การบาดเจ็บเรื้อรังที่ไม่ได้รักษาแต่เนิ่นๆ”
เธอหยุดมือที่กำลังบดยา และมองไปยังประตูหน้าต่าง “เช่น... บาดแผลเก่าที่ถูกเย็บอย่างลวกๆ และทิ้งหนองไว้ใต้ผิวหนัง ร่างกายถูกทำลายจากภายในอย่างช้าๆ คนไข้จะรู้สึกเจ็บปวดอย่างเรื้อรังและอาจติดเชื้อได้ทุกเมื่อ”
คำพูดนี้มุ่งเป้าไปที่ หลิ่งเฟิง โดยตรง เพราะเมื่อวานเธอเห็นแผลเป็นที่ไม่สมบูรณ์ของเขา
บนหลังคา หลิ่งเฟิงถึงกับตกใจ ใบหน้าเย็นชาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย เขาลูบไปที่แผลเป็นที่ไหล่... นั่นคือบาดแผลเก่าจากการทำภารกิจเมื่อห้าปีก่อนที่เขาคิดว่าไม่มีใครเคยเห็น ช่างน่าประหลาดที่ชายาผู้นี้มองเห็นความเจ็บปวดที่เขาซ่อนไว้ได้อย่างง่ายดาย
ชิงเหยาเห็นความเคลื่อนไหวเล็กน้อยบนหลังคา เธอยิ้มในใจ แต่ภายนอกยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“ข้ารู้ว่าการเชื่อใจใครสักคนในจวนนี้เป็นเรื่องยาก” ชิงเหยาพึมพำกับเสี่ยวเยว่ แต่เสียงก็ดังพอให้องครักษ์ได้ยิน “แต่ถ้าต้องการปกป้องผู้มีพระคุณจริง ๆ จงเชื่อในหลักการ และ ผลลัพธ์”
บ่ายวันนั้น ชิงเหยาตัดสินใจที่จะ ประดิษฐ์เครื่องมือการแพทย์ที่จำเป็น อย่างจริงจัง เธอสั่งให้เสี่ยวเยว่ไปหา ไม้ไผ่ที่บางและแข็งแรง และ สายไหมที่แน่นที่สุด
ในห้องที่เต็มไปด้วยแสงสลัว ชิงเหยาใช้เวลาหลายชั่่วโมงในการลับคมไม้ไผ่ให้กลายเป็นเข็มขนาดต่าง ๆ สำหรับการฝังเข็มและการสะกิดแผล เธอใช้หลักการของแพทย์แผนจีนที่เธอเคยศึกษาควบคู่ไปกับความรู้ด้านเส้นประสาทของตนเอง
เข็มฝังเข็ม สำหรับกระตุ้นเส้นประสาทที่อ่อนแอของหลี่จ้าน คือสิ่งที่จำเป็นที่สุด
ขณะที่เธอกำลังจดจ่ออยู่กับการลับคมไม้ หลิ่งเฟิงก็เดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบโดยไม่เคาะประตู
“ชายา” น้ำเสียงของเขาแหบพร่าและแข็งกร้าว “ท่านอ๋องสั่งให้ข้าดูแลความปลอดภัยของเจ้า และมอบหมายให้ข้าเป็นผู้จัดหาสิ่งของที่เจ้าต้องการ”
ดวงตาของเขากวาดมองไปทั่วห้อง เห็นเข็มไม้ไผ่และเส้นไหมที่กองอยู่บนโต๊ะ
“ข้าต้องการผ้าพันแผลสะอาด... และเหล็กกล้าที่ดีที่สุดที่พอจะนำมาลับให้แหลมได้” ชิงเหยาตอบอย่างไม่เกรงกลัว “หากท่านทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ข้าจะใช้ไม้ไผ่แทน”
หลิ่งเฟิงรู้สึกว่าถูกยั่วโมโห แต่เขากลับสงบสติอารมณ์ “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าต้องทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วยเครื่องมือที่ดูน่าขันเช่นนี้”
ชิงเหยาสบตากับเขาอย่างตรงไปตรงมา เธอรู้ว่านี่คือโอกาสที่จะทำลายกำแพงความระแวงขององครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ผู้นี้
“ท่านอ๋องบาดเจ็บที่ระบบประสาทส่วนปลาย ทำให้ขาไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่” ชิงเหยาอธิบายอย่างใจเย็น “การรักษาแบบโบราณเน้นที่ยาบำรุง แต่ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ ข้าต้องใช้ เข็มที่ละเอียดอ่อนที่สุด ในการกระตุ้นจุดที่ถูกต้อง”
เธอชี้ไปที่เข็มไม้ไผ่ “ถ้าข้าใช้เข็มที่หยาบไป ท่านอ๋องอาจพิการถาวร และท่านก็คงไม่อยากเห็นท่านอ๋องเป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่?”
หลิ่งเฟิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง คำพูดของชายาทำให้เขานึกถึงความสิ้นหวังของท่านอ๋องที่ลองรักษามาทุกรูปแบบแต่ไม่เคยเห็นผล
“บาดแผลเก่าของข้า” หลิ่งเฟิงถามเสียงเบา “เจ้ามองเห็นมันได้อย่างไร”
ชิงเหยายิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ใช้ดวงตา แต่ใช้ความรู้ของข้า ร่างกายของคนเราคือสมุดบันทึกที่ซ่อนความเจ็บปวดไว้ การเย็บแผลที่ไม่สะอาดทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรคใต้ผิวหนัง มันทำให้ท่านปวดร้าวมาโดยตลอดใช่หรือไม่? มันทำให้ท่านเหนื่อยล้า... และ มันอาจส่งผลต่อการปกป้องท่านอ๋องได้”
คำพูดสุดท้ายของชิงเหยาแทงใจดำหลิ่งเฟิงอย่างจัง
“ข้าจะให้สิ่งที่เจ้าต้องการ” หลิ่งเฟิงพูดเสียงเครียดและหมุนตัวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด ชิงเหยาก็ได้ ‘โรงหมอลับ’ ของตนเองในจวนฉินอ๋อง เธอได้รับเหล็กกล้าคุณภาพดีที่หลิ่งเฟิงจัดหามาให้อย่างเงียบๆ และเริ่มประดิษฐ์เครื่องมือสำคัญชุดแรกสำหรับการผ่าตัดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ขณะที่เธอกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมพร้อม ทันใดนั้น หลี่จ้าน ก็ถูกเข็นเข้ามาในเรือนอย่างเงียบเชียบโดยไม่มีผู้ใดตามมา มีเพียงองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ภายนอกเท่านั้น
“เจ้าจะทำอะไรกับของพวกนี้?” หลี่จ้านถามเสียงเรียบ ดวงตาของเขามองไปยังโต๊ะที่เต็มไปด้วยเข็ม เหล็กกล้า และสมุนไพรแปลกตา
ชิงเหยารีบลุกขึ้นยืน “ถวายพระพรท่านอ๋องเพคะ”
“ไม่ต้องมากพิธี” หลี่จ้านโบกมือ “เมื่อวานเจ้ากล้าขัดคำสั่งของข้าเพื่อช่วยลุงฟู่ และวันนี้... เจ้ากำลังเตรียมเครื่องมือที่ดูแปลกประหลาดเหล่านี้ จ้าวชิงเหยา เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่?”
ชิงเหยาหันกลับไปหยิบเข็มไม้ไผ่ที่เธอเพิ่งลับคมเสร็จ แล้วยื่นไปทางเขา
“ข้ามาที่นี่เพื่อทำตามสิ่งที่ข้ากล่าวไว้เพคะ” ชิงเหยาตอบอย่างมั่นคง “เพื่อเป็นเบี้ยที่แข็งแกร่งที่สุดในเกมนี้ และเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของท่านอ๋อง”
“ข้าไม่เชื่อ” หลี่จ้านตอบด้วยความเย็นชา “ข้าเชื่อแค่ว่าเจ้ากำลังพยายามเข้าใกล้ข้าตามคำสั่งของศัตรู”
ชิงเหยาส่ายหน้าเล็กน้อย “ถ้าข้าคือศัตรู... ข้าคงใช้ยาพิษที่หามาได้ง่ายดายกว่านี้ แต่ข้าคือแพทย์”
เธอเดินเข้าไปใกล้หลี่จ้านอีกก้าวหนึ่ง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความท้าทาย
“สิ่งที่ข้าจะทำ ไม่ใช่แค่การให้ยา แต่เป็นการ รักษาจากภายในสู่ภายนอก หากท่านไม่เชื่อใจ... ก็จงให้ ร่างกายของท่าน เป็นพยาน”
ชิงเหยาจ้องมองไปที่ขาที่ไร้ความรู้สึกของเขา นี่คือการเผชิญหน้าที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด อำนาจ และ การแพทย์ กำลังต่อสู้กันอย่างเงียบ ๆ ในห้องที่คับแคบแห่งนี้
“ข้าต้องการเวลา... วันนี้ข้าขอแค่ ฝังเข็ม เพื่อกระตุ้นจุดเลือดลมเบื้องต้น และ วินิจฉัยอาการบาดเจ็บทางระบบประสาท ของท่านอย่างละเอียด” ชิงเหยาเสนออย่างเด็ดขาด
หลี่จ้านนั่งนิ่ง... ความเยือกเย็นของเขาเริ่มสั่นคลอน เขากลัว ว่าจะถูกหลอกลวงอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีความหวัง เล็กๆ ที่ถูกจุดประกายขึ้นมา
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!